ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ✷ S O N D E R ✷

    ลำดับตอนที่ #3 : ✷ glisten ✷

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 46
      0
      17 พ.ค. 62


    หมายเหตุ: บทนี้คือ One Shot เล็กๆเกี่ยวกับความเป็นมาของมิตรภาพระหว่างตัวละครชายของเราสองตัวนะคะ โดยหนึ่งในนั้นคือ 'คลิฟ' ที่เรานำไปสมัครนิยายเรื่องหนึ่งของคุณรันรันด้วยค่ะ ลองอ่านข้อมูลของน้องได้ในบทที่ 1 นะคะ






    คลิฟฟอร์ด โอส์สัน เป็นหนึ่งในคนที่อ่อนโยนที่สุดที่ผมรู้จัก


    All these years on a tightrope,
    Didn't waste your time.
    I was worn on the same road,
    Did we fall in line?


    “นายชื่ออะไรน่ะ?”


    เมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว นั่นคือประโยคแรกที่เขาพูดกับผมภายใต้ร่มของผ้าปูโต๊ะในห้องครัวที่เล็กเท่ารูหนูแห่งนั้น


    ผมจำได้ว่าผมเองก็รู้สึกแปลกใจอยู่โข


    แม่และผมที่อยู่ด้วยกันลำพังตัดสินใจย้ายออกมาจากในเมืองมาอยู่ในต่างจังหวัด ถึงแม้บ้านเก่าอาจจะโอ่อ่าและสะอาดกว่าที่นี่ พวกเราทั้งคู่ต่างก็ไม่มีใจจะอยู่ที่นั่นเพราะมันคือโฉนดที่ดินของคนที่เคยเป็นพ่อของผม…


    เพราะอย่างนั้น ผมกับคุณแม่ และครอบครัวโอส์สันจึงได้กลายมาเป็นเพื่อนบ้านของกันและกันในเมืองชนบทแห่งนี้


    และก็เพราะอย่างนั้น ทางบ้านของผมจึงได้เชิญครอบครัวของเขามาทานมื้อเย็นร่วมกันเพื่อทำความรู้จัก


    เด็กชายที่ดูอายุราวคราวเดียวกับผมตรงหน้าค่อย ๆ ขยับตัวเข้ามานั่งชันเข่าข้าง ๆ พฤติกรรมที่ระมัดระวังของเขาเหมือนกับจะแสดงว่าเขาเข้าใจสาเหตุที่ผมถึงเลือกจะมาหลบซ่อนอยู่ใต้โต๊ะทานข้าวนี้


    เขามีดวงตาสีดำเทา สีเดียวกับเส้นผมหนาที่ปรกหน้าผากของเขาอย่างลวก ๆ ในความคิดแรกของผมคือมันเป็นสีที่เท่ดีนะ


    “ฉันชื่อคลิฟนะ คลิฟฟอร์ด โอส์สัน”


    เขาพูดอีกรอบเมื่อเห็นสีหน้าที่ขาดความมั่นใจของผม ในขณะเดียวกัน คิ้วน้อย ๆ ของผมก็ขมวดเข้าด้วยกันทันทีที่ได้ยินเสียงของเขา ใจของผมกำลังเต้นราวกับเพิ่งวิ่งรอบสนามหญ้าเขียวขจีแถวบ้านเก่ามา เหงื่อค่อย ๆ ก่อบนหน้าผากจากความลน ในหัวก็ได้ภาวนาให้อีกฝ่ายไม่ได้หวังจะมารังแกผม… สำหรับผมในตอนนั้นสีหน้าของคลิฟดูเหมือนเขากำลังไม่พอใจในอะไรบางอย่าง


    ‘บางอย่าง’ นั่นคงจะหมายถึงผมสินะ… ผมได้แต่คิดอย่างกลัว ๆ ในใจ


    “ฉันอีริค…”


    ผมพึมพำออกไปด้วยเสียงแผ่วเบา ซึ่งก็น่าจะโดนกลบโดยเสียงหัวเราะและเสียงพูดคุยจากข้างนอกผ้าคลุมโต๊ะที่ลากยาวถึงพื้น


    ดูเหมือนคุณแม่จะเข้ากันได้ดีกับครอบครัวของคลิฟ…


    แต่ผมก็ต้องแปลกใจอีกรอบเมื่อเด็กชายผมดำเทาส่งยิ้มกว้างกลับมาให้


    เขายื่นมือออกมาราวกับจะจับมืออย่างที่ผมเห็นผู้ใหญ่ทำเวลาพวกเขาทำความรู้จักกันครั้งแรก ถึงท่าทีจะยังดูเงอะงะไปหน่อยก็ตาม


    “ยินดีที่ได้รู้จักนะอีริค!”


    ผมจำได้ว่ามือของเขามันรู้สึกอ่อนโยนกว่าที่ผมคิดไว้มาก








    คลิฟฟอร์ด โอส์สัน เป็นหนึ่งในคนที่ขี้โมโหมากที่สุดที่ผมรู้จัก


    And I won't fight it,
    Lost sight of you.

