คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #23 : Chapter 23 - Happy Alley ไม่หนาวแล้ว.. (So warm)
Chapter 23
ทันทีที่ก้าวย่างเข้าสู่สนามบินนานาชาติเชียงใหม่ หัวใจดวงน้อยก็เต้นตึกตักไม่ทราบสาเหตุ และยิ่งเต้นระรัวหนักมากขึ้นกว่าเดิมเมื่อจิตนาการว่าใครคือสาเหตุที่ทำให้ต้องพาตัวเองมายังที่แห่งนี้ มือบางทั้งสองข้างจับกระชับเป้ใบเก่งก่อนจะมุ่งหน้าเดินไปยังเส้นทางด้านหน้า
‘ผู้โดยสารขาเข้า’
ดวงตาโตกลมเบิกกว้างกวาดไปยังด้านหน้าเพื่อมองหาใครบางคน ใครบางคนที่ไม่ได้พบหน้ากว่าสองอาทิตย์ ใครบางคนที่คิดถึงจนต้องหอบหิ้วตัวเองมาหา แม้รู้ว่าใครรออยู่เบื้องหน้าแต่ก็อดตื่นเต้นไม่ได้ ริมฝีปากบางยิ้มกว้างกว่าเดิมทันทีเมื่อเห็นร่างสูงขาวของใครคนนั้นยืมยิ้มแฉ่งมองมายังตนเองอยู่ก่อนหน้าแล้ว มือหนายื่นออกมารอรับเด็กน้อยตั้งแต่ยังเดินอยู่ในระยะไกล และเมื่อเดินจวนจะถึงร่างสูงตรงหน้า มือน้อยก็เอื้อมจับฝ่ามือคุ้นเคยแล้วกอบกุมกันและกันไว้โดยไม่ได้นัดหมาย ความอบอุ่นบริเวณฝ่ามือทั้งสองข้างค่อยๆเพิ่มขึ้นจนรู้สึกพองฟูไปทั่วทั้งหัวใจ ทั้งรอยยิ้มที่ส่งให้กันและกัน ทั้งแววตาที่ฉายชัดอยู่ตรงหน้า ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าตอนนี้ เวลานี้ ขณะนี้ ปัจจุบันนี้...เราอยู่ด้วยกัน
“คาดเข็มขัดด้วยนะ” หลังจากที่ย้ายเป้ใบเก่งไปยังเบาะด้านหลัง เสียงทุ้มนุ่มก็เอ่ยบอกเด็กน้อยที่กำลังตื่นเต้นนั่งเพลินมองสำรวจไปยังนอกตัวรถ และเมื่อกำลังจะทำตามคำสั่ง มือหนาก็จับเข้าที่มือบาง ก่อนจะโน้มตัวเข้าหาและทำหน้าที่นั้นแทน ระยะห่างที่แนบชิดกับลมหายใจที่เป่ารดอยู่ช่วงหน้าผาก ทำให้คนตัวเล็กนั่งเกร็งหลังตัวตรง และเพียงแค่ช่วงสั้นๆที่สองสายตาประสานกัน ความคิดถึงที่มีมากมายจนไม่สามารถห้ามใจตัวเองได้อีกต่อไป ก็ทำให้อ้อมกอดอบอุ่นโผเข้าโอบกอดร่างนุ่มนิ่มกลิ่นกายคุ้นเคยเอาไว้
“ทวงสัญญาเร็วจัง” แม้วินาทีแรกจะรู้สึกตกใจแต่หลังจากนั้นเด็กน้อยก็เกยคางไว้ยังไหล่กว้าง สองมือค่อยๆลูบแผ่นหลังของคนตรงหน้าบางเบา ช่วงเวลาที่ไม่ได้พบเจอกำลังถูกเติมเต็มด้วยความใกล้ชิด
“หิวไหม” ร่างสูงถามขึ้นหลังจากผละออก หากแต่หน้าผากขาวยังคงแนบสนิทกับหน้าผากเนียนของเด็กน้อยตรงหน้า ปลายจมูกที่ใกล้ชิดจนแทบแนบสนิทกันไม่ต้องบอกเลยว่าตอนนี้เสียงหัวใจของใครเต้นแรงกว่ากัน
“หาอะไรกินก่อน แล้วไปไหว้พระกันนะครับ แวะเที่ยวก่อนแล้วตอนเย็นค่อยเข้าที่พัก” มือหนาลูบบางเบาที่กลุ่มผมนุ่ม ก่อนจะอธิบายโปรแกรมแบบย่อให้น้องฟัง คชาพยักหน้ารับเป็นเชิงเข้าใจ ก่อนจะใช้มือขวาลูบแก้มขาวของแมวตัวโตตรงหน้า
“ผู้ใหญ่”
“ครับ”
“เชียงใหม่มีคชาแล้วนะ...”
“ครับ...แต่ที่สำคัญกว่าเชียงใหม่มีคชา คือพี่เต๋ามีคชาแล้วนะ...ไปเที่ยวกันนะครับ” ริมฝีปากได้รูปยกยิ้มขึ้นอย่างห้ามไม่อยู่ สารภาพจากใจว่าตั้งแต่เจอกันเขายังหุบยิ้มไม่ได้เลยสักครั้ง เต๋าค่อยผละออกจากเด็กน้อยแล้วเตรียมออกเดินทาง รถยนต์ค่อยๆ มุ่งทะยานสู่เส้นทางด้านหน้า เส้นทางสายยาวที่ทอดออกไปไม่รู้จบ
เส้นทางที่เราสองคนจะออกเดินทางด้วยกันเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง ...
