ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [TaoKacha atlove the series 23] Happy Alley: มีสุข 23

    ลำดับตอนที่ #25 : Chapter 25 - Happy Alley เพราะอากาศดี.. (Taking care of You)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.21K
      4
      29 ต.ค. 56

    Chapter 25

     

     

     

    ปลายเท้าเล็กเดินเร็วไปตามทางเดินโดยไม่สนใจสิ่งรอบข้าง  หลังจากมีคนโทรมาให้กำลังใจตั้งแต่เช้าตรู่ทำให้คชาตั้งใจสอบสองวิชาสุดท้ายอย่างเต็มที่  พอหลังจากทำหน้าที่ของตัวเองเสร็จสิ้นก็รีบบึ่งมายังที่หมายทันทีโดยไม่รีรอ   มือบางยกขึ้นเคาะประตูห้องพักผู้ป่วยสองสามครั้งก่อนจะตัดสินใจเปิดเข้ามา  แต่ก็ต้องทำหน้างงขมวดคิ้วเมื่อพบว่าใครกำลังอยู่ในห้องกับคนป่วย

     

    “คชา...”  เสียงแห้งๆของคนที่นอนพิงหลังอยู่บนเตียงผู้ป่วยร้องเรียก  มือหนาส่งยืนมาเพื่อให้คนตัวเล็กเดินเข้าไปใกล้  

     

    “พี่เนม สวัสดีคับ”  คชายกมือไหว้หญิงสาวตรงหน้าแล้วเดินไปจับมือของคนป่วยไว้  เต๋าดึงเบาๆให้น้องเข้ามาใกล้ตนมากขึ้น ก่อนจะเอ่ยถาม

     

    “สอบได้ไหมครับ?”  มือข้างขวาที่สามารถใช้งานได้อยู่ข้างเดียวละออกจากการกอบกุมมือนิ่มแล้วเปลี่ยนมาโอบเอวบางเอาไว้แทน   ดวงตาใสซื่อของเด็กน้อยมองไปยังใบหน้าซีดเซียวของคนป่วยแน่นิ่ง แววตาใสซื่อดูเป็นห่วง เป็นกังวลเสียจนเต๋าอยากหยิกจมูกรั้นของเด็กคิดมากสักทีสองที

     

    “ทำได้...”

     

    “ดีแล้ว  เด็กกินข้าวมายัง”

     

    “ยัง”  เต๋าสำรวจใบหน้าติดจะเหนื่อยหน่อยๆของน้อง  ดูก็รู้ว่าสอบเสร็จแล้วคงบึ่งตรงมาที่นี่เลย 

     

    “แล้วพี่เต๋ากินแล้วยัง”

     

    “ยังเหมือนกันครับ.. แล้วหิวยัง?  เด็กน้อยส่ายหัวกลมๆไปมาแทนคำตอบ  และเป็นคำตอบที่ทำให้เต๋ารู้สึกใจชื้นขึ้นมา  เพราะมีรอยยิ้มบางๆตามติดมาด้วย

     

    “...ยิ้มอะไรเนม?”   เหมือนกำลังสร้างโลกส่วนตัวกันอยู่สองคน  คุยกันเสียงเบาเหมือนกลัวว่าคนอื่นจะได้ยิน  อีกทั้งท่าทางของเพื่อนที่ดูอ่อนโยน ใจดีเกินปกติ   น้ำเสียงที่แสดงออกถึงความเอ็นดู ไหนจะแววตาที่ดูทะนุถนอมเด็กตัวเล็กข้างกาย    หลายสิ่งหลายอย่างที่เนมไม่เคยเห็นจากเพื่อนคนนี้  พอได้เห็นมันก็อดไม่ได้ที่จะหลุดหัวเราะ 

     

    “ก็ขำนิดหน่อย   พึ่งรู้ว่ามีมุมอะไรแบบนี้ด้วย”   พอฟังเนมพูดจบก็รู้สึกร้อนหน้าขึ้นมาพร้อมกันทั้งสองคน  ยิ่งสีหน้าเพื่อนตัวเองยิ่งดูเขินเด่นชัด 

     

     

    “ไม่ต้องทำหน้าเขินขนาดนั้นก็ได้มั้งเต๋า  คนเขินควรเป็นน้องคชามากกว่า”  เนมพึ่งรู้ถึงความสัมพันธ์ที่เกินพี่น้องของทั้งเต๋าและคชาเมื่อวันที่เกิดเรื่องที่บ้าน   ตอนแรกแม้จะเอะใจอยู่บ้างแต่หลังจากนั้นเนมก็ตัดสินใจถามเต๋าด้วยตนเอง   ยิ่งสังเกตยิ่งรู้ว่าเต๋าเปลี่ยนไปมาก โดยเฉพาะเวลาอยู่กับเด็กน้อยของตนเอง   

     

    “น้องคชา...ถ้าหิวก็รอแปบนึงนะ กำลังมีคนเอาเสบียงขึ้นมาส่ง”  คชาขมวดคิ้วงุนงงเล็กน้อยว่า ใครที่ว่าคือใคร

     

