ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ศาสตราคู่กู้แผ่นดิน

    ลำดับตอนที่ #111 : เล่ม 4 - ตอนที่ 53 - มรสุมระลอกแรก (4)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 949
      0
      16 ก.พ. 51

    ดาธมองสภาพแวดล้อมเมื่อรุดมาถึงกลางทาง
                    เมื่อเข้าเขตเมืองชั้นกลางก็ได้ยินเสียงต่อสู้ฆ่าฟันดังขึ้นถี่ๆ ลูกศรที่ปลายลุกโชนด้วยเปลวเพลิงถูกโหมกระหน่ำเข้าไปในพื้นที่ของตึกธงดาบทางทิศเหนือ ส่วนตึกธงมังกรที่มีกองทัพตั้งรับน้อยกว่ากลับตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบอย่างเห็นได้ชัด กองทหารของเวอร์น่อนทลายแนวป้องกันที่กำแพงเข้าไปได้อย่างรวดเร็ว เห็นเป็นการต่อสู้ระยะประชิด มิอาจใช้ธนูเพลิงได้เต็มอัตราเนื่องจากเกรงว่าจะยิงถูกพวกเดียวกัน
                    ดาธใช้ความสามารถของตนจับสัมผัสของยอดฝีมือรอบด้าน พลันรู้สึกถึงความคงอยู่ของยอดฝีมือระดับสูงจำนวนห้าคน คนที่มีฝีมือสูงที่สุดกับต่ำที่สุดอยู่ทางทิศตะวันออกในสมรภูมิตึกธงมังกรที่มุ่งหน้าไป ส่วนคนที่มีฝีมือรองลงมาเป็นอันดับสองและสามอยู่ทางทิศเหนือในสมรภูมิตึกธงดาบ สุดท้ายผู้ที่มีฝีมือเป็นอันดับสี่อยู่ทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือ คาดว่าคงจะเกิดการปะทะแถบหอน้อยกลางน้ำ
                    ดาธคำนึงในใจด้วยความไว คาดว่าผู้ที่มีฝีมือสูงสุดคงจะเป็นใครมิได้อีกนอกเสียจากเวอร์น่อน เขาเลือกถูกแล้วที่มุ่งมาทางนี้ เห็นได้ชัดเจนว่าเวอร์น่อนลงมือกำจัดผู้ปกครองคาร์ลที่มีกำลังอ่อนที่สุดด้วยตนเอง หากเวอร์น่อนลงมือฆ่าคาร์ลสำเร็จเท่ากับว่ากำจัดหนามยอกอกได้ครึ่งหนึ่ง จากนั้นวกกลับไปร่วมมือกับวานเตสที่มีฝีมืออันดับสองกวาดล้างตึกธงดาบภายหลัง ดังนั้นสิ่งที่เขาสมควรจะทำคือหยุดยั้งเวอร์น่อนเสียตั้งแต่บัดนี้
    พอคิดได้เช่นนั้นดาธจึงเร่งฝีเท้ามุ่งหน้าไปยังตึกธงมังกร
     
    กุนซือราเมสโบกธงออกคำสั่งต่อนายกองคนสนิทให้จุดไฟขึ้น
