ตอนที่ 8 : กระจกปริศนาในป่ามหาภัย
บทที่ 5 กระจกปริศนาในป่ามหาภัย
เสียงเด็กหนุ่มสาวหกคนนั่งคุยกระเซ้าเย้าแหย่กันด้วยความสนุกสนานดังแว่วมาจากใต้ต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่ง เวลาเพียงสองชั่วโมงกว่าขณะนั่งรอผู้สอบผ่านคนอื่น ๆ ทำให้คนทั้งกลุ่มสนิทสนมกันรวดเร็วถึงขั้นกล้าต่อล้อต่อเถียง ตบหัว ลูบหลัง (ด้วยเท้า) ยกเว้นยูคที่ยังคงยึดสโลแกนพูดน้อยต่อยหนักไว้อย่างเสมอต้นเสมอปลาย ใครถามอะไรมาก็ตอบบ้างนิ่งบ้าง เฟอนันโดตอบแทนบ้าง มีเพียงคำถามจากเอเวอลีนเท่านั้นที่เด็กหนุ่มยอมตอบทุกคำ แถมยังอธิบายจนกว่าเอเวอลีนจะเข้าใจแจ่มแจ้งอีกด้วย อย่าว่าแต่พวกกาเบรียลที่แปลกใจเลย ขนาดเพื่อนสนิทที่คบกันมาตั้งแต่เด็กเช่นเฟอนันโดก็ยังอดแปลกใจไม่ได้
“นายบอกว่ามาจากมาราคัสใช่ไหมเฟอ” อยู่ดี ๆ กาเบรียลก็หันมาถามเฟอนันโด ชนิดคนถูกถามเองยังงงว่ามันจะถามอีกทำไม ก็บอกไปแล้วนี่นา คนอื่น ๆ พร้อมใจกันหุบปากชั่วคราวมองกาเบรียล ก่อนย้ายมาจ้องเฟอนันโด
“ใช่ มีอะไรเหรอ”
“รู้จักตระกูลเคลมโซราสรึเปล่า” กาเบรียลถามอีก คราวนี้ทุกสายตาย้ายมาตรงร่างในเสื้อคลุมที่แอบสะดุ้งเบา ๆ
เฟอนันโดเงียบไปอีกครั้งก่อนตอบ สีหน้าไม่แน่ใจในจุดประสงค์ของเพื่อน
“รู้สิ ตระกูลนี้ดังจะตาย”
สายตาทุกคู่ย้ายกลับไปที่เฟอนันโดอีกครั้งคล้ายต้องการคำขยายความมากกว่านี้ ส่วนสาวเดียวในกลุ่มผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับตระกูลดังนั่งก้มหน้านิ่ง ในใจลุ้นระทึกว่าความลับจะแตกหรือเปล่า
เฟอนันโดเหมือนจะเข้าใจสายตาเพื่อน ๆ จึงอธิบาย
“ตระกูลเคลมโซราสเป็นตระกูลใหญ่และเก่าแก่ มีความสำคัญเป็นอันดับ 2 รองจากตระกูลโบลด์วินซ์ที่เป็นราชวงศ์ในปัจจุบันของมาราคัส ที่สำคัญ...นามสกุลเคลมโซราสเป็นนามสกุลเก่าของพระราชินีก่อนที่พระองค์จะอภิเษกกับกษัตริย์แห่งมาราคัสน่ะ”
ทุกสายตาหันขวับมามองเพื่อนสาวที่นั่งตัวลีบอยู่ แล้วเปลี่ยนไปมองหน้ากาเบรียลที่ถามขึ้นมาอีกครั้ง
“แล้วนายเคยเห็นหน้า เลดี้เอเวอลีน เคลมโซราส รึเปล่า”
คราวนี้ทุกคนถึงได้เข้าใจจุดประสงค์ของเจ้าหนุ่มหน้าหล่อกาเบรียลซะที
อ้อ...ที่แท้มันอยากเห็นหน้าอีวี่นี่เอง
เฟอนันโดส่ายหน้าหวือจนผมกระจาย
“ไม่เคยอ่ะ ไอ้เรามันก็แค่ชาวบ้านธรรมดาสามัญชนทั่วไป จะไปเห็นหน้าเลดี้สูงศักดิ์ได้ยังไง อย่าว่าแต่ฉันเล้ย ได้ยินมาว่าคนที่เคยเห็นหน้าเลดี้เอเวอลีนหรืออีวี่ของพวกเราน่ะนับนิ้วได้ด้วยซ้ำ แล้วคนพวกนั้นก็มีแต่คนใน
ตระกูลเคลมโซราสกับเหล่าเชื้อพระวงศ์ชั้นสูงเท่านั้นแหละ”
“โอ้โหเฮะ นี่สาวน้อยเพียงหนึ่งเดียวในกลุ่มพวกเราเป็นถึงคนสำคัญของมาราคัสเชียวหรือเนี่ย” ราเอลแซวเพื่อนสาวเล่น
“ตกลงเธอสวยรึเปล่าอีวี่” เมราซถามหน้าตาย ซึ่งสาวเจ้าก็สวนกลับทันทีด้วยน้ำเสียงมั่นใจเต็มเปี่ยม
“อัปลักษณ์สุด ๆ”
หนุ่ม ๆ แต่ละคนทำหน้าเหยเกประมาณว่าเชื่อตายล่ะ ถึงจะไม่เคยเห็นหน้ามาก่อน แต่พวกเขาเชื่อว่าคนอย่างเลดี้เคลมโซราสยังห่างชั้นจากคำว่าอัปลักษณ์อีกไกลโข ดีไม่ดีสาเหตุที่เธอใส่เสื้อคลุมปิดหน้าตามิดชิดอาจเป็นเพราะงามเกินไปด้วยซ้ำ
