ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    The Legend of Sun Knight พลิกตำนานเทพอัศวิน 1

    ลำดับตอนที่ #2 : บทที่ 1 Rule 1 กฎข้อ 1 ของเทพอัศวินครีอุส : จงรักษารอยยิ้มพริ้มพรายไว้ตลอดกาล

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 7.34K
      20
      29 ก.ค. 52

    /> /> />

    ข้าคืออัศวินคนหนึ่ง หรือพูดให้ชัด...ข้าคือเทพอัศวินครีอุสแห่งวิหารเทพแห่งแสงสว่าง ตัวแทนแห่งดวงตะวัน

    วิหารเทพแห่งแสงสว่างบูชาเทพเจ้าแห่งแสงสว่างเช่นเดียวกับผู้คนส่วนใหญ่ในดินแดนนี้ เป็นลัทธิที่ติดอันดับหนึ่งในสามของลัทธิทั้งหมด ถึงจะกล่าวว่าติดอันดับหนึ่งในสาม แต่เมื่อพูดถึงความเป็นมาแล้วก็เห็นจะไม่มีลัทธิไหนสามารถเหนือกว่าวิหารเทพแห่งแสงสว่างได้เลย

    และอย่างที่ทุกคนรู้กัน วิหารเทพแห่งแสงสว่างจะแบ่งเป็นตำหนักเทพอัศวินอันศักดิ์สิทธิ์ ฝ่ายอัศวินซึ่งมีหน้าที่ออกรบ และอารามเทพแห่งแสงสว่าง ฝ่ายนักบวชซึ่งมีหน้าที่เชื่อมต่อกับองค์มหาเทพ

    ข้าสังกัดอยู่ในตำหนักเทพอัศวินอันศักดิ์สิทธิ์ ที่แห่งนี้มีเทพอัศวินสิบสององค์ที่สืบทอดตำแหน่งต่อๆ กันมา ในสมัยโบราณ เทพอัศวินทุกองค์จะมีกองทัพอัศวินเป็นของตัวเอง อย่างเช่นข้าที่เป็นเทพอัศวินครีอุส ข้าก็ควรได้เป็นผู้นำกองทัพเทพอัศวินครีอุส

    แต่มาจนถึงปัจจุบัน ในสมัยที่แผ่นดินสงบสุข ศึกสงครามมีให้เห็นน้อยลงทุกที เมื่อไม่ต้องออกศึก อัศวินก็ไม่ต้องออกรบ เมื่ออัศวินไม่ได้ออกรบ ก็ไม่มีโอกาสหยิบฉวยนั่นนี่ระหว่างความวุ่นวาย...สรุปคือตำหนักเทพอัศวินไม่สามารถเลี้ยงกองทัพอัศวินทั้งสิบสองได้อีกต่อไป จึงมีการตัดทอนกำลังจนเหลือแค่กองทัพแห่งตำหนักเทพอัศวินอันศักดิ์สิทธิ์เพียงกองทัพเดียว โดยแบ่งกองทัพออกเป็นสิบสองหน่วย ส่วนที่อยู่ในความดูแลของข้าก็คือหน่วยเทพอัศวินครีอุส

    แม้กองทัพอัศวินแห่งครีอุสจะกลายเป็นหน่วยอัศวินเล็กๆ แล้วก็ตาม แต่ข้ากลับได้รับผลกระทบน้อยที่สุด เพราะในฐานะที่ข้าเป็นผู้นำของเหล่าเทพอัศวินทั้งสิบสอง ข้าเลยต้องเป็นประมุขของเหล่าเทพอัศวินและอัศวินทั้งหมด ในเมื่อยังรักษาตำแหน่งประมุขไว้ได้ จะไปสนว่าจะเป็นกองทัพหรือหน่วยอัศวินทำไมกัน พวกเจ้าว่าจริงไหม

    เทพอัศวินทั้งสิบสององค์มีใครบ้างน่ะหรือ

    โอ้! ข้าจะค่อยๆ แนะนำให้พวกเจ้าฟังทีละคนดีกว่า เพราะถ้าข้าร่ายออกมาทีเดียวทั้งหมด ร้อยทั้งร้อยไม่มีใครจำได้หรอกว่าใครเป็นใครกันบ้าง

    มาดูชายหนุ่มที่เดินอยู่ข้างๆ ข้ากันก่อน ใช่แล้ว ผู้ชายที่มีเส้นผมสีน้ำเงินและเดินยักคิ้วหลิ่วตาใส่สาวๆ ไปตลอดทางก็คือเทพอัศวินเทมเพส ตัวแทนแห่งพายุ