    หากไม่นานความสงสัยก็ถูกคลายออก เพราะเสียงเปิดประตูด้านนอกพร้อมกับชายหนุ่มรูปร่างดี  ส่วนสูงเฉียดสองเมตร ใบหน้าหล่อเหลาราวกับพระเอกหนังพระเอกละคร  ใช่...คนตรงหน้าที่กำลังเดินเข้ามานี่คือพระเอกละคร  พระเอกละครขวัญใจเพื่อนสนิทตนเอง

     

    “ไปนานจัง..”  เนมบ่นงุ้งงิ้งให้กับแฟนหนุ่มของตนเองที่เดินเอาเสบียงอาหารการกินมากมายไปวางไว้บนโต๊ะ

     

    “น้องคชานี่บอย...น่าจะรู้จักเนาะ   แล้วนี่น้องคชานะบอย” 

     

    “ส ..หวัดดีครับพี่บอย”  คชายกมือไหว้พระเอกละครคนดังตรงหน้า  รู้สึกมือสั่นแล้วก็ยังรู้สึกตกใจด้วย  คิดย้อนกลับไปถึงวันที่ได้เจอพี่เนมที่ห้างก็คงเป็นเพราะพี่บอยนี่เอง 

     

    “ตาโตเลยหรอเด็ก”  เต๋าถามคนตัวเล็กที่ยังคงดูอึ้งๆอยู่เล็กน้อย  ก่อนที่ทั้งสามจะแอบหัวเราะออกมาน้อยๆ เพราะสีหน้าที่ดูตกใจของเด็กน้อยคนนี้ช่างดูน่ารักน่าเอ็นดูเสียเหลือเกิน

     

    “พี่ซื้อขนมมาเยอะแยะเลย  น้องคชาอย่าลืมกินให้พี่นะครับ” 

     

    “ค..ค..ครับ” 

     

    “งั้นเนมกับบอยกลับก่อนนะเต๋า  พอดีมีธุระต้องทำต่อ ...” 

     

    “ขอบคุณมากนะครับบอยสำหรับอาหาร”

     

    “ไม่เป็นไรครับ  หายไวๆนะครับ ไว้เจอกัน”

     

    “ไว้เจอกันครับ..ขอบคุณนะเนม”  ล่ำลากันอีกสักพักทั้งบอยและเนมก็เดินเคียงข้างออกจากห้องพักไป  เด็กน้อยที่ยังคงอึ้งๆ งงๆ ก็อดไม่ได้ที่จะเดินตามไปแอบส่องจนถึงประตู  ทิ้งให้คนป่วยนอนหัวเราะกับท่าทีของเจ้าตัว 

     

    “พี่เนมเขาเป็นแฟนกับพี่บอยหรอพี่เต๋า?” 

     

    “จ้ะ”

     

    “ถ้าแพรวารู้ต้องกรี๊ดตายแน่เลย”  เต๋าหัวเราะส่ายหน้าไปมาเล็กน้อย ก่อนจะกวักมือเรียกเด็กน้อยให้มายืนข้างกายดังเดิม 

     

    “ก็ที่ทะเลาะกันวันนั้นเพราะบอยเขาไม่ค่อยมีเวลาให้...”  คชาพยักหน้ารับเป็นเชิงเข้าใจ  ก็แหงหละพี่บอยกำลังดัง กำลังรุ่ง ไม่แปลกเลยที่จะไม่ค่อยมีเวลาให้แฟนตัวเอง น่าสงสารพี่เนมเหมือนกัน ว่าแต่ไม่ค่อยมีเวลาให้กันแบบนี้เขาประคับประครองความรักกันยังไงน้า..คชาก็แอบสงสัย

     

    “พี่เต๋าอยู่นี่ครับ  พี่บอยกับพี่เนมกลับไปแล้ว”  เต๋าแซวขึ้นมาเมื่อเห็นว่าเด็กน้อยยังคงดูคิดถึงเรื่องของเนมและบอยไม่หยุด  จนลืมว่าเขานอนเจ็บอยู่กลางเตียง  ทำให้ตาคู่กลมที่กำลังเหม่อลอยคิดโน่นคิดนี้กลับมามองคนเขาอีกครั้ง

     

     

    ------------------------------------------------------------------

     

    อาหารเย็นของโรงพยาบาลถูกทิ้งไว้ในมุมแคบมุมหนึ่งของห้องสี่เหลี่ยม  ตอนนี้เต๋ากับคชากำลังจัดการกับอาหารหน้าตาน่าทานบนโต๊ะเล็กกลางเตียงคนป่วย    คนตัวเล็กที่กำลังหิวได้ที่ยึดพื้นที่เล็กๆบนเตียงของคนป่วยแทนเก้าอี้ชั่วคราว  

     

    “พี่เต๋าไม่ชอบข้าวของโรงบาลหรอ” 

     

    “ไม่ใช่ไม่ชอบ  แต่เลือกได้ก็ขอไม่กินดีกว่า”  เต๋าบอกแล้วก้มหน้าใช้ช้อนตักอาหารเข้าปากต่อ  รู้สึกตัวเองยังโชคดีอยู่มากที่กระดูกร้าวที่แขนซ้าย ไม่ใช่แขนขวา แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีมือคู่น้อยที่หวังดีตักของโปรดมาจ่อถึงปากพร้อมรอยยิ้มหวานๆ...หวานเสียจนคนมองอยากจะกินอย่างอื่นมากกว่า ..ให้ตายเถอะ