“เอาล่ะจ้ะเด็ก ๆ มารวมกันทางนี้ได้แล้ว” เสียงเลดี้จีเซลดังไปทั่วบริเวณ เธอยังคนยืนอยู่ที่เดิม ด้านหลังมีรุ่นพี่หัวหน้าหอทั้งสี่ยืนเรียงแถวรอฟังคำสั่งต่อไป
เด็ก ๆ ที่สอบผ่านรีบกระวีกระวาดมารวมตัวกันเบื้องหน้าอาจารย์สาวทันที รอยยิ้มเจ้าเล่ห์ประดับที่มุมปากของเลดี้จีเซลพลางประกาศเสียงดัง
“ผลการคัดเลือกรอบสองโดยการวัดระดับพลังเวท จากผู้สมัครรอบที่แล้ว 12,875 คน มีคนที่ผ่านการคัดเลือกเพียง 7,327 คนเท่านั้น ขอแสดงความยินดีกับผู้ที่สอบผ่านด้วยนะจ๊ะ แต่...อย่าเพิ่งดีใจไป นี่เป็นแค่น้ำจิ้ม ต่อไปนี้จะเป็นการสอบรอบสุดท้ายซึ่งถือเป็นการสอบเข้าโรงเรียนเวทแห่งเฮสเทียของจริงล่ะนะ หมดหน้าที่ของครูกับพวกหัวหน้าหอแล้ว ขออวยพรให้ทุกคนสอบผ่านแบบอาการครบสามสิบสองนะจ๊ะ หึ ๆ ๆ”
เสียงหัวเราะสยองขวัญของอาจารย์ดังกึกก้องแล้วค่อย ๆ จางลงเมื่อร่างทั้งห้าหายไปจากบริเวณนั้น เช่นเดียวกับประตูทางเข้าโรงเรียนที่กลับคืนเป็นกำแพงทึบเช่นเดิม
“จะยืนเหม่อกันอีกนานมั้ย” เสียงถามดุ ๆ ดังสนั่นมาจากด้านหลัง ทำให้ว่าที่นักเรียนใหม่ทั้งกลุ่มสะดุ้งโหยงหันขวับกลับไปมอง
เด็กหนุ่มสาวสี่คนยืนจังก้ามองมาด้วยสีหน้าต่างกัน ทั้งสี่สวมชุดขาวเหมือนเหล่าหัวหน้าหอ ต่างกันที่สีของปลอกแขนซึ่งเป็นสีทองเหมือนกันทุกคน และลวดลายที่แสดงถึงการดำรงตำแหน่งในสภาเฮสเทีย ซึ่งหลายคนอาจรู้ดีอยู่แล้ว เพียงแต่ไม่รู้ว่าคนไหนเป็นใครและดำรงตำแหน่งใดกันแน่
“จะมองอีกนานมั้ยหา! มัวแต่ยืนบื้อกันอยู่นั่นแหละ ฉันจะได้ยกเลิกการสอบให้มันสิ้นเรื่องสิ้นราวไปซะ” เสียงกร้าวจากเด็กหนุ่มทางซ้ายสุดเรียกสติกระเจิดกระเจิงของกลุ่มว่าที่นักเรียนใหม่ได้ชะงัก
“เอาน่าโยฮัน อย่าขู่น้องสิ กลัวหัวหดกันหมดแล้วเห็นไหม” เด็กหนุ่มผมสีม่วงเข้มตาสีดำขลับซึ่งยืนติดกับคนพูดปรามด้วยน้ำเสียงขบขันอย่างที่คนข้าง ๆ และอีกสองคนที่มาด้วยกันฟังเป็นกวนโมโหเสียมากกว่า ก่อนที่เด็กหนุ่มผมดำคนเดิมหันกลับมาสนใจรุ่นน้องอีกครั้ง
“อย่าไปฟังไอ้พวกขี้เก๊กดีแต่ขู่ชาวบ้านเลย มาฟังเรื่องสอบกันดีกว่าเนอะ อย่างที่อาจารย์เลดี้จีเซลคนสวยบอก การสอบรอบนี้เป็นการสอบของจริงไม่ติงนัง ใครผ่านก็เท่ากับว่าได้เข้าเรียนที่โรงเรียนแห่งเฮสเทียแน่นอน และที่ที่เราจะสอบกันก็คือ...บนโน้น” นิ้วแกร่งชี้ขึ้นเหนือศีรษะ เมื่อมองตามจึงได้เห็นเมฆขนาดใหญ่ผิดปกติลอยอยู่ลิบ ๆ
นัยน์ตาสีดำวิบวับมองร่างเล็กในเสื้อคลุมตัวใหญ่คล้ายชอบใจอะไรบางอย่าง แล้วเด็กใหม่ใจกล้าหน้าด้านคนหนึ่งก็ตะโกนถามขึ้นมาอย่างไม่กลัวตาย
“รุ่นพี่คร้าบ ไม่คิดจะแนะนำตัวให้พวกเรามีวาสนาได้รู้จักชื่อหน่อยเหรอคร้าบ”
รุ่นพี่หัวม่วงแหงนหน้าหัวเราะชอบใจ พลันเปลี่ยนเป็นสีหน้าเย็นยะเยือกเมื่อหันมามองหน้าคนใจกล้า บรรยากาศชวนขนลุกแผ่ออกมารอบตัวจนเพื่อนที่มาด้วยกันแอบสะดุ้ง ขณะที่ว่าที่น้องใหม่ที่ยืนอยู่ใกล้ ๆ เผลอถอยหนีกันคนละหลายก้าว
“ชื่ออะไรเจ้าหนู”
“ราเอล แอชเชอร์ แห่งวอเรนคร้าบ” ราเอลเชิดหน้าตอบ จ้องมาจ้องกลับ ไม่โกง!