    เทพอัศวินทุกองค์จะต้องมีบุคลิกที่ควรมีเป็นของตัวเอง ใช่แล้ว เจ้าฟังไม่ผิดหรอก บุคลิกที่ ควรมี

    ยกตัวอย่างเช่นข้าคือผู้แทนวจนะของพระเมตตาแห่งเทพเจ้าแห่งแสงสว่าง

    ดังนั้นไม่ว่าจะตกอยู่ในสถานการณ์ใด ข้าก็จะต้องมีรอยยิ้มสว่างไสวดั่งดวงอาทิตย์อยู่เสมอ ถึงแม้ว่าข้ากำลังจะไปพบพระราชาที่มีสมญาฉาวโฉ่ไปทั่วห้าแคว้นในพื้นพิภพว่าพระราชาหมูตอนแห่งแคว้นวอลเลซที่น่าขยะแขยงที่สุด ข้าก็จะต้องฉีกยิ้มเสมือนหนึ่งกำลังจะไปพบสาวงาม

    ต้องเอาหมูตอนไปเทียบกับสาวงาม พี่น้องเอ๋ย! ทีนี้รู้ซึ้งถึงความทุกข์ทรมานของข้าหรือยัง

    ด้วยพระเมตตาของเทพเจ้าแห่งแสงสว่าง บาปของเจ้าจะได้รับการอภัย

    นี่คือประโยคที่ข้าจะต้องพูดมากกว่าหนึ่งร้อยครั้งต่อวัน แล้วยังต้องมีรอยยิ้มพริ้มพรายประกอบคำพูดไปด้วย นี่คือชะตากรรมของเทพอัศวินครีอุส ต้องอภัยโทษให้กับคนอื่นพร้อมรอยยิ้มเสมอ

    เพราะคนทั้งแผ่นดินต่างรู้กันว่าเทพอัศวินครีอุสคือผู้แทนวจนะของพระเมตตาแห่งเทพเจ้าแห่งแสงสว่าง เทพอัศวินครีอุสจะต้องไม่ทอดทิ้งชีวิตใดๆ ทั้งสิ้น!

    ดังนั้นถึงข้าอยากจะเอาดาบเชือดคอเจ้าหมูตอนตัวนี้ แล้วให้โอรสองค์โตของเขาขึ้นครองบัลลังก์แทนตาแก่หนังเหนียวนี่ก็ตาม แต่ข้าก็ทำได้แค่ฉีกยิ้มสว่างไสวเข้าไปขอร้องให้เจ้าอ้วนพุงพลุ้ยไม่เพิ่มภาษีขึ้นมาอีก!

    พล่ามไปไกลเกินไปแล้ว ลากกลับมาที่เดิมก่อน

    ในขณะที่เทพอัศวินครีอุสคือผู้แทนวจนะของพระเมตตาแห่งเทพเจ้าแห่งแสงสว่าง เทพอัศวินเทมเพสก็คืออัศวินแห่งความ อิสระ ดังนั้นเขาจึงมีนิสัยรักอิสรเสรี ชอบโปรยเสน่ห์ไปทั่ว ขอเพียงแต่มีงานชุมนุมที่ไหน เขาก็จะไปเข้าร่วมทันที และขอเพียงผู้หญิงคนใดหน้าตาดีกว่ามังกรเพียงเล็กน้อย เขาก็ไม่เว้นที่จะส่งสายตาเจ้าชู้ไปให้

    ไม่ว่าจะเรื่องใดๆ ก็ตาม เพียงแต่มีส่วนเกี่ยวข้องกับเสรีภาพเพียงน้อยนิด เขาเป็นต้องยื่นมือเข้าไปเกี่ยวข้องด้วยทุกครั้ง ยกตัวอย่างเช่นที่ใดมีการปฏิวัติ อย่างน้อยเขาก็จะต้องขึ้นไปกล่าวคำปราศรัย บางครั้งพูดเสร็จก็ถูกบังคับให้เป็นผู้นำในการโจมตีอย่างปฏิเสธไม่ได้

    ที่น่าแปลกคือถึงเขาจะเข้าร่วมงานเลี้ยงมากมายขนาดไหน เขาก็ยังอุตส่าห์ไปรู้ข่าวการจัดงานเลี้ยงอื่นๆ อีก แถมยังสามารถหาเวลามาทำงานของเขาได้อีกด้วย (บางครั้งงานเลี้ยงก็มีมากเป็นพิเศษ แต่ทำยังไงได้ เพราะใครต่อใครต่างต้องเชิญเขาไปเปิดงานเลี้ยงทั้งนั้น ข้าก็เลยอาศัยช่วงที่เขาไม่อยู่เอางานไปสุมไว้ที่โต๊ะให้เขาทำซะเลย)

