ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    Historia ผมในโลกคู่ขนาน (Yaoi)

    ลำดับตอนที่ #8 : วันที่...ทุกอย่างกำลังเดินไปตามลิขิต

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 3.43K
      205
      13 มิ.ย. 60



    ​King Uther Pendragon Guardian of Camelot

     

            ใคร...นั้นคือคำถาม คนตรงหน้าผมคือใคร...นี้คือคำขยายความ จนถึงตอนนี้ลามอรัคก็ยังไม่ปล่อยผมสักทีจนเมื่อยมือ แถมหนำซ้ำยังมีประโยคคำถามลอยเด่นขึ้นมาให้หัวว่าเธอตรงหน้าผมคือใคร รู้จักคณะอัศวินได้ไง ไหงรู้ความสัมพันธ์ของไอ้เปรี๊ยะๆกับไอ้น้ำแข็งได้

     

            “ท่านไม่ควรมาอยู่ที่นี่”

     

            เขาพูดออกมาด้วยน้ำเสียงที่จริงจังก่อนจะปล่อยตัวผมให้เป็นอิสระก่อนจะเดินเข้าไปหาหญิงสาวตรงหน้า ซึ่งเธอก็ยิ้มแล้วหัวเราะออกมาเบาๆ

     

            “ข้าก็อยากวิ่งเล่นบ้าง อยู่แต่ในหอสมุดหลวงข้าก็เบื่อเป็นนะลามอรัค”

            “ข้าเข้าใจ แต่หากพวกดีสซีเดียเห็นท่าน หากท่านเป็นอะไรไปสมดุลของอาณาจักรก็จะอยู่ในภาวะที่เสี่ยงแน่”

     

            ผมเริ่มรู้สึกเหมือนเป็นคนนอก...

     

            “เออขอโทษนะครับ..ไม่ทราบว่าคุณเป็นใครงั้นหรอครับ”

     

            ผมลองถามดูซึ่งเสียงที่ออกไปดันไปอยู่ในเวอร์ชั่นกระซิบด้วยเสียงโชตะเพราะยังเจ็บที่โดนล็อกคอไว้

            สาวเจ้าที่โดนถามหันมามองผมอย่างพิจารณาแล้วยิ้มออกมาอย่างถูกใจก่อนจะสาวเท้าเดินมากอดผมไว้ประหนึ่งตุ๊กตา

     

            “ลามอรัค! ทำไมเด็กคนนี้ถึงน่ารักขนาดนี้ ทำไมอาเธอร์ลูกชายของข้าถึงไม่น่ารักเช่นนี้บ้างกัน “

     

            ห๊ะ....

            เหมือนผมจะได้ยินชื่อแสลงหูของคนที่ทำให้ผมมาอยู่ในสภาพนี้...

            แล้วเธอคนนี้บอกว่าเป็นลูกชาย?....

     

            ลามอรัคที่พึ่งถูกพาดพิงเริ่มยิ้มเจ้าเล่ห์อีกครั้งแล้วมองผมเล็กน้อยประหนึ่งสมน้ำหน้าผมอยู่หน่อยๆก่อนจะตอบกลับไปอย่างชัดเจนด้วยน้ำเสียงที่ดังฟังชัดกับหญิงสาวที่ยังคงกอดผมอยู่ไม่ปล่อยทำให้ผมต้องช็อกกับคำตอบที่ผมได้ยิน

     

            “เกรงว่าหากท่านต้องการเช่นนั้นท่านคงต้องย้อนเวลาไปสวดภาวะนาให้ได้ธิดานะขอรับ ท่านอูเธอร์

     

            ขุนพระเจ้า...

            ผมจะไม่พูดอะไรอีกแล้วบ้าเอ๊ย!

     

            ผมน่าจะรู้ตั้งแต่เห็นเมอร์ลินเป็นหนุ่มแล้วพับผ่าสิ แต่นี้ออกจะเกินคาดไปหน่อย กษัตริย์อูเธอร์เป็นผู้หญิงเหรอ งั้นไม่ให้มอร์แกน เลอ เฟย์เป็นผู้ชายเลยล่ะพระเจ้า!