“เมื่อกล้าถาม ฉันก็กล้าตอบ” สาดสายตาเกรี้ยวกราดมองกลุ่มว่าที่เด็กใหม่ พูดเสียงห้วน “เดวอน อานิสตัน แห่งวอเรน”
“แอนนาเบล วาเลเรี่ยน แห่งชาลูเม่ จ้ะ” รุ่นพี่สาวสวยรีบเอ่ยเสียงหวานหวังลดบรรยากาศกดดันที่เพื่อตัวดีสร้างขึ้น ต่อด้วยน้ำเสียงร่าเริงเด็กหนุ่มบุคลิกห้าวหาญ
“พี่ชื่อนาธาน ซินแคลล์ แห่งมาราคัส ยินดีที่ได้รู้จักนะว่าที่รุ่นน้อง”
ปิดท้ายด้วยรุ่นพี่ท่าทางเย่อหยิ่งที่แนะนำตัวเองอย่างเสียไม่ได้ “บารอนโยฮัน แรนเดล แห่งบาวาเรีย”
“อ้อ...เป็นขุนนางนี่เองถึงได้หยิ่งนัก” ราเอลแสยะปาก พูดบา ๆ ให้กลุ่มเพื่อน ๆ ได้ยิน
“พอใจรึยัง ถ้าพอใจแล้วจะได้สอบกันซะที เสียเวลามานานแล้ว” เดวอนตัดบท บรรยากาศชวนขนลุกหายวับราวกับไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ขยับส่งสัญญาณให้เพื่อนที่มาด้วยกันแยกตัวกันยืนล้อมรุ่นน้องทั้งสี่ทิศ หลังจากร่ายมนต์ไม่นาน ร่างของคนเจ็ดพันกว่าคนก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย และกลับปรากฏอีกครั้งที่ชายป่าแห่งหนึ่ง รุ่นทั้งสี่คนย้ายมายืนรวมกันด้านหน้าอีกครั้ง มีเดวอนยืนล้ำมาด้านหน้า อธิบายกติกาในการสอบเสียงเย็น
“ที่เห็นอยู่นี้คือป่าลวงตา อยู่บนเมฆที่ชี้ให้ดูเมื่อกี้นั่นแหละ ปกติใช้เป็นสถานที่เรียนวิชามายาศาสตร์ของพวกปี 5 แต่ตอนนี้เอามาใช้เป็นสนามทดสอบพวกเธอ ฉันมีเวลาให้จนถึงบ่ายสอง พวกเธอต้องออกมาจากป่าให้ได้ไม่ว่าอยู่ในสภาพใดก็ตาม ถ้าออกมาได้กำหนดถือว่าสอบผ่าน หากเลยเวลา...สอบตกทันที อ้อ! อีกอย่าง นี่ก็ใกล้เที่ยงแล้ว หาอะไรกินเอาในป่านั่นแหละ ไปได้แล้ว!”
จบคำ ว่าที่รุ่นน้องทั้งหลายก็วิ่งกรูหายเข้าไปในป่าจนหมดสิ้น เหลือเพียงหกคนที่เดินเอื่อยเฉื่อยรั้งท้ายเข้าป่าเหมือนจะชมนกชมไม้มากกว่าสอบเข้าเรียนด้วยความเคร่งเครียด
เดวอนมองตามหลังรุ่นน้องหกคนสุดท้ายที่เพิ่งหายเข้าไปในป่า ริมฝีปากได้รูปกระตุกยิ้มพึงใจ นึกถูกชะตารุ่นน้องกลุ่มนี้ขึ้นมาติดหมัด ถ้าสอบผ่านทั้งกลุ่มก็คงดี
…………………………………………………………
คิ้วเรียวใต้ฮู้ดเสื้อขมวดแน่น นัยน์ตาสีดำขลับกวาดมองรอบตัวด้วยความระแวดระวัง แปลกจริง...เมื่อกี้ยังเดินอยู่ด้วยกันดี ๆ ทั้งหกคน ไหงเผลอแผล็บเดียว เหลือเธอคนเดียวได้เนี่ย
อ๊ากกกกกกกกกก!!!
เสียงร้องโหยหวนของใครหลายคนดังแว่วมาตามลม เพียงไม่นานก็เงียบหาย เอเวอลีนหยุดเดินทันควัน ใบหน้างดงามดูเคร่งเครียดกว่าเก่า มือบางขยับดึงฮู้ดเสื้อลงเพื่อไม่ให้เกะกะสายตาในการมองสำรวจรอบด้าน มืออีกข้างกระชับดาบสีขาวเล่มเรียวที่เพิ่งเรียกออกมาแน่น
ป่านี่มันอะไรกัน เมื่อกี้กอดอกไม้ป่ายังอยู่ทางซ้าย มีแม่น้ำอยู่ด้านหลัง แค่เพียงกระพริบตา...กอดอกไม้นั่นดันย้ายมาอยู่ข้างหลัง ส่วนแม่น้ำก็ไปอยู่ทางขวา แต่ต้นไม้ที่อยู่ทางขวากลับไปอยู่ข้างหน้า เอเวอลีนมั่นใจว่าตัวเองยังยืนนิ่งอยู่ที่เดิมไม่ได้ขยับไปไหน แบบนี้ก็พอจะสรุปได้คร่าว ๆ ว่าป่านั่นแหละที่ย้ายตัวเอง แบบนี้ก็ซวยน่ะสิ อย่าให้รู้เชียวนะว่าใครเป็นคนเสนอให้มาสอบที่นี่ ไม่งั้นแม่จะแสดงความรักด้วยฝ่าเท้าบอบบางนี่สักทีสองที เอาให้เห็นดาวกลางวันเลยคอยดู!
