ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ( SF EXO ) ' Something Special '

    ลำดับตอนที่ #37 : [SF] :: My dog ... love me (Baek x Do) 3 ... 100% END

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.64K
      5
      31 ส.ค. 56

    My dog ... love me 3
    Baekhyun x Kyungsoo





     







     

    ตอนเป็นคนหรอ... นั่นสินะ

    ฉันเคยทำอะไรแบบนี้รึเปล่านะ

     

    .... ดูเหมือนจะเยอะเลยสิ



     

     

    .

    .

    .
     

     

    มื้ออาหารจบลงพร้อมกับความวุ่นวาย และคำพูดของแบคฮยอนที่ติดอยู่ในหัวของคยองซู เขาไม่รู้ว่าตอนเป็นคนแบคฮยอนจะมีนิสัยยังไง ดูเหมือนเจ้าตัวจะพอนึกอะไรออกมาบ้างแล้วสิ แล้วถ้าเกิดแบคฮยอนจำทั้งหมดได้แล้ว.. เจ้าหมาไซบีเรียนตัวโตนั่นจะยังอยากอยู่กับเขารึเปล่า

     

    ถ้าเป็นไปได้เขาก็อยากเห็นแก่ตัว ไม่อยากให้แบคฮยอนกลับมาเป็นคน ถ้าอย่างนั้นเขาก็คงต้องกลับมาเป็นคยองซูคนที่ต้องเหงาตัวคนเดียวแบบเดิม กลับสู่ความปกติที่เขาไม่ต้องการ

     

    คิดอะไรอยู่

     

    คยองซูสะดุ้งขึ้น ดวงตากลมโตหันไปมองที่ไซบีเรียนตัวโต อุ้งเท้าใหญ่นำมาแตะเข้าที่ต้นขาของเขา 

     

    "เปล่านี่ ดูทีวี" คยองซูโกหกไป สายตาเขาไม่ได้จดจ่ออยู่ที่ทีวีเลยสักนิด

     

    ฉันว่าทีวีมันดูนายมากกว่านะ

     

    "ฉันดูมันจริงๆนะ" 

     

    หรอ... ไม่ได้คิดถึงฉันในหัวจริงๆหรอ

     

    ร่างเล็กสะอึกกับคำพูดของแบคฮยอน หันไปมองหน้าหมาไซบีเรียนตัวโตด้วยสายตาจริงจัง คยองซูเม้มริมฝีปากแน่นก่อนจะอ้าปากแล้วถามคำถามที่ตัวเองกลัวมากที่สุดออก ไป

     

    "นาย.. พอจะจำตอนเป็นคนได้บ้างรึยัง" นิ้วเรียวจิกลงไปบนโซฟา หันหน้าไปมองที่หน้าจอทีวีอีกครั้ง

     

    ฉัน ไม่รู้สิ จำไม่ได้มั้ง

     

    "จริงหรอ.." 

     

    นายกลัวฉันทิ้งนายไปมีเจ้าของคนใหม่หรือไง 

     

    "แบคฮยอน!" คยองซูหันไปว่าเสียงดัง ร่างเล็กลุกขึ้นยืนเตรียมตัวจะขึ้นไปที่ห้องนอน เขาอุตส่าห์จริงจังกับคำถาม แต่ดูแบคฮยอนตอบเข้าสิ เหมือนไม่ใส่ใจเลยสักนิด

     

    ไปไหน

     

    “นอน”

     

    ยังไม่ดึกเลย

     

    “ง่วง โอเคไหม? จะนอนด้วยกันไหมล่ะ ถ้านอนด้วยก็รีบตามมา แต่ถ้าไม่นายก็นอนมันตรงโซฟานี่แหละ” คยองซูชักจะฉุน ตอนนี้เป็นเวลาสามทุ่มครึ่งได้แล้ว และแน่นอนพรุ่งนี้ตัวเขามีเรียนในช่วงเช้าถ้ายังชักช้าอยู่คงได้มีคนตื่นไปเรียนสาย ซึ่งคนนั้นมันก็คือคยองซูเอง

     

    แต่.. ฉันยังเป็นหมาอยู่เลย

     

    “จะเป็นคนเป็นหมานายก็เคยขึ้นเตียงกับฉันแล้วไม่ใช่หรือไง”

     

    อูย... ทำไมพูดแบบนั้นล่ะ นายจะเสียหายนะคยองซู

     

    “แบคฮยอน!

     

    เรียกแต่ชื่อฉัน แบบนี้ก็เขินแย่สิ

     

    คยองซูถอนหายใจยาว พยายามทำใจให้เย็น วันนี้ดูเหมือนแบคฮยอนจะเผยตัวตนของตัวเองมากกว่าเมื่อวาน ดูท่าจะกวนเป็นพิเศษด้วยสิ ร่างเล็กรีบก้าวเท้าเดินขึ้นบันไดไปที่ห้องของตัวเอง หันหลังไปมองแบคฮยอนที่ยังนั่งหน้าเจ๋ออยู่ที่ชั้นล่างก็เริ่มคิ้วกระตุก

     

    “ยืนรออะไรเล่า!

     

    วันนี้ไม่มีชุดใส่ตอนเป็นคน...

     

    “เมื่อคืนใส่แบบไหน คืนนี้ก็ใส่แบบนั้นไปเถอะ เร็วสิแบคฮยอนฉันจะรีบอาบน้ำ” คยองซูพูดเสียงอ่อนลง กวักมือเรียกเจ้าหมาไซบีเรียนตัวโตให้ขึ้นห้อง

     

    อยากอาบด้วย

     

    “จะบ้าหรอ ดึกแล้วเดี๋ยวขนไม่แห้งปอดบวมตาย”

     

    ตอนเป็นคนแล้วก็ได้

     

    “นายมัน... ไอ้หมาทะลึ่ง” คยองซูว่าเสร็จก็รีบเดินไปหยิบผ้าเช็ดตัวแล้วหนีเข้าห้องน้ำไปเลย ปล่อยให้แบคฮยอนหัวเราะมีความสุขแล้วกระโดดขึ้นเตียงไป วนเป็นวงกลมสองสามรอบหามุมสบายบนเตียงแล้วล้มตัวลงนอน อีกไม่กี่นาทีก็จะได้เป็นคนเหมือนเดิมแล้ว

     

     

    ระหว่างรอคยองซูอาบน้ำแบคฮยอนได้ลองนึกถึงเรื่องเมื่อเย็นในทีวี หนึ่งเขาคือพยอน แบคฮยอนลูกชายคนเดียวของพยอนกรุ๊ป สองเขาเป็นเพลย์บอยควงสาวไม่ซ้ำหน้า และสามเขาโคตรจะเจ้าชู้ ดูจากที่สื่อบอกแบคฮยอนคงไม่ใช่คนดีเท่าไหร่สินะ 

     

    แล้วมันเกี่ยวอะไรกับการที่เขาต้องมากลายเป็นหมาแบบนี้ด้วย

     

    “คิดอะไร เรียกแล้วไม่ได้ยินหรอ” คยองซูออกมาจากห้องน้ำตอนไหนไม่รู้ แบคฮยอนยังไม่ทันได้ลองนึกถึงเรื่องในอดีตที่อาจจะหลงเหลืออยู่ในความทรงจำของตัวเองเลย

     

    หลับอยู่ต่างหาก

     

    “รีบคาบชุดที่ฉันวางไว้ให้ไปเข้าห้องน้ำเลย อีกเจ็ดนาทีสี่ทุ่ม” คยองซูชี้นิ้วไปที่เสื้อผ้าที่วางไว้ให้บนเก้าอี้ตรงโต๊ะทำงาน แบคฮยอนเงยหน้าขึ้นจากเตียงก่อนจะหมอบคลานไปอย่างเชื่องช้า

     

    “เร็วสิ นายชอบเป็นชีเปลือยหรือไง” ร่างเล็กล้มตัวลงนอนบนเตียง ใช้มือช่วยดันตัวที่เต็มไปด้วยขนนุ่มให้รีบเดินไป แบคฮยอนเหมือนจะกวน และคยองซูก็ไม่อยากเห็นผู้ชายคนนี้มาเปลือยต่อหน้าหรอกนะ

     

    เดี๋ยวสิ นอนเมื่อกี๊เหน็บชากินเลย

     

    “หมาที่ไหนเขาเหน็บชา!” คยองซูลุกขึ้นนั่งอีกครั้ง เหลือบดวงตากลมไปมองที่นาฬิกาที่แขวนไปบนผนังห้อง อีกสามนาทีเข็มยาวจะชี้ตรงไปที่เลขสิบสอง ตอนนั้นแบคฮยอนก็คงจะกลายร่างเป็นคน

     

    “นายนี่มัน..” ร่างเล็กรีบก้าวขาลงเตียงไปหยิบชุดที่วางไว้บนเก้าอี้มาถือไว้เอง เดินมาหาแบคฮยอนที่ยังเดินอืดอาดอยู่บนเตียง หยิบเสื้อกล้ามที่หามาให้สะบัดเล็กน้อยแล้วสวมลงที่ตัวของหมาไซบีเรียนตัวใหญ่

     

    ทำอะไรน่ะ นายรู้ไหมว่าใส่แบบนี้

     

    “ใส่แบบนี้แล้วทำไม” คยองซูเอียงคอถาม นิ้วเรียวจิ้มลงที่ปากจ้องมองไปที่ดวงตาสองสีของแบคฮยอน เขาใส่ให้แบบนี้แล้วมันจะเกิดอะไรขึ้น

     

    22.00 .

     

    เข็มยาวชี้ไปที่เลขสิบสองบอกเวลาสี่ทุ่ม คยองซูหันไปมองแบคฮยอนที่เริ่มเปลี่ยนสภาพไปทีละน้อยจากหมาไซบีเรียนตัวโตขนหนานุ่มภายในเสื้อกล้าม กลายเป็นผู้ชายรูปร่างสมส่วนในเสื้อกล้ามเหมือนกัน แต่มันไม่เหมือนกับตอนเป็นหมานี่สิ

     

    “แบคฮยอน นายไปแต่งตัวให้ดีๆเถอะ” ยกมือปิดตาขึ้นเมื่อเห็นว่าเสื้อที่เขาใส่ให้ตอนแรกมันไม่ได้อยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้องสักเท่าไหร่ แขนเสื้อกล้ามที่ควรจะอยู่ที่ไหล่ทั้งสองข้างกลับห้อยลงปล่อยไว้ที่เอว อธิบายง่ายๆก็คือ เสื้อกล้ามที่คยองซูอุตส่าห์ใส่ให้แบคฮยอนมันดันไหลมากองอยู่ที่เอวหมด

     

    “ฉันบอกแล้วว่านายใส่ไปมันก็เท่านั้น” ร่างโปร่งดึงสายเสื้อกล้ามให้ขึ้นมาอยู่ที่ไหล่อย่างที่ควรจะเป็น แบคฮยอนเดินลงจากที่นอนไปโดยไม่ลืมที่จะหยิบบ็อกเซอร์ตัวจิ๋วจากคยองซูติดมาด้วย

     

    “แบคฮยอนถ้านายไม่อาบน้ำคืนนี้ไม่ต้องนอนเตียง” รอยยิ้มเล็กกระตุกขึ้นที่มุมปาก แบคฮยอนครางรับแล้วรีบพาตัวเองเข้าไปอาบน้ำตามคำสั่งสูงสุดของผู้บัญชาการในบ้าน

     

                หลังจากที่เข้าไปวิ่งผ่านน้ำ ไม่ถึงยี่สิบนาทีแบคฮยอนก็ออกมาพร้อมกับชุดเสื้อกล้ามกับบ็อกเซอร์ กลิ่นหอมของสบู่พอจะทำให้คนที่มัวแต่กดมือถืออยู่เงยหน้าขึ้นมามองด้วยความสงสัย

     

                “แน่ใจนะว่านั่นอาบ” คยองซูถาม หรี่ดวงตากลมโตมองอย่างจับผิด

     

                “อาบสิ สระผมด้วยนะ หอมมาก ดมไหม มาๆๆๆดม” แบคฮยอนรีบกระโดดขึ้นเตียง คลานเข่าเข้าไปใกล้คนตัวเล็กที่ถือโทรศัพท์มือถือไว้ แล้วสะบัดผมจนหยดน้ำที่เกาะอยู่กระจายตัวอยู่บนหน้าจอโทรศัพท์ คยองซูเลยต้องดึงเสื้อยืดของตัวเองมาเช็ดแล้วส่งสายตาดุไปให้

     

                “รู้ไหมว่ามันเปียก” ร่างโปร่งส่ายหัวรัว กระแซะตัวนั่งด้านข้างคนตัวเล็กอย่างเอาใจ แต่สายตาเรียวกลับเหล่มองลงไปที่หน้าจอโทรศัพท์ที่สว่างวาบเพราะมีคนส่งข้อความมา

     

                “ตอบไปสิ นายตำรวจกระจงใช่ไหม แหนะๆ” แบคฮยอนพยักพเยิดหน้าไปยังหน้าจอที่ดับลงแล้ว คยองซูส่งเสียงจิ๊ปากหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นพร้อมกับหันหน้าหนีไปอีกทาง

     

                “ยุ่งน่า” พอเจอประโยคนี้แบคฮยอนถึงกับนิ่ง เบะปากลง ดึงผ้าห่มจากปลายเท้าขึ้นมาคลุมตัวเองแล้วล้มลงนอนหันไปอีกด้าน

     

                “ก็ใช่สินะ ไอ้เรามันไม่ใช่คนในชุดเครื่องแบบ” แบคฮยอนพูดลอยขึ้นมา หวังให้ใครสักคนในห้องแถวนี้แหละที่ได้ยิน และคนที่ได้ยินก็ถึงกับคิ้วกระตุกหันไปตีลงกับดักแด้ยักษ์ที่ขดตัวกลมอยู่ด้านข้าง

     

                “พรุ่งนี้ตอนเย็นไม่อยู่นะ” คยองซูปิดโทรศัพท์มือถือแล้ววางไว้ที่ข้างหัวเตียง จับปลายผ้าห่มที่แบคฮยอนดึงเอาไว้ออกมา ยึดยื้ออยู่สักพักพอให้เหงื่อออกคนตัวโปร่งขี้แกล้งถึงยอมปล่อย

     

                “ไปนานไหมอ่ะ”

     

                “ไม่รู้สิ คุณจงอินจะพาไปกินข้าว งานนี้นายขอไปไม่ได้นะ” กระตุกผ้าห่มมาคลุมตัวเองบ้าง คยองซูนอนหันหลังให้กับแบคฮยอน อาจจะเพราะไม่ชินที่ต้องมีคนมานอนด้วย การหาหมอนข้างมากั้นไว้จึงจำเป็นมากสำหรับคยองซูตอนนี้

     

                “ก็รู้ว่าไปเดท ใครจะอยากไปด้วย ฉันแค่...”

     

                “หืม”

     

                “ขอออกไปข้างนอกตอนเป็นคนได้ไหมอ่ะ” พูดออกมาเบาๆแล้วหันหน้ากลับมาหาคยองซูที่นอนหันหลังให้อยู่ มือเรียวสะกิดเข้าที่ไหล่แคบสองครั้ง คยองซูเลยต้องกลับตัวหันหน้ามาเลิกคิ้วมอง

     

                “แล้วแต่นายสิ” คยองซูยักไหล่ ดวงตากลมโตเชื่อมไปด้วยน้ำบอกได้เลยว่าตอนนี้กำลังง่วงได้ที่ พอหัวถึงหมอนร่างเล็กก็พร้อมหลับแทบจะทันที

     

                “คยองซูน่ารักที่สุดในโลก” รู้ตัวอีกทีก็ตอนที่ริมฝีปากของตัวเองนี่แหละ ประทับลงแก้มใสที่เริ่มขึ้นสีแดงจางๆ คนตัวเล็กเบิกตาโตขึ้นอย่างตกใจ พอเห็นอย่างนั้นเลยค่อยๆเคลื่อนหน้าตัวเองออกมาพร้อมรอยยิ้มแหยกับเสียงหัวเราะแหะ

     

                “ไอ้..” จากที่ง่วงๆในตอนแรก คยองซูถึงกับตาสว่าง ปากอิ่มรูปหัวใจเตรียมจะอ้าปากด่าแต่กลับโดนนิ้วเรียวของแบคฮยอนทาบเอาไว้

     

                “กู๊ดไนท์นะ” พูดจบแบคฮยอนก็รีบหันตัวกลับไปด้านเดิม ดึงผ้าห่มที่ไหลมาอยู่ที่อกขึ้นคลุมหัวจนมิด ดูก็รู้ว่าคยองซูจะต้องโกรธแค่ไหน และเขาก็ควรที่จะกันไว้ก่อนเพื่อชีวิตที่อยู่รอดของตัวเอง

     

                .

                .

                .

