ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ศาสตราคู่กู้แผ่นดิน

    ลำดับตอนที่ #114 : เล่ม 5.1 - ตอนที่ 61.1 - เส้นทางสู่ตะวันออก (3)

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 954
      1
      27 ก.พ. 51

    ผู้ตรวจการโลเปซมีความเห็นเช่นเดียวกัน กล่าวว่า “มิดาสเป็นผู้วางกลยุทธ์ระดับแนวหน้า พวกเรามิอาจประมาทได้ การเดินทัพและการเคลื่อนทัพเหล่านี้ล้วนเป็นข้อมูลในตอนปลาย ซึ่งพวกเราอาจต้องคิดย้อนกลับไปอีกสามสี่ตลบ เพื่อหาจุดประสงค์ที่แท้จริง”
                    ไกที่ฟื้นขึ้นมาจากภวังค์ขบคิดด้วยสติปัญญา กล่าวว่า “ข้าเกรงว่าทัพบางทัพอาจเป็นทัพลวง ใช้เส้นทางเดินทัพอันลึกลับซับซ้อนมิให้พวกเราสังเกตพบ จากนั้นจึงวกเข้าร่วมกับกองกำลังของซิฟเฟอร์ เป็นกองกำลังขนาดใหญ่เพียงพอ ที่จะตีป้อมปราการวอเตอร์ดีพให้แตกก็เป็นได้”
                    แท้จริงแล้วด้วยคุณสมบัติของมือปราบชั้นหนึ่งเพียงอย่างเดียวไม่เพียงพอที่จะทำให้ไกมีเก้าอี้บริเวณโต๊ะรอบใน ดั่งเช่นทาเรียที่นั่งอยู่บริเวณโต๊ะรอบนอก แต่ด้วยการแสดงออกอันโดดเด่นที่ศึกนอร์โปลิส เขาจึงได้รับการยอมรับเป็นกรณีพิเศษ มิใช่จากตำแหน่ง แต่เป็นฝีมือที่แท้จริง
                    สตีเฟ่นกล่าวสนับสนุนขึ้นว่า “บรรเจิดมากท่านมือปราบ นั่นก็เป็นอีกกรณีหนึ่งที่อาจเป็นไปได้ หากมิดาสทุ่มกำลังมาทั้งรังเพื่อที่จะทำลายป้อมปราการวอเตอร์ดีพ พวกเราคงมิอาจนิ่งดูดายปล่อยให้ป้อมปราการแตกไปต่อหน้าต่อตา เพราะนั่นหมายถึงความมั่นคงของนครหลวงตะวันออกเอเวอร์เกรซ ที่จะถูกทำลายให้ย่อยยับอัปราในเวลาถัดมา ดังนั้นพวกเราจำต้องหาพันธมิตรช่วยเหลือ”
                    โจนาธานถามขึ้นว่า “พันธมิตรจากที่ใด? เมืองไดมอนด์ฮิลทางตอนเหนือหรือเมืองโลซานทางตอนใต้? หากเป็นเมืองโลซานข้าสามารถเป็นทูตไปเจรจาให้พวกท่านได้ ตระกูลวิลล์ของเรามีความสนิทชิดเชื้อกับจูเลียส ฟาเดล ผู้ว่าการเมืองโลซานเป็นอย่างดี”
                    ผู้ตรวจการโลเปซเอ่ยปากแทนผู้ปกครองคาร์ลว่า “สำหรับเมืองไดมอนด์ฮิลทางตอนเหนือนั้นย่อมต้องเป็นพันธมิตรของเราอย่างแน่นอน เช่นเดียวกับที่พวกท่านมีความสนิทชิดเชื้อกับผู้ว่าการเมืองโลซาน ผู้ปกครองคาร์ลของเราก็มีความสนิทสนมกับผู้ว่าการเมืองซีออง มองเตอร์แห่งไดมอนด์ฮิลไม่แพ้กัน แต่สิ่งที่ข้ากังวลมิใช่ประเด็นนี้ หากเป็นประเด็นที่ว่าทั้งสองเมืองล้วนถูกเวอร์น่อนกดดัน คงมิยอมส่งทหารมาช่วยเหลือพวกเราได้โดยง่าย สำหรับเมืองไดมอนด์ฮิลอาจเป็นไปได้บ้าง เนื่องจากมีเทือกเขาไดมอนด์อันสูงตระหง่านเป็นปราการธรรมชาติ แต่สำหรับเมืองโลซานที่เป็นที่ราบลุ่มอันอุดมสมบูรณ์ยากแก่การระวังรักษา หากจะเอาตัวรอดตามลำพังก็คงลำบากมากแล้ว คงจะส่งทูตมาร้องขอความช่วยเหลือจากเราเสียมากกว่า”
                    ลูทที่นั่งอยู่ด้านหลังครุ่นคิดในใจว่า นั่นก็มิได้ นี่ก็มิได้ เช่นนี้พวกเราจะทำอย่างไร?