…………………………………………………………
ภายในห้องทำงานขนาดใหญ่แห่งหนึ่งตกแต่งด้วยโทนสีแดงเข้ม หน้าต่างทุกด้านถูกเปิดกว้างรับลมจนผ้าม่านสีขาวปลิวไหว ริมผนังด้านหนึ่งเป็นกระจกบานสูงท่วมหัวหกบานหกสีลอยเรียงกันอยู่เหนือพื้นไม่มากนัก ราวกับมีมือล่องหนถือมันให้อยู่นิ่ง ๆ แต่ละบานสลักลวดลายวิจิตรงดงาม ผิวกระจกวาววับมิได้สะท้อนสภาพภายในห้อง แต่กลับสะท้อนภาพอิริยาบถต่าง ๆ ของผู้เข้าสอบในป่ามายาได้อย่างประหลาด
บนเก้าอี้นวมตัวใหญ่หน้ากระจก ชายชราเรือนผมสีขาวทอดนัยน์ตาสีฟ้าสดใสดูฉลาดเฉลียวมองภาพในกระจก ริมฝีปากคลี่ยิ้มน้อย ๆ มือเหี่ยวย่นทว่าแข็งแรงลูบเครายาว พลันสีหน้าสบาย ๆ กลับเปลี่ยนเป็นตกใจ ร่างสูงวัยถึงกับลุกพรวดจากเก้าอี้ เมื่อกระจกสีดำทะมึนซึ่งกำลังฉายภาพเด็กสาวเจ้าของใบหน้างดงามคนหนึ่ง อยู่ดี ๆ ก็หายไปอย่างไร้ร่องรอยราวกับว่าไม่เคยอยู่ตรงหน้าเขามาก่อน เช่นเดียวกับกระจกบานอื่น ๆ อีกห้าบานที่ทยอยหายไปจนหมดสิ้นทั้งที่ไม่น่าจะเป็นไปได้ ใบหน้าทรงภูมิฉายแววตื่นตระหนก รีบสาวเท้าออกไปจากห้องอย่างเร่งรีบ
…………………………………………………………
เอเวอลีนเร่งฝีเท้าเดินทะลุป่าประหลาดเป็นเส้นตรง ไม่สนใจว่าสิ่งต่าง ๆ ในป่าว่าจะย้ายตนเองไปอยู่ที่ใด ริมฝีปากจิ้มลิ้มสบถยาวเหยียดเท่าที่สมองจะสามารถคิดหาคำได้ ชนิดที่หากอเล็คเซลหรือโซฟิเลียได้ยินเข้า เธออาจถูกจับเข้าคอร์สอบรมมารยาทเชื้อพระวงศ์มหาโหดอีกรอบแน่นอน มือบางตวัดดาบไล่สัตว์อสูรที่เข้ามารังควานเป็นตัวที่สามสิบตั้งแต่เข้ามาผจญเวรผจญกรรมในป่ามายาเมื่อเกือบหนึ่งชั่วโมงก่อน
“เดินมาเกือบชั่วโมง เจอสัตว์อสูรสารพัดชนิด มีตั้งแต่น่ารัก น่ากิน ยันอันตรายถึงขั้นตายโดยไม่รู้ตัว ไหนจะต้นไม้กินคน เห็ดมรณะ หญ้าพิษ หมอกโลหิต ธารน้ำกรด หล่มโคลนเดือด และสารพัดกับดักทุกชนิดที่มีในโลกนี้อีก ฉันอยากจะบ้าตาย! นี่เหรอสถานที่เรียนของพวกปี 5 ถ้าบอกว่าเป็นลานประหารหรือหลุมฝังศพจะไม่เถียงสักแอะ”
บรรยากาศรายรอบตัวคล้ายจะมืดลงทุกขณะ เอเวอลีนหยุดเดิน แหงนหน้าขึ้นมองดวงอาทิตย์ที่ยังคงอยู่ตรงหัวบอกเวลาเที่ยงวันเช่นเดิม แล้วเหตุใดรอบกายนางถึงให้ความรู้สึกเหมือนยามใกล้ค่ำ เพียงครู่เดียวแสงสว่างทั้งมวลพลันมลายหายไป มองไปทางใดก็มืดมิด เด็กสาวตั้งสติมั่น ประสาทสัมผัสทุกอย่างถูกเปิดใช้งานเต็มที่กับความผิดปกติที่เกิดขึ้นกะทันหัน
“สาบานว่านี่คือบททดสอบว่าที่นักเรียนเวทปี 1 ของเฮสเทีย ไม่ใช่บททดสอบอัศวินจอมเวทของไซครอส มันจะโหดอะไรกันนักกันหนา ขอแบบที่มันสบาย ๆ หน่อยไม่ได้รึไง แล้วนั่นอะไรอีกล่ะเนี่ย”
ท่ามกลางบรรยากาศที่มืดมิดราวกลางคืน ปรากฏแสงสว่างสีขาวนวลตาเปล่งประกายเรืองรองอยู่ด้านหนึ่ง แม้จะเป็นแสงเพียงน้อยนิด แต่สำหรับเอเวอลีนแล้วมันดูอบอุ่นและให้ความรู้สึกคุ้นเคยอย่างประหลาด เท้าเริ่มออกเดินเข้าหาแสงสว่างนั้นไม่มีแม้แต่ความหวาดกลัวหรือหวาดระแวงใด ๆ ทั้งสิ้น