    “ไอ้เด็กสามหาว! คิดว่าตัวเองเก่งกล้านักหรือไงถึงมาทำตัวอันธพาลตบตีคนอื่นแบบนี้อยู่เรื่อย?!”


    เสียงขึ้นจมูกของคุณวิลล์เลี่ยมดังก้องด้วยความโมโห พวกเรากำลังยืนอยู่บนพื้นสนามที่เต็มไปด้วยใบไม้สีน้ำตาลแดงสลับกันไป เวลาตอนนั้นคือประมาณห้าโมงเย็นถ้าผมจำไม่ผิด


    “…”


    คลิฟเงียบรับคำตวาดเกี่ยวกับเรื่องพฤติกรรมของเขา เขาได้แต่ก้มหน้างุดเพราะเราทั้งสองต่างก็รู้ดีว่าการพยายามเถียงกับผู้ใหญ่อย่างคุณวิลล์เลี่ยมเป็นอะไรที่ไร้ประโยชน์ ยังไงเขาก็เข้าข้างลูกชายของตัวเองอยู่แล้วไม่ว่าใครจะเป็นฝ่ายถูกก็ตาม…


    คงจะมีแต่ผมที่กำลังยืนอยู่ข้าง ๆ คลิฟถึงได้เห็นมือของเขาที่กำแน่นเพื่อบันดาลโทสะกับตัวเอง


    ท่ามกลางฤดูใบไม้ร่วงที่โรยราย พวกผมสองคนก็ได้แต่ยืนอยู่อย่างเงียบ ๆ น้อมรับเสียงกระซิบกระซาบของชาวบ้านที่เดินผ่านและเงี่ยหูฟังเสียงโวกเวกนี้ ผมเอามือลูบที่แขนของตัวเองอยู่ซ้ำไปซ้ำมา หัวก็คอยพยักหน้ารับคำด่าทอของคุณวิลล์เลี่ยมอยู่เป็นพัก ๆ ก่อนที่จะชะงักเมื่อจู่ ๆ นิ้วของแกหันมาชี้หน้าผมแทน


    “… แล้วแก!” ชายแก่หันมาหาผมเป็นครั้งแรกตั้งแต่ที่พวกผมโดนลากคอมาที่หน้าบ้านของเขา


    “ย้ายเข้ามาใหม่ก็ไม่รู้จักหัดเลือกคบเพื่อน! นี่แม่ของแกไม่ได้สั่งสอนอะไรเลยหรือไงหะ? รู้อะไรไหม ฉันน่ะไม่แปลกใจเลยพอได้ยินว่าพ่อของแกทิ้งแกกับแม่ไว้ลำพัง!” เขายิ่งยิ้มกระย่องได้ใจเมื่อเห็นสีหน้าแตกตื่นของผม


    เขาไม่ควรจะมีสิทธิ์ได้พูดเรื่องนั้น นี่มันไม่เกินไปหน่อยหรอ...?


    เดี๋ยวสิ—


    “ถ้าพวกแกสองคนตายกันข้างถนนฉันจะไม่—!”


    ทันใดนั้น ในขณะที่ผมกำลังเริ่มหวาดผวาจนได้ยินแต่เสียงหัวใจตัวเองดังก้องทั้งสองหู ในขณะที่มือไม้ของผมเริ่มรู้สึกถึงความชาที่กำลังลามขึ้นเรื่อย ๆ ในหัวก็สะท้อนแต่เรื่องการนินทาของชาวบ้านที่นำพาหัวข้อเรื่องราวของครอบครัวผมไปถึงไหนต่อไหน… ทันใดนั้นเองมันก็มีเสียงเย็นยะเยือกราวกับน้ำแข็งที่ดังขึ้นและดึงสติของผมกลับมา


    “—จะพูดอะไรก็ช่วยไว้หน้าตัวเองด้วย


    คลิฟที่เงียบมานานได้เงยหน้าขึ้นและเดินเข้าไปหาคุณวิลล์เลี่ยมเพียงหนึ่งก้าว


    ตาที่เบิกโพลงของผมกวาดไปมองที่เขา ถึงผมจะเห็นเพียงแค่เสี้ยวด้านข้างของใบหน้านั้น ผมก็ทราบว่าคลิฟเขารู้ตัวว่าเขากำลังทำอะไรอยู่


    จากช่วงระยะเวลาไม่กี่ปีที่พวกผมได้รู้จักกันมา ตอนนี้ทั้งตัวผมและคลิฟเองก็ตัวสูงใหญ่ขึ้นเยอะกว่าที่เจอกันใต้โต๊ะครัว ถึงแม้ร่างกายของคลิฟอาจจะยังผอมแกร่นในบางส่วนจากการต้องแบ่งมื้อเย็นให้คนอื่นในครอบครัวอยู่เสมอ เขาเองก็มีส่วนสูงที่น่ายำเกรงอยู่เหมือนกัน