    ซึ่งหมายความว่าถึงจะมีฉายาว่าเทพอัศวินเทมเพสผู้รักอิสระ สามารถเลือกที่จะไปหรือไม่ไปเปิดงานเลี้ยงก็ได้ แต่เจ้าตัวต้องจัดการงานเอกสารที่ข้าให้ไว้ให้เสร็จทั้งหมดไม่ว่าจะยังไงก็ตาม

    ในเรื่องชอบโปรยเสน่ห์...เวลาเดินไปตามถนน เขาจะส่งสายตาแพรวพราวและรอยยิ้มระรื่นให้ผู้หญิงทุกคน ไม่ว่าจะเป็นเจ้าหญิง หญิงงาม สาวใช้ เรื่อยไปจนถึงป้าแก่ๆ ถึกๆ ที่เลี้ยงม้าหรือแบกของ

    แต่ข้าสงสัยว่าเขายังเป็นชายหนุ่มที่บริสุทธิ์อยู่ เพราะถึงเขาจะโปรยเสน่ห์แบบนี้มานาน แต่ยังไม่เคยเห็นผู้หญิงคนไหนเดินท้องโย้เข้ามาเรียกร้องให้เขารับผิดชอบสักคน

    รอยยิ้มขี้เล่นไม่สนโลกภายนอกของเขาเป็นสิ่งหลอกลวงพอๆ กับผมสีน้ำเงินของเขานั่นแหละ

    ใช่แล้ว ผมสีน้ำเงินของเขาเกิดจากการย้อมสี

    ทำไมน่ะหรือ

    เพราะคนทั้งแผ่นดินรู้ดีว่าเทพอัศวินเทมเพสจะต้องมีเส้นผมสีน้ำเงิน!

    ไม่รู้เหมือนกันว่าเทพอัศวินเทมเพสองค์แรกมีเส้นผมสีน้ำเงินจริงๆ หรือว่าย้อมเอาเพื่อความสวยงาม สรุปคือมันสร้างความลำบากให้กับผู้รับตำแหน่งเทพอัศวินเทมเพสองค์ต่อๆ มาทั้งหมด เพราะเด็กที่มีผมสีน้ำเงินหาได้ง่ายที่ไหนกัน

    ไม่มีหรอก!

    ดังนั้นผู้เป็นเทพอัศวินเทมเพสจึงต้องย้อมผมเป็นสีน้ำเงินเกือบจะตลอดชีวิต แปดในสิบของเทพอัศวินเทมเพสสุดท้ายเป็นโรคไตวายตาย...เฮ้อ! เทมเพสเอ๋ย ข้าขอยืนไว้อาลัยให้เจ้าล่วงหน้าเลยละกัน

    “ครีอุส เมื่อกี้เจ้าพูดกับข้าหรือเปล่า” เทพอัศวินเทมเพสเลิกคิ้วขึ้นมองข้าด้วยสายตาที่บอกว่าอย่ามารบกวนเวลาเหล่สาวของเขา

    “เทมเพสที่รัก ข้ามิได้ปราศรัยกับเจ้าเลยแม้แต่น้อย บางทีสิ่งที่เจ้าได้ยินอาจจะเป็นพระสุรเสียงอันอ่อนโยนของพระเมตตาแห่งเทพเจ้าแห่งแสงสว่างก็เป็นได้” ข้าตอบพร้อมส่งรอยยิ้มอันอบอุ่นไปให้

    เทมเพสแอบทำหน้าเบี้ยว ข้าเดาว่าเขาคงรับวิธีการพูดของข้าไม่ค่อยได้ ขนาดข้าเองยังรับตัวเองไม่ค่อยจะได้เลย แต่ว่าข้าก็พูดได้แต่แบบนี้ เหมือนกับที่เทมเพสต้องโปรยเสน่ห์ใส่ผู้หญิงทุกคนตลอดเวลา แม้ว่าผู้หญิงคนนั้นจะมีหน้าตาที่ไม่ได้ดีไปกว่ามังกรก็ตาม

    เวลาข้าพูดจะต้องมีคำว่าเทพเจ้าแห่งแสงสว่างเป็นส่วนประกอบของประโยคทุกครั้ง ถึงแม้เรื่องที่ข้ากำลังพูดจะเป็นเรื่องส้วมตัน นี่เป็นโองการของเทพเจ้าแห่งแสงสว่าง

    เพราะเหตุนี้ข้าถึงไม่ค่อยชอบเปิดปากขึ้นพูดเท่าไหร่ และไม่มีใครออกกฎว่าเทพอัศวินครีอุสจะต้องเป็นคนคุยเก่ง