     

                วันนี้ทั้งวันแบคฮยอนได้แต่หมกตัวอยู่ในบ้าน ร่างไซบีเรียนตอนนี้ก็ทำอะไรไม่ได้ดั่งใจสักอย่าง แม้กระทั่งจะเปิดทีวียังทำไม่ได้เลยให้ตายเถอะ คยองซูก็ดันรีบไปเรียนในช่วงเช้าจนลืมเปิดทีวีให้แบคฮยอนได้คลายเหงาไปบ้าง บ้านทั้งบ้านเลยเงียบสนิทมีเพียงเสียงลมหายใจของตัวเองที่ดังแข่งกับแอร์คอนดิชั่น

     

                ความจริงแล้วเรื่องข่าวเมื่อวานในทีวีแบคฮยอนก็พอจะนึกอะไรออกไปบ้างแล้วเหมือนกัน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องร้านอาหารที่ตัวเองเป็นเจ้าของและมีเพื่อนเป็นหุ้นส่วนอีกสองคน หรือแม้กระทั่งชื่อของผู้หญิงบางคนที่มีรูปอยู่กับตัวเขา บางทีแบคฮยอนก็คิดนะว่าช่วงชีวิตในตอนนั้นเขาใช้ชีวิตแบบไหนกัน

               

                ทีนี้ก็เหลือแต่รอเวลา อีกไม่กี่นาทีก็สี่ทุ่มแล้ว แบคฮยอนจะได้ไปรับรู้ความจริงของตัวเองสักที

     

                ตัวเลขบนนาฬิกาดิจิตอลขึ้นเป็น 22.00 ร่างทั้งร่างของแบคฮยอนก็กลายสภาพเป็นคน แต่ดันต้องมานั่งคิดแล้วคิดอีกตอนที่ก้าวขาขึ้นไปชั้นบนเพื่อเปลี่ยนชุด เขาไม่มั่นใจเลยว่าตัวเองจะออกไปไหนมาไหนได้ยังไงด้วยชุดของคยองซู มันไม่ควรจะเป็นสไตล์ที่อยู่บนตัวเขาเลยให้ตายเถอะ

     

                มือเรียวจับเสื้อภายในตู้พลิกไปพลิกมาก่อนจะเลือกได้ออกมาเป็นเสื้อแขนยาวสีเหลืองอ่อนกับกางเกงยีนสีเข้มตัวนึง ซึ่งดูยังไงมันก็ไม่น่าจะเป็นสไตล์ของแบคฮยอนเลย แต่ยังไงก็ต้องจำใจใส่ไปก่อนล่ะนะ ไม่งั้นจะปล่อยให้เปลือยออกไป หรือใส่เพียงแค่เสื้อกล้ามกับกางเกงบ็อกเซอร์แบบตอนนอนก็กระไรอยู่

     

                ร่างโปร่งล็อกประตูบ้านให้อย่างเรียบร้อย แอบเป็นห่วงคยองซูอยู่เหมือนกัน เวลาตอนนี้ก็คงประมาณสี่ทุ่มกว่าได้ แต่คยองซูก็ยังไม่กลับบ้าน หวังว่านายตำรวจกระจงจะไม่ทำอะไรนะ

     

                เป็นห่วง... นะเนี่ย

     

                แบคฮยอนเรียกแท็กซี่แล้วบอกชื่อร้านที่ตัวเองต้องการจะไป เพียงแค่บอกชื่อไปเท่านั้นโชเฟอร์ก็พยักหน้ารับรู้แล้วบอกให้ขึ้นมา เขาแทบไม่คิดเลยว่าร้านตัวเองจะดังขนาดแค่บอกชื่อก็สามารถพาไปถูกโดยไม่ต้องบอกเส้นทาง

     

                รถแท็กซี่จอดลงที่หน้าร้านอาหารกึ่งผับหรู ร่างโปร่งล้วงเงินจากกระเป๋ากางเกงที่แอบหยิบมาจากถ้วยใส่เศษเงินของคยองซู เขาไม่ได้หยิบมาเฉยๆนะ อันนี้รับรองแน่นอนว่ายืมแล้วมีคืน จ่ายเงินเสร็จก็ก้าวลงจากตัวรถแล้วมุ่งตรงไปยังตัวร้านโดยไม่ปล่อยให้เสียเวลาแม้แต่นาทีเดียว

     

                ระหว่างทางที่ก้าวเดินไป ในแต่ละก้าวแบคฮยอนมักจะรู้สึกได้ว่ามีคนมองมาที่ตัวเอง เหมือนทุกสายตาจับจ้องมาที่ตัวเขาราวกับเห็นเป็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลก แบคฮยอนแค่ทำตัวไม่ถูก แถมตอนนี้เขายังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าต้องไปนั่งตรงไหน แล้วหน้าตาของเพื่อนนี่มันเป็นอย่างไร ถ้าได้เห็นเพียงนิดเดียวก็น่าจะพอนึกได้บ้าง เหลือก็แต่โชคชะตานี่แหละที่จะช่วยนำพาให้เขานึกอะไรได้ออกเร็วๆ

     

                “แบคฮยอน วู้ว” เสียงโทนต่ำแต่กลับดังทะลุเสียงเพลงขึ้นมาทำให้เขาละความสนใจจากการหาที่นั่ง แบคฮยอนหันไปตามเสียงเรียกชื่อของตน กวาดสายตาเพียงครู่เดียวก็เจอกับต้นตอตัวสูงที่ส่งยิ้มยิงฟันมาให้อย่างจริงจัง

     

                ถ้าไม่ติดว่าคนตัวสูงที่ส่งยิ้มให้มานี้โบกมือราวกับคนไม่เต็มเต็ง แบคฮยอนก็พร้อมที่จะก้าวเดินไปหาแล้วทำความรู้จักอยู่หรอก แต่นี่อะไรแว่นตาสีดำกรอบใหญ่ เสื้อฮู๊ดตัวหนา กางเกงยีนส์สีเข้ม กับรองเท้าจอร์แดน ไม่บอกก็รู้ว่าแต่งแบบนี้มันชอบฮิปฮ็อปแร็ปโย่ว แบคฮยอนรู้จักกับเพื่อนแบบนี้ด้วยหรอ

     

                “เป็นเจ้าของร้านทั้งที แวะเข้ามายังอิดออดที่จะเจอเพื่อน ใช้ไม่ได้” น้ำเสียงตัดพ้อที่ดังแว่วมาไกลๆ คนพูดยังคงใช้น้ำเสียงที่ดังระดับเดิมคือ ดังทะลุเสียงดนตรีที่เปิดคลอนั่นเอง ถ้าเขายังไม่พาตัวเองเดินเข้าไปใกล้ มีหวังร้านตัวเองก็คงไม่ได้กลับมาเหยียบอีกเพราะความอาย เป็นไปได้ตอนนี้อยากเดินไปหาพร้อมกับเอามือปิดหน้าไปด้วยซ้ำ

     

                “น่า ชานยอล ให้เวลามันหน่อย” แบคฮยอนเหลือบไปเห็นร่างสูงอีกคนที่อยู่ข้างหลังบาร์เครื่องดื่ม คนคนนี้ดูสุขุมและเป็นผู้เป็นคนมากกว่าคนที่นั่งเบะปากในมือถือแก้วโคล่าเอาไว้

     

                “ยังจะต้องให้อะไรอีกวะ ร้านก็ร้านมัน” คนที่น่าจะชื่อชานยอลพูดอย่างเคืองๆ ไม่รู้ว่าไปโกรธอะไรเขามานักหนา รอก่อนเถอะรอให้แบคฮยอนนึกอะไรได้มากกว่านี้เถอะ พ่อจะต่อปากต่อคำบ้าง

     

                “ร้านของเรา” บาร์เทนเดอร์ตัวสูงพูดขึ้น หันมามองหน้าเขาแล้วยักคิ้วให้ ดูเหมือนคนนี้จะเป็นมิตรที่ดีมากกว่าผู้ชายไม่เต็มเต็งที่นั่งอยู่ตอนนี้

     

                “แต่ก็มีแค่ฉันกับนายที่ดูร้าน ไอ้หมาตัวไหนไม่รู้มันหายหัวไปได้ทุกวัน” แบคฮยอนสะอึกตั้งแต่ได้ยินคำว่าหมาตัวไหน แถมต่อด้วยประโยคที่ว่าหายหัวไปได้ทุกวัน ดูเหมือนความทรงจำในส่วนลึกของเขาจะผุดขึ้นมาแทบจะทันที

     

                “นั่งสิ เอาอะไรไหม” บาร์เทนเดอร์หนุ่มส่งยิ้มมาพร้อมกับผายมือให้เขานั่งลง แบคฮยอนเลยยิ้มกลับไปให้อย่างเป็นมิตรแล้วนั่งลงไปด้านข้างของชานยอล

     

                “ไม่เอาดีกว่า คริส..” ท้ายประโยคลองพูดออกมาเบาๆ เขาไม่แน่ใจนักว่าชื่อที่อยู่ในหัวตอนนี้มันถูกรึเปล่า แต่แค่เห็นหน้าเมื่อครู่ อยู่ดีๆประโยคต่างๆตอนสมัยก่อนที่เคยคุยกันก็ผุดขึ้นราวกับดอกเห็ด

     

                “เป็นอะไรไป หายไปไหนมา แล้วนี่เปลี่ยนสไตล์แล้วหรอ” คริสยิ้มล้อ เหล่สายตามาทางเสื้อแขนยาวสีเหลืองอ่อนลายเป็ดของคยองซู แบคฮยอนรู้สึกว่าตัวเองพลาดก็ตอนนี้ หยิบอะไรไม่หยิบดันหยิบเสื้อที่แต๋วแหววที่สุดมาใส่ แต่เอาความจริงในตู้เสื้อผ้าของคยองซูก็มีแต่อะไรทำนองนี้ ซึ่งคนตัวเล็กใส่ทีแต่ละครั้งก็ดูจะเข้ากันไม่ขัดลูกตาเหมือนที่เขาใส่เลยสักนิด

     

                “มีเรื่องนิดหน่อย” แบคฮยอนถอนหายใจ เรื่องนิดหน่อยที่พูดไปดูจะเป็นการโกหกจนเกินไป ชานยอลที่นั่งอยู่ด้านข้างถึงกับส่ายหน้า

     

                “นิดหน่อยบ้าอะไรหายหน้าไปเกือบอาทิตย์” ร่างสูงวางศอกลงที่โต๊ะ มือข้างหนึ่งนำมาเท้าคางไว้ ดวงตากลมโตภายใต้กรอบแว่นหรี่ลงมองมาทางเขาอย่างจับผิด

     

                “เรื่องของมันป่ะวะ” คริสที่เงียบอยู่นานโพล่งขึ้นบ้าง ชานยอลหันไปจ้องคนตัวสูงตาเขม็ง แลบลิ้นปลิ้นตาส่งไปให้ข้อหาทำตัวไม่ได้ดั่งใจ

     

                “ก็อยากรู้นี่วะ” ชานยอลขมุบขมิบปากพูด แบคฮยอนที่เห็นดังนั้นเลยขำเอามาเบาๆ เขาไม่ได้มีความรู้สึกแบบนี้นานแล้วตั้งแต่กลายเป็นไซบีเรียนตัวโต แบบนี้สินะที่เรียกว่า มิตรภาพ

     

                “ขำไร” แว่นตากรอบโตถูกถอดออกวางไว้บนโต๊ะอย่างหาเรื่อง ชานยอลชักสีหน้ามองมายังแบคฮยอน รูดแขนเสื้อตัวยาวขึ้นจนถึงข้อศอก ทำท่าเหมือนอยากจะหาเรื่องเขาเสียเต็มประดา

     

                “เรื่องของกู” ตอบกลับไปอย่างยียวน ดูเหมือนแบคฮยอนจะรู้จักการใช้นิสัยเดิมของตัวเองซะแล้วสิ เพียงแค่ลองพูดคุยไม่กี่ประโยคความทรงจำที่เลือนลางก็กลับมาเติมเต็มเหมือนเรื่องราวต่างๆหลั่งไหลเข้ามาภายในหัวของตัวเอง

     

                “ไอ้..”

     

                “ชานยอล”

     

                คนตัวสูงที่นั่งอยู่เบะปากลงหลังจากที่โดนบาเทนเดอร์หนุ่มเรียกชื่อตัวเองด้วยเสียงต่ำ ชานยอลหยิบแก้วเหล้าที่วางอยู่บนโต๊ะขึ้นมากระดกดื่มจนหมดแก้ว แล้วหันไปบอกเสียงดังกับคริสว่าขออีก คนต้นเหตุอย่างเขาที่ดูจะคล้ายคนกลางที่คอยคุมสถานการณ์ระหว่างคริสกับชานยอลเลยได้แต่มองตาปริบๆ

     

                “เอาไหมแบคฮยอน แบบเดิม เอาหน่อยเถอะ ไหนๆก็มาร้านแล้ว” คริสไม่สนใจคนที่ขออีกแก้วอย่างชานยอล แต่กลับมาคะยั้นคะยอให้เขาที่นั่งเฉยดื่มเสียอย่างนั้น ความจริงคือแบคฮยอนไม่มั่นใจลิมิตในการดื่มเหล้าแล้วที่จะไม่เมาของตัวเอง ตอนนี้ในใจก็กลัวแต่ว่าถ้าดื่มไปสักแก้วมันจะเมาแอ๋ไป

     

                “ก็ได้” ปฏิเสธไม่ได้เลยจริงๆ แบคฮยอนไม่ใช่คนใจอ่อนอะไร แต่นิสัยไม่ปฏิเสธใครแบบนี้เขาติดมาจากคยองซูเลย คยองซูคนเดียวเลยที่ทำให้เขากลายเป็นคนยอมคนอย่างนี้

     

                สิบนาทีต่อมาเมื่อเหล้าเข้าสู่ร่างกาย แบคฮยอนก็เริ่มรู้สึกดีขึ้นมาบ้าง ความรู้สึกอัดแน่นในอกเหมือนได้รับการปลดปล่อย แม้แต่ความรู้สึกใคร่รู้ก็ถูกคายออกมาเป็นคำถาม

     

                “ชานยอล นายเป็นคนเชื่อคนง่ายไหม” แบคฮยอนถามขึ้นมาเบาๆ นิ้วเรียวไล้วนอยู่ที่ปากแก้วเหล้า

     

                “มาก” เป็นคริสที่พูดแทรกขึ้นมาพร้อมกับเสียงหัวเราะ ร่างสูงที่ดูสุขุมความจริงแล้วเป็นผู้ชายที่อารมณ์ดีมากเลยคนนึง

     

                “พูดมาก อย่างน้อยฉันก็ไม่เชื่อว่าน้องซูซี่จะไม่ชอบฉัน” แล้วคนนี้ก็เถียงกลับอย่างไม่ยอมแพ้ เอากับพวกเขาสิ ไม่มีใครยอมกันสักคน

     

                “แล้วนายเชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติไหม” แบคฮยอนพูดเกริ่นอีกครั้ง คริสและชานยอลละความสนใจจากการทะเลาะแล้วหันมาสนใจกับคนที่พูดเปิดเรื่อง

     

                “แบบไหนล่ะ” คริสยกนิ้วขึ้นมาเคาะลงที่คางของตัวเอง หันไปมองหน้าแบคฮยอนอย่างสงสัย

     

                “ประมาณว่า..”

     

                “ว่า!” ชานยอลพูดตอบอย่างตื่นเต้น คนตัวสูงที่นั่งอยู่ด้านข้างแทบจะลุกขึ้นมานั่งเกยตักแบคฮยอนอยู่รอมร่อ อะไรจะอยากรู้ขนาดนั้น

     

                “ประมาณว่า อยู่ดีๆ จากที่เป็นมนุษย์ธรรมดาแล้วกลายร่างเป็นสัตว์” ระหว่างพูดแบคฮยอนก็หยิบเหล้ามาดื่มพลางๆ รู้สึกกดดันไม่น้อยจากสายตาของเพื่อนทั้งสองคน

     

                “ประสาทแล้วแบบนั้น” คริสพูดออกมาเบาๆแล้วหันไปสนใจงานต่อ

     

                “นายเมาแล้วแน่เลยแบคฮยอน ฉันพากลับบ้านไปหาป๊ากับม๊าไหม เขาคิดถึงนะเว้ย” ชานยอลพูดพร้อมกับจับมือแบคฮยอนเขย่าเบาๆ

     

                “ไม่ล่ะ ฝากบอกละกันว่าฉันคิดถึงพวกเขา” พูดเพียงเท่านั้นแล้วดื่มน้ำสีอำพันในแก้วต่อจนหมด แบคฮยอนชูนิ้วขึ้นมองไปที่คริสเพื่อขอต่ออีกสักแก้ว เขาไม่ต้องการที่จะดื่มจนเมา แต่ตอนนี้เขาแค่อยากดื่มให้มันลืมเรื่องบางเรื่องที่คาใจเท่านั้นแหละ

     

                เพลงดนตรีแนวแจ๊สยังดังคลอตลอดการดื่มครั้งนี้ แบคฮยอนรู้สึกเพลิดเพลินแล้วดื่มด่ำในบรรยากาศของตัวร้าน ถือว่าเป็นร้านที่รสนิยมดีเลยทีเดียว แบบนี้ถือเป็นการชมตัวเองหรือเปล่า แต่เพราะบรรยากาศที่ดีแบบนี้พอหันไปมองนาฬิกาที่แขวนอยู่ตรงผนังก็ถึงกับตาโต เขาดูจะเพลิดเพลินเกินไปหน่อย ตอนนี้เข็มสั้นของนาฬิกาชี้ตรงไปที่เลขสอง คยองซูคงกลับบ้านแล้ว ไม่รู้ว่าร่างเล็กจะนอนไปแล้วรึยัง

               

                “นี่.. รอแล้วกัน อีกสักพักฉันจะกลับมาดูแลร้านต่อแล้ว” แบคฮยอนพูดขึ้นเบาๆ ชานยอลมองมาพร้อมรอยยิ้ม ร่างสูงดูจะดีใจจนเกินเหตุที่เขาบอกไปแบบนั้น ส่วนคริสก็ทำเพียงพยักหน้าตอบรับ

     

                “ติดผู้หญิงหรอวะ!” ชานยอลยังเป็นคนคงเส้นคงวากับน้ำเสียง ความจริงแล้วตอนเด็กคนข้างกายเขาอาจจะเผลอกินลำโพงเข้าไป ไม่ว่าจะพูดแต่ละครั้งก็เหมือนกับจะเปล่าประกาศไปให้ทุกคนได้รู้

     

                “เปล่าหรอก.. ก็แค่ ติดเจ้าของ” คริสกระตุกยิ้มหลังจากที่เขาพูดประโยคนั้นจบ ร่างสูงที่อยู่หลังเคาท์เตอร์เหล่สายตามาบริเวณลำคอของแบคฮยอน ดูเหมือนคนที่ถูกมองจะรู้ตัวด้วยสิ แบคฮยอนเลยทำเป็นจับปลอกคอหนังสีดำสนิทที่คอไปมาแล้วดึงคอเสื้อสีเหลืองอ่อนให้คลุมขึ้นมาบัง ไม่อย่างนั้นจะต้องมีบางคนเสียงดังแล้วถามต่อ ชัวร์เถอะ

     

                .

                .

                .

     

                ร่างโปร่งนั่งแท็กซี่กลับมาถึงบ้านก็ปาเข้าไปตีสามแล้ว แบคฮยอนเดินไปหมุนลูกบิดประตูเตรียมจะเคาะให้คยองซูมาเปิดให้ แต่พอลองหมุนปั๊ปก็ถึงกับขมวดคิ้วที่เห็นว่าคยองซูไม่ยอมล็อกมัน แล้วถ้าเกิดมีขโมยขึ้นบ้านแทนที่จะเป็นตัวเขาล่ะ เรื่องนี้คนผิดมันจะไม่ใช่แบคฮยอนเต็มๆหรอที่กลับบ้านช้า

     

                ทำไมไม่เคยห่วงตัวเองเลย

     

                ก้าวเท้าเบาๆขึ้นไปตามบันได แบคฮยอนหมุนลูกบิดห้องนอนเบาๆ แง้มประตูดูเล็กน้อยว่าคนข้างในหลับไปรึยัง พอเห็นว่าคนบนเตียงกำลังนอนหลับสบายก็หายใจออกอย่างโล่งอก อย่างน้อยคยองซูก็หลับสนิทอยู่บนเตียง คงไม่ตื่นมาถามเขาหรอกนะว่าหายไปไหนมานานสองนาน

     

                ร่างโปร่งเดินเข้าไปเบาๆ เปิดตู้เสื้อผ้าแล้วหยิบเสื้อกล้ามกับบ็อกเซอร์ของคยองซูมาเปลี่ยน คนตัวเล็กบนเตียงเป็นคนรักสะอาด แล้วคงจะไม่ยอมแน่ที่เห็นเขาขึ้นไปทั้งชุดที่ใช้ออกข้างนอกมา

     

    เปลี่ยนเสร็จก็พาตัวเองสอดตัวลงในผ้าห่ม หันไปมองคยองซูที่หลับตาพริ้มก็ยิ่งรู้สึกหมั่นเขี้ยวกับพวงแก้มใสที่ดูนุ่มนิ่มน่าสัมผัส แบคฮยอนเอื้อมมือไล้ไปที่ข้างแก้มนั้นเบาๆ ลอบมองดวงหน้าหวานผ่านความมืดพร้อมกับรอยยิ้ม นิ้วเรียวจิ้มลงไปที่แก้มก่อนจะย้ายมาสัมผัสลงที่ปลายจมูกโด่งรั้น

     

    บางทีก็คิดว่าจมูกนี้ช่างบอกนิสัยส่วนตัวของคยองซูเหลือเกิน

     

    ยิ่งมองก็ยิ่งหลงใหล ใบหน้าเล็กขยับเข้าไปใกล้ก่อนจะสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นของคยองซูที่ปะทะเข้ากับหน้าของตัวเอง ริมฝีปากบางประทับแผ่วเบาลงที่ปากอิ่ม กดจูบเน้นย้ำแล้วปล่อยค้างไว้อยู่เนิ่นนานกว่าจะทำใจละใบหน้าออกมา รสหวานยังซึมซับอยู่ที่ริมฝีปาก ทั้งหวานและอบอุ่นไปถึงหัวใจ