--------------------------------------------------------------------------
ลมบริสุทธิ์ที่พัดผ่านอยู่รอบกายทำให้คนตัวเล็กอดไม่ได้ที่จะสูดลมหายใจเข้าเต็มปอด อากาศแสนสดชื่นที่แตกต่างจากที่ที่จากมา ตากลมกวาดมองไปยังบรรยากาศรอบด้านด้วยความตื่นเต้น สองมือกระชับเสื้อกันหนาวลายทางสีขาวเทาตัวโปรด แม้อากาศจะไม่ได้หนาวมากแต่ก็มีลมเย็นพัดผ่านพอให้ขนลุกอยู่บ้าง
“อ๊ะ” เสียงใสอุทานขึ้นเมื่อหมวกสานสีอ่อนสวมเข้าที่ศีรษะ เรียกให้คนตัวเล็กหันไปมองยังบุคคลที่ยืนอยู่ด้านหลัง หลังจากจัดการมื้อเช้าเสร็จเต๋าก็ปล่อยให้คชายืนรออยู่ที่หน้าเชิงบันไดก่อนขึ้นวัด หายไปสักพักก็กลับมาพร้อมกับสิ่งของบางอย่างในมือ
“ใส่ไว้นะ แดดร้อน” คชาจับหมวกที่อยู่บนศีรษะแล้วยิ้มให้ร่างสูงเป็นเชิงขอบคุณ อดไม่ได้ที่จะแอบสำรวจพี่เต๋าตั้งแต่หัวจรดเท้า ร่างสูงอยู่ในเสื้อยืดสีขาวแสนธรรมดาที่คลุมทับด้วยเสื้อยีนส์สีอ่อนอีกชั้น ดวงตาคู่คมถูกปกปิดไว้ด้วยแว่นกันแดดยี่ห้อโปรดของเจ้าตัว ..ไม่อยากปฏิเสธเลยว่าพี่เต๋าดูดี
“แข่งกันเดินขึ้นบันไดดอยสุเทพไหมผู้ใหญ่” คชามองไปยังเชิงบันไดนาคที่ทอดยาวขึ้นสู่ตัวพระธาตุด้านบนก่อนจะท้าคนข้างกาย อีกทั้งริมฝีปากก็ก้มดูดชานมรสโปรดที่ร่างสูงไปหาซื้อมาให้ อาจไม่อร่อยเท่าร้านประจำแต่เมื่อกินด้วยกันเรื่องรสชาติดูจะสำคัญน้อยลงไปทันตาเห็น
“ไม่ครับ...”
“กลัวแพ้หรอ?”
“เปล่า...แต่อยากเดินขึ้นไปพร้อมกันมากกว่า ได้ไหม?” สิ้นประโยคมือบางก็ถูกกุมไว้ทันที คชาช้อนตามองอีกฝ่ายก่อนจะเม้มริมฝีปาก แม้สายตาของคนตรงหน้าจะถูกปกปิดไว้ด้วยแว่นตาเลนส์สีดำสนิท แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้ความจริงใจในถ้อยคำลดลงไปแต่อย่างใด
“ได้ไหมครับเด็ก?” ไม่มีถ้อยคำตอบกลับ มีเพียงรอยยิ้มสดใสกับแรงดึงจากเด็กน้อยที่จูงเต๋าให้ออกเดินขึ้นไปยังบันได
........
.....
..
“พี่เต๋านับได้เท่าไหร่แล้ว” เสียงหอบน้อยๆ เอ่ยถามขึ้นในขณะที่กำลังก้าวย่างเดินขึ้นบันได เพราะในช่วงแรกเหมือนจะเร่งเดินขึ้นมากเกินไป ทำให้ตอนนี้คชาดูเหมือนจะเหนื่อยมากกว่าที่จินตนาการไว้
“ 233”
“ทำไมไม่เท่ากัน คชานับได้ 230...พี่เต๋านับผิด!” พูดจบปุ๊บก็หยุดเดินมาจ้องหน้าร่างสูงปั๊บ ทั้งเต๋าและคชาทำข้อตกลงแข่งกันนับขั้นบันไดในใจ แต่ยังไม่ทันได้ถึงที่หมายเด็กน้อยก็แอบถามก่อนเสียแล้ว
“อ้าว แล้วรู้ได้ยังไงว่าพี่ผิด”
“คชานับถูก คชาตั้งใจนับ”
“พี่ก็ตั้งใจนับ”
“งือออ..คชาตั้งใจกว่า”
“โอเคครับ พี่ต้องยอม 230 ก็ 230” เพียงเท่านั้นหน้าตาที่บึ้งตึงคิ้วขมวดก่อนหน้าก็เปลี่ยนมายิ้มแย้มอย่างพึงพอใจ เต๋าได้แต่มองแล้วส่ายหัวให้กับเด็กซน ก่อนจะกระชับมือน้อยอีกครั้งแล้วย่างก้าวเดินขึ้นสู่บันไดพร้อมกันอีกหน .. ในระหว่างทางเราอาจจะนับไม่ตรงกัน แต่ถ้าเรายังพร้อมเดินจับมือก้าวไปพร้อมกัน ไม่มีคำว่าสายเกินไปหากจะเริ่มนับใหม่ด้วยกันอีกครั้ง
ความงดงามของพระธาตุเจดีย์สีทองที่ตั้งตระหง่านอยู่ด้านหน้าทำให้ความเหนื่อยล้าจากการเดินขึ้นบันไดกว่าสามร้อยขั้นแทบจะหายเป็นปลิดทิ้ง เต๋าแอบได้ยินเสียงหอบน้อยๆของเด็กซนข้างกาย มือหนายกขึ้นลูบกลุ่มผมสีดำอีกครั้ง ถามไถ่เป็นเชิงล้อเด็กน้อยสักนิดแล้วจูงมือบางไปนั่งพักให้คลายความเหนื่อย
เท้าเปลือยเปล่าสองคู่เดินเตาะแตะเคียงข้างกันไปตามทางเดิน หลังจากวนรอบโบสถ์และเข้าไหว้พระขอพรจนเสร็จสิ้น ตอนนี้เด็กน้อยก็หันมาให้ความสนใจกับชายคาที่มีระฆังเล็กๆเรียงร้อยห้อยอยู่เต็มไปหมด และแน่นอนว่าในมือของคชาตอนนี้ก็มีเจ้าระฆังน้อยลักษณะเดียวกันนี้อยู่เหมือนกัน
‘กริ๊ง กริ๊ง’
คชาสั่นระฆังให้ส่งเสียงเล็กน้อย ก่อนจะยิ้มหวานแล้วส่งมันไปยังมือหนาของอีกคน เต๋ารับระฆังสีทองเอาไว้แล้วจัดการห้อยมันเอาไว้ที่รั้วข้างพระบรมธาตุ ใช้ปลายนิ้วผลักให้มันส่งเสียงอีกครั้ง แล้วเดินถอยหลังออกมามองผลงานของตัวเองด้วยกันทั้งคู่ ระฆังน้อยสีทองอร่ามสะท้อนแสงอาทิตย์วาววับ ที่ด้านข้างมีตัวอักษรเขียนด้วยลายมือเด็กนักเรียนแสดงความเป็นเจ้าของ...ระฆังใบนี้ไม่ใช่ของใครคนใดคนนึง แต่ระฆังน้อยสีทองใบนี้เป็นของเรา
‘ ♥เต๋าคชา♥ ’
......................