    (ขอบคุณเทพเจ้าแห่งแสงสว่าง โชคดีที่เทพอัศวินครีอุสองค์แรกไม่ได้เป็นคนพูดมาก)

    กลับมาที่เรื่องของเส้นผม ในขณะที่เทมเพสมีเส้นผมสีน้ำเงิน เทพอัศวินครีอุสอย่างข้าก็ต้องมีเส้นผมสีทองและดวงตาสีฟ้า

    ข้าสามารถเอาชนะเด็กที่มีฝีมือดาบดีกว่าข้าสามเท่าเข้ามาเป็นหนึ่งในเทพอัศวินทั้งสิบสององค์ได้ก็เพราะเขามีเส้นผมสีน้ำตาล ในขณะที่ข้ามีเส้นผมสีทองประกาย

    ในตอนนั้นอาจารย์ของข้าซึ่งก็คือเทพอัศวินครีอุสองค์ก่อนประกาศชื่อข้าเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งด้วยดวงตาที่บ่งบอกว่าหัวใจของเขาใกล้จะแตกสลาย

    แววตาของท่านมองตามเด็กผมสีน้ำตาลคนนั้นไปจนลับตา

    โชคดีที่ว่าแม้ฝีมือการใช้ดาบของข้าจะไม่ได้ดีเลิศเหมือนเด็กคนนั้น แต่นอกเหนือจากนั้นข้าเป็นเลิศในทุกด้าน ซึ่งพอจะเป็นสิ่งปลอบใจอาจารย์ของข้าได้บ้าง

    ถึงข้าจะแอบได้ยินท่านอาจารย์กระซิบกับสายสืบบ่อยๆ ว่าหาเด็กผมสีน้ำตาลคนนั้นพบหรือยัง ข้าซื้อน้ำยาย้อมผมมาจากนักเล่นแร่แปรธาตุเรียบร้อยแล้วก็ตาม...

     

    หลังจากที่เดินไปตามระเบียงทางเดินยาวเหยียดซึ่งต้องสิ้นเปลืองภาษีอากรของราษฎรกว่าสิบนาที ในที่สุดข้าก็มาถึงท้องพระโรง ภารกิจของข้าในวันนี้คือทูลขอร้องให้พระราชาลดภาษีอากรให้กับชาวบ้าน...ทั้งๆ ที่รู้ว่าถ้าข้าสามารถทูลขอได้สำเร็จ พระอาทิตย์คงจะเปลี่ยนไปขึ้นทางทิศตะวันตก

    สวัสดี ข้าคือเทพอัศวินครีอุสแห่งวิหารเทพแห่งแสงสว่าง ด้วยพระเมตตาของเทพเจ้าแห่งแสงสว่าง ข้าขอเข้าเฝ้าพระราชาเรนเดลเพื่อทูลถวายความปรารถนาดีจากเทพเจ้าแห่งแสงสว่าง ข้าพูดด้วยน้ำเสียงไหลรินเหมือนสายน้ำกับทหารยาม และไม่ลืมฉีกยิ้มบนใบหน้า

    ทหารยามทำหน้าประหลาดใจ มองข้าด้วยสายตานับถือ จากนั้นก็หันไปสั่งการต่อ ไม่นานประตูท้องพระโรงก็ค่อยๆ เปิดออก

    ข้าส่งรอยยิ้มงดงามให้ทหารยามเป็นการขอบคุณ ฝ่ายหลังดวงตาเป็นประกายวับเพราะความปลื้มปีติ ฮ่า! แล้วรายชื่อผู้จงรักภักดีของข้าก็เพิ่มขึ้นอีกหนึ่งชื่อ

    ถึงทหารยามนายนั้นจะตื่นตะลึงและปลาบปลื้มยินดีเหมือนไม่เชื่อว่าข้าจะมีมารยาทกับทหารยามเล็กๆ อย่างเขาขนาดนั้น แต่นั่นเป็นสิ่งที่เขาคิดไปเอง เพราะไม่ว่าจะเป็นพระราชาหรือยาจกข้างถนน ข้าก็จะมีรอยยิ้มของเทพอัศวินครีอุสไว้บนหน้าตลอดเวลา เพราะว่าข้าเป็นอัศวิน

    ใช่แล้ว ข้าคือเทพอัศวินครีอุสผู้มีรอยยิ้มสว่างไสวตลอดกาล

     