     

    “มันควรเป็นแบบนี้รึเปล่า.. คยองซู” 

     

     

    ----------- 15% -----------

     

      
     

    เช้านี้ร่างเล็กตื่นขึ้นมาด้วยความเคยชินเหมือนทุกวัน หกโมงเช้าเป็นเวลาปกติที่คยองซูมักจะตื่นขึ้นมาเพื่อทำอาหารเช้าให้กับแบคฮยอน พอนึกถึงแบคฮยอนร่างเล็กก็รีบส่งมือยื่นไปตะปบที่ข้างเตียง ก่อนจะรู้สึกใจชื้นเมื่อจับไปแล้วคนที่นึกถึงยังนอนหลับสนิทอยู่

     

    เมื่อคืนคยองซูเผลอหลับไปก่อนทั้งๆที่คิดว่าจะนั่งรอจนแบคฮยอนมา แต่การนั่งรอบนเตียงเป็นเรื่องที่คิดผิด พอรู้สึกว่าหนังตาเริ่มหนัก อยากจะพักสายตาสักห้านาที ทีนี้หัวถึงหมอนปั๊ปคยองซูก็หลับอย่างเอาจริงเอาจังจนลืมแบคฮยอนไปเลย คิดแล้วก็ยังขำ ไม่รู้ว่าไปเอาความคิดที่จะนั่งรอมาจากไหน

     

    ร่างเล็กลุกขึ้นไปล้างหน้าล้างตาแล้วพาตัวเองลงไปยังชั้นล่าง เป็นปกติเหมือนทุกวันที่จะต้องลงมาแล้วย้ายตัวเองไปที่ครัวเพื่อทำอะไรสักอย่างสองอย่างให้เจ้าไซบีเรียนที่อยู่ในร่างคนกิน แต่วันนี้ดีอย่างที่ไม่ต้องมีคนกวนตอนเข้าครัว แบคฮยอนมักจะมายุ่มย่ามกับตัวเขาตอนที่กำลังจะตั้งใจทำอาหาร และนั่นยิ่งทำให้อาหารมื้อนั้นเสร็จช้ามาก จนจากที่เขาไม่หิวก็กลายเป็นทำนานจนหิว แบคฮยอนเลยถูกใจใหญ่ที่มีคนมานั่งกินอะไรด้วยกันในตอนเช้า

     

    พอทำทุกอย่างเสร็จก็ลองตะโกนเรียกคนข้างบน แต่สิ่งที่ได้รับกลับมามีแต่ความเงียบ คยองซูเลยต้องทำตัวเป็นเจ้าของที่ดีขึ้นไปปลุกสัตว์เลี้ยงแสนรักให้ตื่นจากนิทราอันแสนหวาน

     

    “แบคฮยอน.. แบคฮยอน” คยองซูเขย่าตัวคนนอนเบาๆ

     

    “แบคฮยอน ตื่นได้แล้วนะ” เสียงครางฮือออกมาจากลำคอของคนที่หลับอยู่บนเตียง แบคฮยอนดึงผ้าห่มขึ้นมาจนคลุมหัวมิด ไม่สนใจเสียงปลุกของคยองซูที่เริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ

     

    “ข้าวเช้าเสร็จแล้วนะ” ร่างเล็กปีนขึ้นมาบนเตียงแล้วเขย่าใหม่อีกรอบ แบคฮยอนดิ้นซ้ายทีขวาทีแล้วชูมือขึ้นออกจากผ้าห่มเพื่อคว้าแขนของคยองซูให้หยุดเขย่าสักที

     

    “ฉันมีนัดกับคุณจงอินนะ”

     

    “อะไร นายตำรวจกระจงอีกแล้วหรอ” แบคฮยอนผุดลุกออกจากผ้าห่ม หัวทุยฟูไม่เป็นทรง ดวงตาปรือจากที่เรียวเล็กอยู่แล้วแทบจะกลายเป็นปิดตาพูดกับคยองซู

     

    “เขาชื่อจงอิน” คยองซูยื่นมือขึ้นไปจัดทรงผมแบคฮยอนให้เรียบร้อย ดึงผ้าห่มที่คลุมร่างให้ออกไปไกลตัว ก่อนจะใช้วิทยายุทธในการดึงตัวแบคฮยอนให้ลุกขึ้นเพื่อไปล้างหน้า

     

    “นั่นแหละ เขาคิดอะไรกับนายจริงจังรึเปล่า” แบคฮยอนเขยิบตัวลงปล่อยขาลงข้างเตียง หันมามองหน้าคยองซูอย่างต้องการคำตอบ

     

    “ฉันไม่รู้..”

     

    “แล้วนายล่ะ คิดรึเปล่า” มือเรียวยื่นมาไล้ที่แก้มยุ้ยเบาๆ หยิบปอยผมที่บังหน้าบังตาของคยองซูไปทัดหูเอาไว้ แถมตบท้ายด้วยการดึงแก้มขาวจนขึ้นรอยนิ้วแดง

     

    “ฉัน.. เปล่า” พูดไปอย่างติดขัด ไม่ใช่เพราะไม่มั่นใจในคำตอบ แต่คยองซูกลับรู้สึกใจเต้นกับท่าทางของแบคฮยอนต่างหาก เขาไม่ควรรู้สึกแบบนี้ ... ขนาดจงอินที่ดูออกว่ามีใจให้ตัวเองทำ เขายังไม่เคยรู้สึกแบบนี้เลยสักครั้ง

     

    “หรอ งั้นหรอ” ดวงตาเรียวหรี่ลงมองมาทางคยองซู รอยยิ้มมุมปากยกขึ้นจนคนตัวเล็กที่เห็นได้แต่เบะปากลงอย่างหมั่นไส้ แล้วส่งมือออกไปผลักตัวให้แบคฮยอนรีบไปล้างหน้า

     

    “เร็วเลย ข้าวเช้าที่ฉันอุตส่าห์ตื่นมาทำมันเย็นจนจะกินไม่ได้แล้วมั้ง” คยองซูขมวดคิ้วเป็นปมเมื่อนึกถึงอาหารที่คงจะรอให้คนไปกินจนเย็นชืด

     

    “ครับ จะเร็วที่สุดเลย คนน่ารักทำให้กินทั้งที” ยักคิ้วไปให้พร้อมส่งจูบ ก่อนจะรีบวิ่งปรู๊ดเข้าห้องน้ำหลบหมอนใบโตที่ลอยหลุดจากมือคนตัวเล็กที่เป็นคนโยนมา

     

    คยองซูลงมารอแบคฮยอนที่ข้างล่าง เขาต้องนำอาหารทั้งหมดเข้าไปอุ่นในไมโครเวฟใหม่อีกทีระหว่างรอให้คนที่ชักช้ามา กลิ่นหอมของอาหารลอยขึ้นไปแตะจมูกคนที่เพิ่งลงมาจากบันไดจนท้องเริ่มจะร้องเรียกหาความอร่อยที่ตัวเองชอบ

     

    “หอมอ่ะ” แบคฮยอนยื่นหน้าเข้าไปใกล้อาหารจนคยองซูต้องใช้มือดันออก แล้วพาให้มานั่งลงที่เก้าอี้ ไม่อย่างนั้นอาหารจานนั้นจะกลายเป็นของแบคฮยอนคนเดียวเพราะจมูกของเจ้าตัวดันจิ้มลงไป

     

    “อันนี้ก็น่ากิน” ร่างโปร่งใช้มือเปล่าหยิบลงไปที่ไก่ทอดแล้วชูยกขึ้นมาไว้ต่อหน้าคนตัวเล็ก คยองซูส่ายหัวแล้วตีลงไปที่มือขาวนั้นอย่างแรงจนไก่ที่อยู่ในมือตกลงที่จานดังเดิม

     

    “มารยาทน่ะ มีไหม” คยองซูปราม หยิบทิชชู่ข้างโต๊ะมาเช็ดนิ้วของแบคฮยอนทีละนิ้ว

     

    “มีนะ แต่หิว” แบคฮยอนยิ้มขำ หยิบทิชชู่ในมือของคยองซูมาเช็ดลงที่นิ้วตัวเองใหม่ แต่พอเช็ดเสร็จก็ส่งมือยื่นไปหยิบไก่ชิ้นเดิมที่ตกอยู่ในจานมากินอีกครั้ง

     

    “ย่าห์ ไม่ฟังกันบ้างเลย” คยองซูขึ้นเสียง จ้องไปที่ปากของแบคฮยอนที่เริ่มจะกัดชิ้นเนื้อไก่เข้าไปอย่างเต็มคำ ดูท่าจะอร่อยมากด้วยสิ หน้านี่ไม่ต้องบอกเลยว่ามีความสุขแค่ไหน

     

    “ก็อาหารที่คยองซูทำอร่อยที่สุดในโลกนี่นา” ชมคนตัวเล็กพร้อมหยิบไก่ขึ้นมาอีกชิ้น กัดเข้าปากอย่างเอร็ดอร่อยจนคนทำอดไม่ได้ที่จะยิ้มออกมา มีความสุขที่ทำอะไรไปคนคนนี้ก็ชมแบบนี้มาตลอด มันทำให้รู้สึกว่าอยากจะทำให้กินทุกมื้อเลย

     

    “งั้นก็กินดีๆสิ”

     

    “ไม่อ่ะ ถ้าอยากให้กินดีๆคยองซูคงต้องป้อนฉันแทนแล้ว” ร่างเล็กส่ายหัวไปมาแล้วใช้ส้อมจิ้มลงที่ชิ้นไก่มาหั่นให้เป็นชิ้นเล็ก แล้วยื่นไปให้จ่อที่ปากของแบคฮยอนที่ตาโตขึ้นอย่างไม่เชื่อในการกระทำของคนตรงหน้า

     

    “กินสิ ตาโตอยู่นั่นแหละ” คยองซูขมุบขมิบปากพูด แบคฮยอนอ้าปากช้าๆรับชิ้นไก่เข้าไปพร้อมกับอมส้อมที่ร่างเล็กยื่นมาให้แน่น

     

    “แบคฮยอนอมส้อมทำไม ปล่อยเดี๋ยวนี้นะ” ร่างเล็กพยายามดึงออกมา แต่แบคฮยอนกลับยื่นมือมากุมที่มือขาวของคยองซูไว้

     

    “ถ้าให้ปล่อยต้องป้อนอีก” ยื่นข้อเสนอที่แสนจะไม่เข้าท่าไปให้ ร่างเล็กส่ายหัวรัว สะบัดมือของตัวเองให้ออกจากมือขาวแสนอบอุ่นของแบคฮยอน

     

    “งั้นก็ไม่ปล่อยหรอกนะ” แบคฮยอนลอยหน้าลอยตาพูด ปากบางยังอ้าอมลงที่ส้อม ใช้ฟันกัดลงไปบนส้อมจนเกิดเสียงที่ทำให้ร่างเล็กเสียวฟัน

     

    “ก็ได้ ปล่อยสิ” คยองซูยอมแพ้ในความดื้อของแบคฮยอนเลย มือเรียวปล่อยออกพร้อมกับปากที่ละออกมาจากส้อม แบคฮยอนอ้าปากรอไว้แล้ว ดวงตาเรียวจ้องมองไปตามมือเล็กที่กำลังหั่นไก่ให้ตัวเอง

     

    “ป้อนแล้วไก่อร่อยขึ้นอีกร้อยเท่านะรู้ไหม” แบคฮยอนพูดลอยขึ้นมา ปากบางอ้างับส้อมที่ยื่นจ่อมาข้างหน้า

     

    “กินไปเถอะ” ร่างเล็กยังคงหั่นไก่ในจานของตัวเองแล้วยื่นจ่อให้ที่ปากของแบคฮยอน

     

    “นายก็กินบ้างสิ” ดวงตาหยีลงพร้อมรอยยิ้ม มือเรียวของแบคฮยอนกุมเข้าที่มือที่ถือส้อมอยู่ของร่างเล็กให้ย้อนกลับเข้าไปจ่อที่ปากอิ่มสีชมพูเข้ม

     

    “กินสิ อ้าม.. ฉันป้อนนายอยู่นะ” แบคฮยอนพูด อ้าปากตามคยองซูที่อ้าน้อยๆ ก่อนจะหุบปากแล้วยิ้มกว้างเมื่อเห็นคนตัวเล็กเคี้ยวไก่ตุ้ยๆ

     

    “เป็นไง ป้อนให้แล้วอร่อยขึ้นไหม” แบคฮยอนถาม ยกมือเท้าคางมองไปยังคนที่ยังเคี้ยวอยู่แก้มตุ่ย

     

    “ก็เหมือนเดิม” คยองซูขำ ส่งมือไปดันแขนที่เท้าโต๊ะไว้จนแบคฮยอนกระตุกตัวเหมือนจะล้มหน้ากระแทกลงไปที่โต๊ะ

     

    “แกล้งหรอ!” แบคฮยอนขึ้นเสียง มองมาที่คนตัวเล็กอย่างหาเรื่อง คยองซูยักไหล่ทำเป็นไม่รู้เรื่องแล้วตักไก่เข้าปากตัวเองไป

     

    “นี่แหน่ะ..” แบคฮยอนยื่นมือทั้งสองข้าง แบออกแล้วทาบไปที่แก้มยุ้ยทั้งสองข้างของคยองซู ส่งแรงบีบลงไปจนปากอิ่มเบะออกเป็นเป็ด คนตัวเล็กได้แต่ส่ายหน้าไปมาสะบัดมือให้หลุดออกจากหน้า

     

    “แบคฮยอน ไอ้บ้า” เสียงที่ส่งออกมาไม่ค่อยชัดนักจนคนที่ได้เอาคืนหัวเราะร่า แบคฮยอนไม่ยอมหยุดอยู่แค่นั้นหรอก ถ้าได้แกล้งแล้วคือจะแกล้งต่อไปเรื่อยๆ เพราะคยองซูเวลาโวยวายตอนโดนแกล้งน่ารักจะตายไป

     

    มื้ออาหารจบไปพร้อมเสียงหัวเราะของคยองซู แบคฮยอนเบะปากจับลงที่หัวโนของตัวเอง หลังจากที่แบคฮยอนปล่อยแก้มทั้งสองข้างของคยองซูแล้ว เขาก็ดันแกล้งจนหัวทุยนั้นโขกลงไปที่โต๊ะ แบคฮยอนงอแงทำงอนเขา แต่แทนที่คยองซูจะง้อกลับหัวเราะอย่างมีความสุข แกล้งคนอื่นไว้ก็ต้องได้รับผลกรรมล่ะนะ

     

    “เมื่อไหร่จะแปดโมงนะ” คยองซูพูดขึ้นพร้อมหันไปมองนาฬิกาที่ชี้เวลาเจ็ดโมงสี่สิบ แบคฮยอนเบะปากลงแล้วบ่น

     

    “อะไรกัน อยากให้ฉันเป็นหมาขนาดนั้นเชียวหรอ” ส่งเสียงงุ้งงิ้งข้างหูคนร่างเล็กอย่างงอแง แบคฮยอนกอดเข่าบนโซฟาแล้วซุกหน้าลงไป

     

    “ตอนนายเป็นหมาฉันจะได้กอดไง” คยองซูอธิบายเหตุผล เขาน่ะชอบที่จะกอดลงไปบนขนนุ่มของแบคฮยอนที่สุด ยิ่งถ้าได้ซุกหน้านะ มีความสุขที่สุดเลยล่ะ

     

    “ตอนเป็นคนฉันก็กอดได้นะ อุ่นด้วย” หันใบหน้ามามองคยองซูทั้งที่ยังกอดเข่าอยู่

     

    “มันไม่เหมือนกัน.. สักหน่อย” อยู่ดีๆก็รู้สึกร้อนที่พวงแก้ม คยองซูใช้หลังมือมาทาบทับไว้เบาๆที่ใบหน้าของตัวเอง จับวัดอุณหภูมิอย่างสงสัย หรือว่าเขาจะเป็นไข้

     

    “หรอ งั้นลอง” แบคฮยอนยืดตัวไปด้านข้าง วาดแขนกอดไปที่คนตัวเล็ก ดันหัวทุยให้วางลงที่ไหล่ของตัวเอง ลูบหลังบางไปมา แบคฮยอนแค่อยากรู้ว่าอ้อมกอดนี้มันจะทำให้คยองซูเปลี่ยนความคิดจากชอบกอดตอนเป็นไซบีเรียน แล้วหันมากอดตอนเขาเป็นคนแทนไหม

     

    “อือ..” คยองซูครางรับเบาๆ ซุกหน้าลงที่ไหล่ของแบคฮยอน

     

    “รู้สึกยังไง” แบคฮยอนถาม

     

    “ก็.. ไม่รู้สินะ”

     

    “แต่ฉันรู้สึกดีนะ” แบคฮยอนตอบเสียงเบาแล้วลูบแผ่นหลังบางไปมา แอบเพิ่มแรงกอดรัดให้มากขึ้นกว่าเดิมจนรู้สึกได้ถึงเนื้อนิ่มของคยองซู

     

     

    นายตำรวจกระจงมาแล้ว

     

    “รถยังไม่เห็นมาจอดหน้าบ้านเลย” คยองซูชะโงกหน้าไปดูตรงหน้าต่างบ้าน

     

    ฉันเป็นหมา ฉันได้ยินก็แล้วกัน

     

    “ชอบหรอที่จะเป็นหมาน่ะ” ร่างเล็กก้มหน้าลงไปใกล้ จมูกสีดำชนเข้ากับจมูกโด่ง ดวงตากลมสบเข้ากับนัยน์ตาสองสี คยองซูกำลังวาดรอยยิ้มบางให้แบคฮยอน

     

    ถ้าได้อยู่กับนาย เป็นหมาก็ดีเหมือนกัน

     

    “ตลกแล้ว ไปก่อนนะ วันนี้จะไปไหนรึเปล่า”

     

    อยากไปข้างนอก นายจะกลับมาก่อนใช่ไหม

     

    “อื้ม วันนี้คงกลับเร็ว ว่าจะไป... ทำทุกอย่างให้ถูกต้องน่ะ” ว่าเสร็จก็โบกมือลาแบคฮยอนที่นั่งเป็นหมางงอยู่หน้าประตู คยองซูออกไปโดยทิ้งคำพูดที่ทำให้แบคฮยอนต้องมานั่งนึกคิดอีกที

     

    อะไรคือสิ่งที่ต้องทำให้ถูกต้องของนายกัน

     

    .

    .

    .