...............
..........
.....
ลมเย็นที่พัดเอื่อยเฉื่อยไปมาทั่วบริเวณกับสีเขียวขจีของธรรมชาติ ทั้งต้นไม้สูงใหญ่ ทั้งใบไม้ของพืชพรรณ ไม่ว่าจะสีเขียวแบบไหนมันก็ทำให้คนตัวเล็กรู้สึกผ่อนคลายอย่างบอกไม่ถูก นอกจากนั้นยังมีดอกไม้สีสันแปลกตาหน้าตาไม่คุ้นเคยอยู่มากมาย คชาชอบสีเหลืองของดอกบัวตองที่อยู่สุดริมทางเดิน คชามองเห็นหมอกจางๆ ที่ปกคลุมทิวเขาสุดลูกหูลูกตา ด้านข้างยังมีทางลาดที่ปกคลุมไว้ด้วยใบไม้เขียวของผลไม้โปรดของตนเองที่กำลังเหมือนจะออกผลในไม่ช้า หลายสิ่งหลายอย่างของธรรมชาติที่คนตัวเล็กพบเห็นทำให้อยากจะหยุดเวลาแล้วยืนหายใจนิ่งๆ
“พี่คะๆ” คชาละความสนใจจากการถ่ายภาพ แล้วหันไปมองเจ้าของเสียงเรียก ตากลมมองเห็นเด็กหญิงตัวเล็กในชุดชาวเขาฉีกยิ้มกว้างจนเห็นว่าฟันหายไปหลายซี่
“พี่น่ารักจังเลย หนูอยากถ่ายรูปกับพี่ค่ะ”
“ห๊ะ?” คชาขมวดคิ้วเล็กงงเล็กน้อยเมื่อเด็กหญิงพุ่งเข้ามาหาตนเองและหยิบไอโฟนสีขาวของคชามาตั้งท่าถ่ายรูป แล้วไม่นานก็มีเพื่อนชาวเขาตัวน้อยวิ่งเข้ามาสมทบอีกสองสามคน เด็กๆ เริ่มจัดแจงให้คชาไปยืนตรงกลางแล้วนั่งย่อกันทั้งหมด สักพักก็เริ่มเข้ามาเกาะแขนของคนตัวเล็กไว้ อีกคนก็ซบที่บ่าเสียน่ารัก สุดท้ายก็ตั้งกล้องกดถ่ายเองอย่างชำนาญ หลังจากนั้นก็ส่งโทรศัพท์กลับคืนให้คชาได้เช็คภาพ รอยยิ้มน่ารักสดใสไร้เดียงสาของเด็กน้อยทั้งสามในรูปทำให้เจ้าของโทรศัพท์อดที่จะยิ้มตามอย่างพึงพอใจไม่ได้ แต่สักพักเด็กหญิงหน้าตาจิ้มลิ้มสามคนก็ยังไม่ยอมไปไหน กลับยืนยิ้มแฉ่งมองหน้าคนตัวเล็กเหมือนกำลังรออะไรบางอย่าง และสักพักพี่เต๋าก็เข้ามาช่วยทำให้ความสงสัยนี้กระจ่าง
“เอาไว้กินขนมนะครับ” เด็กหญิงหน้าตาจิ้มลิ้มทั้งสามยกมือไหว้ขอบคุณและรีบรับธนบัตรที่ร่างสูงส่งมาให้ก่อนจะรีบวิ่งออกไปหากลุ่มนักท่องเที่ยวอีกกลุ่ม
“เด็กโดนเด็กหลอกหรอเนี่ย” เด็กน้อยแก้มป่องพองลมเล็กน้อย ถึงแม้จะรู้สึกเหมือนโดนหลอกแต่รูปถ่ายที่ได้มาก็น่ารัก น่าเก็บไว้ แต่สิ่งที่ทำให้นึกหงุดหงิดคงเป็นเสียงหัวเราะของพี่ชายตัวสูงมากกว่า
“ถ่ายกับพี่ไหม พี่ไม่คิดตังค์นะ” เมื่อเห็นว่าคชาเหมือนจะงอน เพราะแกล้งทำเป็นสนใจกับการถ่ายรูปวิวทิวทัศน์ไม่สนใจเขา เต๋าจึงหาเรื่องเรียกร้องความสนใจสักนิด
“ถึงคิดก็ไม่จ่าย”
“แล้วถ้าคิดถึงหละครับ...ต้องจ่ายไหม” เต๋าถามแล้วเดินมายืนซ้อนแผ่นหลังบางแนบชิดจนคชาสะดุ้งหันกลับไปหา มือหนาข้างหนึ่งคว้าจับเข้าที่เอวบางเพราะกลัวน้องจะล้มลงไป เพราะว่าถอดแว่นออกแล้ว ทำให้ตอนนี้คชามองเห็นแววตาของอีกคนชัดเจน ..ทำไมพี่เต๋าถึงขี้แกล้ง?
“ว่าไงครับ คิดถึงต้องจ่ายไหม”
“ไม่รู้” ว่าจบก็รีบแกะมือหนาออกจากเอวตัวเองแล้วเดินหนีออกไป ทิ้งให้คนขี้แกล้งยืนยิ้มกริ่มหัวเราะเด็กแก้มแดง จากนั้นก็ต้องรีบวิ่งตามประกบไปหยิบกล้องมาถ่ายรูปคู่ด้วยกันแบบไม่คิดตังค์จนได้ ....