    พอเขาโงหัวขึ้นมาและดึงให้หลังของตัวเองตั้งตรงจากที่ห่อไหล่อยู่เมื่อครู่ ทั้งตัวเขาและผมก็สูงพอ ๆ กับคุณวิลล์เลี่ยมหรือไม่ก็สูงกว่าเลยด้วยซ้ำ


    แน่นอนว่าความแข็งแรงของเด็กหนุ่มอายุสิบกว่า ๆ สองคนมันมากกว่า ‘ชายแก่ลงพุงที่วัน ๆ ได้แต่กินนอนในบ้านของตัวเอง’ (อย่างน้อยนั่นก็คือคำพูดของคลิฟ…) เป็นแน่


    คุณวิลล์เลี่ยมถอยหลังไปหนึ่งก้าว สีแดงก่ำไล่ไปจากตั้งแต่นิ้วมือของแกไปจนถึงปลายหู


    “นี่แก?! คิดว่าแกมีสิทธิ์มามีปากเสียงกับฉันงั้นรึ ไอ้พวกพ่อแม่ไม่สั่งสอน!” การตะคอกของแกได้แปรเปลี่ยนเป็นการตะโกนจนแม้แต่ผมที่อยู่ไกลกว่ายังแอบสะดุ้ง


    เมื่อสังเกตเห็นได้ว่ากำปั้นของคลิฟมันดูจะบีบแน่นมากกว่าเดิมเสียอีกผมจึงจับไหล่แล้วดึงเขาให้ถอยออกมาเบา ๆ


    สายตาของเขายังคงจ้องไปที่คุณวิลล์เลี่ยม ไม่ต้องบอกผมก็รู้ว่ามันเต็มไปด้วยไฟอาฆาตขนาดไหน นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่อะไรแบบนี้เคยเกิดขึ้นมาก่อน และนี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมต้องพยายามห้ามปรามเขาก่อนที่เขาจะโมโหไปมากกว่านี้เช่นกัน


    จะว่าไป  จะพูดว่ามันกลายเป็นหน้าที่ของผมไปแล้วก็คงจะไม่ผิดซักทีเดียว


    แต่แน่นอนว่าพวกเราไม่จำเป็นต้องตอบโต้อะไรออกมาอีกแล้ว ดูเหมือนเสียงที่ดังกว่าเดิมของคุณวิลล์เลี่ยมจะนำพาชาวบ้านละแวกนั้นมาเกือบทุกหลัง สายตาและหูที่ขี้สงสัยของทุกคนกำลังจับจ้องไปที่เขาเต็มที่


    มันเป็นเพียงเสี้ยววินาทีที่สีแดงโทสะของแกกลายไปเป็นสีแดงจากความอับอาย


    นิ้วชี้ที่โบกไปมาถูกเก็บอย่างรวดเร็ว คุณวิลล์เลี่ยมถอยกรูดเข้าไปในบ้านของแกและทิ้งท้ายด้วยการปิดประตูที่แรงจนผมสาบานได้ผมว่าได้ยินเสียงหน้าต่างของแกสั่น


    มันเงียบไปอีกอึดใจหนึ่ง ก่อนที่ท่าทางที่ตั้งให้เกร็งไว้ของคลิฟจะคลายหายไป เหลือเพียงแต่ความเหนื่อยที่ปล่อยให้ไหล่กว้างของเขากลับมาห่อเหมือนเดิมดั่งที่ชินตา เขาถอนหายใจดังอย่างเอือย ๆ


    “... ให้ตายสิ พ่อลูกคู่นี้สันดานเหมือนกันไม่มีผิด”


    เขาพึมพำกับตัวเองและเกาหลังคออย่างหัวเสีย ผู้คนรอบ ๆ ตัวพวกเราก็สลายกลุ่มทันทีที่เห็นว่าไม่มีอะไรน่าสนใจให้ชมต่อแล้ว แต่จะว่าไป… ผมหันมามองคลิฟเพื่อจะเปิดปากพูดแต่ก็โดนขัดก่อนที่จะได้เปล่งเสียงด้วยซ้ำ


    “ฉันรู้น่า นายไม่ต้องเสียเวลาพูดหรอกว่าฉันไม่ควรทำตัวแบบนั้น” เขาพูดราวกับว่าอ่านใจผมได้


    “… ฉันก็เข้าใจว่ามันเป็นเรื่องที่น่าโมโห” ผมตอบกลับไป


    แท้จริงแล้วเรื่องมันก็เกิดมาจากที่ลูกชายของคุณวิลล์เลี่ยมมาดูถูกพวกผมเรื่องฐานะครอบครัวนั่นแหละ ใครก็ตามที่รู้จักคลิฟก็คงจะรู้ว่าเขาเกลียดคำพูดประเภทนี้ขนาดไหน


    “อีริค”


    สงสัยผมคงจะนิ่งไม่ตอบเขานานไปหน่อย เพราะตอนนี้ดวงตาเทาเข้มคู่นั้นกำลังมองมาที่ผมอยู่


    … ทำไมเขาถึงดูเป็นกังวลขนาดนั้นล่ะ? เขามักจะทำหน้าเรียบแต่แอบแฝงไปด้วยความหงุดหงิดอยู่เป็นปกตินี่?