    ข้าเดินเข้าไปในท้องพระโรงที่ตกแต่งอย่างหรูหรา เจ้าหมูอ้วนผู้ซึ่งนั่งอยู่บนบัลลังก์นั่นดูเหมือนจะเผละขึ้นกว่าครั้งที่ข้าเจอคราวก่อน ร่างนั้นน่าจะใหญ่พอๆ กับผู้ชายร่างใหญ่สามคนยืนต่อกัน สวรรค์! ทำไมเจ้าอ้วนนี่ถึงไม่ตายเพราะโรคหัวใจ ไขมันอุดตันในเส้นเลือด หรืออะไรประมาณนี้สักทีนะ

    ข้าคุกเข่าลงพร้อมรอยยิ้มแสนหวาน เอื้อมไปจับมืออูมแล้วก้มลงจุมพิตพร้อมกับสะกดกลั้นความรู้สึกพะอืดพะอมเมื่อเห็นก้อนเนื้อเละๆ ขยับไปมา จากนั้นก็กล่าวพร้อมรอยยิ้ม ฝ่าบาท กระหม่อมเทพอัศวินครีอุสแห่งวิหารเทพแห่งแสงสว่างนำพระเมตตาของเทพเจ้าแห่งแสงสว่างมาถวายพระเจ้าค่ะ

    พอแล้วๆ! มีครั้งไหนบ้างที่เจ้าไม่พูดถึงพระเมตตา สุดท้ายก็หาเรื่องเดือดร้อนมาให้ข้าทุกที!” พระราชาโบกพระหัตถ์ไม่ไว้หน้า

    ถ้าเจ้าไม่หาเรื่องเดือดร้อนใส่ตัวก่อน คิดว่าข้าอยากจะมาเห็นพัฒนาการทางไขมันของเจ้าหรือยังไง!

    ข้าอธิบายพร้อมรอยยิ้มใสซื่อ ฝ่าบาท พระเมตตาของเทพเจ้าแห่งแสงสว่างสาดแสงไปทั่วราชอาณาจักรเพียงเพื่อให้ทุกคนในใต้หล้าได้รับพระเมตตาและความยุติธรรม ไม่เคยคิดจะสร้างเรื่องเดือดเนื้อร้อนพระทัยให้ฝ่าบาทเลยสักนิด กระหม่อมเสียใจที่ทรงเข้าพระทัยผิดไปเป็นเช่นนั้น กระหม่อมหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะทรงให้โอกาสกระหม่อมอธิบายไขข้อข้องใจ

    พอแล้ว!” พอฟังข้าพูด พระราชาก็ทำหน้าเบี้ยว แล้วตรัสอย่างขอไปที รีบว่ามา ตกลงเจ้าต้องการอะไร!”

    ขอบพระทัยพระเมตตา กรุณา ปรานีอันสูงส่งที่ทรงให้โอกาสกระหม่อมไขข้อข้องใจของพระองค์พระเจ้าค่ะ ข้ายืดตัวขึ้นด้วยท่วงท่าสง่างาม จากนั้นก็สูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนที่จะอารัมภบทชุดใหญ่ที่แม้แต่ตัวข้าเองก็ยังรับไม่ได้

    ตั้งแต่อดีตเป็นต้นมา พระเมตตาและความอาทรของเทพเจ้าแห่งแสงสว่างได้อาบไล้ไปทั่วทุกอณูของแผ่นดิน ประชาราษฎร์บนผืนแผ่นดินนี้ล้วนประดุจบุตรในอุทรขององค์มหาเทพ แล้วจะมีบิดามารดรคนใดที่ไม่หวังดีต่อบุตรอันเป็นที่รักของตน เช่นเดียวกับที่เทพเจ้าแห่งแสงสว่างทรงหวังให้บุตรของพระองค์ทุกผู้ทุกคนกินดีอยู่ดี แต่ถึงแม้ว่าองค์มหาเทพจะเป็นเทพเจ้าผู้รู้ผู้สามารถทุกสรรพสิ่ง พระองค์กลับไม่สามารถใช้มหาอำนาจนั้นได้โดยตรงเพราะขัดต่อสนธิสัญญาที่มี จึงได้แต่มอบแสงสว่างแห่งพระเมตตานั้นผ่านวิหารเทพอันศักดิ์สิทธิ์ และได้มอบบุตรที่ทรงรักที่สุดเหล่านี้ให้แก่พระราชาแต่ละพระองค์...”

    พระราชาถอนหายใจอย่างเหลืออดโดยไม่ปิดบัง

    ตาแก่เอ๊ย เจ้าน่ะนั่งฟังอย่างเดียว ส่วนข้าต้องเป็นคนพูด รู้ไหมว่ามันทรมานขนาดไหน!