     

    (พระเจ้า::จงระวังในสิ่งที่เจ้าขอ มิเช่นนั้นฮาเร็มนี้จะหนักหนาสาหัสเกินกว่าจะรับไหว//หัวเราะอย่างชั่วร้าย)

    .

    .

    .

    .

    .

    .

            คาเมล็อตเขตตะวันตก

     

            ยามเย็น ณ ทางเดินของป่าเขตตะวันตกของคาเมล็อตที่ตั้งของโบรณสถานเก่าแก่ที่อยู่กึ่งกลางระหว่างเขตแดนสองอาณาจักรใหญ่ที่ไม่ลงรอยกันมาตั้งแต่เมื่อหลายร้อยปีก่อน ร่างผมแดงในชุดเครื่องแบบอัศวินโต๊ะกลมกวาดตามองรอบๆอย่างหวาดระแวงเมื่อเดินทางมาถึงที่หมาย

             ทริสทันที่ได้รับคำสั่งให้มาตรวจสอบเขตตะวันตกนี้ถอนหายใจเบาๆเมื่อได้รับคำสั่งจริงๆจากราชาของเขา เขาไม่ได้มาที่นี้เพื่อตรวจสอบแต่มาเพื่อนำบางสิ่งจากโบราณสถานแห่งนี้ หรือก็คือ “ตรวจสอบสิ่งที่อยู่ภายในและเก็บกู้กลับมา” เพื่อจุดประสงค์หลักของพวกเขา

     

    การตามหาจอกศักดิ์สิทธิ์

     

            เขาเองก็ไม่ได้อยากมาที่นี้นักเพราะแค่หน้าโบรณสถานเท่านั้นที่อยู่ในเขตการปกครองของคาเมล็อตถ้าเกิดเขาก้าวเท้าเข้าไปลึกกว่านี้ เขาจะเข้าสู่เขตการปกครองของอาณาจักรดีสซีเดียแต่เมื่อกาลเวลาบรรจบมาถึง การตามหาก็ต้องเกิดขึ้นอยู่ดี

             และมันจะไม่ดีแน่ๆหากอาณาจักรอื่นรู้เรื่องกำหนดของพิธีเรียกจอกศักดิ์สิทธิ์ที่กำลังจะถึงในอีกไม่กี่เดือนเพราะงั้นกษัตริย์อาเธอร์จึงส่งเขาให้มาเก็บหนึ่งในสามกุญแจหลักของพิธีก่อน

     

            “ฟาร์เรน รอข้าอยู่ตรงนี้หากมีอะไรเกิดขึ้นให้รีบขี่ม้ากลับไปที่เมืองหลวงเข้าใจแล้วนะ”

            “ขอรับท่านทริสทัน”

     

            ทริสทันที่ได้ยินเสียงขานรับของสหายคนสนิทพยักหน้าเล็กน้อยก่อนจะก้าวเท้าเข้าไปข้างในโบราณสถานตรงหน้าทิ้งให้ฟาร์เรนกับม้าคู่ใจของเขากับตัวเองอยู่หน้าทางเข้าไปโดยที่ไม่รู้ตัวเลยว่าพายุของสงครามกำลังจะมาในไม่ช้า

     

            “โดนทิ้งไว้งั้นเหรออัศวินฝึกหัด”

     

            เสียงทุ้มเอ่ยทักฟาร์เรนจากด้านหลังเรียกความตื่นตระหนกให้กลับขึ้นมาบนใบหน้าของอัศวินฝึกหัด เมื่อคลาดกับหัวหน้าของเข้าได้ไม่ถึงนาทีเขาก็โดนเล่นงานก่อนแล้ว

            แต่ก่อนจะได้ชักดาบร่างของเขากลับถูกเส้นด้ายบางๆดึงขึ้นไปบนยอดไม้ไปอย่างเงียบงันพร้อมกับร่างสูงโปร่งที่เดินออกมาจากที่ซ่อนของเขาแล้วเบนสายตาไปยังทางเข้าที่อัศวินผมแดงพึ่งก้าวเข้าไป

     

            “เก็บไปหนึ่ง...เหลืออีกหนึ่ง”

    .