    “ฉัน… ขอโทษนะ” เขากระซิบออกมาแผ่วเบา


    ผมเกือบจะหลุดถามออกไปว่าเขาจะขอโทษผมทำไม จนกระทั่งผมรู้สึกตัวว่า—


    ตุ้บ


    ไหล่ของผมถูกชกเข้าจัง ๆ


    “โอ๊ย…!” ผมร้องเบา ๆ คลิฟเบือนหน้าหนี แรงเขาก็ไม่ใช่น้อย ๆ นะ!


    “... รีบกลับบ้านเถอะ ข้างนอกนี่หนาวจะตาย” เขารีบเปลี่ยนเรื่องและก้าวเดินไปทางทิศที่พูดไว้ในทันที ก่อนที่จะหยุดหันมาตอนก้าวที่สามเมื่อผมยังไม่ออกตามเขาไป


    กว่าเขาจะเริ่มพูดอีกครั้งพวกเราก็เดินไปได้ประมาณครึ่งทางแล้ว บรรยากาศรอบตัวเริ่มกลับมาเป็นแบบที่พวกเราทั้งสองคุ้นเคย  มีแต่เสียงใบไม้กรอบโดนเหยียบและเสียงที่ผมพ่นลมหายใจอุ่นใส่มือเพื่อไปลูบแขน แต่กระนั้นเสียงของคลิฟที่จู่ ๆ ก็พูดออกมาก็ฟังดูเรรวนกว่าทุกที


    “ฉัน… รู้ว่านายปกป้องตัวเองได้ และฉันก็ไม่ควรจะทำตัวแบบนั้นออกไป แต่ว่า…”


    เขาหันมามองหน้าผมก่อนที่จะหันไปดูเส้นทางข้างหน้าเหมือนเดิม


    “ฉันไม่ชอบสีหน้าของนายในตอนนั้นมากจริง ๆ เพราะฉะนั้น… ก็ขอโทษด้วยที่ดันวู่วามอีกแล้ว”


    “…”


    “ฉันแค่ไม่อยากเห็นนายทำหน้าอย่างงั้น”


    พอได้ยินเหตุผลนั้น ผมก็เผลอยิ้มบางและหัวเราะออกมาให้กับเหตุผลนี้อย่างช่วยไม่ได้


    นี่แหละคลิฟที่เป็นเพื่อนสนิทของผมมานานนม


    ของขึ้นเพราะเห็นผมทำหน้าแตกตื่นเหมือนจะร้องไห้ในตอนนั้นเนี่ยนะ?


    เป็นพริบตาเดียวที่สีหน้าเคร่งเครียดของคลิฟถูกเปลี่ยนเป็นงงงวย ก่อนจะเป็นหน้าแหยในที่สุดเมื่อผมชกที่ไหล่ของเขากลับไปให้เหมือนที่เขาทำกับผมก่อนหน้า


    “โอ๊ย! อะไรของนายเนี่ย?!”


    “งั้นนายก็ต้องเลิกทำหน้ากังวลอย่างนั้นเหมือนกันนั่นแหละ”


    ผมหลุดขำอีกรอบเมื่อเห็นคลิฟเดินเซจากแรงต่อย เขากลับมาขมวดคิ้วหนาอีกครั้งก่อนที่จะพล่ามคำสบถด่าทั้งที่ผมและเขาก็รู้ว่าแท้จริงแล้วไม่มีมาดร้ายเลยแม้แต่น้อย


    ตลอดทางกลับบ้านที่เหลือจึงเต็มไปด้วยเสียงหัวเราะและคำหยอกไร้พิษสงระหว่างพวกผมสองคน


    ใช่ครับ คลิฟเป็นคนที่ใจร้อนจนบางทีก็เผลอทำอะไรที่ไม่ควร


    แต่เขาก็ไม่เคยทำอย่างนั้นด้วยสาเหตุที่เห็นแก่ตัวเลยซักครั้ง แม้ว่าตัวเขาเองจะไม่เชื่ออย่างงั้นก็ตามที








    คลิฟฟอร์ด โอส์สัน เป็นหนึ่งในคนที่บ่อน้ำตาตื้นมากที่สุดที่ผมรู้จัก


    And I don't know these roads but I know you,
    Called you here just to watch you cry.