     

    “อันนี้อร่อย...”   เพียงเท่านั้นมือขวาก็วางช้อนลงและไม่หยิบมันขึ้นมาใช้งานอีก  พึ่งรู้ว่าเวลามีคนรู้ใจป้อนข้าวให้ถึงปากมันอร่อยมากกว่าเดิมมากแค่ไหน  เก็บมือขวาไว้ใช้งานอย่างอื่นก็แล้วกัน :)

     

    ไม่นานพี่มิ้นท์กับพี่ตี๋ก็ตามมาเยี่ยมคนป่วย  พี่มิ้นท์หอบเป้ใบโตที่ภายในบรรจุของใช้ส่วนตัวของน้องชายไปวางไว้ที่โซฟาตัวยาว   ไม่ต้องบอกก็พอจะเดาได้ว่าหน้าที่เฝ้าคนป่วยคืนนี้ (แล้วคืนต่อๆไป) ตกเป็นของใคร  และใครที่ว่าก็ดูเต็มอกเต็มใจเสียด้วย 

     

    “ตกลงจะไม่บอกแม่ใช่ไหม?  ตี๋ถามขึ้นในขณะที่ยืนอยู่ข้างเตียงคนป่วย  สายตาแอบเหลือบมองสองพี่น้องที่อยู่โซฟาตัวยาวฝั่งตรงข้ามกำลังคุยอะไรกันสักอย่าง

     

    “ไม่ดีกว่าพี่  ไม่ได้เป็นไรมากด้วย ไม่อยากให้แม่เป็นห่วง สิ้นเดือนก่อนกลับบ้านก็คงได้เอาเฝือกออกพอดี คงไม่มีอะไรแล้วหละ” 

     

    “เอ้อ  ตามใจ” 

     

    “พี่เต๋ากินยา”  กำลังคุยกับพี่ชายตนเอง  จู่ๆก็มีแก้วใบเล็กบรรจุยาสามเม็ดส่งยื่นมาถึงหน้า  พร้อมน้ำเปล่าในแก้ว      

     

    “เต๋า...พยาบาลคนนี้ไปจ้างมาจากที่ไหนวะ”    เป็นตี๋ที่แกล้งแซว จนเด็กน้อยก้มหน้าเขินแล้วร้องเสียงเบา

     

    “พี่ตี๋...” 

     

    “ฮ่าๆๆๆ  ไม่แซวแล้ว ...ไอ้เต๋ามันจ้างมาด้วยใจป่ะเนี่ยคชา”

     

    “ฮืออออ..พี่มิ้นท์”  พอเหมือนพี่ตี๋จะแซวหนัก  เด็กน้อยก็เดินไปขอความช่วยเหลือจากพี่สาวที่นั่งอยู่โซฟา  ต่างจากคนป่วยที่ดูจะแอบพอใจอยู่ไม่น้อย

     

    หลังจากนั่งเล่นนั่งคุยเป็นเพื่อนคนป่วยกับคุณพยาบาลเด็กของคุณคนป่วยอยู่สักพัก  ก็ถึงเวลาที่ตี๋และมิ้นท์จะต้องกลับบ้าน      

     

    “เต๋า  แม้ว่าเต๋าจะป่วยอยู่แต่พี่ฝากดูแลน้องพี่ด้วยนะ”  พูดจบก็หัวเราะออกมาพร้อมกันทั้งหมด  ทิ้งให้เด็กน้อยเบ้ปากน้อยๆอยู่คนเดียว    “ไปแล้วนะน้องชาย  ดูพี่เต๋าด้วยอย่าให้คนป่วยต้องมาดูแลแทนหละ”

     

    “พี่มิ้นท์...”  ทำหน้ามุ่ยจนคนเป็นพี่อดไม่ได้ที่จะหยิกแก้มของน้องชาย  เหมือนเป็นการย้ำว่าแค่หยอกเล่น   

     

    “ไปแล้วน้องคชา ไปแล้วนะเต๋า  เจอกันพรุ่งนี้..”  พี่เต๋าและพี่มิ้นท์โบกมือลาแล้วเดินออกจากห้องไปพร้อมกัน 

     

    ........

    .....

    ...

     

     

    หลังจากอาบน้ำเสร็จเรียบร้อย  คชาก็ออกมานั่งกดโทรศัพท์อยู่บนโซฟาตัวยาวที่จะกลายเป็นที่นอนของตนเองในคืนนี้    เด็กน้อยมุ่งมั่นตั้งอกตั้งใจกดโทรศัพท์ หัวเราะคิกคัก พอเต๋าถามก็บอกว่าคุยกับเพื่อนๆ    

     

    “เด็กครับ...”  คชาละความสนใจจากโทรศัพท์ในมือแล้วช้อนตามองคนบนเตียงสูง โทรทัศน์ที่คชาเปิดทิ้งไว้ให้ไม่ได้ช่วยให้คนป่วยละความสนใจจากเด็กน้อยได้เลยสักนิด   

     

    “ปกติเวลาเราอยู่ในห้องด้วยกัน  เราอยู่ห่างกันขนาดนี้เลยหรอ”   เต๋าถามแล้วทำเสียงหงอยๆ เรียกเสียงหัวเราะของเด็กน้อยทันที  อีกทั้งมือหนาก็ตบปุ๊ๆบนพื้นที่น้อยบนเตียงข้างกาย  เป็นสัญญาณให้คชาก้าวเดินไปนั่งที่ตรงนั้น