หลังจากได้เยี่ยมชมธรรมชาติเคล้าสายหมอกบนยอดดอยสูง เจ้าของทริปก็พาเด็กน้อยแวะสถานที่ชื่อดังในตัวเมืองอีกหลายแห่งจนเวลาผ่านพ้นไปถึงตอนเย็น รอยยิ้มมีให้กันและกันมากมายจนอดที่จะอิจฉาตัวเองไม่ได้ งอนกันบ้างแกล้งงอนกันบ้างพอให้เป็นสีสันของชีวิต ความสุขกับความทรงจำที่สร้างด้วยกันในแต่ละสถานที่หวังไว้ว่าชั่วชีวิตนี้เราคงไม่ลืม
--------------------------------------------------------------------------
ทริปวันเดียวเที่ยวเชียงใหม่สิ้นสุดลงทั้งรอยยิ้มของคนจัดและผู้ร่วมทริป ตอนนี้เด็กน้อยจึงได้มายืนตะลึงมองที่พักแสนสวยตรงหน้า บ้านไม้สองชั้นขนาดใหญ่ บนชั้นสองมีระเบียงไม้ยื่นออกมาเพื่อให้ผู้พักอาศัยได้ชมท้องฟ้าเปิดโล่งตลอดทั้งวันได้อย่างสบายใจ อีกทั้งบริเวณรอบด้านก็รายล้อมไว้ด้วยพรรณไม้สีเขียวกับดอกไม้นานาพรรณที่กำลังผลิดอกมากมาย
หลังจากทักทายพี่ไทด์เรียบร้อย ตอนนี้คชาก็ถูกดันหลังให้เข้ามายังห้องนอนของร่างสูง ในขณะที่ตาคู่กลมกำลังเพลิดเพลินกับการสำรวจห้องนอนกว้าง อ้อมแขนของอีกคนก็โผสวมเข้ากอดจากด้านหลัง คชาครางงึมงำออกมาเบาๆ แล้วก็ปล่อยให้พี่เต๋ากอดต่อโดยไม่ขัดขืนอะไร
“ทำไมทวงสัญญาหลายรอบจัง”
“รอบแรกทวงสัญญาแต่รอบนี้แค่อยากกอด” แค่ฟังเสียงก็รู้ว่าคืนนี้คงจะโดนทวงสัญญาอีกหลายรอบ
“ผู้ใหญ่ขี้โกง...”
“ก็เด็กน่ารัก” เสียงทุ้มนุ่มก้มบอกชิดใบหู แล้วโยกเด็กตัวเล็กในอ้อมแขนไปมา แม้ไม่ได้มองหน้าแต่ก็รู้ว่าคชากำลังยิ้มกว้าง ...
“เจ้านายพี่เต๋าใจดีจัง มีบ้านสวยๆให้อยู่ มีรถให้ขับ จ่ายค่ากินข้าวให้ด้วย” คชาบอกแล้วหันกลับมามองหน้าอีกฝ่าย หลังจากที่วันนี้ได้นั่งรถยนต์ป้ายแดง ได้กินข้าวร้านอาหารชื่อดังโดยไม่เสียตังค์สักบาท ได้มานอนพักบ้านไม้สุดสวย ทั้งหมดทั้งมวลล้วนเป็นสวัสดิการของบริษัทพี่เต๋าทั้งนั้น
“อยากให้พี่อยู่ต่อไหมหละ?”
“ง่ะ...ไม่เอา ไม่ให้อยู่แล้ว” เต๋าหลุดหัวเราะออกมาทันที เพราะเมื่อถามจบคนตัวเล็กก็จ้องเขาหน้าหงอย
“ครับ ไม่อยากอยู่แล้วเหมือนกัน...อีกแค่อาทิตย์เดียวก็จะได้กลับไปนั่งรถเมล์กับเด็กแล้ว”
“อาทิตย์เดียวนี่นานไหม?..”
“นาน...”
“คิกคิก ผู้ใหญ่น่าหงอยเลย” พอเหมือนกำลังจะเข้าโหมดเศร้า เด็กน้อยก็หลุดหัวเราะออกมาสะงั้น
“ตลกสะงั้น พี่คิดถึงเด็กมากนะรู้ไหม”
“รู้แล้ว...” ใช่..คชารู้ รู้เพราะอีกฝ่ายคอยบอกและย้ำอยู่เสมอว่าคิดถึงมากเพียงไหน
“ก็มาหาแล้วไง ... เวลาที่อยู่ด้วยกันห้ามคิดถึงตอนที่ต้องจาก หม่าม๊าบอกไว้” ประโยคน่ารักของเด็กน้อยช่างพูดเปลี่ยนสีหน้าหงอยเหงาของผู้ใหญ่ให้แย้มยิ้มขึ้นมาทันที ต้องขอบคุณหม่าม๊าอีกกี่ครั้งครับที่สอนคชามาแบบนี้
เต๋าก้มลงมองเด็กซนในอ้อมกอด ก่อนจะกระชับวงแขนให้แน่นขึ้นกว่าเดิมจนคนตัวเล็กแอบหลับตาปี๋ เสียงทุ้มนุ่มหลุดหัวเราะออกมาอีกครั้งแล้วโยกเด็กน้อยไปมาอีกหน คิดถึงหลายคืนที่ผ่านมา ที่ต้องนอนเหงาคิดถึงเสียงใสๆ อยากจะกอดเด็กตัวนิ่มไว้แบบนี้ทั้งคืนไม่ให้หนีออกไปไหน ... แค่รู้สึกว่ามันอบอุ่นไปทั่วทั้งตัวและหัวใจ
คืนนี้เชียงใหม่โคตรอุ่นเลยครับ ...
--------------------------------------------------------------------------
หลังจากอาบน้ำเสร็จคชาก็แอบหนีออกมานั่งมองดูท้องฟ้ายามค่ำคืนที่ระเบียงหน้าบ้าน บรรยากาศเย็นๆ กับท้องฟ้าเปิดโล่งก็ทำให้อยากจะนอนราบหลับลงไปที่ม้านั่งยาว เต๋ามองเห็นเด็กน้อยแหงนหน้ามองท้องฟ้าอย่างตั้งอกตั้งใจ แอบมีชี้นิ้วขึ้นนับแสงระยิบระยับบนฟากฟ้าไกล มองเห็นแบบนี้ก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มตาม
“นึกว่าหนีพี่ไปแล้ว” คชาสะดุ้งเล็กน้อยเมื่อพี่เต๋าเดินมากระซิบข้างใบหู ตากลมมองดูคนเป็นพี่ที่กำลังนั่งลงข้างกาย และเมื่อยิ่งอีกฝ่ายเข้ามาใกล้ ก็ทำให้คนตัวเล็กยิ่งได้กลิ่นหอมของสบู่จากขวดเดียวกันชัดเจนมากยิ่งขึ้น กลิ่นที่เหมือนกัน ...