    “...ทว่าหลายปีที่ทุกข์ยากมานี้ทำให้บุตรอันเป็นยอดดวงหทัยของพระองค์เข้าสู่ภาวะอดอยากยากแค้น แม้เทพอัศวินครีอุสผู้ต่ำต้อยเช่นข้าจะมิอาจล่วงรู้ถึงความในพระทัยของมหาเทพได้ หากก็คาดเดาได้ว่าเทพเจ้าแห่งแสงสว่างผู้ทรงมีพระเมตตาไม่อาจยอมให้บุตรของพระองค์ต้องตกระกำลำบาก สวรรค์! องค์มหาเทพจะทรงตรอมตรมเพียงใด อา...ความตรอมตรมของพระองค์นั้นทำให้เทพอัศวินครีอุสเช่นข้ารู้สึกละอายยิ่งนัก ข้าผิดต่อคำมั่นสัญญาที่ให้แก่เทพเจ้าแห่งแสงสว่างว่าจะดับร้อนทุกข์เข็ญให้บุตรของพระองค์...”

    พระราชาเริ่มสัปหงก ขุนนางซ้ายขวาหยิบเอกสารงานเมืองออกมาหารือกับเจ้าชายผู้กุมอำนาจทางการเมือง เจ้าชายก็รับเอกสารที่พวกขุนนางส่งมาตรวจดู

    ส่วนเทพอัศวินเทมเพสที่ยืนอยู่ข้างๆ ข้ายักคิ้วหลิ่วตาให้ผู้หญิงในท้องพระโรงนี้ครบหมดทุกคนแล้ว และกำลังจะเริ่มต้นใหม่ตั้งแต่คนแรกอีกครั้ง

    “...ในช่วงเวลาอันทุกข์เข็ญเช่นนี้ แต่ประชาราษฎร์ทุกคนก็ยังคงแสดงความจงรักภักดีต่อพระราชาและประเทศชาติโดยการชำระภาษีครบทุกปี สำหรับพวกเขา นี่เป็นการแสดงความจงรักภักดีอันยิ่งใหญ่ที่ไม่อาจหาสิ่งใดมาเปรียบได้! พวกเขาสมควรจะได้รางวัลตอบแทน แม้การที่ทรงขึ้นภาษีเป็นเรื่องจำเป็น แต่เพื่อเห็นแก่ความจงรักภักดีอันยิ่งใหญ่ของพสกนิกร ฝ่าบาทน่าจะทรงผ่อนปรนบ้าง เช่นนี้แล้วจะได้ไม่ผิดต่อน้ำพระทัยอันงดงามของเทพเจ้าแห่งแสงสว่าง

    ข้าซาบซึ้งเหลือเกิน! ในที่สุดข้าก็พูดประเด็นหลักออกมาเสียที ใช่แล้วเจ้าหมูอ้วน! ลดภาษีซะ! สูบเลือดชาวบ้านมามากพอแล้ว ถ้าเจ้ายังคิดจะเพิ่มภาษีอะไรนั่นอีกก็เท่ากับบังคับให้ประชาชนลุกขึ้นมาต่อต้านตัวเจ้าเอง!

    อะไรนะ พระราชาสะดุ้งตื่นทันที ตบโต๊ะตวาดเสียงดัง ไม่เพิ่มภาษีแล้วค่าซ่อมตำหนักของข้าจะเอามาจากไหน!”

    ไม่นะ...อย่าบังคับให้ข้าต้องพูดอีก! แค่นี้ข้าก็จะแย่อยู่แล้ว!

    ฝ่าบาท เทพอัศวินเทมเพสสอดขึ้นมา ภาษีสิบชักสองเป็นมาตรฐานของทุกแคว้นอย่างที่รู้กัน หากทรงเพิ่มภาษีอีกแล้วภายหลังเกิดเรื่องอะไรขึ้นมา ทางวิหารเทพแห่งแสงสว่างจะไม่ให้ความช่วยเหลือใดๆ ทั้งสิ้น

    ง่ายๆ เอาแต่เนื้อ ไม่ต้องน้ำ! เทมเพส เจ้าพูดได้ดีมาก! ข้ารู้สึกขอบคุณเจ้าจริงๆ อา...แต่ว่าข้าต้องทำเป็นไม่พอใจกับการกระทำของเขา เทมเพส เจ้าทูลฝ่าบาทด้วยกิริยาเช่นนี้ได้อย่างไร มันขัดต่อหลักการไม่กล่าววาจาว่าร้ายของมหาเทพ เจ้าไม่รู้หรือ

    เทมเพสเลิกคิ้วขึ้น ตามกฎเขาจะต้องเชื่อฟังคำสั่งของข้าผู้เป็นประมุขแห่งเทพอัศวินทั้งสิบสององค์ เขาจึงไม่ได้พูดอะไรอีก แต่ที่อยากจะพูดก็ได้พูดออกไปหมดแล้ว เพราะฉะนั้นจะให้พูดอีกหรือไม่ก็ไม่สำคัญอีกต่อไป