    “อีริค ฉันกลัว”


    นั่นคือสิ่งที่เขาสารภาพกับผมในเช้าตรู่ของวันหนึ่ง


    มันเช้าพอที่จะยังไม่ได้เสียงผู้คนในเมืองจากบริเวณทะเลสาบแข็งเรียบที่พวกเรายืนมองอยู่ ความเย็นที่มาพร้อมกับฤดูหนาวเสกสรรให้ทุกอย่างกลายเป็นสีขาวโพลน ภาพตรงหน้าทำให้ผมนึกย้อนไปถึงวัยเด็กที่ผมกับคลิฟจะมาสเก็ตน้ำแข็งหรือเล่นหิมะที่นี่ด้วยกันอยู่บ่อยครั้ง


    แน่นอนว่ามันยากที่พวกผมจะหาโอกาสมาเล่นอะไรแบบนั้นแล้ว เวลาเป็นสิ่งมีค่า นั่นเป็นบทเรียนที่ยิ่งโตขึ้นถึงได้เข้าใจ


    และเมื่อโตขึ้นนี้เองผมถึงได้เข้าใจว่าเวลาไม่เพียงเป็นสิ่งที่มีค่ามาก… แต่มันก็ผ่านไปเร็วเหลือเกินเช่นกัน


    หนึ่งในสิ่งที่ตอกย้ำประโยคนั้นมากที่สุดคือข่าวที่ว่าเหตุการณ์ทางการเมืองเล็ก ๆ เมื่อหลายเดือนก่อนได้เติบโต ได้ถูกใส่ไฟจนกลายเป็นการประกาศทำสงครามของประเทศพวกผมกับประเทศเพื่อนบ้านแล้ว เวลาของความสงบสุขจะจบลงเพราะไฟแห่งความขัดแย้งกำลังจะลุกโชนและเผาไหม้ทุกอย่างที่ขวางทาง


    พวกผมสมัครเป็นทหารอาสาทันทีที่รัฐบาลประกาศหา จะถามว่าเป็นเพราะความรักชาติ หรือเพราะเกียรติยศในฐานะลูกผู้ชาย หรือเพราะเงินจำนวนไม่น้อยที่รัฐบาลจะส่งมาให้ครอบครัวตลอดระยะเวลาที่อาสา ผมและคลิฟก็ยังไม่เคยกล้าหยิบประเด็นนี้ขึ้นมาเลยซักครั้ง ทั้งที่วันมะรืนก็คือวันที่พวกเราจะต้องจากเมืองนี้ไปเข้าฝึกกับกองทัพแล้ว


    “ฉันสัญญากับพวกเขาไว้ อีริค… ฉันส–สัญญากับพวกเขาไว้...” คลิฟพูดต่อ แต่ทว่าเสียงของเขาไม่เรียบเหมือนสีหน้า ไอเย็นจากปากเขาหายไปชั่วครู่ราวกับกำลังกลั้นหายใจ สายตาที่ทอดมองไปที่ทะเลสาบตรงหน้าดูแอบแฝงไปด้วยความโหยหวนและอมทุกข์แปลก ๆ


    มันเป็นความจริงที่ไม่มีใครรู้ ภายใต้ภาพลักษณ์ของชายหนุ่มที่เป็นเสาหลักของบ้าน คลิฟไม่ยอมเผยอีกด้านของเขาให้ใครในครอบครัวได้เห็นหรอกถ้าเขาเลือกได้ แน่นอน มันไม่ใช่เพราะทิฐิ แต่เป็นเพราะเขาไม่อยากให้ใครต้องเป็นห่วงต่างหาก


    สายตาเศร้าสลดของผมมองชายหนุ่มผู้แบกความรับผิดชอบมากมายบนไหล่กว้างของเขา ไหล่ที่เริ่มสั่นจากแรงกดดันที่อัดอั้นอดทนมานาน ผมกลัว กลัวเหลือเกินว่าทุกอย่างจะพังทลายลงไม่เหลือชิ้นดีหากเขาต้องแบกมันต่อไปแม้เพียงอีกแค่วินาทีเดียว


    ด้วยการตัดสินใจชั่ววูบ คลิฟปล่อยภาพลักษณ์ของตัวเองและร้องโฮทันทีที่ผมดึงเขาเข้ามากอด เขาเกาะหลังเสื้อโค้ทของผมไว้แน่นราวกับเขาไม่อยากที่จะปล่อยมันอีก น่าแปลกที่ผมยังไม่มีน้ำตาแม้ว่าตัวผมเองก็รู้สึกร้อนผ่าวในเบ้าตาอยู่ไม่น้อย


    มันไม่ใช่ภาพที่สวยหรูเหมือนในนิยายที่คลิฟเคยเล่าให้ผมฟัง พวกเราไม่ได้มีความหวังเป็นแรงชีวิตพอให้พวกผมพร้อมจะยอมรับทุกอย่างที่เข้ามาในชีวิตอย่างยินดี อนาคตที่ไม่แน่นอนทำให้พวกผมยืนอยู่บนเส้นแห่งความจริงกับข่าวร้าย มันไม่มีพื้นที่พอสำหรับความหวังงดงามเหมือนกับที่ในหนังสือเขาเคยพูดกันหรอก มันไม่มีพื้นที่นั้นแม้แต่นิดเดียว


    ผมได้แต่ลูบหลังปลอบคลิฟในขณะที่เขาปล่อยน้ำตาออกมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า ผมรู้ดีว่าคลิฟเกลียดตัวเองเวลาร้องไห้ เขาคิดว่ามันทำให้ตัวเองดูอ่อนแอ คลิฟเคยบอกผมเมื่อนานมาแล้ว