     

    นายตำรวจคิมวันนี้มาในลุคชายหนุ่มคิมจงอิน ร่างสูงใส่เสื้อเชิ้ตกับกางเกงยีนส์ตามสมัยนิยม ไม่ได้ตั้งใจจะแต่งหล่อหรอกนะ แต่ถ้ามาเจอคนที่ตัวเองชอบแล้วล่ะก็ จงอินก็อยากจะดูดีอยู่ตลอดเวลา

     

    “อยากดูหนังเรื่องอะไรน่ะ” จงอินหันไปถามร่างเล็กที่เหม่อออกมองนอกกระจกรถ ดวงตากลมโตเหมือนจะมองออกไปข้างนอกเรื่อยๆ ไม่ได้หยุดที่ใดที่หนึ่งเป็นหลักแหล่ง

     

    “.. คุณจงอินอยากดูอะไรหรอครับ”

     

    “แล้วแต่นาย” จงอินหันไปมองทางอีกครั้ง ทั้งที่อยากหันไปมองหน้าคนข้างตัวแทบจะทุกนาที แต่คยองซูเหมือนจะไม่อยากให้เขามองสักเท่าไหร่ ก็เล่นหันมองออกไปแต่ข้างนอก

     

    “ผมดูเรื่องอะไรก็ได้ครับ” คยองซูหันมายิ้มหวานให้จงอิน รอยยิ้มที่ทำให้หัวใจดวงน้อยกระตุกถี่ จงอินกำพวงมาลัยรถยนต์แน่นพยักหน้ารับ หลบใบหน้าที่เริ่มร้อนนิดหน่อย

     

    “งั้นไปถึงที่โรงหนังแล้วฉันเลือกเองนะ ห้ามบ่นว่าไม่สนุกล่ะ” จงอินพูดขำๆ รถยนต์ที่เงียบมาตลอดทางเลยเริ่มมีเสียงหัวเราะตามมาเรื่อยๆจากคนทั้งคู่

     

    พอมาถึงที่โรงหนัง จงอินก็จัดการสุ่มหนังโดยการไล่นิ้วไปบนตารางเวลาฉายหนังของแต่ละเรื่อง สุดท้ายก็ได้หนังรักที่ดูจะไม่เข้ากับหน้าตัวเองเท่าไหร่ คยองซูถึงกับหัวเราะร่าแล้วลากแขนของจงอินให้ไปจองบัตร อย่างน้อยเลือกไปแล้วก็ดีกว่าไม่ได้เลือกสักอย่างล่ะนะ

     

    “มีแต่คนมาเป็นคู่..” คยองซูพูดขึ้นมาเบาๆระหว่างนั่งรอประตูโรงหนังเปิด คู่หนุ่มสาวที่ยืนถือป็อปคอร์นและน้ำรอกันดูน่ารักและน่าอิจฉาสำหรับจงอินในเวลาเดียวกัน เด็กพวกนี้แก่แดดคิดจะมีความรักกันหรือไง ทีเขาที่อายุขนาดนี้แล้วยัง.. ไม่รู้ว่าจะประสบความสำเร็จหรือเปล่าเลย

     

    “นั่นสินะ” ได้แต่พูดรับเสียงเบาหวิว ร่างสูงเหลือบมองคนตัวเล็กที่ดูดน้ำรอ ขนาดแก้วน้ำยังซื้อแยกกันเลย จงอินไม่รู้หรอกนะว่าความพยายามของตัวเองจะไปได้ถึงไหน

     

    “ไปเถอะครับ ประตูเปิดแล้ว” เสียงเล็กพูดออกมาอย่างกระตือรือร้น คยองซูดูสดใสเหมือนดอกทานตะวันที่บานรับแสงอาทิตย์ รอยยิ้มของเด็กคนนี้ที่ทำให้จงอินตกหลุมรักตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้เห็น

     

    “อื้ม” จงอินเอื้อมมือไปกอบกุมกับมือเล็ก คยองซูกระตุกมือเล็กน้อยแต่ก็ประสานนิ้วลงกับมือของร่างสูงที่กุมไว้ หันมายิ้มให้อีกครั้งแล้วรีบดึงไปเพื่อเข้าไปภายในโรง

     

    “ขอบคุณนะคยองซู” ไม่รู้ว่าคนตัวเล็กจะได้ยินไหม แต่จงอินก็อยากที่จะพูดคำนี้ออกมา ขอบคุณที่ทำให้หัวใจดวงนี้เต้นแรง ขอบคุณที่รักษาน้ำใจทั้งๆที่เขาก็รู้.. ว่าคยองซูไม่ได้เห็นเขาเป็นอย่างอื่นเลยนอกจากพี่ชายคนหนึ่ง

     

     

    หนังจบลงพร้อมกับน้ำตาใสของคนตัวเล็กที่ไหลลงมา จงอินหันไปถึงกับตกใจจนทำตัวไม่ถูกที่เห็นคยองซูสะอึกสะอื้นปาดน้ำตาอยู่ตรงที่นั่งของตัวเอง มือหนาเลยยื่นไปลูบหัวปลอบ ก่อนจะส่งนิ้วโป้งไปไล้ปาดน้ำตาออกจากใบหน้าหวาน

     

    “ถึงกับร้องไห้เลยหรอ..” จงอินถาม แอบหัวเราะเบาๆในลำคอที่เห็นคนตัวเล็กส่ายหน้าปฏิเสธไปมาแต่มือกลับปาดน้ำตาที่หน้าตัวเองอยู่

     

    “เปล่านะครับ หนังมันดีต่างหาก” ร่างเล็กตอบกลับแบบไม่ตรงคำถามนัก แต่จงอินก็ไม่ซักถามต่อ ลุกขึ้นยืนเต็มความสูงแล้วบิดขี้เกียจไปมา ก่อนจะยื่นมือมาตรงหน้าคยองซู

     

    “ไปกันเถอะ ไปหาอะไรกินต่อกัน” คยองซูพยักหน้ารับแล้วยื่นมือไปจับเข้าที่มืออุ่นของจงอิน

     

    ทำไมคยองซูถึงรู้สึกผิดขนาดนี้กันนะ..

     

    “อาหารไม่อร่อยหรอ” จงอินถามหลังจากที่ทั้งคู่เข้ามาหาอะไรกินที่ร้านอาหารญี่ปุ่นเจ้าประจำที่คยองซูเคยบอกไว้ว่าชอบ

     

    “เปล่าหรอกครับ.. ผมคงไม่หิว” ร่างเล็กส่งยิ้มบางไปให้ แต่ครั้งนี้กลับไร้ชีวิตชีวาจนจงอินต้องเลิกคิ้วถาม

     

    “มีอะไรรึเปล่า” จงอินใช้ตะเกียบคีบปลาดิบลงใส่จานเล็กของคยองซู ดวงตากลมโตหลุบต่ำพร้อมกับกัดปากล่างของตัวเองจนแดง

     

    “ผม..” นิ้วมือจิกลงเข้าที่โต๊ะ คยองซูไม่รู้จะเริ่มเรื่องแบบนี้จากตรงไหนก่อน มันเป็นเรื่องละเอียดอ่อน เรื่องเกี่ยวกับหัวใจ และเขากลัวที่จะทำลายความสัมพันธ์และมิตรภาพที่ดีอย่างนี้

     

    “พูดมาเถอะ ทุกอย่างที่อยู่ในใจของนาย” รอยยิ้มหวานถูกส่งมาให้จนคยองซูรู้สึกผิดมากขึ้นกว่าเดิม ตอนนี้เขาไม่กล้าแม้แต่จะอ้าปากพูดในสิ่งที่คิดไว้อย่างดีระหว่างอยู่ในรถ

     

    “ผมน่ะ... ชอบคุณจงอินมาเลยนะครับ” พูดออกไปอย่างนั้น จงอินหยุดมือที่กำลังจะคีบอาหารเข้าปาก เงยหน้าขึ้นมามองคยองซูอย่างไม่เชื่อหูตัวเอง และมั่นใจว่าในเนื้อประโยคนั้นมันต้องมีอะไรบางอย่างมากกว่าที่จะทำให้หัวใจเต้นแรง

     

    “แต่ชอบแบบพี่ชายมากๆเลยครับ” พูดออกไปเบาๆ มือเล็กทั้งสองข้างบีบเข้ากันแน่นบนโต๊ะ คยองซูไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมามองสีหน้าตอนนี้ของจงอิน ร่างเล็กเม้มปากแน่น ดวงตาใสเริ่มจะมีหยาดน้ำตารื้นขึ้นที่ขอบตา

     

    “ผม ผมขอเป็นน้องชายคนสำคัญของคุณจงอินแทนได้ไหมครับ” เมื่อเห็นว่าจงอินยังเงียบ คยองซูเลยเอ่ยขึ้นมาอีกประโยคที่ทำให้คนฟังถึงกับกำมือแน่น

     

    จงอินยิ้มให้กับตัวเอง ถึงแม้ว่าหัวใจที่เต้นอยู่ในอกข้างซ้ายจะปวดแค่ไหน แต่ก็คิดซะว่าทำใจมาไว้บ้างแล้ว มันเลยพอทุเลา เขาไม่โกรธคยองซูเลยที่พูดออกมาแบบนั้น มันควรจะเป็นแบบที่ร่างเล็กพูดแต่แรก จงอินรู้ว่าคยองซูไปเคยคิดอะไรเกินเลยกับเขาเลย แต่ผิดกับตัวจงอินเองที่หลงชอบรอยยิ้มนี้จนเกิดกลายเป็นความรู้สึกที่เรียกว่ารัก

     

    ร่างสูงยื่นมือขึ้นไปลูบหัวคนตัวเล็กที่เริ่มสั่นน้อยๆเพราะกลั้นน้ำตาไม่ให้ไหลออกมา จงอินยังไม่ได้พูดอะไร ความเงียบยังเป็นตัวนำให้สถานการณ์นี้รู้สึกอึดอัด คยองซูยังคงเม้มปาก เพราะจงอินไม่ยอมพูดอะไรออกมา ร่างเล็กไม่รู้ว่าจะต้องทำตัวอย่างไร

     

    “งั้น.. ถ้ามีเรื่องอะไรไม่สบายใจก็มาหาได้เสมอนะ” เสียงนุ่มของจงอินปลุกให้คยองซูตื่นจากห้วงความคิดของตัวเอง คนตัวเล็กเงยหน้าขึ้นมามองพร้อมกัดปากแน่น หยดน้ำตาไหลลงทันทีที่เห็นท่าทางอบอุ่นของจงอิน

     

    “พี่ชายคนสำคัญคนนี้ ช่วยนายได้ทุกอย่างเลย” คยองซูปล่อยให้น้ำตาไหลลงมาอย่างไม่อายสายตาคนอื่น ยื่นมือขึ้นมาจับมืออุ่นของจงอินที่วางค้างไว้บนหัวของตัวเองแล้วย้ายจับมาวางที่แก้ม

     

    “ขอบคุณนะครับ พี่.. พี่จงอิน” คนตัวเล็กยิ้มให้ และเป็นรอยยิ้มที่จงอินคิดว่าเหมาะกับคยองซูที่สุด

     

    จงอินพร้อมที่จะทำทุกอย่างให้คยองซู แม้หัวใจที่เข้มแข็งของตัวเองจะต้องปวดหน่วงก็ตาม

     

              หลังจากนั้นจงอินก็ขับรถมาส่งคยองซูที่บ้าน คนตัวเล็กยังคงยิ้มให้กับจงอินเหมือนเดิม หัวใจดวงนี้ก็ยังไม่รักดี มันยังเต้นแรงทุกครั้งที่ร่างเล็กส่งยิ้มมาให้ ถึงแม้จะบอกไปอย่างนั้น แต่จะให้คนเลิกชอบโดยทันทีมันเป็นไปไม่ได้หรอก จริงไหม

     

                “ฝันดีนะคยองซู” จงอินจอดรถลงที่หน้าบ้าน คนตัวเล็กหันมายิ้มให้พร้อมกับซบหัวลงที่ไหล่แกร่งของจงอิน คยองซูชอบความอบอุ่นแบบนี้ ความอบอุ่นเหมือนคนในครอบครัว

     

                “ครับ เหมือนกันนะพี่จงอิน” ตั้งแต่เปลี่ยนสรรพนามให้จงอิน คยองซูก็ดูสดใสกับร่างสูงมากขึ้นทีเดียว แบบนี้ถือเป็นเรื่องดีสำหรับจงอินหรือเปล่า?

     

                “อื้ม” จงอินลูบหัวทุยเบาๆ แล้วจับโยกให้ส่ายไปส่ายมา คยองซูยิ้มขำ เปิดประตูรถลง หันมามองเล็กน้อย โบกมือให้คนร่างสูงในรถพร้อมรอยยิ้ม

     

                คยองซูเข้าไปในตัวบ้านพร้อมรอยยิ้ม รู้สึกโล่งในอกที่เคลียเรื่องนี้ได้ เขารู้สึกกับจงอินแค่พี่น้องมาตั้งแต่ครั้งแรกที่ชวนไปกินข้าวด้วยกัน คยองซูชอบความอบอุ่นของจงอิน จงอินเป็นคนดี นั่นทำให้เขารู้สึกไว้ใจนายตำรวจคนนี้มาก

     

                กลับช้าจังเลย

     

                “หิวแล้วหรือไง” แบคฮยอนกระดิกหางรอเขาตั้งแต่หน้าประตู สงสัยจะได้ยินเสียงรถมานานแล้ว

     

                เปล่าซะหน่อย เห็นกลับช้า

     

                “ช้าตรงไหน”

     

                ทำไมไปกับนายกระจงทีไรแล้วกลับช้าตลอด มันอันตรายนะ

     

              “แต่เขาเป็นตำรวจนะ มันจะอันตรายตรงไหน” คยองซูเถียงกลับ เดินตรงไปที่ตู้เย็นเพื่อหยิบน้ำขึ้นมาดื่ม ก่อนจะหยิบกล่องนมออกมา หาชามแล้วเทใส่ครึ่งหนึ่ง วางลงที่พื้นให้แบคฮยอนเดินมากิน

     

                ไปกับใครสองต่อสองก็อันตรายทั้งนั้นแหละ

     

                “คิดมากไปแล้ว” คยองซูยิ้ม เอื้อมมือลงลูบไปที่หัวนุ่มของแบคฮยอนเบาๆ แถมตบท้ายด้วยการเกาคางและหลังคอให้อย่างเอาใจ

     

                จะไม่ให้ไม่คิดมากได้ไง คนเป็นห่วง

     

                “นายใช้คำว่าคนในระหว่างที่เป็นหมานี่นะ” ร่างเล็กขำ ยื่นหน้าเข้าไปซุกกับขนหนานุ่มของแบคฮยอน บอกแล้วไงว่าคยองซูน่ะชอบที่จะกอดแบคฮยอนในร่างไซบีเรียนแบบนี้

     

                เอ้อ ให้มันได้อย่างนี้สิ

     

              เจ้าหมาไซบีเรียนตัวโตหน้าหงิกอยากเห็นได้ชัด หูที่เคยตั้งขึ้นตกลง หางที่ส่ายไปมาหยุดนิ่ง แบคฮยอนก็แค่หงุดหงิดที่คยองซูทำเหมือนไปสนใจที่เขาพูด ถ้ามันไม่ห่วงก็ไม่พูดออกไปแบบนั้นหรอก

     

                “จะออกไปไหนรึเปล่า หืม” หันไปถามแบคฮยอนที่นั่งหน้าหงิกอยู่ที่พื้น คยองซูยกขาขึ้นมากอดแน่นอยู่บนโซฟา ตีมือลงพื้นที่ด้านข้างเป็นการชวนให้เจ้าไซบีเรียนขึ้นมานั่งด้วยกัน

     

                ไปก็ดี...

     

              “เห็นไหม ทีนายจะไปฉันยังไม่ว่าอะไรเลย” คยองซูพูดเบาๆ

     

                มันไม่เหมือนกันสักหน่อย ฉันเป็นผู้ชาย

     

                “แบคฮยอน! ฉันก็ผู้ชาย” คยองซูขึ้นเสียงอย่างลืมตัว หันไปจ้องตาสองสีอย่างเอาเรื่อง แต่ได้กลับมาเป็นหน้าตาเหรอหราไม่รู้เรื่อง แบบนี้มันน่านักไหมล่ะ

     

                ลืมไปเลยล่ะ

     

              “จะไปไหนก็เรื่องของนายเลยนะ” คยองซูส่งเสียงฟึดฟัดไม่พอใจ ร่างเล็กก้าวขึ้นเตรียมตัวจะไปชั้นบน แต่กลับโดนฟันคมคาบเสื้อเอาไว้

     

                “อะไรอีกล่ะ”

     

                โกรธหรอ ไม่โกรธนะ

     

              แบคฮยอนเดินไปเดินมารอบตัวคยองซู หมาไซบีเรียนตัวโตเดินคลอเคลียขาเล็กไม่ให้เดินไปไหน หัวกลมเอามาถูเบาๆที่ต้นขา ก่อนจะกระโดดใช้สองขาหน้าวางแปะเข้าที่หน้าท้องแบนของคนตัวเล็ก

     

                ดีกันนะ

     

              แลบลิ้นเลียลงไปทีมือขาวของคยองซูอย่างเอาใจ วางหัวกลมลงที่หน้าท้องของคยองซู ขยับไปมาผลัดกับจ้องตาคนตัวเล็กที่เผลอหลุดยิ้มมาน้อยๆ

     

                ก็แค่เป็นห่วงอ่ะ โอเคยัง

     

              “ก็พูดกับฉันดีๆสิ...” คยองซูลูบลงไปที่หัวกลม ก้มหน้าลงไปใกล้แล้วแตะริมฝีปากอิ่มลงที่หัวกลมของแบคฮยอน หูตั้งกระดิกไปมาก่อนจะแลบลิ้นเลียจมูกตัวเอง

     

                ย่าห์... ถึงจะเป็นหมาแต่ฉันก็เขินได้นะ

     

                “นายมันหมาบ้า” พูดไปอย่างนั้นแล้วหันตัวขึ้นไปข้างบนเพื่อซ่อนรอยยิ้มของตัวเอง คยองซูยกมือขึ้นปิดปาก ก้มหน้าก้มตารีบวิ่งขึ้นไปยังชั้นสองของบ้าน

     

                ทำตัวแบบนี้ จะไม่ให้ห่วงได้ไง.. ก็ชอบทำน่ารักแบบนี้ไง

     

               

     

                “จะกลับก่อนเที่ยงคืนนะ ขอกุญแจสำรองเถอะคยองซู ครั้งนั้นนายก็ไม่ล็อกบ้าน” แบคฮยอนที่กลายเป็นคนแล้วหันมาเรียกคนที่นอนเล่นมือถืออยู่บนที่นอน

     

                “ครั้งนั้นนายกลับกี่โมงล่ะ ตอนแรกก็ว่าจะรอ.. แต่หลับก่อน” คยองซูหันไปมองหน้าแบคฮยอนเพียงครู่เดียวแล้วกลับมาสนใจที่หน้าจอมือถือต่อ ลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าตอนนั้นเขาโกรธมากที่แบคฮยอนไม่ยอมบอกว่าจะกลับดึกขนาดไหน เขาก็เลยรอจนหลับไปนั่นแหละ

     

                “ฉันสัญญา ก่อนเที่ยงคืนนะ” ร่างโปร่งสาวเท้าเข้ามาใกล้ ปีนขึ้นไปบนเตียงอย่างออดอ้อน ซุกหน้าลงที่ต้นแขนขาวพร้อมกับส่ายไปมาส่งสายตาใสระยิบไปให้

     

                “แล้วเอามาคืนด้วยนะ” คยองซูยอมแพ้ เขาแพ้กับการอ้อนของแบคฮยอน เลยต้องพาตัวเองลุกไปที่เก็บกุญแจสำรองแล้วส่งยื่นให้ ทั้งๆที่ในใจก็สงสัยอยู่นะว่า แบคฮยอนจะออกไปไหนทำไมทุกคืน

     

                “น่ารักจังเลย” ร่างโปร่งกระโดดลงจากเตียง วาดวงแขนขึ้นไปกอดคอก่อนจะเหวี่ยงตัวจนคยองซูหันหน้าเข้ามาหาตัวเอง ริมฝีปากบางยื่นไปแตะเบาๆที่ปากอิ่มอย่างรวดเร็ว แล้วผละไปหน้าออกมาวิ่งหนีลงไปชั้นร่าง เรื่องอะไรจะรอให้โดนทำร้ายล่ะ

     

                “แบคฮยอน ไอ้คนทะลึ่ง!