                    กองไฟกองนี้มีความหมายต่อกลุ่มปลดปล่อยเจนีสยิ่ง เพราะมันเท่ากับเป็นสัญญาณเปิดฉากรบ ทันใดที่เห็นควันไฟลอยสูงในแนวเชิงป่าแถบตะวันออก ทันใดนั้นจะเป็นเวลาการบุกโจมตีของกองกำลังหลักที่นำโดยการาดอส เวลามืดก่อนรุ่งสางเป็นเวลาเหมาะสมต่อการจู่โจมที่สุด ผู้คนส่วนใหญ่จะอ่อนล้ากันในเวลาช่วงนี้ หากเป็นการจู่โจมโดยไม่ทันตั้งตัวอาจจะทำให้ฝ่ายตรงข้ามตกเป็นรองแล้วพ่ายแพ้ไปในที่สุด
                    น่าเสียดายที่ฝ่ายตรงข้ามตั้งตัวติด เมื่อหน่วยสอดแนมที่ลีโซลมีส่งกระจายออกไปทั่วสิบทิศเห็นกองไฟผิดปกติ พวกมันจึงจุดพลุสัญญาณบอกเหตุขึ้น
                    มู่หลงผู้เป็นขุนพลเอกของคอร์เนเลียได้เตรียมการอยู่ก่อนล่วงหน้า เจ้าสำนักงูสวัดนำกำลังทหารหกพันรวมกับนักฆ่าสำนักงูสวัดจำนวนห้าร้อยออกไปตั้งรับการาดอสที่นอกเมือง โดยให้คอร์เนเลียนำกำลังทหารอีกกึ่งหนึ่งที่เหลือประจำการอยู่ในเมือง แม้กองกำลังหลักของการาดอสมีจำนวนหนึ่งหมื่นนาย แต่กลับต้องเผชิญกับนักฆ่าสำนักงูสวัดที่มีฝีมือมากกว่าทหารธรรมดานับว่าไม่ง่ายนัก
    ทันใดที่กองทหารของการาดอสโห่ร้องกึกก้อง กองทหารของมู่หลงก็ตั้งขบวนทัพเสร็จสิ้น คุมเชิงป้องกันเมืองอยู่ในรัศมีธนูบนกำแพง รอให้ฝ่ายบุกยกกองทัพเข้ามาในระยะยิงถึงจะตอบโต้กลับไป
    เหตุที่มู่หลงเลือกทำสงครามนอกกำแพงเมืองเนื่องจากนักฆ่าทั้งห้าร้อยสามารถเคลื่อนไหวไปมาเป็นอิสระในพื้นที่โล่ง แต่ละคนเมื่อมีความสามารถในการเร้นกายในเงามืดย่อมฉายประสิทธิภาพของนักฆ่าได้มากขึ้น อีกทั้งมู่หลงเองอยากจะสร้างความดีความชอบ หมายหัวการาดอสที่มีค่าหัวสูงถึงพันเหรียญทอง นักฆ่ารับจ้างที่มีความละโมบอย่างมู่หลงต้องไม่ปล่อยให้หนึ่งพันเหรียญทองหลุดลอยไปในอากาศ หรือมอบให้กับผู้อื่นเด็ดขาด
    ผู้นำการาดอสทอดสายตาออกไปมองเห็นกองทัพฝ่ายตรงข้ามตั้งรับเป็นขบวนอย่างรีบร้อนแต่ไม่สับสน จึงสังเกตได้ว่าผู้ที่นำทัพขบวนนี้ต้องเป็นขุนพลมากประสบการณ์ ในใจนึกถึงมู่หลงขึ้นมาทันที ภาพของสงครามเจนีสเมื่อยี่สิบห้าปีก่อนย้อนขึ้นมาเป็นฉากๆ หากสามารถกำจัดมู่หลงลงได้ในครั้งนี้รับประกันได้ว่าเมืองเจนีสเหนือต้องตกอยู่ในมืออีกครั้ง
    หลังจากที่กุนซือราเมสบอกให้นายกองส่งสัญญาณบอกผู้นำการาดอส พลันจุดพลุไฟสีแดงขึ้นในยามราตรี อันเป็นความหมายให้นายกองทั้งสิบที่นำขบวนสามขบวนปฏิบัติหน้าที่