“หนีไม่ได้หรอก ขับรถไม่เป็น”
“ถ้าขับรถเป็นก็จะหนีกันไปว่างั้น”
“ถ้าจะหนีแล้วจะมาหาทำไมหละ” มือหนาเอื้อมโอบไหล่บางเอาไว้ก่อนจะอดทนไม่ไหวตัดสินใจย้ายตัวเล็กขึ้นมานั่งบนตัก แม้ตอนแรกเหมือนว่าจะดิ้นขัดขืนอยู่บ้างแต่สุดท้ายคนตัวเล็กก็ยอมนั่งนิ่งวางมือทั้งสองข้างไว้ยังลาดไหล่ของเจ้าของตัก
“หนาวไหม?” แม้คนบนตักจะสวมเสื้อกันหนาวเอาไว้แต่ก็อดที่จะเป็นห่วงไม่ได้
“ม่าย~....แล้วพี่เต๋าหนาวไหม?” ถามกลับจนเขานึกเอ็นดูจนต้องหยิกปลายจมูกรั้นนั้นสักทีสองที
“...เชียงใหม่ของพี่เต๋ายังหนาวอยู่หรือเปล่า” หลายครั้งที่แอบอ้อนน้องว่าหนาวอย่างนั้นหนาวอย่างนี้ ทั้งที่อากาศของเชียงใหม่ตอนนี้เพียงแค่เย็นๆเท่านั้น ความจริงเต๋าไม่ได้โกหกไปเสียหมด เพราะว่าเขารู้สึกหนาวจริงๆ แต่มันหนาวที่หัวใจต่างหาก..
“ไม่แล้ว ไม่เลยสักนิด...คืนนี้เชียงใหม่อุ่นมาก” เต๋ามองสำรวจดวงตากลมโตที่สะท้อนมองมายังเขาแล้วกระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้นมากกว่าเดิม ไม่ต่างกับเด็กน้อยที่นั่งอยู่บนตักที่แอบขยับกายให้ชิดเจ้าของอ้อมแขนเช่นกัน
“พี่เต๋า” คชาเรียกชื่ออีกคนเสียงแผ่วแล้วซบใบหน้าลงบนไหล่หนา ทำให้เต๋าต้องใช้มือลูบแผ่นหลังบางโดยอัตโนมัติ
“ครับ...”
“อยากได้ท้องฟ้าตอนกลางคืนของเชียงใหม่ไปไว้กรุงเทพ” เต๋าแหงนหน้ามองท้องฟ้าทันทีเมื่อฟังคชาพูดจบ แม้จะอยู่ที่นี่มาหลายคืนแต่เขาก็ไม่ค่อยมีเวลาออกมาชื่นชมธรรมชาติยามค่ำคืนมากเท่าไหร่นัก ท้องฟ้ายามค่ำคืนสีดำสนิทไม่ต่างกับท้องฟ้าของเมืองหลวง แต่หากแสงระยิบระยับของดวงดาวบนนั้นช่างแตกต่างกันมากมายเหลือเกิน
“พี่เต๋าทำให้ไม่ได้”
“นั่นสิ” คชาก้มหน้าบ่นพึมพำกับตัวเอง งงกับตัวเองเหมือนกันที่จู่ๆก็พูดอะไรไร้สาระแบบนั้นออกไป
“...แต่ท้องฟ้าจะมืดแค่ไหน ดาวจะเต็มท้องฟ้าหรือท้องฟ้าจะไม่มีดาว พี่ก็จะอยู่ดูกับเด็กนะ” น้ำเสียงทุ้มนุ่มของเจ้าของอ้อมแขนกำลังทำให้คชาใจเต้นขึ้นแรงขึ้นมาอีกครั้ง เหมือนจะคิดถูกที่ตัดสินใจซบไหล่หนาเอาไว้เพราะยิ่งได้ฟังเสียงคุ้นเคยใกล้ๆแบบนี้ยิ่งรู้สึกอบอุ่นจนอดไม่ได้ที่จะหลับตาลงแล้วกอดคออีกคนไว้แน่นกว่าเดิม
“เด็กครับ...” เสียงแผ่วเบาดังขึ้นพร้อมกับหัวกลมๆที่ผละออกมาเผชิญหน้าเขาอีกครั้ง ปลายนิ้วที่เกลี่ยบางเบาบริเวณมุมปากของเด็กน้อย ตาคมกวาดสำรวจไปทั่วไปหน้าเนียนใสจนมาหยุดที่ริมฝีปากบางตรงหน้า
“............”
“พี่อยากชิมเค้กสตรอเบอร์รี่” สิ้นประโยค ริมฝีปากบางก็เม้มเข้าหากัน ยิ่งเห็นแววตาที่อีกคนมองมายิ่งทำตัวไม่ถูกจนต้องกรอกสายตาไปด้านอื่น
“เมื่อไหร่เค้กสตรอเบอร์รี่จะอนุญาตครับ?”