     

                ร่างโปร่งผิวปากพร้อมเสียงขำในลำคอ คยองซูตะโกนดังจากข้างบนลงมาถึงข้างล่างขนาดนี้แล้ว ตอนนี้เจ้าตัวถ้าไม่โกรธจนหน้าขึ้นสี ก็คงเขินจนต้องลงไปซุกกับที่นอน สักอย่างเนี่ยแหละนะ

     

                ความจริงก็ไม่ได้อยากออกมาทุกคืนหรอก แต่แบคฮยอนแค่สัญญากับเพื่อนไว้ เขาทำเป็นลืมร้านที่ร่วมกันสร้างไม่ได้หรอก มันคือน้ำพักน้ำแรงของพวกเรา ถึงแม้ร้านที่สร้างมาจะสร้างจากเศษเงินของแบคฮยอนคนเก่าก็เถอะ

     

                รถแท็กซี่จอดลงที่หน้าร้านเหมือนทุกที เขาว่าต้องมีหลายคนสงสัยแน่นอนว่าทำไมลูกชายพยอนกรุ๊ปหรือเจ้าของร้านที่นี่มันไม่มีรถหรูๆขับมาเหมือนแต่ก่อน เขาก็ไม่รู้เหมือนกันว่ารถตัวเองอยู่ไหน แล้วอีกอย่างทุกวันนี้ไปไหนก็ซ้อนมอเตอร์ไซต์ของคยองซูออกไปตลอด ให้คนตัวเล็กขับ ส่วนเขาซ้อนแล้วแอบสูดดมกลิ่นหอมเหมือนแป้งเด็กจากตัว แบคฮยอนก็มีความสุขดีแล้ว

     

                “คุณ.. แบคฮยอนคะ” ยังไม่ทันที่จะก้าวถึงตัวร้าน แบคฮยอนหันไปตามเสียงเรียกของผู้หญิงคนหนึ่ง ดวงตาเรียวเบิกขึ้นน้อยๆ ก่อนจะส่งยิ้มมุมปากไปให้

     

                “ครับ? คุณซูจองหรอครับ” ร่างโปร่งเดินตรงเข้าไปหาสาวตรงหน้าแทนที่จะเข้าไปในตัวร้าน หล่อนแอบยิ้มที่เห็นคนที่เล็งไว้ในตอนแรกเดินมาหา

     

                “ดีใจจังเลยค่ะที่จำฉันได้” พอแบคฮยอนมาถึงตัว เจ้าหล่อนก็คว้ามือไปจับแล้วบีบเบาๆ ดวงคาตากลมโตภายใต้อายไลน์เนอร์เส้นบางเฉียบ ทำให้เธอดูทั้งสวยและเปรี้ยวในเวลาเดียวกัน

     

                “คนสวยๆ ผมจะลืมได้ยังไงล่ะครับ” คนเจ้าชู้ยังไงก็คือคนเจ้าชู้อยู่วันยังค่ำ แบคฮยอนคงนึกไม่ถึงว่านิสัยนี้มันติดลึกอยู่ และเขาก็ยอมรับเขาห่างหายจากผู้หญิงมานานทีเดียว เจอแบบนี้ก็รู้สึกตื่นเต้นดีเหมือนกัน

     

                “แบบนี้ฉันก็เขิน.. แย่สิคะ” วงแขนเล็กคล้องมาที่คอของแบคฮยอน เธอบิดตัวไปตามเสียงดนตรีของทางร้านที่ดังออกมา ใบหน้าหล่อนอยู่ใกล้จนรู้สึกได้ถึงลมหายใจร้อนของร่างโปร่งตรงหน้า

     

                “ฮ่ะๆ แก้มคุณแดง” แบคฮยอนหยุดคำพูดลงแค่นั้น เพราะตอนนี้ในหัวของเขามีภาพของคยองซูที่กำลังหน้าแดงซ้อนทับขึ้นมา รอยยิ้มเขินอายที่มาพร้อมแก้มใสที่เริ่มขึ้นสีแดง หลบใบหน้าไปอีกข้างอย่างเอียงอาย คยองซูน่ารัก..

     

                น่ารักมากจนอยากจูบ

     

              ริมฝีปากร้อนบดเบียดลงบนกลีบปากที่ฉาบไปด้วยลิปสติกสีแดงสด แบคฮยอนประคองใบหน้าเอียงหาองศาที่เหมาะสม ขบเม้มลงไปที่ริมฝีปากล่างเบาๆ ก่อนจะกระตุกเมื่อรู้สึกได้ถึงปลายเล็บที่จิกลงมาที่หน้าอกของตัวเอง

     

              คยองซูไม่ได้ไว้เล็บ

     

              “ข.. ขอโทษครับ” แบคฮยอนผละใบหน้าออกมา จ้องมองไปที่หน้าของหญิงสาวตรงหน้าที่มีท่าทีสงสัยว่าทำไมคุณแบคฮยอนของเธอไม่ทำอะไรต่อ ทั้งที่ในใจ.. ก็นึกถึงช่วงต่อไปที่อาจจะไปต่อที่ไหนสักที่แล้ว

     

                “ทำไม.. คะ” หล่อนถามเบาๆ ยื่นหน้าขึ้นมาจ้องตาเรียว

     

                “ผมรู้สึกไม่สบายขึ้นมา วันหลัง.. เราไปต่อกันนะครับคนสวย ขอโทษนะครับ” ว่าจบแล้วก็ขอตัว แบคฮยอนตรงเข้าไปในร้าน ใช้นิ้วโป้งปาดลบรอยลิปสติกสีแดงสดที่ยังติดเป็นคราบอยู่ที่ปากตัวเอง

     

                แชะ แชะ แชะ

     

              แต่แบคฮยอนจะรู้ไหมว่าในเงามืดยังมีอีกคนอยู่ รอยยิ้มเด่นชัดเมื่อมองรูปในกล้องของตัวเอง รูปที่ได้ทั้งมุมและความชัดของใบหน้า แต่รูปแบบนี้มีไว้ก็เท่านั้น หนึ่งในกฏของปาปารัซซี่ รูปที่ชัดไม่เก็บไว้หรอก ต้องได้รูปที่อยู่ห่าง เบลอ และไหว แต่พอดูออกให้รู้ว่าเป็นใครกับใคร แบบนั้นแหละที่จะขายออก

     

     

                “กูรู้กูเห็น” ทันทีที่ร่างโปร่งก้าวมาถึงบาร์เครื่องดื่มที่ประจำ เสียงคุ้นหูก็ลอยโพล่งขึ้นมาปะทะหน้าตัวเอง ชานยอลหันมาจ้องตาเขม็งแถมเบะปากลงจนเขาสงสัย

     

                “อะไร” ถามออกไปพลางนั่งลง หันไปมองหน้าคริสที่ทำตัวเป็นบาร์เทนเดอร์สุดหล่อแล้วยกมือขึ้นขอแบบเดิม

     

                “ยัยคริสตัลจอง” ชานยอลยกนิ้วขึ้นมาชี้หน้าเขา แบคฮยอนทำเพียงยักไหล่ไม่สนใจ เมื่อสักครู่ก็แค่เผลอ ดันคิดว่าเป็นคยองซูซะได้ แบคฮยอนท่าทางจะเพี้ยนแล้วจริงๆ

     

                “อ่ะ” คริสส่งยื่นแก้วมาให้ แบคฮยอนเกือบจะได้หยิบลงไปที่แก้วอยู่แล้วเชียว ถ้าไม่โดนชานยอลแย่งมาถือไว้ก่อน ร่างสูงยังหันมาจ้องเขาเหมือนทำสิ่งที่ผิดระดับชาติออกไป

     

                “ทำไม” ถามออกไปอย่างหงุดหงิด

     

                “ไหนมึงบอกว่ามีคนที่ดูใจไว้แล้วไง” ชานยอลยังส่งเสียงดังเหมือนเดิม แบคฮยอนถอนลมหายใจยาวออกมาแล้วจ้องมองไปที่หน้าเพื่อน

     

                “เมื่อกี๊กูนึกถึงหน้าเขา โอเคไหม” แบคฮยอนแย่งแก้วเหล้าจากในมือของชานยอลมาดื่ม คนตัวสูงหลังจากที่ได้ยินคำพูดนั้นก็ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ราวกับคนสติไม่ดี

     

                “ชานยอล แกล้งแบคฮยอนทำไม” คริสยังเป็นคนเดียวที่ห้ามปรามชานยอลได้ แบคฮยอนยังแอบสงสัยเลยว่าสองคนนี้มันมีอะไรกันรึเปล่าที่เขาไม่รู้

     

                “ยุ่ง” ชานยอลพูดเพียงแค่นั้นแล้วก็ฟุบหน้าลงไปที่โต๊ะ เขาควรปล่อยให้คนๆนี้อยู่ในโลกของตัวเองเถอะ ไม่มีใครเข้าถึงปาร์คชานยอลได้ดีเท่าคริสอีกแล้ว

     

                เสียงเพลงอาร์แอนด์บีคลอไป จังหวะเนิบนาบที่มีฮิปฮอปผสมทำให้แบคฮยอนเพลิดเพลินจนเผลอลืมเวลา หลังจากครั้งก่อนที่มาแล้วไปคุยกับดีเจจงแดของทางร้าน แบคฮยอนก็แอบไปขอสไตล์เพลงมาใหม่ ยิ่งทำให้ครั้งนี้เพลินจนเกือบลืมเวลาที่ตั้งไว้บอกกับคยองซู

     

                “กลับก่อนนะ” หันไปโบกมือลาคริส ส่วนชานยอลนั้นหลับไปนานแล้วตั้งแต่ฟุบหน้าลง ไม่คิดว่าที่ฟุบหน้านั่นคือง่วงนะ ถึงว่าทำไมคริสมันหยุดไม่สนใจต่อ

     

                “รีบรู้ใจตัวเองได้แล้วนะ กูไม่อยากเห็นมึงพลาด” คริสพูดเป็นครั้งสุดท้าย เขาพยักหน้ารับเบาๆแล้วหันหลังเดินออกจากตัวร้าน

     

                คำพูดของเพื่อนตัวสูงยังติดอยู่ในห้วงความคิด

     

               

     

     

                แกร็ก

     

                แบคฮยอนเปิดประตูเข้าไปเบาๆ คยองซูยังคงดูทีวีอยู่ที่โซฟา ร่างเล็กยกขาขึ้นกอดเข่าจ้องมองไปข้างหน้าอย่างไม่ละสายตา ไม่รู้ว่าดูอะไรกันแน่แต่คยองซูดูตั้งใจดูมากจริงๆ

     

                “ดูอะไรหรอ” แบคฮยอนเดินตรงเข้าไปนั่งด้านข้าง หัวทุยเอียงซบเข้าที่ไหล่เล็ก หันไปมองหน้าขอทีวีที่ฉายซีรีส์รักที่คยองซูชอบดูตอนดึก

     

                “อย่าเพิ่งกวน กำลังดราม่า” เสียงเล็กพูดออกมาเบาๆ กระแสน้ำเสียงดูจะสั่นน้อยๆ แบคฮยอนทายว่าอีกไม่นานคนตัวเล็กคงได้เขื่อนแตกอีกแน่นอน

     

                “มันไม่เห็นจะเศร้าตรงไหนเลย เห้ นี่นายจะร้องไห้ทำไมเนี่ย” แบคฮยอนว่าขำๆ เหลือบตาขึ้นไปมองที่หน้าคนตัวเล็กที่เริ่มมีหยดน้ำตาไหลลงมา

     

                “ก็นางเอกโดนใครไม่รู้มาแย่งคนรัก.. มันไม่เศร้าหรอแบคฮยอน ฉันไม่ชอบอ่ะ โกรธแทน” คยองซูอธิบายเนื้อเรื่องในตอนนี้ให้แบคฮยอนได้รู้เสร็จสรรพ คนตัวเล็กยกมือขึ้นมาปาดน้ำตาออก

     

                “นายโกรธแทนได้ยังไง หยุดร้องได้แล้ว ตาแดงแล้วนะ” แบคฮยอนดันตัวออกมา ยืดมือเข้าไปใกล้เพื่อเกลี่ยหยาดน้ำตาออกจากดวงตากลมโตให้

     

    “ถ้าฉันโดนแบบนี้.. ฉันคงเสียใจมากกว่านางเอกในเรื่องอีก”

     

                หลังจากคำพูดนี้ของคยองซูจบลง แบคฮยอนก็ค้างนิ่งอยู่เนิ่นนาน จ้องมองไปที่ดวงหน้าที่ขึ้นสีแดงของคยองซู ความรู้สึกแปลกๆก่อขึ้นในจิตใจ ไม่รู้ทำไมถึงรู้สึกปวดหนึบเบาๆที่อกข้างซ้ายของตัว

     

                “จบเรื่องนี้แล้วขึ้นไปนอนกันนะ” แบคฮยอนพูด หัวทุยวางลงมาที่เข่าของคยองซูอย่างออดอ้อน

     

                “อื้อ” ร่างเล็กตอบรับเสียงเบา วางมือลงบนกลุ่มผมของแบคฮยอนแล้วจับเล่นไปมาอย่างสนุกมือ

     

                ห้องทั้งห้องดูเงียบ ไม่มีใครพูดต่อ นอกจากเสียงทีวีที่ตัวละครแต่ละตัวกำลังแสดงต่อไป แบคฮยอนชอบเวลาแบบนี้ เวลาที่มีแค่เขากับคยองซูสองคน แล้วถ้าถามว่าคยองซูชอบแบบนี้ไหม คนตัวเล็กก็คงปฏิเสธไม่ได้เหมือนกันว่า คยองซูก็ชอบที่จะอยู่แบบนี้เหมือนกัน.. แค่สองคนกับความอบอุ่นที่มากมาย

     

     

                .

                .

                .

     

                มีใครเคยบอกไหมว่าเวลาแห่งความสุขมักจะหมดไปโดยเร็ว

                คยองซูก็เพิ่งเข้าใจประโยคนี้เอง..

     

                บนหน้าจอทีวีฉายข่าวก็อซซิปของดาราหลายคน ความจริงเขาไม่ใช่คนที่ชอบดูอะไรแบบนี้ แต่เป็นแบคฮยอนต่างหากที่ชอบเปิดทิ้งไว้ แล้วหายตัวไปไหนไม่รู้

     

                เสียงพิธีกรสาวประเภทสองบรรยายอย่างสนุกปากระหว่างที่เขากำลังกวาดบ้าน แทบจะไม่สนใจเลยด้วยซ้ำถ้าไม่ได้ยินคำว่า ลูกชายเจ้าของพยอนกรุ๊ป ... ที่ต่อท้ายมาด้วยชื่อ พยอน แบคฮยอน

     

                เพราะแค่ชื่อนั้นเข้ามาในระบบ คยองซูถึงกับต้องเงยหน้าขึ้นมาดูหน้าจอที่ฉายรูปของแบคฮยอนอยู่กับผู้หญิงสวยคนหนึ่ง เสื้อตัวที่แบคฮยอนใส่อยู่เป็นของเขา แล้วตัวเดียวกับเมื่อวันก่อนที่ร่างโปร่งใส่ออกไปข้างนอก ... ทุกอย่างที่เขาทำอยู่จะไม่หยุดลงเลยถ้าเกิดในรูปที่เขาเห็นเป็นคนทั้งคู่จูบกันอยู่ ถึงแม้ภาพมันจะเบลอแค่ไหนก็ตาม แต่คยองซูก็จำได้อย่างชัดเจนว่านั่นคือแบคฮยอน

               

                สงสัยจะมีรีเทิร์นกับดาราสาวผิวสีน้ำนมคนนี้นะคะ...

     

                เป็นประโยคสุดท้ายที่เขาได้ยิน ร่างทั้งร่างสั่นเทาด้วยความรู้สึกที่มีมากเหลือเกิน คยองซูกัดปากกำมือตัวเองแน่น หันหน้าไปมองแบคฮยอนที่เดินกระดิกหางมาหาอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราว

     

                แบคฮยอนในร่างไซบีเรียนที่เห็นว่าคนตัวเล็กมองหน้าแปลกๆก็เลยถามออกไป ดวงตากลมโตมองมาที่เขาอย่างต้องการคำตอบ เขายังไม่รู้เลยด้วยซ้ำว่าคยองซูเป็นอะไร

     

                เป็นอะไรอ่ะ คยองซู

     

              คยองซูยังคงเงียบ ร่างเล็กหลับตาลงสะกดกั้นอารมณ์ที่รู้สึกปวดหน่วงอยู่ในใจ หันข้างไปมองทีวีอีกครั้งช้าๆ หน้าจอยังฉายข่าวและรูปของแบคฮยอนที่กำลังจูบกับผู้หญิงคนนั้นเหมือนเดิม

     

                แบคฮยอนหันไปมองตาม ก่อนจะตกใจจนขาทั้งสี่ถอยหลังแล้วนั่งลง คยองซูยังไม่เอ่ยปากพูดอะไรสักอย่าง คนตัวเล็กก็แค่รอ รอว่าแบคฮยอนจะพูดแก้ตัวอะไรหรือไม่

     

                แก้ตัวสิแบคฮยอน พูดอะไรออกมาสักอย่าง คยองซูแค่รอเวลา ร่างเล็กยังคงหลับตาแน่นไม่อยากรับรู้อะไร ขอแค่แบคฮยอนพูดอะไรออกมาก็ได้ เขาจะยอมฟังมันทุกอย่าง ขอแค่พูด... เขาจะเชื่อคำพูดพวกนั้นทั้งหมด

     

                แต่จนแล้วจนรอดแบคฮยอนก็ไม่พูดอะไรออกมา คยองซูกำมือแน่น หยดตาน้ำใสไหลออกมาอย่างห้ามไม่อยู่ ร่างเล็กกลับหลังหันเดินออกไปจากตัวบ้านโดยไม่สนเสียงจะโกนของแบคฮยอนในร่างไซบีเรียนตัวโต คยองซู... ยังไม่อยากเจอหน้าแบคฮยอนตอนนี้

     

                เพราะเขารู้สึกเหมือนโดนหักหลัง... คยองซูบอกแล้วว่าถ้าเจออะไรแบบนี้

     

                เขาจะ เสีย ใจ มาก

     

     

                ไม่มีแม้แต่แรงขาที่จะเดินต่อ แบคฮยอนทรุดตัวลงหมอบ... ปล่อยให้ความคิดต่างๆในหัวกัดกินหัวใจไปทีละนิด 

     

                เขาคงทำได้แค่รอ.. บ้านหลังนี้เป็นของคยองซู จะปล่อยไปเลยไม่ได้ 

     

                แบคฮยอนแค่อยากทำหน้าที่สุดท้ายของตัวเองให้ดีที่สุด เฝ้าบ้าน รอให้เจ้าของกลับมา ... และกระดิกหางต้อนรับด้วยใจที่เฝ้ารอ

     

     

     

     

    คยองซูวิ่งจนมาถึงหน้าหมู่บ้าน คนตัวเล็กกำลังร้องไห้ แต่เป็นการร้องไห้ที่ไม่มีแม้แต่เสียงสะอื้นไห้ออกมา มือเล็กกำมือถือไว้แน่นกดโทรออกเบอร์ของนายตำรวจคิม

     

    คยองซูอาจจะเป็นคนเห็นแก่ตัว.. แต่คนที่พอจะทำให้เขารู้สึกดีได้รองจากแบคฮยอนก็คือ

     

     คิม จงอิน

     