     

    “ใครสัญญาว่าจะให้พี่กอดน้า..”   ได้ทีก็ทวงสัญญา พร้อมกับเข้าสวมกอดเด็กตัวหอมจากด้านหลัง

     

    “อ่า..”  คนตัวเล็กครางออกมาเบาๆ เมื่อความอบอุ่นจากแขนยาวข้างเดียวโอบกอดเอวบางขอตนเอาไว้  แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้ขัดขืน แถมยังเอนตัวพิงหลังกับแผ่นอกของอีกฝ่ายแล้ววางศีรษะลงบนไหล่หนาอีกด้วย 

     

    “คุยกับใคร  ไม่ค่อยสนใจเค้าเลย เค้าป่วยอยู่นะ”  เต๋าถามอีกครั้งเพราะแม้จะอยู่ในอ้อมกอด(ข้างเดียว)ของเขา แต่น้องก็ยังคงจิ้มๆกดๆโทรศัพท์ในมือ

     

    “ก็กับเพื่อน...”  คชาละสายตาจากโทรศัพท์อีกครั้งแล้วหันหลังมาคุยกับผู้ใหญ่ขี้งอน  “วันนี้สอบเสร็จแล้วเพื่อนไปฉลองกันต่อแต่คชาไม่ได้ไป” และพอเห็นสีหน้าของคนป่วย  เด็กน้อยก็ต้องรีบพูดต่อ

     

    “แต่คชาก็ไม่ได้ไปอยากไปขนาดนั้นนะ....” 

     

    “คราวหลังถ้าอยากไปกินข้าวกับเพื่อนก็ไปก่อนก็ได้  พี่ไม่ได้เป็นอะไรมาก  แล้วที่สำคัญพี่รอได้” 

     

    “ไม่ใช่แบบนั้นนะ ...ก็คชาอยากไปทั้งสองอย่าง  แต่คชาเลือกสิ่งที่อยากมากที่สุด  คชาก็เลยมาหาพี่เต๋า”  เต๋ามองริมฝีปากบางที่กำลังขยับเพื่ออธิบาย  มองไปยิ้มไปกับนิสัยน่ารักของเด็กซนในอ้อมแขน  แล้วค่อยเคลื่อนใบหน้าเข้าใกล้จนหน้าผากแนบชิดสนิทกัน  ไอโฟนที่อยู่ในมือถูกปล่อยให้หล่นลงบนเตียง  เพราะคชามองเห็นแววตาของคนตรงหน้าที่ช่างดูแตกต่างจากเมื่อไม่กี่นาทีที่ผ่านมา   อะไรคือสิ่งที่พี่เต๋ากำลังคิด? …

     

    “พี่รอได้  พี่รอได้จริงๆ....”   ริมฝีปากได้รูปยิ้มบางๆให้กับเด็กน้อยที่กำลังอ้าปากค้างเหมือนมีเครื่องหมายคำถามตัวโตแปะในสมอง  เต๋าผละตัวเองออกมาหลังจากนั้นแล้วลูบศีรษะน้องเบาๆ 

     

    “พี่เต๋า...”

     

    “ครับ?

     

    “แต่คชาอยากมาหาพี่เต๋ามากกว่าจริงๆนะ”  สิ้นเสียงใสเด็กน้อยก็เป็นฝ่ายใช้แขนสองข้างของตนเองกอดคนตรงหน้าเอาไว้แทน  เต๋านิ่งค้างไปชั่วขณะ อมยิ้มน้อยๆ แล้วใช้มือที่อยู่เหลือข้างเดียวลูบหลังน้องเบาๆ...

     

    “ครับ...พี่ก็อยากเจอคชามาก”  เด็กน้อยพิงแก้มนุ่มๆลงบนบ่าของอีกฝ่าย  ปล่อยให้เวลาผ่านพ้นไปโดยการถ่ายทอดความอบอุ่นให้แก่กัน

     

    “เพื่อนทักมาใหญ่แล้ว  คุยกับเพื่อนต่อซะ”  เต๋าว่าแล้วผละออกจากน้องเมื่อแอบมองเห็นแสงไฟที่กระพริบต่อเนื่องบนหน้าจอ  คชาพยักหน้ารับแล้วหยิบโทรศัพท์  ก่อนจะหันหลังกลับมานั่งท่าเดิม  พิงตัวเองไว้ที่อีกคนให้แขนอุ่นๆหนึ่งข้างกอดเอาไว้  ทำให้ตอนนี้คนป่วยกลายเป็นเก้าอี้ชั่วคราว  ที่ทำให้คนพักพิงรู้สึกอบอุ่นไปทั่วทั้งตัวและหัวใจ ... 

     

    เต๋ากำลังมองนิ้วมือเรียวยาวที่กดจิ้มสัมผัสหน้าจอ  ยิ้มตามบ้างเมื่อน้องหันมาหัวเราะให้ยามที่เจ้าตัวขำขันกับบทสนทนา  ช่วงเวลาที่ได้อยู่ด้วยกันคือความสุขที่เขาไม่เคยสัมผัสมาก่อน  หากต้องอธิบายขยายความให้ใครฟังคงจะยาก...เพราะเรื่องแบบนี้ต้องสัมผัสและรับรู้ด้วยตัวเอง ...ด้วยประสาทสัมผัสทุกอย่างของตัวเอง โดยเฉพาะสัมผัสพิเศษที่มนุษย์ทุกคนมีเหมือนกัน “หัวใจ”

    .......