    นายกองสามคนที่นำทัพสามพันในป่ายิงศรเพลิงจู่โจมหอยิงธนูของข้าศึกตามกำแพงเมือง ทันใดที่เห็นฝ่ายศัตรูจะถอยกำลังร่นเข้าไปตั้งหลักในป่า ส่วนนายกองสี่คนที่กระจายอยู่ทั่วบริเวณเมืองพากลุ่มทหารออกซุ่มตามตรอกซอกซอย โจมตีทหารนอร์ภายในเมืองจากมุมมืด หลีกเลี่ยงจากการปะทะโดยตรง ตัวกุนซือกับนายกองอีกสามคนที่เหลือจัดขบวนเพียบพร้อมบุกตะลุยไปยังประตูเมืองทางใต้ หาทางยึดประตูเมืองประสานกับกองกำลังหลักของการาดอสให้ได้
    คอร์เนเลียเมื่อเห็นสภาพภายในเมืองแปรเปลี่ยนไปจึงเกิดความหวั่นไหวขึ้นมา กองกำลังสี่พันที่รบแบบกองโจรภายในเมืองจัดการได้ยากยิ่ง ผ่านไปเพียงสิบกว่านาทีทหารภายใต้การควบคุมที่ลาดตระเวนอยู่ตามถนนถูกสังหารไปหลายร้อยนาย หากนางยังไม่กระทำอะไรสักอย่างสมรภูมิรบในเมืองจะตกเป็นของกุนซือราเมสอย่างช้าๆ จนต้องกล่าวออกมาด้วยความแค้นเคืองว่า “เป็นอุบายของราเมส”
    ทางกำแพงเมืองทิศตะวันออกกลับไม่น่าเป็นห่วงมากนัก เนื่องจากกำแพงเมืองเจนีสเหนือสูงชัน มีคูน้ำกว้างล้อมรอบ หอยิงธนูและป้อมค่ายต่างๆล้วนอยู่ในสภาพสมบูรณ์ ฝ่ายกุนซือราเมสที่อยู่ในป่าไม่สามารถทลายกำแพงเมืองบุกเข้ามาได้ในระยะเวลาอันสั้น หรือจะเรียกว่าเป็นไปไม่ได้ด้วยกำลังจำนวนสามพันคนก็ว่าได้
    คอร์เนเลียจึงตัดสินใจทำการตอบโต้ด้วยสุภาษิตที่ว่าจับโจรให้จับหัวหน้า สั่งการออกไปว่า “แบ่งกองกำลังทหารราบสามพันให้ถอยร่นมาเฝ้าที่มั่นทางทหาร ทิ้งถนนหนทางให้ฝ่ายมันควบคุมชั่วคราว ส่วนอีกทหารม้าสามพันที่เหลือยกออกไปปะทะกับกองทัพข้าศึก ณ ประตูทิศใต้ หากสามารถกำราบราเมสลงได้ ทหารที่ดักซุ่มอยู่ตามตรอกซอกซอยก็ไม่นับเป็นเรื่องที่น่าวิตกประการใด”
    สงครามเจนีสที่แนวรบฝ่ายตะวันตกเริ่มขึ้น ด้วยการเผชิญหน้าของกองทัพสี่กองในสมรภูมิสองแห่ง ผู้นำการาดอสต้องบุกฝ่าการตั้งรับของเจ้าสำนักงูสวัดมู่หลงที่นอกกำแพงเมือง ในขณะที่รองหัวหน้าอัศวินดำคอร์เนเลียต้องยับยั้งกุนซือราเมสด้านในกำแพงเมือง
     
    ยูกิถูกต้อนจนจนมุม หากคู่ต่อสู้มาเพียงคนเดียวนางมั่นใจว่าสามารถหลบหนีออกไปได้ แต่ในสถานการณ์เช่นนี้กลับไม่มั่นใจแม้แต่น้อย