    .

    .

    .

    .

            ทางด้านของทริสทันที่ก้าวเข้ามาในโบราณสถานนั้นเริ่มรู้สึกกังวลกับการทิ้งให้สหายอยู่ด้านนอกเพียงลำพัง แต่การเข้ามาในนี้และกลับออกไปกันไม่ได้ก็ไม่ใช่สิ่งที่ดีเหมือนกัน เพราะงั้นการให้ใครสักคนรอดไปแจ้งเหตุการณ์กับทางสภาน่าจะเป็นเรื่องที่ดีที่สุด

     

            ตอนนี้เขาเลยได้แต่หวังว่าทุกอย่างจะไปได้ด้วยดีและก้าวเดินต่อไปเท่านั้น

     

            เดินผ่านทางเดินหินมุ่งหน้าไปสู่ลานพิธีขนาดใหญ่ที่อยู่กลางโบราณสถานซึ่งมีเสาหินสิบสี่ต้นล้อมรอบลานที่เป็นวงกลม ลานกว้างที่อยู่กลางป่าแห่งนี้มีอาณาเขตครอบคลุมไว้อย่างแน่นหนาจากรอบด้านมีเพียงแค่เส้นทางที่เป็นทางเข้าเท่านั้นที่สามารถผ่านเข้ามาได้แต่ถว่า...

     

            “ว่างเปล่า?”

     

            อัศวินหนุ่มพึมพำเบาๆเมื่อไม่เห็นอะไรเลยแม้แต่น้อย ไม่มีทั้งคำใบ้หรือเส้นทางไปต่อ ไม่มีสัญญาณบ่งบอกถึงการมีอยู่ของสิ่งที่เขาตามหาใดๆเลยทั้งสิ้น มีเพียงแค่ลานพิธีที่โล่งและรกร้างเท่านั้น ร่างผมแดงค่อยๆก้าวเดินไปเรื่อยๆจนมาอยู่กึ่งกลางของลานพิธี

     

            “หรือเราจะมาช้าเกินไป”

     

            เขาเอ่ยถามกับตัวเองอย่างจนปัญญาเมื่อเดินดูรอบๆแล้วไม่เจออะไรเลยทั้งสิ้นจนความหวังเริ่มจะดับสูญและเขากำลังจะถอยหลังกลับ จนกระทั่งสายลมอ่อนๆพัดผ่านไปอย่างนุ่มนวลกระซิบบอกเขาให้รู้ถึงหนทางไปต่ออย่างแผ่วเบา

     

            “คำใบ้...”

     

            เขาชะงักฝีเท้าลงแล้วหันไปมองรอบๆอีกครั้งเพื่อมองหาต้นต่อของเสียงที่ว่า แต่ก็เช่นเคยมีเพียงแค่ความว่างเปล่าที่เขาเห็น ทำให้เขาเริ่มระแวงขึ้นไปอีกว่าจะมีศัตรูอยู่ใกล้ตัวเขา

     

             “นั้นใครน่ะ”

     

              เขาเอ่ยถามกับความว่างเปล่าที่เงียบสงัด มือหนาทั้งสองเลื่อนไปจับดาบคู่กายที่อยู่ข้างเอวไว้แน่นพร้อมจะจู่โจมทุกเมื่อ แต่ก็มีแค่สายลมเอื่อยๆที่พัดผ่านพื้นที่รกร้างนี่เท่านั้น

     

            “หลับตา...”

     

            เป็นอีกครั้งที่เสียงอันแผ่วเบากระซิบบอกกับเขา ซึ่งคราวนี้ทริสทันได้ชักดาบออกมาเตรียมไว้แล้ว

     

            “ข้าถามว่าเจ้าเป็นใคร!