    .....

    ..

    ไฟทุกดวงในห้องดับสนิทลงแล้ว  มีเพียงแสงไฟจากความวุ่นวายภายนอกที่แอบลอดส่องผ่านเข้ามาตามช่องว่างของผ้าม่านผืนโต  แสงสว่างไม่มากไม่น้อยแต่เพียงพอที่จะทำให้คนสองคนภายในห้องสี่เหลี่ยมรับรู้ว่ายังคงไม่มีใครจมลงสู่นิทรา  เพราะประกายดวงตาจากเขาทั้งสองยังคงมองสบประสานกัน 

     

    “พี่เต๋าว่าคืนนี้ใครจะหลับก่อน..หาวว”  ยังพูดไม่ทันจบดีคนถามก็อ้าปากหาววอดใหญ่  เรียกเสียงหัวเราะจากคนป่วยบนเตียงที่พยายามอย่างยิ่งในการนอนตะแคงมาด้านซ้าย เพื่อจะได้มามองหน้าคุณพยาบาลเด็ก

     

    “ยังต้องตอบอยู่ไหม” 

     

    “หาวก่อนไม่ได้หมายความว่าจะต้องหลับก่อน”

     

    “จ้า...”

     

    “งั้นหลับตาพร้อมกันนะ  นับ 1 2 3 แล้วหลับตานะ”  เต๋ายกยิ้มในความมืด นึกขำกับการเล่นสนุกของเด็กน้อยที่นอนอยู่โซฟาตัวยาวตรงข้าม 

     

    “...หนึ่ง...สอง....สาม!  หลับตา!”    พอนับจบตัวเล็กก็หลับตาแน่น ต่างกับอีกคนที่ยังคงลืมตาอยู่  ไม่ใช่ว่าไม่อยากเล่นด้วย..แต่อยากมองเด็กน้อยยิ้มร่าตรงหน้ามากกว่า

     

    “ห้ามลืมนะ  แล้วก็นอนได้”

     

    “ครับ..ไม่ลืม”

     

    “อ่ะ!...ลืมบอก”

     

    “หืม?

     

    “ฝันดีนะคนป่วย”

     

    “ฝันดีเหมือนกันนะ  คุณพยาบาล”  

     

    คชาหลับลงไปแล้ว  เต๋ารับรู้ได้เพราะเปลือกตาบางที่ปิดสนิทและลมหายใจที่ผ่อนเข้าออกสม่ำเสมอของน้อง  เต๋ายังคงจ้องมองใบหน้าหวานใสในความมืดมิด  อะไรหลายๆอย่างกำลังทำให้เขานอนไม่หลับ  อีกทั้งก็เริ่มอึดอัดเล็กน้อยที่ท่อนแขนเพราะท่านอนที่ผิดแปลก  แต่นั่นคงไม่เท่าความรู้สึกภายในที่ปั่นป่วนในตอนนี้... 

     

    เด็กน้อยกำลังหลับสนิทคล้ายกำลังจะเข้าสู่ความฝัน  แต่ด้วยสัญชาติญาณบางอย่างก็ทำให้ไม่ไปถึงจุดนั้น   คชากำลังรู้สึกเหมือนมีเงาดำพาดทับมายังฝั่งของตนเอง   ใจเต้นตึกตักขึ้นมาทันทีเมื่อสมองเริ่มจินตนาการถึงสิ่งแปลกๆ  และยิ่งกังวลมากขึ้นเมื่อรู้สึกเหมือนเงาดำนั้นเคลื่อนไหวมาใกล้ตนเองมากขึ้น

     

    “พี่เต๋า!”  ทันทีที่ตัดสินใจลืมตาก็ต้องรู้สึกโล่งไปทั้งใจ  เด็กน้อยตาโตถามร่างสูงที่หอบหิ้วตัวเองเดินลงมาถึงข้างโซฟา

     

    “พี่ทนไม่ได้  คชามันอึดอัด..”

     

    “ไม่เข้าใจ”  แม้ในความมืดแต่เต๋าก็มองเห็นว่าตากลมใสคู่ตรงหน้างงมากแค่ไหน

     

    “พี่ทนไม่ได้ถ้าเราต้องอยู่ในห้องเดียวกันแล้วไม่ได้นอนข้างกัน”     

     

    “.....................................”  คนฟังนิ่งเงียบไปพักใหญ่  คนกำลังจะนอนหลับฝันหวาน อยู่ดีๆก็ถูกปลุก...ปลุกให้ตื่นขึ้นมาเจอกับความจริงที่หวานกว่าตรงหน้า

     