ภายใต้ท้องฟ้าสีดำยามค่ำคืนมีดาวดวงน้อยทอแสงเปล่งประกายระยิบระยับเรียงรายนับร้อยพันล้าน ความใกล้ชิดของเราสองก่อให้เกิดความอบอุ่นขึ้น ดวงตากลมใสจดจ้องสบประสานกับดวงตาคู่คม ครั้งแรกเคยทำให้หัวใจสั่นไหวเพียงใด ตอนนี้ก็ยังคงไม่แตกต่าง แม้จะรู้สึกเขินอายทุกครั้งที่ได้จ้องมองแต่ประกายตาที่เหมือนมีอะไรให้ค้นหาอยู่ตลอดเวลาก็ทำให้ละสายตาไปไม่ได้ ปลายนิ้วยังคงเกลี่ยบางเบาที่มุมปากของเด็กน้อยไม่ไปไหน ก่อนร่างสูงจะตัดสินโน้มใบหน้าเข้าหาเจ้าของแววตาไร้เดียงสา เมื่อไม่มีคำปฏิเสธ เขาจะถือว่าความเงียบคือการตกลง... เปลือกตาบางค่อยปิดสนิทลงช้าๆ พร้อมกับปลายจมูกของเราสองแตะสัมผัสกัน ร่างสูงหลับตาลงหลังจากนั้น เขาเคยสงสัยว่าเวลาที่จูบกันทำไมต้องหลับตา บัดนี้เขาได้คำตอบแล้วว่า ‘ทุกครั้งที่หลับตาโลกใบนี้จะมีเพียงแค่เรา’ ..... แต่หากเมื่อกำลังจะเข้าแตะสัมผัสที่ริมฝีปาก ตาคมก็ต้องเบิกกว้างเพราะความนุ่มนิ่มจากฝ่ามือน้อยๆของเจ้าตัวเล็กนั้นยกขึ้นมากั้นระหว่างริมฝีปากของเราทั้งสองเอาไว้เสียก่อน เต๋ายกยิ้มแล้วส่ายหน้าเล็กน้อยเมื่อเห็นเด็กน้อยหัวเราะคิกคักที่แกล้งเขาได้สำเร็จ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะจูบเข้าแรงๆที่ฝ่ามือนิ่มจนเสียงดังด้วยความเอ็นดู
‘ม๊วฟฟฟ!!’
คชาตั้งท่าจะดึงมือออก แต่มือหนาก็คว้าจับเด็กขี้โกงเอาไว้เสียก่อน แรงจูบที่ฝ่ามือก่อนหน้าทำให้อดคิดไม่ได้ว่าถ้าปล่อยให้พี่เต๋าจูบจริงๆ ป่านนี้ปากคงจะช้ำ ...
“เค้กสตรอเบอร์รี่นี่มัน...”
“ทำไม?”
“นุ่มๆ นิ่มๆ ดีครับ..หอมด้วย” ทั้งบอกทั้งยกมือเรียวนุ่มนิ่มขึ้นมากดจูบลงอีกครั้งสองครั้ง
“ชอบไหม?”
“ชอบอะไร?”
“ก็ชอบเค้กสตรอเบอร์รี่ไหม”
“มากกว่า ‘ชอบ’ มานานแล้วนะ” เต๋ามองเห็นเด็กน้อยยิ้มด้วยความพึงพอใจก็อดไม่ได้ที่จะดึงน้องเข้ามากอดอีกครั้ง แม้จะแอบเสียดายที่ไม่ได้ชิมเค้กสตรอบเบอร์รี่แต่นั่นเป็นการตัดสินใจของเค้กสตรอเบอร์รี่เอง...เขาต้องยอมรับ
“เด็กง่วงนอนแล้ว”
“งั้นก็ไปนอนกันนะ”
“ไม่อยากเดิน...ขอขี่หลังหน่อย” เมื่อถูกขอร้องด้วยน้ำเสียงอ้อนๆ ก็ยากที่จะบอกปฏิเสธ เต๋าย้ายเด็กตัวเล็กลงที่เก้าอี้ดังเดิม ก่อนจะมานั่งลงกับพื้นให้เด็กน้อยได้ปีนขึ้นหลัง คชากอดคออีกฝ่ายไว้แน่นก่อนจะซบลงบนแผ่นหลังอบอุ่น อากาศแม้จะเย็นแต่ไม่ทำให้ความอบอุ่นของแผ่นหลังนี้ลดน้อยลงเลยสักนิด
พอวางเด็กตัวนิ่มลงกับเตียงปุ๊บเต๋าก็ทาบทับร่างของตัวเองลงบนตัวน้องปั๊บ มองดูเผินๆเหมือนพี่ชายตัวโตกำลังจะแกล้งน้องชายตัวเล็กให้หายใจไม่ออก แม้จะมีกำปั้นน้อยๆทุบอยู่ที่หลังแต่ก็ไม่ได้ทำให้พี่ชายขี้แกล้งขยับกายออก
“ฮือออ...หนัก” แต่พอส่งเสียงเท่านั้นเต๋าก็ย้ายตัวเองลงมานอนข้างแล้วกอดร่างนุ่มนิ่มเอาไว้แทน
“คืนนี้ไม่มีแมวตัวเล็ก กอดแมวตัวโตไปก่อนนะครับ” เต๋าบอกแล้วใช้ปลายนิ้วเกลี่ยที่หน้าผากเนียน สายตาสองคู่ยังคงจ้องมองกันและกัน
“ถ้าคืนนี้ไม่ให้แมวตัวโตกอดแล้วหละ” ทั้งถามทั้งยิ้มจนเต๋านึกอยากจะแกล้งอีกครั้งและอีกครั้ง
“ไม่ให้กอดงั้นจูบเลยแล้วกัน” สิ้นประโยคเต๋าก็โน้มหน้าเข้าหาใบหน้าหวานใสทันที หัวใจดวงน้อยเต้นตึกตัก มือสองข้างยกขึ้นเกาะไหล่กว้าง แล้วรีบหลับตาลง คิดไว้ในใจว่าครั้งนี้คงต้องโดนแน่ๆ หากแต่ความนุ่มนิ่มของหลังมืออบอุ่นที่ริมฝีปากกับเสียงจูบดังๆก็ทำให้ตากลมเบิกกว้างขึ้นอีกครั้ง ... พี่เต๋าเพียงแค่จูบเข้าที่มือของตัวเองทำเหมือนที่คนตัวเล็กเคยทำก่อนหน้านี้ไม่ผิดเพี้ยน แต่ถึงจะไม่ได้จูบจริงๆ แต่สัมผัสของริมฝีปากบางที่แตะกับหลังมือของอีกคนก็ทำให้คชาอดที่จะเขินไม่ได้
“นิ่มไหม” คชาถามทั้งหัวเราะ...นิ่มไหมที่ว่าหมายถึง มือตัวเองอ่ะนิ่มไหม ... คิกคิก