นัยน์ตาสีรัตติกาลเบิกกว้างขึ้นเมื่อเห็นแหล่งกำเนิดแสงสว่างถนัดตา กระจกโบราณสีดำสนิทบานใหญ่สูงท่วมหัวลอยเด่นอยู่เบื้องหน้า กรอบกระจกทำจากนิลเม็ดเดี่ยวขนาดมหึมา แกะสลักเป็นลวดลายเครือเถาอ่อนช้อยงดงาม ทุกเหลี่ยมสันล้อแสงเป็นประกาย ด้านบนเป็นรูปภูตเพศชายหน้าตาหล่อเหลาคมคาย กำลังอ้าแขนและกางปีกขนนกขนาดใหญ่สองคู่โอบอุ้มกระจก ด้านล่างสลักเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยวหงาย ขนาบซ้ายขวาด้วยดาบวงพระจันทร์เล่มเรียวสองเล่ม มีเคียวใหญ่พาดทับเป็นฐานอีกชั้นหนึ่ง ผิวกระจกเรียบลื่นสีเดียวกับกรอบไม่สะท้อนภาพใด ๆ ทั้งสิ้น
“หูย... นิลกาฬเม็ดเป้งขนาดนี้ ไปหามาจากไหนเนี่ย” เอเวอลีนมองกระจกบานใหญ่อย่างหลงใหลระคนชื่นชมในฝีมือของช่างผู้ประดิษฐ์มันขึ้นมา
ท่านเป็นใคร ตอบข้า...ท่านเป็นใคร
เสียงทุ้มทรงอำนาจดังก้องมาจากกระจก เรียกสติของเด้กสาวกลับมาอีกครั้ง
ท่านเป็นใคร ตอบข้า...ท่านเป็นใคร
เสียงจากกระจกถามซ้ำอีกครั้ง เมื่อเอเวอลีนที่กำลังยืนงงอยู่ยังไม่มีทีท่าว่าจะตอบมันเสียที
“เอ่อ...ฉันชื่อเอเวอลีน” ตอบเสียงแผ่วเหมือนไม่แน่ใจในกระจกตรงหน้า
เอเวอลีนคือผู้ใด ท่านเป็นใคร ตอบข้า...ท่านเป็นใคร
ราวกับไม่พอใจในคำตอบ กระจกจึงยังถามคำเดิมอยู่เช่นนั้น เด็กสาวถอนหายใจเฮือกใหญ่ จำใจคลายเวทที่ใช้ในการเปลี่ยนร่าง เส้นผมสีเงินเหยียดตรงยาวสลวยทิ้งตัวลงถึงเข่า นัยน์ตาสีม่วงประกายดาวเพ่งมองกระจกคล้ายท้าทายอยู่ในที ใบหน้างามเชิดขึ้น เอ่ยด้วยน้ำเสียงและสีหน้าทะนงในตัวตน ตัวตน...ที่วิญญาณธิดากษัตริย์ผู้สูงศักดิ์เต็มใจมอบให้เธอดูแลตราบจนสิ้นลม
“เราคือ...เจ้าหญิงเอเวอลีน มารีเนต เซเรนเซีย แห่งไซครอส”
อา...เซเรนเซียผู้ใช้นามมารีเนต นายข้า... นายของข้า... ในที่สุดข้าก็หาท่านพบ ข้าเป็นใคร นายข้า... ข้าเป็นใคร
กระจกถามอีก เอเวอลีนมุ่นคิ้วเล็กน้อย เธอจะไปรู้ได้ยังไงว่ากระจกพูดได้ที่เพิ่งเคยเห็นครั้งแรกบานนี้เป็นใคร ครั้นไล่สายตาหาชื่อกระจกที่น่าจะสลักไว้ตรงกรอบก็ไม่มี จึงตัดสินใจตอบออกไปด้วยสำนึกบางอย่างที่พุ่งวาบเข้ามาในอก
โปรดเรียกขาน...นายข้า ข้าเป็นใคร
“เจ้าคือกระจกบานที่สองในกระจกแห่งเทียร์ทั้งหกบาน... นิมิตรัตติกาล”
สิ้นเสียงเสียงหวาน แสงสว่างที่ห้อมล้อมตัวกระจกพลันดับวูบ รอบกายบอบบางมืดสนิทชนิดไหล่ตัวเองก็ยังมองไม่เห็น ผืนกระจกสีน้ำหมึกไหววูบเป็นระลอกคลื่น ปรากฏตัวอักษรสีทองเรืองแสงเป็นภาษาไซครัส...ภาษาเวทมนตร์โบราณที่ปัจจุบันแทบหาผู้แตกฉานในภาษานี้ไม่ได้อีกแล้ว แต่เอเวอลีนกลับอ่านได้ทั้งที่เธอไม่เคยเห็นมันมาก่อนด้วยซ้ำ
บานที่สองฉาบสีนิลนิกร มิสะท้อนสิ่งใดให้ใหลหลง
ราตรีกาลมืดมิดสนิทลง อันโฉมยงนารีได้บัญชา