    “..... พี่ขอนอนด้วยนะครับ นะครับ นะ”   เด็กน้อยลุกขึ้นนั่งตามคำขอของคนป่วยขี้อ้อน  คนตัวเล็กขยับกายเพื่อให้คนป่วยเข้าไปนอนด้านในเพราะถ้าให้พี่เต๋านอนด้านนอกมีหวังคชาได้ดิ้นไปทับเฝือกให้กระดูกที่ร้าวหักแทนได้   โซฟาตัวยาวที่ถูกกางออกมีพื้นที่เพียงพอสำหรับคนสองคน ...เพียงพอจะให้คนสองคนได้นอนเคียงข้างกันบนหมอนใบเดียวกับผ้าห่มผืนอุ่น

     

    เมื่อจัดแจงที่นอนได้เรียบร้อยกันทั้งคู่  เต๋าก็วางพาดแขนยาวข้างที่ใช้งานได้ไปโอบไหล่บางให้เข้ามาแนบชิด  กลิ่นหอมจากกลุ่มผมสีดำเข้ามาใกล้จมูกเขามากขึ้นเพราะน้องเริ่มเข้ามาพิงซบ

     

    “รู้สึกดีขึ้นเยอะเลย”  ทั้งพูดทั้งยิ้มจนเด็กตัวเล็กรู้สึกหมั่นไส้  แต่ถึงอย่างนั้นก็เหมือนจะเข้าใจ  เพราะตอนลืมตาแล้วเห็นคนห้อยเฝือกมายืนเซๆข้างเตียงก็แอบสงสารอยู่เหมือนกัน 

     

    “ฝันดีครั้งที่สองนะครับคุณพยาบาล”  เต๋าบอกฝันดีอีกครั้งแต่สิ่งที่ได้รับตอบกลับกับเป็นความเงียบ  พอมองดูเด็กน้อยก็พบว่านอนหลับตานิ่งสนิทไปแล้ว  เต๋ายิ้มออกมาอีกครั้งก่อนจะตัดสินใจกดจมูกลงบนกลุ่มผมหอมที่พิงซบบนไหล่   ความง่วงที่เริ่มเข้าครอบงำเพราะไม่มีสิ่งใดที่ทำให้รู้สึกกังวลทำให้เปลือกตาปิดสนิทลง    และในขณะที่กำลังจะคล้อยหลับก็ต้องยิ้มออกมาทั้งตาหลับเมื่อแขนเล็กพาดทับมายังกลางลำตัวของตนเอง  คชาขยับตัวนอนตะแคงแล้วยกแขนกอดคนเป็นพี่เอาไว้    เต๋าไม่รู้เหมือนกันว่าเจ้าตัวมีสติมากแค่น้อยแค่ไหน  รู้แต่เพียงว่าคืนนี้เขาคงจะนอนหลับ...และฝันดี

     

     

    ------------------------------------------------------------------

     

     

    หลังจากที่นอนโรงพยาบาลมาหลายวัน  เต๋าก็ได้รับอนุญาตให้กลับมารักษาตัวต่อที่บ้าน และเป็นอย่างที่คิดไว้ บริษัทให้เขาลาป่วยยาวอีกหลายวัน   ที่คิดว่าคงน่าเบื่อก็เหมือนจะคิดผิดถนัด  เพราะคชาอยู่ในช่วงปิดเทอมเช่นเดียวกัน  ทำให้เต๋าได้รับการดูแลเอาใจใส่จากคุณพยาบาลประจำตัวตลอดเวลา  จนบางครั้งแอบคิดว่าอยากจะแขนเดี้ยงไปอีกนานๆ  ...

     

    อยากจะเอางานขึ้นมาทำมันก็ทำได้ไม่ค่อยเต็มประสิทธิภาพ  ตอนนี้เลยมีหน้าที่หลักคือเป็นคนป่วยให้คุณพยาบาลดูแลเอาใจใส่ทะนุถนอม  อย่างเช่นตอนนี้ที่เต๋ากำลังมองคุณพยาบาลเด็กตั้งอกตั้งใจตัดเล็บให้ตนเองอยู่ 

     

    “เสร็จแล้ว...”   โซฟาตัวยาวของบ้านเลขที่ 23/2 กลายเป็นพื้นที่ส่วนตัวของเด็กกับผู้ใหญ่ในช่วงปิดเทอม  ช่วงเวลาวันทำงานทำให้ไม่มีใครอยู่บ้านนอกเสียจากเต๋ากับคชา  ..แล้วก็แมวน้อยสีขาวขนฟูอีกหนึ่งตัว

     

    “ขอบคุณครับผม” 

     

    “คะน้านอนอีกแล้ว  ทำไมขี้เซาแบบนี้นะ ทำไมขี้เซาแบบนี้”  คชาว่าพลางลูบไปมาที่ขนสีขาวฟูของแมวน้อยที่นอนหลับอยู่บนโซฟาข้างกาย 

     

    “อ้าว...แล้วแมวตัวนี้ก็ขี้เซาหรอ”  คชาละจากการสนใจแมวตัวเล็กขี้เซา มาสนใจแมวตัวโตขี้อ้อนแทน  หลังจากตัดเล็บให้พี่เต๋าเสร็จตอนนี้คนตัวโตก็ย้ายตัวเองลงมานอนหนุนตักนิ่ม  ขยับท่านอนให้เข้าที่สักนิดเพราะอุปสรรคจากสายที่คล้องอยู่บนต้นคอจากเฝือกที่แขน

     

    “ไม่ได้สระผมหลายวันแล้วหรอ?”  คชาถามขึ้นเพราะกลุ่มผมสีดำที่จับลูบอยู่เริ่มมันนิดๆ 