                    รากไม้พันธนาการถูกใช้ออกเป็นคำรบสอง แววตาสีดำขลับของนางงามผู้นี้ยังไม่ปรากฏแววย่อท้อแต่อย่างใด สู้ไม่ได้เป็นเรื่องหนึ่ง แต่หากให้ยอมแพ้กลับเป็นอีกเรื่องหนึ่ง ลึกลงไปในนัยน์ตายังคงเห็นประกายที่แสดงถึง “ความหวัง” อยู่ไม่เสื่อมคลาย ยูกิมีความเชื่อว่าหากนางเองยังมีชีวิตอยู่ ความหวังจะยังไม่ดับสูญ
                    “ยอมแพ้เสียเถิดพี่ยูกิ” เสียงของพริมดังขึ้นที่ข้างหู นางฉากหลบรากไม้พันธนาการเมื่อครู่ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของคาตาร์ในมือผู้ตรวจการพาโบล ส่วนพริมเองจ้วงมีดผีเสื้อสีครามสามครั้งติดๆกัน เล็งไปที่ส่วนบนกลางล่างสามจุดในคราเดียว
                    โฉมสะคราญสะบัดกระบี่วาทิตในมือ กระบี่อ่อนลื่นไหลออกไปเบื้องหน้าดุจสายน้ำ กระทบกับมีดติดกันสามครั้งจากบนลงล่างเป็นเสียงดังติงตัง
                    ผู้ตรวจการพาโบลใช้คาตาร์ที่ร้อนระอุดุจเปลวเพลิงจัดการกับรากไม้พันธนาการอย่างไม่ยากเย็น กลับจู่โจมอย่างคาดไม่ถึงใส่ยูกิโดยการซัดคาตาร์ในมือซ้ายออกมาพุ่งเข้าหาเป้าหมาย คาตาร์ที่ผสานเอลแห่งไฟลอยมาดุจดั่งวิหคเพลิงสยายปีก ทำเอายูกิตั้งตัวไม่ติด ตัดสินใจสะบัดกระบี่วาทิตวกจากเบื้องหน้าพริมเข้าหาผู้ตรวจการพาโบล ส่วนทางด้านพริมปล่อยให้เป็นหน้าที่ของเขตพฤกษาที่หลงเหลืออยู่เพียงหนึ่งในสี่ งอกเถาวัลย์ออกมาป้องกันตนเองจากมีดพิษชั่วคราว
                    ผู้ตรวจการพาโบลไหนจะปล่อยให้ยูกิทำลายศาสตราอาคมวิหคเพลิงได้ง่ายเช่นนั้น กระโดดลอยตัวขึ้นใช้ปลายเท้าข้างหนึ่งแตะบริเวณคมมีดของคาตาร์ ดีดตัวลอยเหนือคาตาร์ที่ซัดออกใช้คาตาร์อีกข้างโจมตียูกิด้วยวิหคเพลิงจากเบื้องบน ทำให้นางงามตกอยู่ในสภาพคับขันถูกจู่โจมจากสองทิศทางพร้อมกัน เสมือนถูกวิหคเพลิงสองตัวรุมกระหนาบบนล่าง จนมิอาจหลบหลีกได้
                    ยูกิทราบว่าหากไม่สามารถหลบรอดจากกระบวนท่านี้แล้วตีโต้กลับไปได้ จะประสบชะตาพ่ายแพ้อย่างไม่มีเงื่อนไข ชั่ววูบนั้นมีปฏิพานแล่นในห้วงสมอง พลิกข้อมือใช้ปลายกระบี่วาทิตเกี่ยวเข้าที่มือจับคาตาร์ที่ซัดมา สะบัดข้อมือขึ้นด้านบนเปลี่ยนทางวิหคเพลิงกลับสู่เจ้าของ วิหคเพลิงโฉบผ่านเส้นผมสีดำเป็นเงางามจนแทบจะเผาผลาญปลายผมนางไป