    ผ่านไปสักพักรถสีดำของจงอินก็ขับมาจอดลงข้างหน้า คยองซูยืนก้มหน้ามองเท้าตัวเองหลบสายตาเป็นห่วงของนายตำรวจคิม คยองซูรู้สึกแย่ เขาทำให้จงอินดูเป็นแค่ตัวสำรองเวลารู้สึกเสียใจก็เพียงแค่เรียกหา

     

    จงอินสอบถามว่าคยองซูเป็นอะไร คนตัวเล็กทำแค่เม้มปากเงียบส่ายหัว จงอินเห็นแบบนี้เลยไม่อยากถามต่อ เปิดประตูรถข้างคนขับแล้วดันตัวคยองซูให้เข้าไปนั่ง อย่างน้อยควรพาไปที่ไหนสักที่ก่อน

     

    และก็จบลงที่คาเฟ่เล็กๆข้างทางที่เคยมากินกันครั้งนั้น จงอินนั่งมองหน้าคนตัวเล็กนิ่ง คยองซูหลุบตาต่ำถอนหายใจ อยู่ดีๆหยดน้ำตาใสก็ไหลลงอาบแก้มขาว คยองซูกัดริมฝีปากตัวเองจนขึ้นสี สุดท้ายแล้วคนตัวเล็กก็ทนต่อสายตาอบอุ่นของจงอินไม่ไหวยกมือมาปิดหน้าบังไม่ให้จงอินได้เห็นตอนตัวเองอ่อนแอ

     

    "ไม่เป็นอะไรนะหยุดร้องเถอะ เด็กดี" จงอินลุกมาจากที่นั่งตอนไหนไม่รู้ แต่คยองซูก็รู้สึกถึงน้ำเสียงข้างหูที่มาพร้อมสัมผัสอุ่นที่ลูบหัวตัวเองไว้

     

    "ผม.. ผมขอโทษนะครับ" คยองซูพูดเสียงสั่น เขารู้สึกผิดกับจงอินจนหาคำพูดอื่นมาเอ่ยไม่ได้นอกจากคำว่าขอโทษและเขาเสียใจ

     

    จงอินยิ้มรับอ่อนโยน รู้ถึงความรู้สึกของร่างเล็กที่มีต่อตัวเอง ถึงแม้จะไม่ต้องฟังคยองซูระบายออกมา จงอินก็พอจะเข้าใจบ้างในเนื้อหาที่โทรเรียกหา แต่นั่นแหละใครสักคนที่ทำให้เด็กคนนี้เสียใจ คนที่เด็กคนนี้คงรัก คนคนนั้นที่ไม่ใช่คิมจงอิน

     

    หลังจากที่คยองซูร้องไห้จนพอใจ จงอินปลอบจนเวลาร่วงเลยไปนานหลายชั่วโมง คยองซูบอกว่าไม่อยากกลับบ้าน รถคันสีดำเลยได้ขับพาไปยังคอนโดสูง พอมาถึงห้องพักของนายตำรวจคิม คยองซูก็นั่งรออยู่ที่โซฟานิ่ง ดวงตากลมโตที่เคยสดใสกลับหม่นหมองและเหม่อลอยราวกับไม่มีที่ยึดเหนี่ยวในจิตใจ

     

    นายตำรวจคิมเดินลงไปนั่งด้านข้าง ความรู้สึกยวบยาบที่เบาะทำให้คยองซูตื่นจากพะวง ร่างเล็กหันไปส่งยิ้มบาง เป็นรอยยิ้มที่ดูอ่อนแรงเหลือเกิน จงอินไม่ชอบรอยยิ้มที่ดูเหี่ยวเฉาแบบนี้ คนคนนี้ไม่ใช่คยองซูเด็กน้อยที่ทำให้เขาตกหลุมรัก

     

    "คยอง../พี่ครับ" สองเสียงพูดขึ้นมาพร้อมกัน เป็นคยองซูที่หันมาก่อน

     

    "พูดก่อนเลย" นายตำรวจคิมผายมือเชิญให้คยองซูพูดก่อน เขาไม่ได้มีเรื่องสำคัญมากก็แค่อยากชวนคุยไม่ให้ห้องนี้มันเงียบเหงาจนเกินไป

     

    "พี่ครับ.. คนที่ไม่รักกัน จูบกันได้ไหม" ดวงตากลมสั่นระริกยามที่พูด ถ้อยคำแต่ลำคำที่เปล่งออกมาเบาหวิวจนคล้ายเสียงกระซิบที่ร่างเล็กพยายามที่จะเปล่งมันออกมา

     

    "ได้ ถ้าเขารู้ว่าอยู่ในสถานะไหนที่จะได้รับจูบนั้น" นายตำรวจคิมพยายามอธิบาย จงอินไม่ใช่คนที่เก่งกาจเรื่องความรัก แต่ก็พอจะรู้ว่าสังคมเดี๋ยวนี้มันเปลี่ยนไปเยอะแค่ไหน

     

    "งั้น.. สินะครับ" ดวงตากลมโตหลับลง คยองซูทิ้งตัวหลังพิงลงที่โซฟาอย่างหมดแรง

     

    ขอแค่ใครก็จูบได้.. โดยไม่รักกันก็ได้งั้นหรอ

     

    "แต่ความรู้สึกมันไม่เหมือนกันหรอกนะ จูบกับคนที่ไม่ได้รัก มันไม่รู้สึกดีเท่าได้จูบกับคนที่รักหรอก" มืออุ่นลูบเบาๆไปที่แก้มใส เกลี่ยน้ำตาที่ไหลลงมาให้ออกไป ดูเหมือนคนที่หมดแรงจะไม่รู้สึกว่าตัวเองนั้นกำลังร้องไห้

     

    "พี่ครับ... จูบผมได้ไหม" ร่างเล็กหลับตาพูดออกมาเสียงเบา จงอินยิ้มมุมปากแล้วเคลื่อนนิ้วโป้งเกลี่ยลงไปที่กลีบปากอิ่มเบาๆ

     

    "เก็บจูบที่สำคัญของนายไว้ให้คนที่นายรักดีกว่า" คยองซูลืมตามองนายตำรวจคิม น้ำตาคลออยู่ในหน่วยตากลม ร่างเล็กกัดริมฝีปากตัวเองแน่น ทั้งๆที่จงอินเป็นคนดีขนาดนี้ ทำไม ทำไมเขาถึงรักไม่ได้

     

    เพราะเขา.. รักแบคฮยอนใช่ไหม

     

    .

    .

    .

     

    เสียงในหัวก้อง แบคฮยอนรู้สึกปวดหัวเหมือนโลกทั้งโลกกำลังโคลงเคลง ราวกับมีคนนับร้อยรัวทุบลงที่ขมับของตัวเอง

     

    นี่หรอ.. ผลที่คนอย่างเขาได้รับ

     

    'หมามันยังซื่อสัตย์มีแค่รักเดียว'

     

    เสียงผู้หญิงก้องอยู่ในหัวรัวคำพูดมานับไม่ถ้วน ทั้งได้ยินชัดและไม่ขัด แบคฮยอนไม่สามารถจับใจความได้เท่าไหร่ แต่ก็พอที่จะฟังออก

     

    'นายเคยมีรักที่ซื่อสัตย์ไหมแบคฮยอน'

     

    ไม่.. เขาไม่เคยรักใครจริงจัง

     

    'หมาแต่ละตัว มันยังรักเจ้าของของมันอย่างสุดหัวใจ'

     

    ตอนนี้เขาเข้าใจอารมณ์นั้นแล้วล่ะ.. รักเจ้าของ

     

    'เป็นหมาไปเสียเถอะ ถ้ายังทำตัวแบบนี้'

     

    ไม่นะ!!!!!!!!

     

    แบคฮยอนสะดุ้งตื่นขึ้น แลบลิ้นเลียจมูกสีดำของตัวเอง ชะโงกตัวมองไปทางหน้าต่างตอนนี้ฟ้าเริ่มเป็นสีส้มเข้มแล้ว คยองซูยังไม่มีวี่แววที่จะกลับมา เป็นห่วง.. จนสุดหัวใจ ถ้าเกิดเป็นอะไรขึ้นมาเหมือนวันแรกล่ะ

     

    ขาทั้งสี่ก้าวเดินไปถึงประตู ลองใช้อุ้งเท้าเขี่ยไปแต่ก็ไม่สำเร็จ เขาออกไปไหนไม่ได้เลยถ้ายังไม่ถึงเวลาสี่ทุ่ม ยังเหลือเวลาอีกนาน นี่คงเป็นเวลาเหลือให้เขาเก็บเรื่องในฝันนั้นไปคิดสินะ

     

    ฝันที่เหมือนจริงจนน่ากลัว

     

    ทำไมเขาถึงกลายเป็นหมา ทำไมเขาถึงต้องได้ยินเสียงของผู้หญิงคนนั้น รักที่ซื่อสัตย์งั้นหรอ เหมือนกับหมาที่มีให้เจ้าของสินะ

     

    ถ้าแบบนั้น.. เขาก็พอจะรู้จักแล้วล่ะ

     

    "โดคยองซู นายจะปล่อยให้สัตว์เลี้ยงที่นายรักอยู่โดยไม่มีเจ้าของได้ยังไง"

     

    ขนนุ่มสีเทาได้หายไปแล้วมันกลายเป็นผมทรงยุ่งสีน้ำตาลประกายควันบุหรี่ จมูกกลมโตสีดำหดเหลือเพียงแต่จมูกโด่งรั้น ดวงตาสองสีกลับกลายเป็นดวงตาสีน้ำตาลเข้มทั้งสองข้าง อุ้งเท้าป้อมทั้งสี่ยืดยาวจนกลายเป็นนิ้วเรียว

     

    แบคฮยอนกลับร่าง.. เป็นคนแล้ว

     

    หันไปมองดูนาฬิกาตอนนี้เพิ่งหกโมงกว่า ไม่ใช่เวลาสี่ทุ่มปกติเหมือนเช่นทุกครั้ง ร่างโปร่งดูจะตื่นตกใจอยู่ไม่น้อย มองมือตัวเองตาโตแล้วลูบไปตามเนื้อตัวเปล่าของตน

     

    'รักเดียว รักที่ซื่อสัตย์เหมือนกับหมามีให้เจ้าของ'

     

    "ใคร!"

     

    เสียงดังก้องขึ้นมาในหัวอีกครั้ง เหมือนกับฝันไม่มีผิดแบคฮยอนลองหยิกลงไปที่แขนตัวเองเต็มแรง ผลที่ได้กลับมาคือความเจ็บและรอยแดงที่แขน บอกให้รู้ว่าตอนนี้ตัวเขาเองไม่ได้ฝันไป

     

    'นายรักคยองซู รักที่ซื่อสัตย์ และจริงใจ คำสาปได้คลายแล้ว.....'

     

    "เกิด.. อะไรขึ้น" แบคฮยอนว่าเสียงเบา เขากุมหัวตัวเองเอาไว้แน่น

     

    'ไปตามความรักของนายกลับมา ก่อนที่จะต้องเสียไป อย่างไม่มีวันหวนคืน'

     

    เพราะนี่ เหมือนเป็นคำสาปที่มีไว้ดัดนิสัย... ของคน

     

    ขาเรียวก้าวเองโดยอัตโนมัติทันทีที่เสียงนั้นจบลง แบคฮยอนก้าวขึ้นบันไดเพื่อไปหาชุดมาใส่ ในหัวพยายามนึกถึงที่แอบกุญแจสำรองของคยองซูเอาไว้ ในมุมมองตอนเป็นไซบีเรียนมันจะต้องอยู่แถวๆนี้แหละ แต่ไม่มั่นใจในความสูงเท่าไหร่ เลยควานหาเสียนานกว่าจะเจอกุญแจบ้านพวงเล็ก

     

    รีบลงมาแล้วตรงดิ่งไปที่ประตู ร่างโปร่งจัดการล็อกลงกลอนให้เสร็จก่อนจะพาตัวเองออกมายืนนอกบ้าน ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองจะต้องไปที่ไหน แม้แต่สถานที่ที่คยองซูชอบไปแบคฮยอนยังไม่แน่ใจเลย ในหัวมีแต่ความกระวนกระวายใจ ถ้าเกิดเหตุแบบวันแรกที่เจอกัน เขาจะไม่ให้อภัยตัวเองไปตลอดชีวิต

     

    "คุณอยู่ที่ไหนกันแน่..คยองซู"

     

     

     

    ผ่านไปชั่วโมงแล้วแบคฮยอนยังไม่เจอแม้แต่เสี้ยวหน้าคยองซู เขาไม่รู้สักนิดว่าร่างเล็กหนีเขาไปที่ไหน ตั้งแต่รู้จักกันมาเขาก็แค่ออกไปซุปเปอร์กับคยองซู อันนั้นเขาก็เดินไปหาแล้ว แต่จะบ้าหรอใครมันจะอยู่ซุปเปอร์ได้ครึ่งค่อนวัน ก็เลยเดินมาอีกหน่อยถึงสวนสาธารณะที่คยองซูเคยพาเขามาเล่นกับเด็กๆ แต่ก็ไม่มีแม้แต่เงา จนเขาล้าที่จะตามหา สุดท้ายเลยได้แต่นั่งแหง็กอยู่บนชิงช้าไกวให้ตัวเองเบาๆ

     

    "หรือ.. ควรปล่อยไป"

     

    ดีไหมนะ เขาควรทิ้งความรู้สึกนี้ไว้ข้างหลังแล้วปล่อยมือจากคยองซู ให้คนตัวเล็กได้เจอคนที่ดีกว่าเขา หรืออาจจะเป็นนายตำรวจกระจง นั่นสินะ คยองซูควรเจอคนที่ดีกว่าแบคฮยอน

     

    แบคฮยอนควรทำอย่างไรดี ..

     

     

    .

    .

    .

     

    "จะไม่กลับหรอคยองซู" นายตำรวจคิมถามขึ้นเบาๆ ร่างเล็กพยักหน้าช้าๆแล้วตักข้าวผัดจากกระทะใส่จานให้จงอิน

     

    "แล้วแบคฮยอนจะอยู่บ้านตัวเดียวได้ยังไง" จงอินยังถามต่อด้วยความเป็นห่วง แบคฮยอนเป็นเพื่อนตัวเดียวของคยองซูไม่ใช่หรือไง

     

    "หนีออกจากบ้านไปแล้วครับ... มันคงไม่กลับมา อาจจะไม่อยากอยู่กับผมแล้วก็ได้" น้ำเสียงเรียบแต่ในห้วงคำพูดหนึ่งที่จงอินจับได้ว่ามันปนไปด้วยความเศร้า ความเสียใจ และความตัดพ้อ

     

    "เดี๋ยวก็กลับมาน่า เชื่อฉันสิ" จงอินยังคงใช้คำพูดกล่อมให้ร่างเล็กสบายใจ นี่สินะนิสัยของพวกตำรวจเกลี้ยกล่อมให้ตายใจ

     

    "ไม่หรอกครับ เขาจะไม่กลับมา.."

     

    "เขาหรอ" จงอินสะกิดใจกับคำพูด

     

    "ครับ? อ๋อ เปล่าครับ พี่กินเถอะครับ มันจะเย็นแล้วนะ คยองซูอุตส่าห์ทำให้นะ" ร่างเล็กเปลี่ยนน้ำเสียง ดวงตากลมพยายามปรับให้ดูสดใส รอยยิ้มกว้างที่ถึงแม้จะดูออกว่าฝืนแค่ไหน แต่จงอินก็รู้สึกดีกว่าที่คนตัวเล็กตรงนี้จะทำหน้าบึ้งแบบหมดอาลัยตายอยาก

     

    "ป้อนพี่หน่อยสิ" เห็นว่าคนตัวเล็กยังนิ่งก็เลยใช้ลูกอ้อนที่นานๆทำทีไปให้ อย่างน้อยทำให้ตัวเองดูปัญญาอ่อน แต่แลกกับรอยยิ้มคยองซูจงอินก็ยอมวะ

     

    "ป้อนก็ป้อนครับ" คยองซูเผยรอยยิ้มกว้าง ฉวยช้อนจากในมือนายตำรวจคิมมาถือเองแล้วตักข้าวคำโตจนช้อนพูน ก่อนจะยัดใส่ปากของคนตรงหน้าที่อ้ารอไว้แล้ว

     

    "อาหารฝีมือคยองซูอร่อยที่สุดในโลกเลย"

     

    ร่างเล็กชะงักมือหลังจากที่ได้ยินประโยคนั้นจากปากของนายตำรวจคิม คำพูดนั้นยังติดอยู่ในหัวของคยองซู เพราะมันเป็นประโยคเดียวกับที่แบคฮยอนชอบบอกเวลาเขาทำอาหารให้กิน

     

     

    "อาหารฝีมือคยองซูอร่อยที่สุดในโลกเล้ยยยย" แบคฮยอนพูดออกมาขณะข้าวที่เคี้ยวตุ่ยอยู่เต็มปาก ใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้มกว้างจากอาหารมื้ออร่อย

     

    "ก็เวอร์ไปน่า" คยองซูอมยิ้ม ตักข้าวมาใส่จานของตัวเองแล้วนั่งลงตรงข้ามคนที่เคี้ยวข้าวเต็มปาก

     

    "จริงๆนะ อร่อยจริงๆ ฉันชอบมาก"

     

     

     

    "ชอบงั้นหรอ.." คยองซูพึมพำออกมาเบาๆ ดวงตากลมโตวูบไหวไปครู่หนึ่งก่อนจะเงยขึ้นมาจ้องหน้าจงอินที่มองมาแต่แรกแล้ว

     

    "อร่อย งั้นต้องกินให้หมดนะครับ" มือทั้งสองข้างกำช้อนและส้อมจนแน่น ถึงแม้ปากจะยิ้ม แต่ในใจตอนนี้กลับร้องไห้จนเจ็บไปหมด

     

    ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าเขาคิดถึงแบคฮยอนมาก

     

    "อยากไปไหนรึเปล่า" จงอินถามขึ้นหลังจากที่อาหารในจานของทั้งคู่พร่องลงไปเยอะ

     

    "พี่อยากไปไหนหรอครับ" เอียงคอถามพร้อมลุกขึ้นเก็บจานและแก้วน้ำไปเก็บที่อ่าง

     

    "ไปเดินเล่นกันเถอะ" จงอินผุดลุกขึ้นจากเก้าอี้ มือหนาตบลงไปที่โต๊ะจนคยองซูที่ล้างจานอยู่สะดุ้งเฮือกจนต้องหันกลับมามอง

     

    "ตอนกลางคืนเนี่ยนะครับ" ร่างเล็กขำ

     

    "ย่อยไง ก็เล่นทำอาหารซะดึก" จงอินอธิบายเหตุผล แต่ความจริงแล้วคือเขาแค่ทนไม่ได้หรอกที่จะอยู่กับคยองซูสองต่อสองโดยไม่คิดอะไรเกินเลย และทางออกของเรื่องนี้ก็คือต้องหนีออกจากห้องแคบๆนี้ซะ

     

    "งั้นก็ได้..." ตอบเสียงอ่อย คยองซูไม่ได้ขี้เกียจที่จะลงไปเดินที่ไหนหรอกนะ แต่กะจิตกะใจตอนนี้มันคงยากที่จะอารมณ์ดี

     

    ไม่รู้ว่าทำไมจงอินถึงพามาที่สวนสาธารณะข้างซุปเปอร์ที่เขาชอบมา ตอนแรกบอกว่าจะพามาย่อย แต่สุดท้ายนายตำรวจคิมก็พาขึ้นมอเตอร์ไซต์โต้ลมจนมาถึงที่นี่อยู่ดี