     

    “มันสระลำบาก  พี่ว่าจะไปสระร้านอยู่เหมือนกัน  เริ่มคันนิดๆแล้ว”

     

    “สระให้ไหมฮะ?”  เพราะหลับตาอยู่เต๋าจึงไม่รู้ว่าน้องกำลังทำหน้าแบบไหน  แต่พอลืมตาขึ้นมาก็พบแววตาซุกซนของคนที่กำลังคิดหาเรื่องสนุกทำ

     

    พื้นที่เล็กๆของสวนน้อยหน้าบ้านถูกเปลี่ยนให้เป็นร้านเสริมสวยชั่วคราวโดยคุณพยาบาลตัวเล็ก  คชาจัดการนำเก้าอี้หัวโล้นมาวางเพื่อให้อีกคนมานั่ง  เปิดน้ำสายยางในระดับปานกลาง ก่อนจะบอกให้ร่างสูงที่นั่งอยู่แหงนหน้าขึ้น   สายน้ำไหลผ่านออกมาเรื่อยๆจนแทรกซึมผ่านกลุ่มผมของคนบนเก้าอี้ช้าๆ   เต๋ารู้สึกผ่อนคลายตั้งแต่ศีรษะจนลงไปถึงปลายเท้า  ไอเย็นของน้ำทำให้ผ่อนคลายจนเผลอหลับตา   

     

    “เย็นไปไหม?

     

    “ไม่จ้า  กำลังสบาย...”  หลังจากนั้นมือเรียวทั้งสองข้างก็เริ่มชโลมไปทั่วกลุ่มผมของคนตรงหน้า  คนตัวเล็กออกแรงนวดเบาๆ  ไล่ตั้งแต่ท้ายทอยจนมาถึงขมับ 

     

    “สบายเชียว”  เต๋าไม่ได้ตอบอะไร  เพียงหรี่ตาน้อยๆแล้วยิ้มบางๆให้กับคนตัวเล็ก  แรงขยุ้มที่ศีรษะเบาๆเหมือนทำให้สมองโล่งไร้ซึ่งความคิดใด  สัมผัสนุ่มนิ่มที่ได้รับตอนนี้มันช่างทำให้ความกังวลต่างๆ ผ่อนคลายหายลงไปมาก

     

    หลังจากใช้เวลาในการสระผมซักพัก  ตอนนี้เด็กน้อยก็กำลังใช้ผ้าขนหนูผืนเล็กเช็ดเบาๆ พร้อมออกแรงนวดที่ศีรษะพี่เต๋าอีกหน  

    “เสร็จแล้ว..ไปเป่าๆผมกัน” สิ้นคำชักชวนเต๋าก็ลุกขึ้นยืนเตรียมพร้อมจะเดินเข้าบ้าน   

     

    “คะน้าอยากเปียกหรอ”   เด็กน้อยหัวเราะเสียงร่าเมื่อมองเห็นขนที่เคยฟูของแมวน้อยลู่แนบสนิทไปกับลำตัว  แมวดื้อกำลังเอาตัวลงไถลเล่นกับแอ่งน้ำใกล้ๆอย่างสนุกสนาน   “เปียกหมดแล้ว เปื้อนด้วย”  เหมือนจะดุแมวน้อยของตนเองแต่หากน้ำเสียงกลับเต็มไปด้วยความเอ็นดู

     

    “อยากสระขนอีกคนหละสิ”  เต๋ากำลังยืนยิ้มมองดูเด็กน้อยของตนเองนั่งหัวเราะคิกคักกับแมว  มือบางคอยลูบขนเปียกๆของแมวแสนดื้อ ดุบ้าง ขู่บ้างเมื่อเห็นว่าเจ้าตัวฟูไม่มีทีท่าว่าจะหยุดเล่นน้ำ   สายตาคมปราดมองขึ้นไปยังท้องฟ้าสีสดใสไร้แดด  ...วันนี้อากาศดี  ดีเกินไปที่จะอยู่ในบ้าน  คิดได้ดังนั้นก็เดินไปหยิบสายยางแล้ว ...

     

    “พี่เต๋า......”  คชาหันหลังมองอีกคนด้วยหางตา   หยดน้ำที่ปะทะผิวกายทำให้คชาหันขวับไปยังผู้ใหญ่ขี้แกล้ง  แม้จะมีแขนเดียวแต่ก็รู้สึกว่าพี่เต๋าจะใช้งานมันได้คุ้มค่าเหลือเกิน 

     

    “เปียกเป็นเพื่อนแมวไง  คะน้าจะได้ไม่เหงานะ” 

     

    “แกล้งหรอ!”  คชาว่าเสียงดัง ลุกขึ้นยืนแล้วพุ่งตรงเข้าแย่งสายยางที่ยังคงมีน้ำไหลอยู่จากมือหนา  ดึงกันไปมาจนสายน้ำสาดกระเซ็นไปทั่วทุกทิศ   คชารู้สึกถึงความเปียกชุ่มช่ำบริเวณเสื้อที่สวมใส่  ไม่ต่างกับเต๋าที่เริ่มเปียกปอนเช่นกัน 

     