                     ผู้ตรวจการพาโบลจะทำอย่างไรได้นอกจากบังคับวิหคเพลิงสองตัวกระแทกเข้าใส่กัน พร้อมกับกล่าวว่า “กระบวนท่ายอดเยี่ยม” จนเกิดเปลวไฟลุกพรึบขึ้นมาครั้งหนึ่ง น่าเสียดายที่เปลวเพลิงกลับไม่สามารถทำอะไรผู้ตรวจการพาโบลได้ แท้จริงในใจเขาเลื่อมใสปัญญาของยอดหญิงนางนี้อยู่เช่นกัน ขนาดพบสถานการณ์กดดันเช่นนี้ยังดิ้นรนเอาตัวรอดจากจุดอับมาได้ เลื่อมใสส่วนเลื่อมใส หน้าที่ส่วนหน้าที่ ในเมื่อคาตาร์ทั้งสองกลับเข้ามาอยู่ในมืออีกครั้งจึงเตรียมจะจู่โจมออกอีกครา
                    พริมกล่าววาจาขึ้นว่า “สถานการณ์เช่นนี้พี่ยูกิขัดขืนต่อไปก็เปล่าประโยชน์ หากพี่ยูกิรับปากพวกเรายินยอมอยู่นิ่งๆสักสามวันพวกเราพร้อมจะส่งตัวพี่ยูกิกลับเอนเซลโดยปลอดภัย”
                    ผู้ตรวจการพาโบลเห็นว่าอัศวินดำหญิงคนนี้รู้จักกล่าววาจาในเวลาอันเหมาะสม ยูกิที่ผ่านการต่อสู้มาคำรบหนึ่งคงพอจะคาดเดาชะตาของตนเองได้ ว่าไม่มีประโยชน์อันใดในการต่อสู้ขัดขืน จึงกล่าวเสริม ยื่นบันไดให้ทูตนางนี้ลงด้วยดีว่า “ด้วยเกียรติและตำแหน่งของผู้ตรวจการภาคกลางข้าขอยืนยันว่าจะรับรองความปลอดภัยของยอดหญิง และจะปฏิบัติต่อยอดหญิงด้วยดี”
                    ใบหน้าอันสวยซึ้งดุจเทพธิดาของยูกิยิ้มพลางกล่าวว่า “หากสิ่งที่พวกเจ้าทั้งสองกระทำอยู่เรียกว่าปฏิบัติด้วยดีแล้วสิ่งใดเรียกว่าไม่ดี พวกเจ้ามิใช่กำลังล่วงละเมิดข้อตกลงสี่อาณาจักร ที่มิให้ทำร้ายทูตเจริญสัมพันธไมตรีแม้สักขุมขนหนึ่งหรอกหรือ?
                    ผู้ตรวจการพาโบลคาดว่าน่าจะมีช่องทางพอเจรจาได้จึงกล่าวว่า “ถือว่าพวกเราทั้งสองขอขมาต่อยอดหญิงยูกิสักครั้งหนึ่งจะเป็นไร นับแต่กาลก่อนทูตเจริญสัมพันธไมตรีทุกคนล้วนมีจิตใจกว้างขวางย่อมต้องรับคำขอขมาของพวกเรา หลังจากนี้พวกเราจะไม่เข้ามารบกวนในห้องส่วนตัวของยอดหญิงอีก เพียงแต่ขอให้ยอดหญิงอย่าได้ออกจากยอดหอน้อยแห่งนี้ก็พอ”
                    ยูกิทอดถอนหายใจครั้งหนึ่ง ลอบชายตามองดูพื้นที่รอบข้าง ปรากฏว่าเขตอาคมพฤกษาสิ้นฤทธิ์ลงไปเมื่อครู่ เอลในร่างถูกใช้จนเหลือเพียงหนึ่งในสาม ในขณะนี้อีกฝ่ายหนึ่งยื่นบันไดให้นางก้าวลงอย่างไม่เสียหน้า ยอมถอยก้าวหนึ่ง