     

    "เห็นว่าชอบมากับแบคฮยอน เราอาจจะได้เจอมันที่นี่ก็ได้นะ"

     

    นั่นไง... ว่าแล้วเชียว ไม่งั้นจะพามาทำไมตั้งไกล

     

    "ผมคงไม่เจอแบคฮยอนแล้วล่ะครับ" คยองซูยังคงยืนยันคำเดิม ร่างเล็กเดินเอื่อยไปที่กองทราย รองเท้าสนีคเกอร์ถูกเตะลงไปที่ปราสาททรายกองเล็กจนพังทลายลง พังลงเหมือนกับหัวใจของเขาที่สลายจนเหมือนเม็ดทรายพวกนี้

     

    "ยังไงฉันก็เชื่อนะว่าแบคฮยอนยังอยากอยู่กับนาย" จงอินว่า ยื่นมือไปจับเข้าที่ข้อมือเล็กแล้วลากไปยังชิงช้า

     

    "หรอครับ" พูดเพียงแค่นั้นแล้วหย่อนก้นลงนั่งบนชิงช้า มือเรียวกระชับสายโซ่แน่น

     

    "อ่ะ.." ตกใจเล็กน้อยเมื่อรู้สึกถึงแรงเขยื้อนของชิงช้า เป็นจงอินที่ผลักหลังคยองซูเบาๆ เพื่อให้ชิงช้าตัวนี้ขยับ

     

    "ผ่อนคลายซะบ้างนะ" จงอินพูดลอยๆ สายลมอ่อนคงพัดพาคำพูดนี้ไปไกลแสนไกล คยองซูก็ควรจะได้ยินและทำตามเสียบ้าง

     

    "ครับ"

     

    ไม่รู้ว่าน้ำตาไหลออกมาตอนไหน แต่รู้สึกตัวอีกทีหยดน้ำใสก็ล่วงหล่นลงที่ตักจนเป็นรอยบนกางเกงผ้ายืดของตัวเอง คยองซูปล่อยให้หยดน้ำตาไหลออกมาเงียบๆ ไม่มีการปาดทิ้งหรือสะอึกสะอื้น ทำเพียงแค่ปล่อยให้หยดน้ำตาไหลออกมาชะล้างความรู้สึกพวกนี้ให้ออกไป

     

    "แบคฮยอนน่ะ.. สำคัญมากเลยสินะ" อยู่ๆจงอินก็พูดขึ้นท่ามกลางความเงียบ ร่างสูงยังคงผลักหลังคยองซูเบาๆให้ชิงช้ายังไกวอยู่

     

    "ครับ.. มาก มากที่สุด" เสียงเล็กสั่นจากการกลั้นลูกสะอื้นที่ตีขึ้นมา คยองซูละมือจากสายโซ่ข้างนึงเพื่อมาจับอกข้างซ้ายที่เริ่มรู้สึกปวดหน่วง

     

    "แล้วทำไมไม่ตามหาล่ะ" ร่างสูงจับสายโซ่ให้ชิงช้าหยุดลง ย้ายตัวเองมายืนอยู่ข้างหน้าคนตัวเล็กที่เม้มปากแน่น

     

    "ยังไง.." เอ่ยออกมาเบาหวิว ดวงตาคลอไปด้วยน้ำใสแล้วไหลออกมาต่อหน้าจงอินช้าๆ

     

    "หยุดร้องเถอะนะ คยองซู ฉันขอร้อง" จงอินส่งยิ้มบางไปให้ ยื่นหน้าเข้าไปใกล้ดวงหน้าใสที่ขึ้นสีแดงจากการร้องไห้ ไล้นิ้วโป้งปาดไล่หยาดน้ำตาออก ก่อนจะประทับจูบแผ่วเบาลงที่หางตา

     

     

    ดวงตาคู่เรียวจ้องมองภาพตรงหน้าด้วยหัวใจที่ปวดร้าว มือเรียวสวยกำขยำแน่นลงบนเนื้อผ้าตรงหน้าอกข้างซ้าย แบคฮยอนจ้องมองภาพตรงหน้ามาได้ระยะหนึ่งแล้วจากม้านั่งตรงนี้

     

    ทั้งๆที่ตอนแรกดีใจจนหัวใจเต้นโครมครามที่ได้เจอคยองซูแล้วแท้ๆ แต่ดูตอนนี้สิ มันกลับแห้งเหี่ยวแถมพร้อมจะสลายตัวไปได้ทุกเมื่อถ้าเกิดเข้าไปสะกิดมันแม้จะเบาบางก็ตาม

     

    "คยองซู.."

     

    คยองซูคงมีคนอื่นมาดูแลแล้ว คนที่ดีกว่า พยอน แบคฮยอน

     

    .

    .

    .

     

    แบคฮยอนเดินละออกมาจากสวนสาธารณะ แรงขาที่จะก้าวเดินต่อแทบจะไม่มีเลยด้วยซ้ำ มันเจ็บ มันปวด รู้สึกล้าไปทั้งตัว

     

    ทั้งๆที่นั่งเตรียมใจมาแล้ว

    ทั้งๆที่ตั้งความหวังเอาไว้

     

    แต่ทุกอย่างกลับพังทลายลง

     

    "ช่วยพาไปที่ร้าน..ทีครับ"

     

    แล้วเขาก็ทิ้งตัวลงบนแท็กซี่ แบคฮยอนเดินไม่ไหวแล้วจริงๆ ถึงแม้ตอนนี้จะไม่มีเงินติดตัวสักวอนเดียวก็ตาม ยังไงซะพอถึงร้าน ร้านที่เป็นของเขา ก็คงไปเรียกพนักงานสักคนให้มาออกให้ก่อน เขาคงกลับไปเป็นเหมือนอดีต อดีตของแบคฮยอนที่เหลวแหลก คนที่ไม่มีอะไรดี ไม่มีอะไรให้ทุกคนภูมิใจ นอกเสียจากพวกผู้หญิงพวกนั้น เหอะ

     

    คยองซู.. สิ่งที่ฉันทำอยู่ มันถูกแน่แล้วหรอ

     

    ร่างสูงของเพื่อนสนิทนั่งหัวโด่อยู่ตรงบาร์เครื่องดื่ม ชานยอลโคลงหัวไปตามเสียงดนตรีแจสที่เปิดคลอเบาๆในร้าน ดูเหมือนว่าเพื่อนคนนี้จะทำหน้าที่เป็นหุ้นส่วนที่ดี นอกจากจะมาร้านทุกวันแล้ว ยังสามารถเรียกลูกค้าผู้หญิงได้อีกนับไม่ถ้วนอีกด้วย คุ้มเสียยิ่งกว่าคุ้ม

     

    แบคฮยอนเดินเข้าไปหาแล้วนั่งลงที่เก้าอี้ข้างตัว เรียกบาร์เทนเดอร์ที่คุ้นหน้าคุ้นตาทันทีตั้งแต่ความจำกลับมา ร้านนี้เป็นร้านของเขาหุ้นกับเพื่อนๆ ซึ่งก็รวมถึงบาร์เทนเดอร์หน้าหล่อคนนี้ด้วย

     

    "เอาเหมือนเดิม" แบคฮยอนพูดเสียงเรียบแล้วฟุบหน้าลงกับโต๊ะตัดขาดสายตาอยากรู้อยากเห็นของชานยอล

     

    "คริส แบคฮยอนเป็นไรวะ" พอคนที่อยากถามดันไม่อยากตอบ ชานยอลเลยเลือกที่จะถามคนที่กำลังผสมเครื่องดื่มอยู่

     

    "มันเพิ่งมา ฉันอยู่กับนาย จะรู้ไหม" คริสกรอกตาขึ้นบนฟ้า แล้วลงมือเชคส่วนผสมให้เข้ากันโดยไม่สนใจอาการปากขมุบขมิบกร่นด่าของชานยอล

     

    "ได้แล้ว มีปัญหามาหรอ" คริสที่ดูเป็นผู้เป็นคนกว่าเพื่อนข้างตัวถามขึ้น แบคฮยอนส่ายหัวและถือแก้วที่ร่างสูงยื่นให้มาดื่ม

     

    "ไม่รู้สิวะ" แบคฮยอนพูดเสียงเบา แอบจิ๊ปากเมื่อรู้สึกถึงความแสบพร่าในลำคอ

     

    "ไม่รู้ได้ไงวะ" ชานยอลโพล่งขึ้นมาท่ามกลางสายตาของเพื่อนทั้งคู่ที่ดูจะปลง

     

    "ก็ไม่รู้.. สิวะ มันเจ็บ"

     

    "คนเดิมหรอ นี่จริงจังใช่ไหม" คริสถาม และก็ได้การตอบกลับเป็นการพยักหน้ารับ

     

    "ใครวะๆๆๆ" ชานยอลสะกิดแขนแบคฮยอนพร้อมรัวคำถามไป

     

    "ชานยอล..." คริสส่งเสียงต่ำห้ามปราม ชานยอลถึงได้เงียบลงพร้อมเบ้ปากอย่างเด็กๆ

     

    "กูว่านะ.. กูรักเขาว่ะ" กำแก้วเหล้าไว้แน่นขณะที่พูด เพียงแค่นึกภาพตอนที่อยู่สวนสาธารณะ อกก็รู้สึกเจ็บแปล๊บขึ้นมา

     

    "ก็บอกเขาสิวะ" ชานยอลพูด หันไปมองหน้าแบคฮยอนอย่างจริงจัง

     

    "แต่เขา.. คงมีคนที่ดีกว่ากู" แบคฮยอนว่าเสียงอ่อย นิ้วกลางถูรอบปากแก้วเหล้าพร้อมถอนหายใจออกมา

     

    "ไม่ต้องพูดชานยอล" คริสคั่นขึ้นมาหลังจากเห็นคนตัวสูงที่นั่งอยู่กำลังอ้าปากพูดตัดกำลังใจของเพื่อน

     

    "พยายามได้แค่นี้เองหรอ" คริสว่าเสียงเรียบ มือเรียวเช็ดแก้วที่วางเรียงไว้ไปมา

     

    "ฉัน.."

     

    "นายยังไม่เริ่มพยายามเลย เชื่อฉันสิ" คริสย้ำเตือน ดูเหมือนชานยอลที่หันมาส่งซิกทางสายตาจะอยากพูดออกไปบ้าง

     

    "เชิญนาย" แบคฮยอนผายมือไปทางชานยอล คนตัวสูงที่ดูไม่เต็มเต็งยิ้มกว้างขึ้นทันที

     

    "บอกรักเขายัง" นั่นสินะ... ชานยอลถามถูกประเด็น แม้คำว่ารักเขายังไม่มีโอกาสได้พูด

     

    "ยัง" แบคฮยอนส่ายหัวโคลง

     

    "ไปบอกสิวะ แล้วแบบนี้จะรู้ได้ไงว่าคิดหรือไม่คิดเหมือนกัน" ชานยอลพูดเสียงดัง แต่ครั้งนี้คริสดูเหมือนจะเห็นด้วยกับความเห็นนี้

     

    "หรอ.. กูจะสู้เขาได้หรอวะ" แบคฮยอนว่าเสียงอ่อยคอตก ไม่เหมือนกับแบคฮยอนคนเจ้าชู้เจ้าเล่ห์แบบแต่ก่อนสักนิด

     

    "สายตาที่เขามองมึงเป็นยังไง มึงคิดเอาเองแล้วกัน" คริสเตือนสติเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะเดินกลับไปข้างหลังเพื่อเคลียงานที่ครัว

     

    "เชื่อคริส มันเป็นคนเข้าใจความรัก" ชานยอลตบบ่าแบคฮยอนสองทีแล้วยิ้มให้กำลังใจ

     

    สายตาของคยองซูน่ะนะ.. ประกายสดใสที่สะท้อนแต่ใบหน้าของเขา ทั้งตอนเป็นแบคฮยอนที่เป็นไซบีเรียน และแบคฮยอนที่เป็นคน

     

    คิดเหมือนกันรึเปล่า.. คยองซู

     

     

     

    ในที่สุดร่างเล็กก็เอ่ยปากขอให้จงอินพาไปส่งที่บ้านตัวเอง นั่นทำให้นายตำรวจคิมรู้สึกโล่งเหมือนยกภูเขาออกจากอก ไม่แน่นะถ้าคยองซูยังยืนยันที่จะขอนอนต่อที่คอนโดของจงอิน คงจะเป็นจงอินเองนี่แหละที่หักห้ามใจกับคำว่าพี่น้องที่ดีต่อกันไม่ได้

     

    "พรุ่งนี้จะให้พาไปหาแบคฮยอนไหม" นายตำรวจคิมถามขึ้นระหว่างทางขับรถกลับบ้านของร่างเล็ก

     

    "พี่ไม่เข้าสน.บ้างหรอครับ" คยองซูหันไปส่งยิ้มหวาน ดวงตากลมโตหรี่มองอย่างอยากรู้

     

    "เอ่อ.. นั่นสิ" ร่างสูงข้างกายแอบสะอึกกับคำถาม เขากำลังจะกลายเป็นตำรวจไม่ดี ไม่ยอมอยู่ในเวลางาน แถมยังกินภาษีประชาชนโดยเปล่าประโยชน์อีก

     

    "ฮ่ะๆ ผมถามเฉยๆน่า" คยองซูขำเมื่อเห็นหน้าของนายตำรวจเจื่อนไปเล็กน้อย

     

    "ไปติดป้ายประกาศไหม"

     

    "ไม่ต้องหรอกครับ ผมจะไปหาเองก่อน" มือเล็กกำสายเข็มขัดนิรภัยแน่นพลางมองออกไปนอกหน้าต่าง คยองซูไม่รู้ว่าแบคฮยอนจะยังรออยู่ที่บ้านรึเปล่า หรือดีไม่ดีอาจจะเป็นคนแล้วเดินออกไปจากชีวิตเขาแล้วก็ได้

     

    นายเลือกที่จะอยู่หรือไปกันแบคฮยอน

     

    ถ้านายอยู่ฉันจะลองทำตามหัวใจตัวเอง

     

    แต่ถ้านายไปฉันจะยอมปล่อย และเป็นคนปลดปลอกคอนั้นออกให้นาย

     

     

    "อยู่ได้ใช่ไหมคนเดียว" จงอินเลิกคิ้วถามอยู่ในรถ คยองซูพยักหน้ายิ้มรับพร้อมโบกมือลา

     

    "ผมอยู่คนเดียวมาได้ตั้งนานแล้วครับ" คยองซูอมยิ้มแล้วโค้งตัวให้ ร่างสูงภายในรถกวักมือเรียกให้คนคัวเล็กเดินเข้ามาชิดรถ

     

    "ครับ?" คยองซูเดินมาเกาะกระจกหน้าต่างฝั่งข้างคนขับ ยืดหน้าเข้าไปในตัวรถจนรู้สึกได้ถึงลมเย็นจากช่องแอร์พัดมาเบาๆ

     

    "แต่ตอนนี้มันไม่เป็นแบบนั้นแล้วนะ" นายตำรวจคิมส่งยิ้มหวาน ยืดมือขึ้นลูบหัวให้กำลังใจคนตัวเล็กที่เม้มปากระหว่างคำพูดนั้นของตัวเอง

     

    "ขอบคุณครับพี่..."

     

     

     

    หัวใจดวงน้อยสั่นระริก มือเล็กไขกุญแจบ้านเข้าไป ก่อนที่จะพบแต่ความเงียบสนิท ไร้สิ่งมีชีวิตในบ้าน ไม่มีผู้ชายหน้าขาวที่มีดวงตาเรียวหางตาตกลงเหมือนลูกหมาตัวน้อยๆ ไม่มีแบคฮยอนที่เขาเฝ้าบอกในใจว่าจะคนนั้นจะต้องอยู่

     

    "นายเลือกแล้วสินะ..." น้ำตาหยดใสกลิ้งตัวไหลจากปลายหางตา คยองซูกัดปากแน่นทรุดตัวลงนั่งกับพื้นอย่างหมดแรง

     

    มือเล็กกุมแน่นลงที่อกของตัวเอง เสียงทีวียังเปิดตั้งแต่ตอนกลางวันที่เขาออกมา คยองซูแค่หวังให้แบคฮยอนแค่นอนหลับอยู่บนโซฟาจนไม่ได้ยินเสียงของเขาที่กลับบ้านมา

     

    คนตัวเล็กพยายามชันเข่าทรงตัวยืน เดินไปใกล้กับโซฟาแล้วล้มตัวลงนั่ง คยองซูยกขาทั้งสองข้างขึ้นมาบนโซฟา ตั้งแต่ครั้งนั้นที่แบคฮยอนหลอกผีเอาไว้ เขาก็ไม่กล้าที่จะนั่งตรงนี้คนเดียวอีก แล้วแบบนี้จะให้เขาทำยังไง แบคฮยอนทิ้งเขาไปแล้ว.. แล้วคยองซูจะนั่งดูหนังสยองขวัญตอนดึกกับใครโดยที่ตัวเองจะรู้สึกไม่กลัว

     

    นิ้วมือเล็กจิกลงบนเบาะโซฟา ร่างเล็กโน้มตัวนอนขดบนที่ว่างของโซฟา แก้มใสวางทาบกับเบาะไว้แล้วปล่อยให้หยดน้ำตาไหลซึมผ่าน ให้เนื้อผ้าของโซฟาเป็นตัวช่วยซับน้ำตา

     

    คยองซูจะอยู่คนเดียวได้ยังไง.. คยองซูจำไม่ได้แล้วนะว่าชีวิตแต่ก่อนตอนนั้นตัวเองต้องทำยังไงบ้าง

     

    นกน้อยหลากหลายตัวแข่งกันเปล่งเสียงร้องในยามเช้า คยองซูปรือตาขึ้น หยดน้ำตาแห้งอยู่ตามขอบตาของตัวเอง ดูท่าแล้วเมื่อคืนคงจะร้องไห้จนผลอยหลับไป อยากให้เรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็นเพียงแค่ความฝันจัง

     

    ร่างเล็กลุกขึ้นจากโซฟาเพื่อไปอาบน้ำล้างหน้าล้างตาที่ห้องนอนของตัวเอง ความปวดล้าของดวงตาลามไปจนทำให้รู้สึกปวดตุบอยู่ที่ข้างขมับ หัวทุยสะบัดไล่ความวิงเวียนก่อนจะนำมือทั้งสองข้างแปะลงที่แก้มอูมของตัวเอง

     

    นาฬิกาบอกเวลาสิบโมงเช้า ถ้าเป็นปกติเขาจะต้องถูกปลุกตอนเวลาหกโมงเช้าเพื่อมาทำอาหาร แต่ก็ดีแล้วล่ะ คยองซูไม่ได้นอนเต็มอิ่มมานานแล้วเหมือนกัน รู้สึกดีเหมือนกัน.... ก็แค่ไม่มีเสียงของใครบางคนก้องอยู่ในหัวให้กวนใจเล่น

     

    ตอนนี้..คยองซูคงกำลังหลอกตัวเองอยู่สินะ

     

     

     

    "แบคฮยอน ฉันไปเรียนก่อน.... นะ" คยองซูแต่งตัวเสร็จแล้วกำลังจะออกจากบ้าน เผลอพูดประโยคนั้นอย่างเคยชิน ก่อนจะรู้สึกตัวตอนที่ท้ายประโยคขาดห้วง ว่าตอนนี้เขาไม่มีแบคฮยอนอีกแล้ว

     

    "นั่นสินะ ฮ่ะๆ" ร่างเล็กเดินออกไปอย่างล่องลอย ดวงตากลมโตรื้นไปด้วยน้ำใส ดูเหมือนทุกนาทีของคยองซูจะใช้เวลาอยู่กับแบคฮยอนจนเป็นความเคยชิน ซึ่งตอนนี้คยองซูก็เพิ่งรู้ตัวเองว่า เขาขาดแบคฮยอนไม่ได้...