    “คชา คชา..ปล่อยก่อน  มันจะโดนแขนพี่”  สิ้นประโยคเด็กน้อยก็หยุดการกระทำทันทีเพราะกลัวว่าน้ำจะโดนเฝือกของอีกฝ่าย  แต่หารู้ไม่ว่าตัวเองนั้นกำลังถูกหลอก  เพราะหลังจากนั้นคนป่วยก็ยื้อแย่งสายยางไปครอบครองแต่เพียงผู้เดียว  ไม่ต้องเสียเวลาเป้าหมายของสายน้ำเล็งไปที่ใบหน้าเนียนใสของเด็กน้อยทันที 

     

    “ฮืออออออออออออ.....พี่เต๋า!”  น้ำจากสายยางที่พุ่งปะทะที่ใบหน้าทำให้คชาหลับตาแน่น แล้วร้องเรียกอีกคนเสียงดัง  จากเด็กที่ไม่ได้เปียกอะไรมาก แต่ตอนนี้กลับชุ่มฉ่ำด้วยน้ำไปทั่วทั้งตัว 

     

    “แสบตา...” เพียงเท่านั้นเต๋าก็ปล่อยสายยางลงกับพื้นแล้วเดินเข้าหาน้องทันทีไม่รีรอ  คชายังคงหลับตาแน่นพร้อมยกขึ้นมาเหมือนจะขยี้ตา  เต๋าค่อยๆก้มตัวต่ำลงเพื่อสำรวจใบหน้าของเด็กน้อย 

     

    “ไหนดูสิ...”  เปลือกตาบางพยายามเปิดออกอีกครั้งแต่ก็รู้สึกแสบจนต้องหลับตาลงไปอีกหน    

     

    “ไม่ต้องรีบนะ  ค่อยๆลืม  ช้าๆ...”  เสียงนุ่มค่อยบอกด้วยความอ่อนโยน  คนตัวเล็กค่อยขยับเปลือกตาขึ้นช้าๆ   จนเริ่มมองเห็นใบหน้าของอีกฝ่ายที่อยู่ในระยะใกล้ 

     

    “ดีขึ้นแล้วใช่ไหม...ขอโทษนะครับ”  เสียงนุ่มๆยังคงพูดต่อเนื่องพร้อมใช้มือลูบบางเบาสัมผัสที่แก้มเนียนนิ่มช้าๆ 

     

    “ชอบแกล้ง นิสัยไม่ดี”

     

    “ขอโทษ...ให้อภัยเค้านะ”  นิ้วชี้แตะเข้าสัมผัสเบาๆที่ปลายจมูกรั้นของเด็กน้อย  เรียกให้ริมฝีปากบางเผยยิ้มออกมาช้า ๆ 

     

    “เปียกหมดเลย”  ว่าเหมือนจะตัดพ้อนิดๆ แต่ก็แอบแย้มยิ้มด้วยกันทั้งคู่ 

     

    “ก็เปียกด้วยกันทั้งคู่.....อ่อ  มีอีกหนึ่งตัวด้วย”  แล้วก็ต้องหลุดหัวเราะออกมาพร้อมกันเมื่อแมวตัวเปียกเดินมาแทรกกลางระหว่างเขาทั้งสอง   ปากเล็กๆพยายามดึงลากสายยางที่ยังคงมีน้ำไหลแล้วเอาตัวไถไปกับสายน้ำเย็น   คชาหัวเราะคิกคักกับท่าทางของแมวสุดที่รัก  กำลังจะก้มตัวอุ้มเจ้าตัวเล็กขึ้นมาแต่มือหนาข้างขวาของคนตรงหน้าก็รั้งไหล่ของตนเอาไว้ก่อน 

     

    “ปล่อยให้แมวตัวเล็กเล่นไปเถอะครับ มันคงกำลังมีความสุข....”   ดวงตาคู่กลมช้อนมองคนตัวสูงกว่า ก่อนจะต้องเม้มริมฝีปากแน่นเพราะประโยคถัดมาที่ได้ยิน ... 

     

    “เพราะแมวตัวโตก็กำลังมีความสุขเหมือนกัน”  ระยะห่างของหน้าผากที่เกือบจะแนบชิดกัน  ปลายนิ้วแตะสัมผัสที่จมูกของเด็กน้อยอีกครั้ง  แตะเบาๆสองสามทีจนคนโดนกระทำต้องยู่หน้า  ไม่นานก็เป็นร่างสูงที่โดนปลายนิ้วเรียวแตะเข้าที่จมูกบ้าง...   ปลายเท้าของทั้งคู่รู้สึกเย็นชุ่มฉ่ำจากสายน้ำที่แมวน้อยกำลังสะบัดสายยางไปมา   เสียงหัวเราะดังขึ้นพร้อมกันไม่ได้นัดหมาย  ...ใช่...เรากำลังมีความสุข

     

     

     

     

     

     

     

    เพราะอากาศดี  .... :)

     

    ------------------------------------------------------------------



    เอามาลงตามสัญญา  แข่งกับเวลาฮอตของลำยอง 555  ..ขอบคุณสำหรับคอมเม้นท์ตอนที่แล้วมาก คือเยอะจนตกใจ T[]T
    ไม่ขอสปอยล์ใดๆ  จริงๆ... 

     

    #มีสุข23

    @CHICKIMILK

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×