ผิวกระจกสั่นไหวอีกระลอก ตัวอักษรสีทองเริ่มขยับเคลื่อนไหว เรียงลำดับตัวเองเป็นประโยคใหม่
สัมผัสข้า...นายหญิง สัมผัสข้า
เอเวอลีนยื่นมือแตะผิวกระจกอย่างว่าง่าย ฉับพลันร่างทั้งร่างเหมือนถูกดูดด้วยแรงอันมหาศาลวูบหายไปพร้อมกับกระจกบานใหญ่ ป่าบริเวณนั้นจึงกลับมาสว่างสดใสดังเดิม
…………………………………………………………
ร่างบอบบางยืนอยู่ในห้องโถงขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง ด้านหลังคือซุ้มประตูสีดำขนาดใหญ่สลักลวดลายอ่อนช้อยงดงาม เบื้องหน้า...ไม่ว่ามองไปทางไหนก็เห็นแต่สีดำ ยกเว้นกระจกใสกรุหน้าต่างที่มีแสงลอดเข้ามารำไร ทำให้เห็นสภาพห้องที่สร้างจากหินอ่อนสีดำสนิททั้งห้อง ตกแต่งคล้ายอยู่ในมหาวิหารที่ไหนสักแห่ง เสาหินอ่อนสีดำสลักลายเถาใบไม้สูงใหญ่ค้ำเพดานตั้งเรียงรายเป็นสองแถว เว้นตรงกลางเป็นทางเดินกว้าง ทุกต้นมีม่านผ้าไหมสีดำยาวจากเพดานจดพื้นพันไว้อย่างมีศิลป์ โลกในกระจกไม่ต่างอะไรจากภายนอก หากจะบอกว่าบานกระจกเป็นประตูมิติพาเธอมายังสถานที่แห่งนี้ เอเวอลีนก็พร้อมจะเชื่อ
“นายหญิง” เสียงทุ้มเจือกังวานนอบน้อมอยู่ในทีดังขึ้น พร้อมกับชายหนุ่มคนหนึ่งเดินมาหยุดตรงเบื้องหน้าและค้อมกายทำความเคารพนาง
เอเวอลีนกวาดตามองคนตรงหน้าอย่างละเอียด ชายหนุ่มรูปร่างปราดเปรียว สวมชุดแบบนักรบเทพทว่าเป็นสีดำสนิท กลางหน้าผากมีตราสัญลักษณ์สีดำรูปพระจันทร์เสี้ยวหงายถูกโอบไว้ด้วยปีกสองคู่ เรือนผมสีดำขลับยาวระพื้นถักเป็นเปียเดี่ยวหลวม ๆ นัยน์ตาสีเดียวกันเปล่งประกายแห่งความยินดีอย่างชัดเจน ปีกขนนกสีดำมันวาวขนาดใหญ่สองคู่พับเก็บไว้กลางหลัง ใบหน้าคมคายคุ้นตาคลี่ยิ้มอ่อนโยนให้กับเด็กสาวเมื่อเอ่ยแนะนำตัวเองด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
“นามของข้าคือ ดาร์โกนีคัส เป็นหนึ่งในสองราชันย์ภูตมนตรา สังกัดธาตุมืด ข้าอยู่ที่มหาวิหารรัตติกาลแห่งนี้เพื่อรักษาสมบัติของนายหญิงมาช้านาน ขอนายหญิงโปรดตามข้ามาทางนี้เถิด” ราชันย์หนุ่มค้อมกายผายมือไปด้านหนึ่ง ครั้นเห็นเอเวอลีนพยักหน้าให้ก็คลี่ยิ้ม หมุนกายนำร่างบางเดินตัดผ่านห้องโถงไปยังแท่นบูชาขนาดใหญ่กลางวิหารที่เธอเพิ่งสังเกตเห็นว่ามีหลังจากที่ดาร์โกนีคัสพูดขึ้นนั่นเอง
นิลสลักขนาดครึ่งตัวคนที่ลอยเด่นอยู่เหนือแท่นบูชาหินอ่อนสีดำเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยวหงาย มีดาบวงพระจันทร์เล่มบางสองเล่มโอบล้อมทั้งซ้ายขวาและเคียวเล่มใหญ่พาดทับเป็นฐานด้านล่าง เหมือนกรอบกระจกด้านล่างไม่มีผิด!
“สมบัติของนายหญิง สิ่งที่นายหญิงเพียงคนเดียวเท่านั้นที่จะใช้มันได้ โปรดรับมันไปเถิดครับ” ดาร์โกนีคัสค้อมกายให้นายสาวแล้วถอยออกไปยืนด้านด้านหลัง
เอเวอลีนพยักหน้าเบา ๆ ไม่มีโต้แย้ง ไม่มีซักถาม นัยน์ตาสีม่วงประกายดาวคู่สวยจ้องรูปสลักนิ่ง สองมือยื่นไปเบื้องหน้า เอ่ยเรียกเสียงดังกังวาน
“นิมิตรัตติกาล!!!”