    แต่ไม่จำเป็นต้องห่วง เพราะใครๆ ต่างรู้ดีว่าเทพอัศวินเทมเพสไม่เคยสนใจมารยาทพิธีการใดๆ อยู่แล้ว ดังนั้นจึงไม่มีใครถือสาการกระทำของเขา

    เจ้าขู่ข้า!” พระราชาโกรธจนตัวสั่น

    โอ้! ฝ่าบาทอย่าทรงเข้าพระทัยผิด เทพเจ้าแห่งแสงสว่างไม่เคยใช้วิธีต่ำทรามเช่นการข่มขู่...”

    แต่วิหารเทพแห่งแสงสว่างใช้ได้

    พวกกระหม่อมเห็นใจราษฎรที่ต้องลำบากแสนเข็ญ ไม่อาจทนเห็นชีวิตของพวกเขาตกอยู่ในวังวน...”

    เจ้าหมูอ้วน ถ้าเกิดชาวบ้านลุกฮือขึ้นมาเมื่อไหร่ มันไม่ได้ส่งผลดีต่อทั้งตัวเจ้าและข้าเลยนะ! โดยเฉพาะอย่างยิ่งมันไม่ได้ส่งผลดีต่อเหล่าอัศวินที่ไม่ได้แม้กระทั่งส่วนแบ่งภาษี แต่กลับต้องออกไปปราบจลาจล! ถ้าไม่ถอนคำสั่งการขึ้นภาษีล่ะก็ พวกข้าจะนั่งดูชาวบ้านจับเจ้ามาแล่เนื้อเป็นชิ้นๆ เอาไปทำไส้ขนมปัง จากนั้นค่อยอัญเชิญเจ้าชายองค์โตขึ้นครองบัลลังก์!

    นี่เจ้าชาย คราวที่แล้วพระสังฆราชชื่นชมเจ้าชายให้กระหม่อมฟังตั้งนาน ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะได้เรียกเจ้าชายว่าพระราชาซะที เทมเพสทักทายเจ้าชายด้วยความร่าเริง

    พระสังฆราชผู้เมตตาชื่นชมข้าเกินไปแล้ว เจ้าชายทรงตอบรับอย่างมีมารยาท

    ฮ่าๆๆ! เทมเพส เจ้านี่สุดยอด! เป็นการขู่เจ้าหมูอ้วนทางอ้อมที่ยอดเยี่ยมจริงๆ!

    ถ้าไม่ถอนคำสั่งคืนล่ะก็ พวกเราจะบีบให้เจ้าสละบัลลังก์! เจ้าน่ะไม่กล้าทำอะไรลูกชายของตัวเองหรอก

    พระราชาหน้าซีดเป็นไก่ต้ม ทรงลังเลอยู่นานก่อนยกหัตถ์ขึ้นโบกไปมาอย่างอ่อนแรง ในเมื่อปีนี้เก็บเกี่ยวไม่ได้ก็ไม่ต้องเพิ่มภาษีแล้วกัน การซ่อมตำหนักให้ชะลอไปก่อน

    ค่อยยังชั่ว! ในที่สุดข้าก็สามารถกลับไปสงบปากสงบคำที่ตำหนักเทพอัศวินได้แล้ว ที่ตำหนักเทพอัศวินอันศักดิ์สิทธิ์ไม่มีใครมาบีบให้ข้าพูด! ข้าสามารถเป็นเทพอัศวินครีอุสผู้เงียบขรึมได้ที่นั่น!

    เดี๋ยวก่อนเทพอัศวินครีอุส นานๆ ท่านจะมาเจอข้าสักที คืนนี้ข้าจะจัดงานเลี้ยงรับรองให้ ท่านจะต้องอยู่ดื่มเป็นเพื่อนข้านะ ไม่อย่างนั้นจะถือว่าไม่ให้เกียรติข้า!” พระราชาหัวเราะเสียจนหนังตาหมูอ้วนทั้งสองข้างหยีปิดไม่เห็นลูกตา

    ตอนนี้เองที่เทมเพสทำหน้าไม่สบายใจ

    ทุกคนรู้ดีว่าเทพอัศวินครีอุสไม่แตะต้องของมึนเมา ถ้าดื่มแค่จอกเดียวจะหน้าแดง จอกสองจะปวดหัว พอถึงจอกที่สามก็จะเมาจนล้มพับ

    ข้าฝืนยิ้มเหมือนกำลังรู้สึกลำบากใจ แต่ก็เป็นแค่การแสดงให้พระราชาดูเท่านั้น วันนี้พระราชาถูกขู่ไปตั้งสองครั้ง ถ้าไม่ปล่อยให้ได้ใจบ้างเดี๋ยวจะหาเรื่องวิหารเทพเข้า

    กระหม่อมจะ...พยายาม ข้าทำท่าฝืนใจคุกเข่าเหมือนไร้เรี่ยวแรง

    ฮ่าๆๆ เด็กๆ! จัดเตรียมงานเลี้ยงเดี๋ยวนี้ เอาสุราที่แรงที่สุดออกมา!”