“นิ่มครับแต่ไม่เท่าตรงนี้” เต๋าบอกแล้วใช้นิ้วแตะเบาๆที่ริมฝีปากบางตรงหน้า .... “แต่อยากรู้ว่าหวานไหมมากกว่า” เพียงแค่ได้ฟัง เด็กน้อยก็ต้องรีบมุดหน้าหนีเข้าซุกอกอุ่นทันที ทำให้มือหนาต้องลูบกลุ่มผมหอมละมุนเอาไว้ สุดท้ายก็อดใจไม่ไหวกดริมฝีปากลงสัมผัสกลุ่มผมดำนั้นแทน
“พี่เต๋า...” สักพักคชาก็เรียกชื่อร่างสูง ในขณะที่เต๋าละออกจากตนเองไปย้ายผ้าห่มผืนหนาขึ้นมาคลุมร่างของเราทั้งสอง เอาไว้
“จ๋า”
“ถ้าต้องอยู่ห่างกันมากกว่านี้...เราจะเป็นยังไง” เต๋ายังไม่ได้ตอบคำถามในทันที มือหนาเกลี่ยบางเบาที่เส้นผมบริเวณหน้าผากของตัวเล็กในอ้อมกอด สายตาเหงาๆของน้องตอนนี้มีอิทธิพลกับหัวใจเขามากมายเหลือเกิน
“มีปืนไหม เอามายิงพี่เลยดีกว่า”
“อ่า...ปิดไฟนอนกันดีกว่า” เต๋าตอบติดตลกแต่คนฟังกลับขมวดคิ้วแน่น เมื่อเห็นว่าคชาไม่ได้ตลกด้วยเท่าไรนัก คนตัวสูงจึงผละออกจากร่างนุ่มนิ่มออกไปปิดไฟจนห้องมืดสนิท มีเพียงแสงสว่างสีส้มนวลจากนอกบ้านเท่านั้นที่พอทำให้มองเห็นกันและกันอยู่บ้าง เต๋ากลับมาบอกฝันดีเด็กตาแป๋วบนเตียงก่อนจะกระโดดลงนอนประจำที่เดิม แต่พอเหมือนจะเคลิ้มหลับทั้งคู่เสียงโวยวายก็ดังขึ้นมาเสียก่อน
“หนัก พี่เต๋ามันหนัก..ฮืออ มันหนักนะ” ถ้าเต๋าเพียงแค่กอดอย่างเดียวคงไม่มีเสียงโวยวายของเด็กน้อยดังขึ้น แต่นี่เขาทั้งกอดทั้งใช้ขายาวคาบเด็กตัวเล็กไว้เหมือนกับหมอนข้าง มือน้อยๆทั้งตี ทั้งผลักให้ตัวเองหลุดพ้น แต่ก็ดูจะไม่เป็นผลเพราะคนแกล้งดูตั้งใจเหมือนจะฝังตัวเองลงไปในร่างเล็กๆนี้เลยก็ว่าได้ ทั้งเสียงโวยวายทั้งเสียงหัวเราะจึงดังขึ้นอย่างต่อเนื่องจนไม่มีที่ท่าวันจะหยุดลง เสียงแห่งความสุขของเรา...
...เชียงใหม่ไม่หนาวแล้วเนาะ...
--------------------------------------------------------------------------
มือน้อยสองข้างยกขึ้นขยี้ตาก่อนจะพิงตัวเองกับเคาท์เตอร์ไม้ในห้องครัว เพราะโดนแกล้ง โดนหยอกทั้งคืน ทำให้กว่าจะหลับกันได้ทั้งคู่ก็จวนจะเข้าสู่วันใหม่ ...จึงมีผลให้เช้านี้เด็กน้อยดูเหมือนจะตื่นไม่เต็มตาเท่าไหร่นัก
“อ่างล้างจานไม่ใช่เตียงนอน ตื่นได้แล้วเด็กขี้เซา” เต๋าแวะลูบหัวเด็กน้อยก่อนจะเดินไปวางจานอาหารที่ตนเองตื่นขึ้นมาทำตั้งแต่เช้าลงบนโต๊ะ เพราะสำรวจเห็นของสดในตู้เย็นที่คุณแม่บ้านประจำที่พักทิ้งไว้ให้ ทำให้เช้านี้เต๋าตัดสินใจพาเด็กเข้าครัวทำอาหารง่ายๆ ทานเอง
“ตักอันนี้เลยไหม” คชาส่ายหัวเพื่อเรียกสติแล้วเดินไปก้มๆ มองๆ ที่หม้อแกงจืดที่ตั้งอยู่ พอตั้งใจจะหันหลังกลับมาหาชาม หน้าผากเนียนก็ชนเข้ากับจมูกโด่งของอีกคนพอดี
“อ๊ะ!” มือเรียวยกขึ้นลูบหน้าผากตัวเองน้อยๆ แล้วก็ต้องตื่นเต็มตาเมื่อลืมตาขึ้นมาเห็นหน้าของอีกคนห่างกันเพียงไม่กี่เซน
“อรุณสวัสดิ์ครับ...ตื่นแล้วยัง ถ้าไม่ตื่นจะได้ทำอีก” แล้วจึงรู้ว่าพี่เต๋าตั้งใจ ... เด็กน้อยยู่หน้าบ่งบอกว่านึกงอนที่โดนแกล้งตั้งแต่เช้า แต่พอปลายนิ้วสัมผัสเข้าที่มุมปาก หัวใจก็เต้นสั่นระรัว ตากลมเบิกกว้างไร้ความง่วงงุน มือทั้งสองข้างเริ่มย้ายมาเกาะไว้ที่ไหล่หนาของคนตรงหน้า ส่วนมืออีกคนก็จับเข้าที่เอวบางของตนเอง บรรยากาศเหมือนค่ำคืนที่ผ่านมากลับมาอีกหน ตาคู่กลมหลับพริ้มอีกครั้งด้วยความรู้สึกเหมือนล่องลอย
“ไอ้เต๋า! อ้าวเห้ย...เห้ย โทษ โทษ” แต่เสียงตกใจของผู้อาศัยอีกคนก็ดังขัดขึ้นมาเสียก่อน มือน้อยดันร่างของพี่ชายคนสนิทออกแล้วยืนให้หลังให้ผู้มาใหม่อย่างเขินอายทันที
“พี่จะมาบอกว่าจะออกไปข้างนอก แต่รู้สึกเข้ามาผิดเวลาอย่างไม่น่าให้อภัย” พี่ไทด์บอกแล้วแอบหัวเราะ เมื่อเห็นสีหน้าของรุ่นน้อง “ว่าแต่น้องยังเด็กอยู่เลย ทำอะไรใจร้อนว่ะไอ้นี่ พี่ไปแล้วๆ สานต่อก็ได้นะ ถ้าน้องคชาอนุญาต” พี่ไทด์ทิ้งท้ายให้ได้ยินกันเพียงสองคน ตบบ่าน้องชายแล้วเดินออกจากห้องครัวไป ทิ้งให้เต๋าต้องยกมือขึ้นเกาหัว สารภาพว่าแอบหงุดหงิด แต่พอมองเห็นตากลมใสซื่อที่กำลังจ้องมองมายังตัวเองก็ต้องรีบเดินเข้าไปหา
“ขอโทษครับ...”