     

            เขาตะโกนออกไปด้วยความหงุดหงิดที่เจ้าของเสียงไม่ยอมเผยตัวตนออกมาให้เห็นมีเพียงแค่สายลมที่เริ่มพัดแรงขึ้นจนกิ่งไม้สั่นไหวเท่านั้น

     

            “หลับตาลงแล้วฟังเสียง....”

     

            ครั้งนี้ทุกถ้อยคำนั้นดังขึ้นมารอบๆลานพิธีและแต่ล่ะคำนั้นล้วนชัดเจนจนทริสทันเริ่มกังวลเต็มทีและก็ต้องแตกตื่นเมื่อสายลมใต้ บัญชาของเขานั้นหันกลับมาทำร้ายเขาแทน

            คมดาบลมที่มองไม่เห็นเฉือนผ่านผิวกายส่วนที่ไร้เกราะปกคลุมจนเลือดสีแดงสดเริ่มไหลออกมาจากบาดแผลเหล่านั้น นับว่าเป็นโชคร้ายของนักธนูอย่างทริสทันที่ไม่มีเกราะคุ้มครองร่างกายเยอะเหมือนอัศวินคนอื่นๆ เพราะมันทำให้เกะกะเวลาใช้ธนู

            ในตอนนี้มีเพียงแค่ความสับสนที่อยู่ในหัวและจิตใจที่ลังเล เขาทำอะไรต่อไม่ถูกภายในลมพายุที่เป็นสายลมใต้บัญชาของตน เขาก็ไม่คิดว่าจะมีวันที่เขาเสียการควบคุมของพลังธาตุไป เพราะในบรรดาอัศวินทุกคนเขาเป็นถึงอันดับสองเรื่องการใช้สติและสมาธิ

     

             เขาพลาดตรงไหนไป...

     

             แล้วคำตอบก็ปรากฏขึ้นในหัวเมื่อเขานึกถึงใบหน้าของเด็กหนุ่มผมขาวที่เขาอยู่ด้วยกันตอนเช้า

     

            เคดาจ โรลัน...

     

    “หากเจ้าเป็นผู้ใช้พลังธาตุลมเจ้าจะได้ยินเสียงของวัตถุที่แหวกผ่านอากาศได้อย่างชัดเจน”

     

            คำพูดของตัวเขาดังสะท้อนอยู่ในหัวอย่างชัดเจน

     

    “แบบนั้นแหละ ตั้งสติฟังเสียงและทิศทางของลมจับจิตของมันไว้ให้มั่นแล้วก็ เล็งไปที่เป้าหมาย”

     

            ทุกอย่างที่เขาสอนให้กับอีกฝ่าย...

            มันคือพื้นฐานของผู้ใช้ลม...

            สิ่งที่เขาเกือบลืมมันไปเสียสนิท....

     

           ทริสทันค่อยๆหลับตาลงช้าๆทนคมดาบลมที่เฉือนผ่านร่างตัวเองไปเพื่อตั้งสติก่อนจะลดปลายดาบลงช้าๆเช่นเดียวกับสายลมที่ค่อยๆลดความรุนแรงและเลิกทำร้ายตัวเขา

            ทำใจให้ว่างเปล่าตั้งสติและฟังเสียงของสายลมที่พยายามบอกบางอย่างกับเขา

     

            “คำใบ้ที่มองไม่เห็น มีเพียงแค่ผู้ที่ไร้พันธะที่จะหาหนทางไปต่อได้....”

     

              สายลมบอกกับเขาเช่นนั้น เขาน่าจะนึกออกให้เร็วกว่านี้ว่านั้นคือเสียงของสายลม แต่ว่าผู้ที่ไร้พันธะที่ว่าน่ะมีความหมายว่ายังไงกัน... ด้วยความสงสัยเขาจึงสดับฟังเสียงเหล่านั้นต่อไป

     

            “สิ่งที่สร้างชีวิตและให้ทุกสรรพสิ่งดำรงอยู่ต่อไป...”