    พระราชารีบสั่งคนเสียงดัง เจ้าชายมองมาที่ข้าด้วยสายตาขอโทษที่ไม่สามารถหยุดยั้งไม่ให้พระราชาขึ้นภาษีได้ จึงต้องให้วิหารเทพยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือ

    ถึงเทมเพสจะยังคงส่งสายตาให้สาวอยู่ แต่เขาก็แอบเหลือบตามามองข้าอย่างกังวล

    กลัวอะไร ข้าน่ะพันจอกก็ไม่เมานะ!

    ใช่แล้ว ข้าผู้มีฉายาว่าเทพอัศวินสามจอกเมามายจริงๆ แล้วคือปีศาจสุราที่คอแข็งที่สุดในประวัติกาล

    ในตอนนั้นท่านอาจารย์พาข้าไปยังอุโมงค์ลึกลับแห่งหนึ่ง...

    ลูกเอ๋ย วันนี้เจ้าจะต้องเรียนการดื่มสุรา

    อะไรนะขอรับ แต่ว่าเทพอัศวินครีอุสดื่มสุราไม่ได้นี่ท่านอาจารย์

    เทพอัศวินครีอุสจะต้องให้อภัยมนุษย์ทุกคน เจ้าเคยให้อภัยได้จริงๆ หรือไม่

    ไม่เคยขอรับ

    เทพอัศวินครีอุสจะต้องยิ้มพริ้มพรายตลอดเวลา แต่ในใจของเจ้าเคยยิ้มจริงๆ สักกี่ครั้ง

    ก็ไม่กี่ครั้ง...’

    เทพอัศวินครีอุสคือผู้แทนวจนะแห่งพระเมตตา แล้วเจ้าเคยเมตตาใครจริงๆ ไหม

    ‘...’

    ลูกเอ๋ย หากเจ้าดื่มสุราไม่เป็น ต่อไปในภายภาคหน้าเจ้าจะสามารถรักษาภาพพจน์เทพอัศวินสามจอกเมามายโดยให้จอกที่หนึ่งหน้าแดง จอกที่สองปวดหัว จอกที่สามล้มพับได้อย่างไรเกิดเจ้าถูกบังคับให้ต้องดื่มสุรา ดังนั้นที่ว่ากันว่าเทพอัศวินครีอุสดื่มสุราไม่เป็น จริงๆ แล้วเกิดขึ้นจากเทพอัศวินครีอุสพันจอกไม่เมาต่างหากเล่า

    ฟังดูแล้วก็มีเหตุผลดี แต่พอคิดๆ กลับรู้สึกขัดแย้งกันเอง!

    ดื่มเสียลูกเอ๋ย ภายในหนึ่งเดือนนี้เจ้าจะต้องมาดื่มสุราแทนน้ำที่นี่ทุกคืน ดื่มจนรู้สึกว่าสุรานั้นไม่ต่างอะไรจากน้ำแล้วจึงหยุด

    ‘...’

    ในปีนั้นข้าอายุสิบสองปี เพื่อรักษาภาพพจน์ที่เทพอัศวินครีอุสดื่มสุราไม่ได้ ข้าจึงต้องกลายเป็นเทพอัศวินพันจอกไม่เมา

    กลับมาสู่ปัจจุบัน ในงานเลี้ยงตอนกลางคืน ข้าเพิ่งจะร่วมงานได้เพียงสิบนาทีก็ถูกพระราชามอมเหล้าจนกลายเป็น สามจอกเมามาย ไปเรียบร้อยแล้ว

    ดีมาก! ในที่สุดข้าก็กลับไปนอนได้สักที

    เทมเพสผู้น่าสงสาร ตามหลักของเทพอัศวินเทมเพส เทมเพสจึงต้องอยู่ร่วมงานเลี้ยงเต้นรำต่อเพื่อโปรยเสน่ห์ให้สาวๆ เมื่อดูจากจำนวนของสตรีสูงศักดิ์ที่มา...จนกว่าจะเช้าและเหล่สาวจนตาเป็นตะคริวนั่นแหละ เขาถึงจะกลับไปนอนพักผ่อนได้

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×