     

    ทั้งๆที่คิดว่าจะอยู่ได้ด้วยตัวเองเหมือนแต่ก่อน เสียงวุ่นวายที่เคยหงุดหงิด หรือแม้แต่คนที่มาคอยกวนใจ คิดแล้วว่าตัวเองจะต้องอยู่ได้เหมือนเก่า แต่รู้อะไรไหม คยองซูไม่เคยรู้สึกเหงาขนาดนี้มาก่อนเลย

     

    ตัวคนเดียว ไม่ใช่เดินเป็นคู่ ไม่ต้องคอยเป็นห่วงใครในหัว คนที่รออยู่ที่บ้านจะหิวอะไรไหมนะ จะเบื่อหรือเปล่า อยากเปลี่ยนช่องทีวีไหม แล้วจะคิดถึงเขาที่อยู่ข้างนอกบ้านบ้างเปล่า...

     

    แบคฮยอน... รู้ไหมทำแบบนี้เจ้าของคนนี้จะทำโทษไม่ให้นอนบนเตียงแล้วนะ

     

    กลับมาหาฉันเถอะ อย่างน้อยถ้านายจะไป ช่วยมาให้ฉันถอดปลอกคอของนายออกเถอะ

     

    วันนี้คยองซูกลับบ้านเย็นกว่าปกติ นายตำรวจคิมโทรมาถามว่าให้มารับไหม แต่คยองซูกลับตอบปฎิเสธไปพร้อมกับคำว่าไม่ว่าง แต่อันที่จริงเขาแค่อยากลองอยู่ตัวคนเดียวเหมือนแต่ก่อน อยากลองกลับบ้านคนเดียวดู เผื่อว่าจะชินกับการใช้ชีวิตแบบนี้

     

    ผู้คนมากหน้าหลายตายังคงสัญจรอยู่บนทางเท้า บ้างก็มาเป็นกลุ่มใหญ่จนส่งเสียงโหวกเหวก บ้างก็มาเป็นคู่เดินจับมือเคียงข้างกันจนคยองซูนึกอิจฉา

     

    ฟ้าที่เคยสว่างในตอนแรกกลับกลายเป็นมืดมนพร้อมลมเย็นที่พัดปลิวมาพร้อมเศษไม้ใบหญ้า

     

    ... ฝน ตก ?

     

    จากเม็ดฝนสองสามหยดบนใบหน้า กลายเป็นกระหน่ำตกอย่างไม่ยั้ง คยองซูลองหันไปมองพวกผู้คนในคราแรก ร่มสีสันสดใสถูกนำขึ้นมากางกันพร้อมรอยยิ้ม บางพวกที่ไม่มีก็กอดกันกลมแล้วพากันไปหลบฝน คยองซูก็ควรทำเช่นนั้นบ้าง

     

    คงต้อง.. กอดตัวเองแล้วเดินไปหลบฝน

     

     

     

    เม็ดฝนที่เคยตกกระทบใบหน้าใสหยุดลงพร้อมกับกลิ่นหอมอันคุ้นเคย เสื้อคลุมสีดำเข้มลอยหวืออยู่เหนือหัวเป็นตัวบังฝนให้กับเขา ดวงตากลมโตไหวระริกอย่างน่าเอ็นดู เหลือบหางตามองไปด้านข้างด้วยหัวใจที่เต้นแรง

     

    ในระดับสายตาคยองซูเห็นรอยยิ้มบางที่แสนอบอุ่น ปลอกคอหนังสีดำที่เลือกเองกับมือยังอยู่ที่เดิม ไม่มีการถอดหรือแกะออก คยองซูไม่กล้าแม้แต่เหลือบตามองสูงขึ้นไปอีก ขาเล็กหยุดอยู่นิ่งกับที่ ไม่มั่นใจนักว่านี่คือความฝันหรือเรื่องจริงที่เขาต้องการอยากให้เกิดขึ้นที่สุด

     

    "เดี๋ยวก็ไม่สบายหรอก" เสียงแบบนี้..

     

    "รีบเดินสิ" ทำไมถึงได้..

     

    "หรือต้องให้ฉันอุ้ม" ใช่จริงๆ..

     

    "แบค.. แบคฮยอน" กระซิบออกไปแผ่วเบา สายฝนที่ตกลงมากลบเสียงที่พูดออกไปจนหมด คนที่ยืนซ้อนอยู่ข้างหลังเห็นว่าร่างเล็กยังไม่ยอมเดินเลยย้ายตัวเองมายืนข้างหน้า

     

    "ทำไมไม่เดิน" เลิกคิ้วถามขึ้นอย่างสงสัย พยายามใช้ไหล่ของตัวเองดันไปที่ข้างลำตัวบางให้เดิน เพราะเสื้อคลุมของแบคฮยอนมันเริ่มจะชุ่มแล้ว

     

    "นาย.." คยองซูครางเสียงเบา หยดน้ำใสรื้นขึ้นอีกแล้ว ทำไมตั้งแต่คยองซูรู้จักแบคฮยอนถึงได้ร้องไห้กับเรื่องเล็กๆน้อยๆง่ายเหลือเกิน

     

    "ฉันหรอ ฉันชื่อพยอน แบคฮยอนไง" ส่งยิ้มมาให้อย่างยียวน แต่คยองซูกลับยิ้มกว้างด้วยความดีใจ ยิ้มด้วยความรู้สึกทั้งหมดที่ออกมาจากข้างใน

     

    "ฉัน... เป็นเจ้าของ ใช่ไหม" คยองซูลองถามออกไป มือเล็กกำอยู่ข้างลำตัวแน่น ช้อนดวงตากลมขึ้นมองหน้าแบคฮยอนด้วยแววตาระริก

     

    "แน่นอน นายเป็นเจ้าของฉันมาตลอด"

     

    หลังจากจบคำพูดนั้นของแบคฮยอน ร่างทั้งร่างของร่างโปร่งก็เซถลาไปข้างหลังจากแรงกอดของคยองซูที่โถมเข้ามา ทั้งอัดอั้นและคิดถึง ทั้งโหยหาและเฝ้าคอย แบคฮยอนควรรับรู้ถึงความรู้สึกนี้.. สักที

     

    คยองซูจับไปที่แก้มทั้งสองข้างของแบคฮยอน คนตัวเล็กส่งยิ้มหวานไปให้ เม้มปากแน่นเมื่อเจอสายตาอบอุ่นส่งกลับมา เม็ดฝนตกลงมากระทบใบหน้าจนผมที่เคยอยู่ส่งลู่ลงกับใบหน้า หยดน้ำไหลลงมาจนถึงปลายคาง แต่คยองซูไม่แคร์ที่ตัวเองจะเปียกตอนนี้

     

    "ฉัน.. ขอโทษ" แบคฮยอนพูดออกมาอย่างสำนึกผิด ดวงตาเรียวเจือแววเสียใจ คยองซูส่ายหัวแล้วยืดใบหน้าเข้าไปใกล้ ประทับริมฝีปากลงไปเบาๆเพื่อกลืนคำพูดรู้สึกผิดของแบคฮยอน

     

    ดวงหน้าใสขึ้นสีแดง ริมฝีปากอิ่มยังค้างนิ่งอยู่แบบนั้น จนแบคฮยอนที่ปล่อยเสื้อคลุมทิ้งข้างลำตัว แล้วใช้มือประคองลงที่ใบหน้าของคยองซู ริมฝีปากอุ่นร้อนกำลังถูกครอบครองโดยคนที่บอกว่าตัวเองเป็นสัตว์เลี้ยงของเขา

     

    ร่างโปร่งละใบหน้าออกมาช้าๆ ดวงตาใสสั่นระริก คยองซูกำเสื้อที่อกของแบคฮยอนแน่น ก่อนจะพาตัวเองซุกหน้าลงไป กอดซุกอยู่อย่างนั้นให้รู้สึกถึงความอุ่นและได้ยินถึงหัวใจที่เต้นรัวของคนคนนี้

     

    "ไม่ต้องร้องแล้ว ไปหลบฝนก่อนเถอะ" แบคฮยอนลูบหลังคนตัวเล็กไปมา โอบกอดพาเดินไปจนถึงที่หลบฝน แล้วลูบไล้ฝ่ามือลงบนใบหน้าใสที่เปียกชื้นไปด้วยหยาดน้ำฝน

     

    "นาย.. เป็นคนได้ยังไง" คยองซูถาม ใช้นิ้วมือเล็กแตะลงไปที่แก้มขาวของแบคฮยอนเบาๆ

     

    "เพราะฉันรักนาย" แบคฮยอนพูดเสียงเรียบ จ้องมองไปที่ดวงตาใสของคนตรงหน้า คยองซูเม้มริมฝีปาก หันหน้าหนีหลบสายตสพร้อมแก้มที่เริ่มขึ้นสีแดง

     

    "อย่าล้อเล่นสิ.."

     

    "ฉันพูดจริง ฉันรักนาย" 

     

    คนตัวเล็กกำมือแน่น เงยหน้าจ้องมองไปยังใบหน้าของแบคฮยอน รอยยิ้มหวานที่ส่งมาให้ทำเอาเขาทำตัวไม่ถูก แบคฮยอนตอบไม่ตรงคำถามสักนิด ทำแบบนี้คยองซูก็เขินแย่เลยสิ

     

    "แล้ว.. ทำไมเป็นคน" คยองซูยังคงถามคำถามเดิม เพราะเขาอยากรู้ ว่าอะไรที่ทำให้แบคฮยอนกลับมาเป็นเหมือนเดิม

     

    "เพราะฉันรักนาย จะถามกี่ครั้งคำตอบก็เหมือนเดิมนะคยองซู" แบคฮยอนยกยิ้มกวน ใบหน้าเล็กยื่นเข้ามาใกล้จนรู้สึกได้ถึงลมหายใจร้อน คยองซูหลับตาลงอย่างอัตโนมัติเพื่อรอรับสัมผัสอุ่นที่แบคฮยอนจะมอบให้

     

    ร่างโปร่งกดริมฝีปากลงบนปลายจมูกโด่งเบาๆ ย้ำลงไปด้วยความรักทั้งหมด ก่อนจะผละหน้าออกมามองคนตัวเล็กที่ยืนจับจมูกตัวเอง แต่แก้มทั้งสองข้างกลับแดงขึ้นจนปิดไม่มิด

     

    "ฉันยังเป็นไซบีเรียนของนายคยองซู ฉันรักนาย" จับมือเล็กขึ้นมาสัมผัสลงบนปลอกคอหนังสีดำที่ตัวเองใส่อยู่ ก่อนจะกอบกุมมือเล็กนั้นไว้ บีบลงเบาๆ แล้วยืดปากลงมาจูบที่หลังมือขาว

     

    "ไอ้.. หมาบ้าเอ้ย" คยองซูส่ายหน้าไล่ความเขิน แบคฮยอนทำให้เขาไม่เป็นตัวของตัวเองตลอด รู้ไหมว่าทำแบบนี้มันทำให้ใจอ่อน...

     

    "ตอนนี้ฉันเป็นคนแล้วนะ" แบคฮยอนเถียง ยืดหน้าเข้าไปใกล้จ้องดวงตากลมโตไม่กะพริบ

     

    "นายยังเป็นหมาของฉันอยู่" คยองซูไม่ยอมแพ้ ยื่นมือขึ้นไปบีบจมูกโด่งอย่างหมั่นเขี้ยว

     

    "งั้นหมาตัวนี้มันคงรักเจ้าของจนโงหัวไม่ขึ้นแล้วล่ะ" คำพูดแสนธรรมดา แต่กลับทำให้หัวใจดวงน้อยเต้นไม่เป็นจังหวะ ...

     

    "ฮึ แบคฮยอน ไอ้หมาบ้า" คยองซูตีลงไปที่ไหล่เบาๆ พยายามหลบสายตาที่จ้องมองมายังตัวเอง

     

    "นี่ ฉันรอให้นายบอกรักอยู่นะ" ร่างโปร่งพรูลมหายใจออก ขยี้หัวเปียกๆของตัวเองจนหยดน้ำกระเด็นใส่หน้าของคยองซู

     

    "ทำไมต้องบอก" คยองซูถามย้อน ขยี้หัวของตัวเองบ้างเพื่อสะบัดหยาดน้ำบนเส้นผมให้กระเด็นไปโดนคนที่แกล้งตอนแรก

     

    "เพราะฉันรักนาย.."

     

    "ฉันรักนาย" ในที่สุดก็ยอมปริปากพูดคำนี้ออกมา ไม่ใช้ว่าไม่อยากพูด แต่คยองซูอยากให้คำว่ารักของตัวเองเป็นคำที่ศักดิ์สิทธิ ไม่ใช่จะเอามาพูดพร่ำเพรื่อ เพราะคยองซูเป็นคนเชื่อมั่นในความรักที่บริสุทธิ์

     

    "นายคือเจ้าของฉันเพียงคนเดียว เป็นเจ้าของทุกอย่างในตัวฉัน รวมถึง.." พูดค้างไว้ที่ประโยคท้าย จับมือคยองซูขึ้นมาทาบไว้ที่อกข้างซ้ายของตัวเอง

     

    "หัวใจดวงนี้ที่ไม่มีใครเคยได้ไป" ร่างเล็กขยำเสื้อของแบคฮยอนจนยับ เขย่งปลายเท้าแล้วกดจูบลงที่หน้าผากนูนของร่างโปร่ง

     

    "ขอบคุณที่มาเปลี่ยนแปลงชีวิตของฉัน" คยองซูว่าพลางซบหน้าลงที่เสื้อชื้นฝนของแบคฮยอน ถึงแม้ว่าเสื้อจะเปียกมากแค่ไหน แต่ตัวของแบคฮยอนกลับอุ่นและทำให้คยองซูรู้สึกดีมากที่สุด

     

    "ขอบคุณเหมือนกัน...สำหรับทุกอย่าง"

     

    ไม่ว่าตอนจะเป็นแค่หมาไซบีเรียน หรือแม้แต่ตอนเป็นคนที่ชื่อแบคฮยอน อยากขอบคุณทุกช่วงเวลาที่คยองซูทำให้ตัวเขาเปลี่ยนไป เปลี่ยนเป็นแบคฮยอนคนที่มีหัวใจใช้รักใครสักคนเป็น ขอบคุณ.. ที่ทำให้เขารู้จักรักที่บริสุทธิ์

     

    "ฉันรักนายมากนะ นายเป็นเจ้าของให้ฉันได้คนเดียว....

     

     

     

    เพราะฉันเป็นไซบีเรียนที่ขี้หวงมากนะ รู้ไหม"

     

     

    "คยองซู"

     

     

     

    เพราะสุดท้ายแล้ว..

     

    ความซื่อสัตย์ต่างหากล่ะ

    ที่เป็นสิ่งแรกที่ทำให้ความรักของคนยั่งยื่น

     

     

     

    end

     

     

     

     

     

    Special kim jongin part

     

     

    ฝนยังคงตกกระหน่ำ นายตำรวจคิมหาที่จอดรถเพื่อหลบฝน เพราะฝนที่ตกมานานหลายชั่วโมงทำให้เส้นทางดูแย่กว่าทุกที จงอินมองไม่เห็นแม้แต่แสงไฟของรถคันข้างหน้าด้วยซ้ำ

     

    รถจอดลงอยู่ข้างทาง ร่างสูงเปิดเพลงคลาสสิกคลอเพื่อคลายความเงียบเหงา เคาะนิ้วลงไปบนพวงมาลัยรถยนต์อย่างเป็นจังหวะ ก่อนที่สายตาจะเหลือบไปเห็นสิ่งมีชีวิตตัวเล็กบางอย่างที่หลบฝนอยู่ที่มุมของตึก

     

    ขนสีขาวของมันเปียกชุ่ม ดูเหมือนจะเปียกฝนมาอยู่เป็นเวลานาน นายตำรวจคิมช่างใจอยู่เล็กน้อย แต่ก็ปลดล็อกประตูรถแล้วรีบก้าวลงไปเพื่อพาเจ้าสัตว์ตัวน้อยสี่ขาขึ้นมาหลบฝน

     

    พอไปถึงจุดที่เจ้าแมวน้อยตัวกลมยืนอยู่ก็นั่งยองๆเรียกดู นายตำรวจคิมจ้องมองไปที่ดวงตาใสที่มีแววคล้ายคนอย่างหลงใหล จนกระทั่งรู้สึกได้ถึงปลายลิ้นสากที่เลียลงบนมือเลยรีบอุ้มเจ้าตัวกลมขึ้นมานั่งบนรถของตัวเอง

     

    จงอินหยิบผ้าขนหนูที่อยู่หลังรถมาเช็ดขนให้เบาๆ พร้อมกับหรี่แอร์ลงเพราะกลัวว่าเจ้าตัวอ้วนขนปุยตัวนี้จะหนาวไปมากกว่านี้

     

    ก่อนจะอุ้มขึ้นมาเพื่อจ้องมองดวงตาสีฟ้าของมันอีกครั้ง ดวงตาที่มีแววดึงดูด เห็นแบบนี้อยู่ดีๆเขาก็มีความคิดอยากเลี้ยงแมวทันที

     

    "หลงทางหรอ" ถามออกไปเบาๆพลางลูบหัวนุ่ม

     

    "ชื่ออะไรน่ะเรา.." ถามออกไปพร้อมรอยยิ้ม ไม่คิดว่าเจ้าแมวตัวนี้จะตอบกลับมาหรอก เป็นไปได้ที่ไหนกันที่แมวจะ..

     

    เซฮุน...

     

    เป็นไปไม่ได้หรอก

     

     

    ผมชื่อเซฮุน.. โอเซฮุน คือชื่อของผม

     

     

     

     

    คำสาปบทใหม่ได้เริ่มต้นขึ้นแล้ว...

     

     

     

    special end!!!

     

     

     



     

     

    เย้ จบแล้ว!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!!

    จบแล้วค่ะ เยอะมาก พาร์ทจบแบบไม่มีการตัดอะไรออกเลย ๕๕๕๕

    หวังว่าเรื่องนี้จะกลายเป็นเรื่องในหัวใจของใครหลายคนบ้างนะคะ

    มันอาจจะดูเบลอไปบ้าง แต่ก็ตั้งใจแต่งออกมาให้ดีที่สุด

     

    ยังมีหลายคนถามว่าแบคเป็นหมาได้ไง ไม่รู้สิคะ ๕๕๕๕ เป็นไปแล้วอ่ะ

    แก้ให้แล้วด้วย ง่ายๆเลย แต่เป็นได้ไงไม่รู้เหมือนกัน

    แอบวางไว้ให้น้องฮุนติดบ่วงคำสาปไปด้วย กรั่กๆๆๆ

    อยากเห็นจงอินมีความรักกับเขาบ้าง แอบสงสารมานานหลายต่อหลายบรรทัด

     

    ฝากด้วยนะคะ รักแบคโด้กันให้มากๆ

    จบเรื่องนี้จะทิ้งทวนแล้ว(มั้ง) ไว้จะกลับมาแต่งฟิคต่อ แต่คงอีกนาน #พูดไปงั้นเดี๋ยวมาต่ออยู่ดี

    ๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕๕ รักทุกคนค่ะ

     

     

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×