    ขอขมาในการกระทำเมื่อครู่ หากเป็นสมัยก่อนคงยินยอมเจรจารอมชอม โดยให้เหตุผลว่าเหตุการณ์นี้เป็นการแย่งชิงอำนาจภายในอาณาจักรนอร์ ที่นางเองในฐานะทูตเจริญสัมพันธไมตรีไม่ควรเข้าไปยุ่งเกี่ยว สมควรปล่อยให้เป็นเรื่องภายในจนกว่าจะสงบ แต่ในบัดนี้กลับกระทำเช่นนั้นไม่ได้ ในเมื่อน้องสาวและบุรุษผู้นั้นยังคงอยู่ในเมือง ซึ่งไม่ว่าอย่างไรพวกมันคงจะไม่ยอมถอยก้าวหนึ่งให้กับคนทั้งสอง ที่เป็นก้างขวางคอของพวกมันอย่างแน่นอน
    หลังจากที่ผ่านการตัดสินใจอยู่ครู่หนึ่ง ยูกิจึงสูดลมหายใจเข้าตัดใจกล่าวว่า “ทูตเจริญสัมพันธไมตรีย่อมมีเกียรติที่ไม่ว่าผู้ใดก็ดูหมิ่นมิได้ การลงมือต่อทูตนับเป็นการลงมือต่ออาณาจักรอีกสามแห่งโดยตรง ขออภัยที่ข้ายูกิยอมหักไม่ยอมงอ ขอทำหน้าที่ยอดหญิงอย่างถึงที่สุด” กล่าวจบจึงเสียบกระบี่วาทิตใส่รูบนพื้นหินอ่อนที่เกิดจากการงอกของเถาวัลย์รากไม้ ปรากฏแสงสว่างสีน้ำตาลขึ้นมาวูบหนึ่งที่ข้อมือ
    มวลหมู่พฤกษา ขอพลังให้ข้าด้วยเถิด
    ยูกิทุ่มสุดตัวใช้เอลออกทั้งหมดจู่โจมด้วยท่าที่นามว่าแมกไม้สยายกิ่ง ไม่เล็งผลเลิศในการกำจัดศัตรูทั้งสอง ขอเพียงแมกไม้สยายกิ่งสามารถเปิดโอกาสให้หลบหนีลงไปจากยอดหอน้อยได้ถือว่าประสบผลสำเร็จ
    ผู้ตรวจการพาโบลผิดหวังกับปฏิกิริยาตอบโต้ของยอดหญิงยูกิ ทันใดที่รู้สึกได้ถึงเอลไม้จำนวนมากผิดปกติ ร่างของเขากระโดดลอยขึ้นด้วยสัญชาตญาณ กิ่งไม้ปลายแหลมจำนวนเกือบร้อยกิ่งทะลวงออกมาจากรอยแตกตามพื้นหินอ่อน บ้างเลื้อยมาตามพื้น บ้านก็แทงทะลวงตรงๆจากพื้นหิน ทะลุทะลวงเข้าใส่เขาและพริมทั้งสองคน
    จากสัญชาติญาณและประสบการณ์ต่อสู้กว่าหลายสิบปี ผู้ตรวจการพาโบลอาศัยท่าร่างที่เร็วกว่าปกติหลบรอดจากแมกไม้สยายกิ่งชุดแรก ร่ายเอลเพลิงด้วยความเร็วชั่วลัดนิ้วมือ ก่อกำแพงเพลิงขึ้นรอบกาย เผาไหม้กิ่งไม้ทั้งหลายที่ทะลวงผ่านมาจนเป็นเถ้าถ่าน ก่อนที่ปลายของมันจะแทงถึงร่างกาย
    ส่วนพริมเองเกือบต้องปลดผลึกนิลอวตาร ทันใดที่เห็นแมกไม้สยายกิ่งแทงขึ้นมาตามร่องพื้น ก็ร่ายเอลที่หกเป็นท่ารอยเท้าเงา ที่อนุญาตให้ผู้ร่ายเคลื่อนกายไปตามเงาแถบพื้นที่ใกล้ๆรอบตัวได้ อาศัยแสงสว่างที่สาดส่องลงมาขยับกายไปตามเงาข้าวของเครื่องใช้จนหลบรอดมาได้
    แต่ทันใดนั้นเองมีดผีเสื้อสีครามกลับถูกแมกไม้สยายกิ่งเกี่ยวเข้าที่ด้าม จนหลุดจากมือของพริมพุ่งไปในทิศเฉียงๆเข้าหายูกิ