รูปสลักเปล่งแสงวูบแล้วแตกออกเป็นสามส่วน จันทร์เสี้ยวลอยเด่นอยู่ตรงกลาง ดาบวงพระจันทร์อยู่ด้านซ้ายขวา เคียวเล่มใหญ่อยู่ด้านล่าง ลมหอบใหญ่พัดเข้ามาในวิหารจากทิศใดไม่มีใครรู้ ดาบวงพระจันทร์ทั้งสองเล่มถูกหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับเคียวใหญ่ เมื่อสายลมสลายไป เคียวเล่มใหญ่ที่รูปลักษณ์เปลี่ยนไปก็ลอยอยู่เบื้องหน้า ทันทีที่เอเวอลีนยื่นมือไปจับที่ด้าม เคียวก็พลันเรืองแสงจาง ๆ แล้วแปรสภาพกลายเป็นลูกแก้วขนาดเต็มฝ่ามือสีดำสนิท จากนั้นผลึกจันทร์เสี้ยวที่ลอยนิ่งอยู่เหนือแท่นก็เริ่มเปล่งรัศมีสีดำประกายม่วง ขนาดของมันค่อย ๆ เล็กลง ก่อนจะพุ่งเข้าหาหน้าผากนวลอย่างรวดเร็ว
วูบหนึ่งที่เอเวอลีนรู้สึกว่ารอบด้านมืดไปหมด ใบหน้าบริเวณเหนือหัวคิ้วร้อนผ่าวเหมือนถูกนาบด้วยไฟ ร่างบางทรุดลงกับพื้นเจ็บจนร้องไม่ออก พลังเวทมากมายมหาศาลวิ่งพล่านไปทั่วร่างพร้อมกับความทรงจำเกี่ยวกับมนตราและสรรพวิชาต่าง ๆ ซึ่งเธอแน่ใจว่าไม่เคยเห็นมาก่อนในชีวิตไหลทะลักเข้ามาในสมองอย่างต่อเนื่องจนแทบรับไม่ไหว ผ่านไปครู่ใหญ่ความเจ็บปวดค่อยจางหาย สติกลับมาครบถ้วนอีกครั้ง เอเวอลีนจึงหันไปมองหน้าดาร์โกนีคัสเป็นเชิงถาม
“นิมิตรัตติกาลไม่ได้เป็นเพียงกระจกมนตรา ส่วนหนึ่งของมันยังเป็นอาวุธประจำกายของนายหญิงด้วย ตอนนี้มันรับรู้ว่านายหญิงยังไม่จำเป็นต้องเรียกใช้งาน จึงได้ผนึกตัวเองในรูปลักษณ์ลูกแก้วมนตรา ทว่านายหญิงไม่ต้องกังวล แม้รูปลักษณ์นี้จะทำให้พลังลดลงเหลือแค่หนึ่งในสาม แต่เทียบกับลูกแก้วมนตราระดับสูงสุดแล้ว ก็ยังเหนือกว่าหลายเท่าตัว นายหญิงใช้ไปเรื่อย ๆ ก็จะทราบเองนั่นแหละครับ”
“เหนือกว่า?”
“ใช่ครับ ถึงลูกแก้วมนตราจะสามารถเปลี่ยนเป็นอาวุธต่าง ๆ ได้มากมาย บางครั้งถึงขั้นแปลงเป็นสัตว์เวทได้ด้วยซ้ำหากลูกแก้วและผู้เป็นเจ้าของมีพลังเวทเพียงพอ แต่ก็ไม่อาจเหนือกว่ากระจกมนตราได้...”
“เพราะลูกแก้วมนตราเกิดจากการเล่นแร่แปรธาตุชิ้นส่วนกระจกมนตราสินะ” เอเวอลีนดักคออย่างรู้ทัน
“ถูกแล้วครับ สมกับเป็นเจ้าหญิงแห่งดินแดนมนตรา แม้กระทั่งความลับสุดยอดของบรรดานักหลอมลูกแก้ว ท่านก็ยังทราบ”
“หึ! ก็หอสมุดหลวงในพระราชวังไซครอส เป็นแหล่งรวบรวมสรรพวิชาที่เกี่ยวข้องกับเวทมนตร์ทั้งหมด ไม่เว้นแม้แต่ตำราหลอมลูกแก้ว ฉันเป็นเจ้าหญิงย่อมต้องเคยผ่านหูผ่านตามาบ้าง” เจ้าหญิงคนงามกอดอกเชิดหน้า วางท่าหยิ่งผยอง
ดาร์โกนีคัสมองท่าทางนั้นด้วยแววตาอ่อนโยน และกล่าวต่อไปว่า
“ส่วนที่นายหญิงรู้สึกเจ็บที่หน้าผากนั้นเป็นเพราะนิลกาฬเสี้ยวจันทรา...” สิ้นเสียง ราชันย์ภูตหนุ่มเห็นนายสาวยกมือขึ้นลูบผลึกสีนิลที่ฝังอยู่กลางหน้าผาก
“นิลกาฬเสี้ยวจันทราเป็นสัญลักษณ์ประจำตัวของนายหญิงมาตั้งแต่ต้น เมื่อหลอมรวมกับนายหญิงอีกครั้ง มันย่อมถ่ายทอดพลังเวท มนตราคาถา รวมไปถึงสรรพวิชาความรู้ต่าง ๆ คืนสู่นายของมัน ผนึกเวทดั้งเดิมที่หน้าผากของนายหญิงจึงมีการเปลี่ยนแปลงเพื่อให้สามารถรองรับพลังเวทใหม่ที่มากมายกว่าเก่าได้ และถึงแม้ว่าคราวนี้จะผนึกไว้ถึงเจ็ดในสิบส่วน แต่ข้ารับรองได้ว่าพลังเวทเพียงสามส่วนตอนนี้ก็ยังมากมายเหลือกินเหลือใช้ขนาดใช้ถล่มเมืองขนาดกลางเล่นสักสองสามเมืองได้สบาย”
“เท่าที่ฟังมาทั้งหมด เหมือนนายตั้งใจจะบอกว่าทั้งนิมิตรัตติกาลและนิลกาฬเสี้ยวจันทราเคยเป็นของฉันมาก่อน แต่ทำไมฉันถึงจำไม่ได้ว่าเคยเป็นเจ้าของพวกมันล่ะ”
ดาร์โกนีคัสเพียงยิ้มเศร้า ไม่พูดอะไรทั้งสิ้น เอเวอลีนเห็นดังนั้นจึงรีบเปลี่ยนหัวข้อสนทนา ก่อนที่จะทำให้อีกฝ่ายรู้สึกแย่มากไปกว่านี้
“ว่าแต่นายเถอะ ทำไมถึงเรียกฉันว่านายหญิงล่ะ นายเป็นภูตชั้นสูง ไม่สิ...เป็นถึงหนึ่งในสองราชันย์ภูตด้วยซ้ำ ไม่น่าจะยอมรับใครเป็นนายง่าย ๆ ไม่ใช่เหรอ”
ดาร์โกนีคัสยิ้มอีกครั้ง ตอบเสียงกลั้วหัวเราะที่แฝงกังวานแห่งความภาคภูมิใจไว้อย่างชัดแจ้ง
“ชั่วชีวิตข้าและนิมิตรัตติกาลมีนายเพียงคนเดียวเท่านั้นครับ และคนผู้นั้นก็คือนายหญิง... เซเรนเซียผู้ใช้นามมารีเนต”
“นายไม่รู้รึไงว่านี่...”