            “นอมน้อมและอ่อนโยนแต่ก็เกรี้ยวกราดและบ้าคลั่ง...”

           “แม้จะไร้รูปแต่ก็สามารถรับรู้ถึงการมีอยู่ได้...”

     

            และแล้วคำตอบทุกอย่างก็ชัดเจน ทริสทันปักดาบลงพื้นและคุกเข่าลงอย่างนอบน้อมก่อนจะเอ่ยออกมาอย่างแผ่วเบาดุจสายลม คำใบ้ที่สายลมบอกนั้นบ่งชี้ถึงตัวเขาทั้งนั้น ทุกสิ่งที่เขาเป็น

     

            “ข้าแด่เทพแห่งสายลม ในนามของอัศวินและผู้ถือครองแห่งสายลม ข้าทริสทันขอวิงวอน โปรดชี้ทางให้เข้าด้วยเถิด”

     

    ครืน...

     

            สิ้นเสียงของร่างผมแดงทั่วทั้งลานพิธีก็ตอบรับคำวิงวอนของเขา เสาหินรอบลานพิธีแปรเปลี่ยนเป็นรูปปั้นเทพอัศวินที่ปกครองคาเมล็อตในยุคแรก สายลมสีเขียวอ่อนพัดผ่านลานกว้างที่รกร้างแปรเปลี่ยนมันให้กลายเป็นลานพิธีที่สะอาดสะอ้าน หินแตกหักสีเทาเข้มรอบบริเวณต่างยกตัวขึ้นมารวมกันสร้างทางเดินที่เชื่อมลงไปที่ชั้นใต้ดินด้วยเวทเคลื่อนย้ายมิติ

            นั้นคือสาเหตุที่อาเธอร์เลือกทริสทันให้มาที่นี่...ผู้ที่ไร้พันธะคือผู้ใช้ลม อากาศคือสิ่งที่สร้างชีวิตและให้สรรพสิ่งได้ดำรงอยู่ นอบน้อมอ่อนโยนเหมือนสายลมในที่ราบสูง เกรี้ยวกราดบ้าคลั่งเหมือนลมพายุ สิ่งเหล่านั้นล้วนแต่ไร้รูปแต่รับรู้ถึงการมีตัวตนอยู่

     

            มีเพียงแค่ผู้ใช้ธาตุลมบริสุทธิ์เท่านั้นที่สามารถไปต่อได้ แต่ไม่ใช่กับกาลาฮัดที่เป็นดั่งพายุบ้าคลั่ง หรืออาเธอร์ที่ควบคุมมันเป็นธาตุเสริม มีแค่ทริสทันที่เป็นสายลมอันอ่อนโยนที่สามารถผ่านประตูเข้าไปต่อได้

     

            เพราะหากมีสติไม่พอก็ไม่อาจได้ยินเสียงเหล่านั้น...

     

            ร่างผมแดงถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกเมื่อเห็นเส้นทางไปต่อ เขาเก็บดาบใส่ฝักแล้วลุกขึ้นมาเพื่อเดินเข้าไปในประตูซึ่งเขาเองก็ไม่สังเกตเลยว่ามีร่างสูงอีกร่างเดินตามเขาไปอย่างเงียบงัน

     

    --------------------------------------------------------------

    อ่า จบไปอีกตอนแล้วอ่ะฮะฮะ ดองมานานพอควรเลยเนอะเอาเถอะก็คนต้องไปเรียนเสริมเตรียมเข้ามหาลัยอะ แค่เกรดดีพอจะเข้าคณะรัฐศาสตร์กับคณะวิทยาศาสตร์น่ะมันไม่พอหรอกนะ ผมต้องรักษาเกรดเพื่อได้ทุนด้วยล่ะ ช่างเรื่องนั้นไปตอนต่อไปก็จะอยู่กับทริสทันเช่นเคยนะฮะ Good night

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×