    เสียงกรีดร้องดังขึ้นครั้งหนึ่งเมื่อยูกิถูกคมมีดอาบยาพิษบาดเข้าที่ต้นแขนด้านขวา จนทำให้แมกไม้สยายกิ่งหยุดการโจมตีต่อในบัดดล
    นางงามใช้มือจับต้นแขนตนเองเห็นเป็นรอยแผลสีม่วงจางๆรอยหนึ่ง ขณะที่กำลังจะใช้เอลไม้เชื่อมประสานพลันได้ยินเสียงพริมดังขึ้นว่า “หลับเสียเถิดพี่ยูกิ”
    แสงสีดำจากเอลที่หกส่องวูบขึ้น ในเมื่อไม่มีเขตพฤกษาป้องกันประสาท ยูกิจึงถูกเอลมายามหานิทรากล่อมจนหลับไหลไม่ได้สติ
    เสี้ยววินาทีก่อนที่นางจะสลบไป ประโยคสุดท้ายที่ผุดขึ้นในใจคือ “โปรดช่วยข้าด้วย ... ลูท”
                    หลังจากนั้นผู้ตรวจการพาโบลกลับขมวดคิ้วเข้าหากัน กล่าวต่อว่าพริมว่า “ทำไมเจ้าถึงปล่อยให้คมมีดอาบยาพิษทำร้ายยอดหญิงยูกิได้ จำไม่ได้หรือว่าท่านเวอร์น่อนสั่งการว่าอย่างไร?
                    พริมมีสีหน้าสำนึกผิดกล่าวว่า “ข้าขอโทษ การที่มีดบาดเมื่อครู่เป็นอุบัติเหตุครั้งหนึ่ง ข้าเองก็ไม่ได้อยากให้เกิดขึ้น อีกทั้งพิษจากบาดแผลเล็กเพียงเท่านั้นกลับไม่เป็นอันตรายถึงชีวิตแต่อย่างใด หลังจากนี้สักระยะหนึ่งนางจะรู้สึกตัวอีกครั้งและพิษจะค่อยๆจากหายไปเอง”
                    ผู้ตรวจการพาโบลอารมณ์เสียกล่าวว่า “ขอให้จริงอย่างที่เจ้ากล่าว” จากนั้นจึงนำร่างของยูกิไปวางนอนบนเตียง กล่าวว่า “รบกวนยอดหญิงอยู่ในสภาพนี้สักพักแล้วกัน”
                    ผู้ตรวจการพาโบลเดินไปที่ประตูมิทราลที่แกะสลักเป็นรูปเทพธิดาสององค์หันหลังเข้าหากัน หันหน้ากลับมากล่าวกับพริมว่า “หน้าที่ต่อไปในคืนนี้ของพวกเราคือเฝ้าหอน้อยกลางน้ำนี้อยู่เบื้องล่าง มิให้ผู้ใดย่างกรายทั้งสิ้น ผู้ที่ขัดขืนคนหนึ่งฆ่าคนหนึ่ง ผู้ที่ขัดขืนคู่หนึ่งฆ่าคู่หนึ่ง”
                    พริมรับคำครั้งหนึ่ง ผู้ตรวจการพาโบลจึงเปิดประตูเดินลงจากหอน้อยกลางน้ำไป
                    ทันใดนั้นปรากฏรอยยิ้มอันเย็นชาขึ้นที่มุมปากของพริม นางหันไปมองร่างของยูกิอย่างน่าสมเพทเวทนา คำนึงในใจว่า เวลาสู่ประตูมรณะของพี่ยูกิคงเหลืออีกไม่นานเสียแล้ว
    การกระทำเมื่อครู่ตั้งแต่ “อุบัติเหตุ” มีดหลุดจากมือจนถึงวาจาโป้ปดกลับเป็นความตั้งใจของนางทั้งสิ้น!
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×