“ไม่ได้โกรธสักหน่อย” ทั้งตอบทั้งส่ายหน้าจนเส้นผมกระจาย
“งั้นกินข้าวได้แล้ว เวลาเหลืออีกนิดหน่อยคงพอจะแวะเที่ยวได้อีกสักที่” หากแต่พอจะหันหลังกลับไปยังโต๊ะกินข้าว แรงดึงที่ข้อมือก็ทำให้เต๋าหันกลับไปเผชิญหน้ากับเด็กน้อยอีกหน คชาช้อนตามองคนตัวสูงกว่าก่อนจะเขย่งปลายเท้าขึ้น มือเรียวยกขึ้นวางทับไปยังริมฝีปากได้รูปของคนเป็นพี่ แล้วใช้ริมฝีปากของตนเองสัมผัสเบาๆที่หลังมือ นิ่งค้างไว้สักพักก่อนจะผละออกมาส่งยิ้มหวานให้กับผู้ใหญ่ที่ยังคงยืนนิ่งอึ้งค้างไม่ขยับไหว เรียกเสียงหัวเราะสดใสของเด็กน้อยให้ดังขึ้น
“อรุณสวัสดิ์ ^__^”
..จะว่าไปจูบแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน....
--------------------------------------------------------------------------
หลายครั้งสถานที่ที่พบและสถานที่ที่จากลาเป็นสถานที่เดียวกัน ผู้คนที่มาเพื่อพบและจากเดินขวักไขว่ไปมาในสนามบิน แต่นั่นไม่ได้อยู่ในความสนใจของเด็กน้อยกับผู้ใหญ่เลยสักนิด อีกไม่กี่นาทีคนตัวเล็กก็ต้องออกเดินทางอีกครั้ง ภาพที่เห็นตอนนี้จึงเป็นภาพของเด็กหน้าหงอยกำลังนั่งพิงซบอยู่ที่บ่าหนา โดยมีอ้อมแขนอบอุ่นของร่างสูงโอบเอาไว้
“หิวไหม?” เต๋าถามทั้งที่พึ่งแวะกินข้าวเที่ยงมาไม่ถึงชั่วโมง แต่เพราะว่านั่งเงียบอยู่นานทั้งคู่ทำให้เขาตัดสินใจถามอะไรโง่ๆออกไป
คชาไม่ตอบคำถามและคิดว่าพี่เต๋าคงไม่ได้ต้องการคำตอบเหมือนกัน สักพักสัมผัสนุ่มนิ่มจากฝ่ามือเรียวก็วางทาบทับบนมือของเต๋า คชากุมมือของอีกฝ่ายแน่นขึ้นเรื่อยๆ แบบที่ไม่เคยทำมาก่อน
“ใกล้ได้เวลาแล้วเดี๋ยวตกเครื่องนะ” หลังจากมองดูนาฬิกาก็รู้ว่าถึงเวลาที่ต้องจากอีกครั้ง ทั้งเต๋าและคชาจึงเดินกุมมือกันและกันมาจนถึงทางเข้า
“เจอกันที่กรุงเทพฮะ” เสียงหงอยๆของเด็กหน้าเศร้าเอ่ยบอก ทั้งๆที่เมื่อคืนคิดไว้แล้วว่าจะไม่เศร้าแต่ก็อดไม่ได้ ...
“ครับ..อีก 1 อาทิตย์เจอกันที่กรุงเทพ....เดินทางปลอดภัยนะ”
“คับ” แล้วท้ายที่สุดก็อดไม่ได้ที่จะดึงตัวเล็กเข้ามากอด
“ถึงแล้วโทรมาบอกด้วยครับ” คชาพยักหน้า ตากลมมองมือของตัวเองที่อีกฝ่ายกุมไว้แน่นก่อนจะช้อนตามองร่างสูงอีกครั้ง เต๋าค่อยๆ ปล่อยมือน้อยนั่นออกทีละนิดจนหลุดพ้นออกจากกันในที่สุด ตาคมมองแผ่นหลังบางที่กำลังห่างออกไปอย่างเชื่องช้าแล้วก็ต้องพยายามฝืนยิ้มเมื่อน้องหันหลังกลับมายกมือขึ้นโบกให้ อย่างน้อยในวินาทีสุดท้ายก่อนจากลากันก็ควรเป็นหน้าที่ของรอยยิ้มไม่ใช่หรอ? ....
เราจากลาเพื่อคิดถึง...เพื่อให้ความคิดถึงนำพาให้เรากลับมาเจอกันอีกครั้ง...
See you soon my little kid …
--------------------------------------------------------------------------
หนทางการชิมเค้กสตรอเบอร์รี่ช่างยากลำบาก ... ไม่รู้จะถูกใจกันไหม TUT ลบๆแก้ๆอยู่หลายครา ที่ตั้งใจว่าจะลงเร็วก็ล่วงเลยมาเป็นอาทิตย์จนได้
มีบอทแล้วนะคะตามไปฟอลเด็กกับผู้ใหญ่ได้ @TAO_Meesook23 กับ @KACHA_Meesook23
มีคนถามมาว่าเรื่องนี้จะจบแล้วยัง ที่คิดไว้คงอีกเยอะอยู่นะ เรื่องตื่นเต้นยังมีอีกเย้ออออ~~ อย่างที่บอกหนทางการชิมเค้กสตรอเบอร์รี่ยังอีกยาวไกล.... อยู่ด้วยกันไปนานๆก่อนนะ...นะ นะ อย่าพึ่งทิ้งกัน 5555
เจอกันตอนหน้า ที่ซอยมีสุข23 ^_^
#มีสุข23
@CHICKIMILK
ความคิดเห็น