    แต่คนเราก็ต้องเคยอ่อนแอกันทั้งนั้น


    หลังจากผ่านไปได้ซักพัก หลังจากที่เขาสงบพอจะพูดได้โดยที่ไม่ต้องสำลักลมหายใจตัวเอง ชายหนุ่มผมสีดำเทาถึงเล่าให้ฟังเรื่องบทสนทนาล่าสุดกับที่บ้าน


    ด้วยเสียงและท่าทีที่อ่อนล้าราวกับจะล้มพับลงถ้าผมเผลอปล่อยเขาไป คลิฟสารภาพว่าเขาสัญญากับครอบครัวว่าจะรอดกลับมาจากสงครามให้ได้


    สายตาของทุกคนทำให้ฉันไม่กล้าพูดอย่างอื่นออกไป เขาบอกผม ทั้งที่จมูกยังแดงแต่หาใช่เพราะความหนาว ทั้งที่ตาสีเข้มคู่นั้นเริ่มช้ำจากการพยายามห้ามไม่ให้ตัวเองร้องออกมาอีก


    ‘นายจะรอดกลับมา’


    ประโยคนั้นติดอยู่ที่ปลายลิ้นของผม แต่เราทั้งคู่ต่างรู้และเข้าใจดีว่าผมพูดอย่างนั้นออกมาไม่ได้


    ผิวที่ซีดจนจะกลืนไปกับหิมะ และปลายนิ้วที่เย็นเหมือนกับน้ำแข็งทำเอาผมเผลอจินตนาการไป  หากว่าร่างที่กำลังหายใจของคนตรงหน้าจะกลายเป็นเพียงร่างเย็นเชียบไร้วิญญาณ


    แล้วหากว่าผมกลายเป็นศพที่ลาลับและไม่มีวันกลับมา มีเพียงจดหมายเปรอะดินโคลนเป็นของต่างหน้าให้คุณแม่ของผม


    อ่า…


    ใช่… มันเป็นความจริงที่โหดร้าย


    ตลอดระยะเวลาเกือบยี่สิบปีที่ผมได้มาอยู่ในเมืองนี้ ความทรงจำทั้งดีและไม่ดีล้วนกลับมาหาผมในชั่วพริบตา ทุก ๆ อย่าง ตั้งแต่จุดเริ่มต้นมาจนถึงตรงนั้นที่นั่น แค่ความคิดที่ว่ามันจะหายไปหมดและผมจะไม่มีโอกาสได้คุย ได้หัวเราะ ได้ร้องไห้ไปกับทุกคนที่ผมรัก เพียงแค่เสี้ยววินาทีนั้นที่ความคิดมันแล่นเข้ามาก็ทำผมจุกที่คอจนหายใจแทบไม่ได้


    คุณแม่… คลิฟ… แล้วยังครอบครัวของคลิฟที่รักและช่วยดูแลผมมาตลอด…


    ถ้าหากพระเจ้ามีจริง ผมขอให้คนตรงหน้าของผมรอดกลับมา


    ในขณะเดียวกัน ท่ามกลางหิมะขาวโพลนและต้นไม้แห้งกร่านไร้ชีวิตชีวา คลิฟก็กระซิบภาวนาให้ผมรอดกลับมาจากสงคราม


    ผมเกลียดตัวเองที่ให้สัญญากับเขาไม่ได้ว่าทุกอย่างจะออกมาดี


    ใครก็ได้


    ท่ามกลางความเงียบงันของลมหนาวที่ตอบกลับมา ผมได้แต่กอดคลิฟแน่นกว่าเดิม และผมเองก็เริ่มร้องไห้โดยไม่รู้ตัว


    ใครก็ได้


    คำสารภาพที่แปรผันกลายเป็นคำขอ


    ผมขอให้คลิฟฟอร์ด โอส์สันรอดกลับมา ผมขอแค่อย่าให้เขาต้องเสียใจอีก








    คลิฟฟอร์ด โอส์สัน เป็นเพื่อนที่ผมไว้ใจด้วยชีวิต


    And I know it's hard to see this through,
    I won't let go.
    Yeah, I won't let go.

    ——!


    หะ…?


    ริค!


    มันอื้ออึงไปหมด… ทั้งร่างกายและจิตใจ ผมเหนื่อย ผมรู้สึกเหนื่อยมาก ถึงจะไม่เข้าใจว่าทำไม แต่ผมไม่เคยอยากหลับตาลงและคล้อยหลับไปเท่านี้มาก่อนเลย


    อีริค!


    มีใครกำลังตะโกนเรียกชื่อของผมอยู่…?


    “อีริค! ทำใจดี—ไว้!” สัมผัสบางเบาที่หลังคอกับไหล่ดึงสติของผมกลับมาทีละนิด “อยู่กับฉัน—ก่อน!”


    ผมค่อย ๆ ลืมตาขึ้นอย่างลำบาก บ้าชะมัด ผมเหนื่อยล้าจนแทบจะทำแค่นั้นไม่ได้ด้วยซ้ำ ทุกอย่างมันรู้สึกหนักไปหมด


    “อีริค! กดตรงนี้ไว้!” สายตาที่พร่ามัวของผมมองเห็น… หือ…? คลิฟหรอ?