“ไม่ใช่ร่างโดยกำเนิดของนายหญิง” เขาต่อให้ “ข้าทราบดีครับ แต่ไม่ว่ายังไงท่านก็คือเซเรนเซียผู้ใช้นามมารีเนต และผู้ใช้นามมารีเนตแห่งเซเรนเซียก็มีเพียงท่าน หากไม่ใช่เพราะความผิดพลาดอันแสนเศร้าในครั้งนั้น ความผิดพลาด...ที่ทำให้ใครอีกหลายคนต้องออกติดตามหานายหญิงด้วยตัวเอง”
ซึ่งหนึ่งในนั้นก็คือข้า... ประโยคนี้ดาร์โกนีคัสได้แต่คิดในใจอย่างเศร้าสร้อย
เอเวอลีนเริ่มมึน คำอธิบายของภูติหนุ่มเหมือนจะเข้าใจง่าย น่าแปลกที่เธอฟังอย่างไรก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี
“ผิดพลาดยังไงเหรอ แล้วใครที่ออกตามหา”
ดาร์โกนีคัสมีสีหน้าสลดลง ตอบเลี่ยงๆ
“นายหญิงอย่าทราบเลยครับ เอาล่ะ...ได้เวลากลับกันแล้ว อย่าลืมนะครับว่าตอนนี้นายหญิงอยู่ระหว่างสอบเข้าเรียนโรงเรียนเวทแห่งเฮสเทีย”
“จริงด้วย!” นี่ถ้าเขาไม่เตือน เอเวอลีนก็คงยังนึกไม่ออกหรอก “แล้วฉันจะกลับไปได้ยังไงกัน”
“กลับทางประตูบานเดิมครับ” ดาร์โกนีคัสชี้ไปที่ซุ้มประตูเพียงหนึ่งเดียวในห้องโถงใหญ่ แล้วหันมาเตือนนายสาวอีกครั้ง “อย่าลืมใช้เวทเปลี่ยนร่างกลับเหมือนเดิมด้วยนะครับ”
เอเวอลีนพยักหน้ารับ ร่ายเวทแปลงร่างอีกครั้ง ผมสีเงินยาวถึงเข่าเปลี่ยนเป็นสีทองหดสั้นระบั้นเอว นัยน์ตาสีม่วงประกายดาวคู่งามกลับมาเป็นสีดำอีกครั้ง เด็กสาวยิ้มพอใจ มือคว้าฮู้ดเสื้อขึ้นมาคลุมหัว หางตาเหลือบเห็นแสงสีดำแวบ ๆ พอหันไปมองอีกที ภูตหนุ่มไซส์มินิก็บินมาหยุดอยู่ตรงหน้าพลางฉีกยิ้มเผล่เป็นเชิงออดอ้อน ปีกขนนกสีดำสองคู่ถูกเก็บเหลือเพียงคู่เดียว ร่างสูงประมาณสิบนิ้วดูน่าเอ็นดูยิ่งนักในสายตาคนมอง
“ขอข้าไปด้วยคนนะครับนายหญิง” ส่งสายตาอ้อนวอนน่าสงสาร
“แต่ว่า...”
“นะครับ ข้าไม่ทำตัวเป็นภาระหรอก นายหญิงอย่างทิ้งให้ข้าอยู่ที่นี่คนเดียวเลยนะครับ”
“อืม... ถ้ายอมให้เรียกว่า ดาร์ก ได้ล่ะก็นะ”
“ได้แน่นอนครับ!!” เจ้าตัวเล็กรีบตอบทันควัน
“งั้นก็...กลับเฮสเทียกันเถอจ้ะ”
“ครับ!” ภูตหนุ่มไซส์มินิฉีกยิ้มกว้างอย่างยินดี บินมาเกาะไหล่นายสาวที่ออกเดินตรงไปยังประตูทางออกวิหารอย่างว่องไว
…………………………………………………………
ช่วงเม้าท์มอยสั้น ๆ ...
เดวอนเป็นไบโพล่า 555+
ปล. เจอกันตอนหน้า เย็นๆ ค่ำๆ ค่าาาา
แก้ไขครั้งที่ 1 เมื่อ 31 มีนาคม 2560 / 18:18