    ถึงทุกอย่างจะตายด้านไปหมด สิ่งเดียวที่เรียกสติของผมกลับมาได้คือความกระวนกระวายที่อยู่บนสีหน้าเปื้อนดินของอีกฝ่าย มันเกิดอะไรขึ้น? พวกเราอยู่ที่ไหน?


    ความแสบเสียดแทรกเข้ามาในอวัยวะภายในทันทีที่ผมพยายามจะเอ่ยปากถาม ผมได้แต่หลับตาลงอย่างเจ็บปวดเมื่อความชาถูกแทนที่ด้วยความเป็นจริงในไม่ช้า ใช่ พวกเรากำลังอยู่ในสนามรบ ผมกับคลิฟอยู่ในกองทหารเดียวกัน พวกเราโดนส่งมาอยู่กองหน้าที่จะได้ประจัญกับข้าศึกโดยตรง


    และผมคงจะโดนศัตรูซักคนหนึ่งแทงที่ท้องเข้าให้


    “อีริค! ตื่นไว้ก่อน นายห้ามหลับ—!”


    ปัง!


    ผมรู้สึกเหมือนมีเงามาครอบตัวผมไว้ คลิฟที่โยนตัวเองลงมาโดยตั้งใจไม่ให้โดนผมสบถออกมา ดูท่ากระสุนลูกเมื่อกี้จะใกล้เกินว่าที่จะเรียกว่าบังเอิญ… มันอาจจะมีทหารฝั่งตรงข้ามที่พยายามหมายหัวจะเอาเป้าง่าย ๆ อย่างพวกเราสองคนในตอนนี้ ผมบังคับตัวเองลืมตามาได้เสี้ยวเดียวและเห็นคลิฟกัดฟันอย่างร้อนรนเมื่อปืนของเขาส่งเสียงกลวงกว่าที่ควร… กระสุนหมดสินะ ยิ่งปืนของผมคงไม่ต้องพูดถึง เผลอ ๆ อาจจะโดนหนึ่งในศพที่รายล้อมตัวกลบไปแล้วด้วยซ้ำ เมื่อสรุปความได้ดังนั้นผมจึงรวบรวมแรงที่เหลืออยู่เพียงน้อยนิดเพื่อขยำคอเสื้อของคลิฟแล้วเค้นเสียงออกมาให้เขาเข้าใจ


    “คลิฟ นายต้องทิ้งฉันไว้ตรงนี้”


    เสียงที่แหบพร่าและซ่อนความเจ็บไว้ไม่มิดดูจะบาดใจคลิฟอยู่มาก


    “ไม่… ไม่ได้ ฉันทิ้งนายไว้ตรงนี้ไม่ได้…!”


    ถึงจะไม่มีใครบอก ผมก็สัมผัสได้ว่าคลิฟจะทำสีหน้าอย่างไรอยู่ ผมพยายามกำเนื้อผ้าหยาบในมือให้แน่นกว่าเดิมแต่ก็ต้องหยุดตัวเองเมื่อความเจ็บแปรบเข้ามาอีกระลอก รสคาวน่าสะอิดสะเอียนถูกดันขึ้นมาจากกระเพาะและทำให้ผมสำลักมันออกมาอย่างทรมาน


    กว่าผมจะกลับมามีแรงพอจะเถียงกลับอีกครั้ง ผมก็ต้องตกใจเมื่อลืมตาแล้วไม่เจอใคร แหล่งความอบอุ่นที่คอยช่วยกดบาดแผลของผมและเสียงที่คุ้นเคยหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ยังไม่สามารถตอบได้


    ผม…


    ผมตัองสารภาพ ว่าในวินาทีนั้นผมไม่รู้สึกผิดหวัง หรือเสียดายเลยแม้แต่น้อย ให้ตายสิ นี่คงจะเป็นครั้งแรกและครั้งสุดท้ายในชีวิตที่ถูกคนที่ผมรักทิ้งแล้วดีใจขนาดนี้! มันเป็นความคิดขำขันที่ผมคิดว่ามันชั่งตลกร้าย


    แต่ทว่า ผมที่กำลังจะปล่อยให้ตัวเองดำดิ่งลงไปกับนิทราที่ผมไม่อาจหวนกลับมาถูกผลักให้กลับมายังโลกอีกครั้ง เสียงตะโกนแหกปากที่ผมได้แต่ภาวนาว่าเป็นภาพหลอนของผมไปเองทำให้ผมยันตัวเองขึ้นมาอย่างยากลำบาก ดวงตาสีฟ้าจางของผมเบิกโพลงราวกับว่าความเจ็บปวดที่ไส้ในไม่มีค่าเลยแม้แต่น้อย


    “ตรงนี้! ช่วยด้วย! ตรงนี้มีคนเจ็บ!”


    เพราะสิ่งที่ผมเห็นยืนอยู่ตรงนั้นไม่ไกลจากผม คือคนที่ผมมองว่าสีผมและตาเท่มาตั้งแต่เด็ก


    คือผู้ชายที่คอยช่วยเหลือผมและผลักดันให้ผมกล้าแสดงออกมาตลอด แม้ว่าตัวเองจะใจร้อนแค่ไหนก็ตาม


    คือเพื่อนที่ไม่เคยไม่กล้ายืนหยัดเพื่อศักดิ์ศรีของคนที่เขารัก ถึงจะกำลังโดนเหยียดโดยหมู่คนมากมายที่ฐานะดีกว่า


    คือเสาหลักของบ้านที่แบกโลกของตัวเองทั้งใบไว้บนบ่าเพื่อที่คนในครอบครัวจะได้ไม่ต้องทำเช่นนั้น


    คือเด็กขี้แงที่เกลียดเวลาตัวเองร้องไห้และความบ่อน้ำตาตื้นของตนแม้ว่าผมจะอยากให้เขาปล่อยให้คนอื่นเห็นความอ่อนแอบ้างก็ตาม


    คือคลิฟ… ที่กำลังยืนอย่างไม่เกรงกลัวพร้อมกับโบกมือและตะคอกสุดเสียง เพียงเพื่อจะเรียกหน่วยพยาบาลที่อยู่ไกลออกไป เป็นความหวังริบหรี่ให้มาช่วยผมที่ใกล้จะหมดลมเต็มที


    “ม–ไม่… คลิฟ!”


    ปัง!


    มันก็เป็นแค่หนึ่งในกระสุนอีกเป็นหมื่นเป็นแสนที่ถูกยิงในสมรภูมิรบครั้งนั้น แต่แค่ในวินาทีนั้นผมก็รู้ได้ทันทีว่าจะมีเพียงแค่กระสุนนัดนี้เท่านั้นที่ผมจะไม่มีวันลืม


    สิ่งที่ผมสวดมนต์ภาวนามาตลอดดูจะไม่เป็นผล เพราะสุดท้ายแล้วความหวังก็ยังคงเป็นสิ่งที่พวกผมไม่สามารถที่จะแม้แต่กอบกุมมันไว้


    ราวกับว่าทุกอย่างได้ช้าลงจนแม้แต่ตาที่หรี่ลงของผมยังมองเห็นได้ชัดเจน ร่างสูงโปร่งของคลิฟค่อย ๆ ล้มลงมา… ใบหน้าของเขาแปรเปลี่ยนจากความกระวนกระวายเป็นความตกใจ น่าแปลกที่ผมไม่ได้ยินเสียงอื่นเลยแม้แต่น้อย เพียงเพราะตอนนั้นผมได้แต่จ้องเพื่อนของผมที่พังทลายลงมาในที่สุด คลิฟที่ลงไปอยู่นอนคดอยู่บนพื้นสั่นระริกจนแม้แต่ผมที่อยู่ห่างออกไปยังสังเกตเห็น


    สีแดง


    ผมมองเห็นสีแดงที่อยู่บนมือเขา สีแดงที่ลามมาจากข้างหลังจนตอนนี้ชุ่มไปเกือบทั้งเสื้อ มันเป็นสีแดงที่น่ากลัว จนผมเองก็ลืมเรื่องบาดแผลบนตัวเองไปเสียสนิท หรือความทรมานในใจจากที่ได้เห็นหนึ่งในคนที่ผมรักที่สุดกำลังจากผมไปนี่มันทำให้จุกจนไม่รู้สึกเจ็บที่ตัวกัน?


    ปลายนิ้วที่เริ่มตายด้านไม่สามารถทำตามที่สมองผมสั่งได้อีกแล้ว ถึงแม้ผมอยากจะดันตัวเองขึ้นและถลาเข้าไปหาคนตรงนั้นเพียงใด สิ่งที่ผมทำตอนนี้ได้มีเพียงแต่นอนเก็บรายละเอียดทุกอย่างของคลิฟฟอร์ด โอส์สัน ผู้ที่เหลือเพียงแต่รอยยิ้มอ่อนจากที่เชื่อว่าตนเรียกหน่วยพยาบาลสำเร็จ และคำพูดสุดท้ายที่ผมเห็นแต่ไม่ได้ยินจากรูปปากนั้น


    ลาก่อน


    ก่อนที่ไฟในดวงตาสีเทาเข้มคู่นั้นที่ผมชื่นชมนักหนาจะดับไป








    และ… คลิฟฟอร์ด โอส์สัน เป็นหนึ่งในผู้เสียชีวิตในสงครามครั้งนั้น



    ...



    คลิฟ…



    ไม่ว่าจะยังไง



    ถ้าเราได้กลับมาเป็นเจอกันอีกซักครั้ง



    มันก็คงจะดีไม่น้อยนะ…




    That’s life when you compromise.

    Cause I could let you go if I wanted to,


    Erik




    Erik

    สถานภาพการเป็นอยู่: Unknown






    (C) ELIZILE
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×