                    ผู้ปกครองคาร์ล เกรซที่นั่งเป็นประธานกล่าวขึ้นว่า “ในเมื่อพวกเรามิอาจพึ่งพาพันธมิตรในประเทศได้มากนัก เมืองเอเวอร์เกรซจึงต้องพึ่งพาตนเองให้มาก ใช้กำลังที่มีอยู่ทุกส่วนเสี้ยวอย่างคุ้มค่า ... แม่ทัพทาเรีย”
                    มือปราบทาเรียที่นั่งอยู่บริเวณโต๊ะรอบนอกสะดุ้งขึ้นเมื่อได้ยินคำเรียกหาที่เปลี่ยนไป แต่ก็ยังต้องลุกขึ้นยืนขานรับคำสั่งว่า “ด้วยความกรุณา ไม่ทราบว่าท่านผู้ปกครองมีคำสั่งอันใด?
                    ผู้ปกครองคาร์ลสั่งการว่า “นับจากนี้ไปข้าจะให้เจ้าเป็นผู้ดูแลป้อมปราการวอเตอร์ดีพ นำกำลังทหารจำนวนสามหมื่นห้าพันนายเข้ารักษาที่มั่นทางการทหารที่สำคัญที่สุดแห่งนี้ ในบรรดาขุนพลของข้าคงไม่มีผู้ใดเหมาะไปกว่าเจ้า ที่จะรับภาระอันสำคัญ”
                    แม่ทัพทาเรียรู้สึกภาคภูมิใจที่ได้รับหน้าที่สำคัญยิ่ง กล่าวว่า “ข้าจะพยายามสุดความสามารถปกป้องป้อมปราการวอเตอร์ดีพให้ถึงที่สุด”
                    ผู้ปกครองคาร์ลพยักหน้าครั้งหนึ่งแม่ทัพทาเรียจึงนั่งลง คำสั่งทางการทหารคำสั่งแรกได้ออกไปแล้วกับการประชุม จากนั้นผู้ปกครองคาร์ลจึงกล่าวต่อไปว่า “นอกจากที่พวกเราจะพึ่งพาตนเองให้ถึงที่สุดแล้ว ยังคงต้องพึ่งพากองกำลังของพันธมิตรอื่นเช่นกัน หากได้รับความช่วยเหลือจากอาณาจักรข้างเคียงที่มีพรมแดนติดกันอย่างเช่นเอนเซลนั้นจะทำให้พวกเรามีโอกาสมากขึ้น และตัวเลือกที่เหมาะสมที่สุดคงจะเป็นใครไปมิได้อีกนอกจากทูตเจริญสัมพันธไมตรีสี่รัฐ ยอดหญิงยูกิ”
                    โฉมสะคราญผู้กอปรด้วยสติปัญญาคาดเดาออกล่วงหน้าอยู่แล้ว ว่าเหตุใดตนเองถึงได้นั่งอยู่ในหนึ่งในที่นั่งสำคัญ จำต้องมีบางสิ่งบางอย่างโยงใยกับฐานะทางสังคมเป็นแน่แท้ จึงกล่าวว่า “เรื่องนี้เกี่ยวพันถึงความอยู่รอดของประชาชนหมู่มาก ต้นกำเนิดนั้นมาจากความแตกแยกภายในของอาณาจักรนอร์ เป็นการวัดกำลังกันระหว่างจักรวรรดินอร์และสหพันธรัฐนอร์ เดิมทีอาณาจักรอื่นอาจคาดคิดว่านี่เป็นเพียงเรื่องภายในที่จะต้องจัดการกันด้วยตนเอง มิควรให้ประเทศอื่นยื่นมือเข้าไปก้าวก่าย แต่เมื่อมีเหตุการณ์ของท่านดูแรนดัลเข้ามาเกี่ยวข้อง สถานการณ์นี้กลับต้องมองในอีกแง่มุมหนึ่ง แสดงเป็นนัยว่านครมิสต์กับจักรวรรดินอร์มีความขัดแย้งกันขึ้น จนถึงขนาดทำให้กุญแจแห่งสวรรค์ปรากฏขึ้นมาอีกครั้ง ทั้งหมดนี้อาจเป็นเหตุผลเพียงพอที่สามารถโยกคลอนจิตใจของประธานาธิบดีราชิตแห่งเอนเซล ให้เชื่อว่าการคุกคามของเวอร์น่อนคงไม่หยุดเพียงแต่ในอาณาจักรนอร์”
                    ผู้ปกครองคาร์ลกล่าวชมเชยว่า “การที่ข้าได้รับความช่วยเหลือจากยอดหญิงผู้ฉลาดเฉลียวและเต็มไปด้วยอำนาจการโน้มน้าวใจ ย่อมเชื่อมั่นว่าเอเวอร์เกรซเราจะได้พันธมิตรอย่างเอนเซลมายืนอยู่เคียงข้าง ด้วยความสามารถทางเอลเทคของเอนเซลที่เหนือล้ำกว่าประเทศอื่นใด จะทำให้พวกเรามีทุนรอนในการทำศึกใหญ่กับเวอร์น่อนครั้งหนึ่ง”
                    ยูกิกล่าวถ่อมตนคำหนึ่ง จากนั้นจึงถามว่า “สองประเด็นแรกที่ท่านสตีเฟ่นเตรียมมาสนทนาล้วนมีข้อสรุป แล้วประเด็นที่สามเป็นเรื่องอันใด?
                    สตีเฟ่นระบายลมหายใจออกจากอกครั้งหนึ่ง กล่าวว่า “ประเด็นที่สามนั้นอาจเรียกได้ว่าสำคัญยิ่งกว่าสองประเด็นแรก ก่อนอื่นพวกเราต้องทำความเข้าใจให้ตรงกันเสียก่อนว่า การที่พวกเราสามารถหนีกลับมาตั้งหลักที่เอเวอร์เกรซนี้ได้มิใช่เป็นเพราะการช่วยเหลือของท่านดูแรนดัลและพวกมือปราบไกเพียงสิ่งเดียว หากเป็นการช่วยเหลือของกองกำลังปลดปล่อยเจนีสอีกส่วนหนึ่ง ซึ่งทั้งสองส่วนนี้สำคัญไม่แพ้กัน
    การที่ท่านผู้นำการาดอสนำกำลังเข้าโจมตีเมืองเจนีสเหนือในเวลาไล่เลี่ยกับการปฏิวัติของเวอร์น่อน ส่งผลให้กำลังส่วนหนึ่งของเวอร์น่อนจำต้องอยู่รักษาเมืองเจนีสเหนือ ซึ่งในจำนวนนี้มีรองหัวหน้าหน่วยอัศวินดำคอร์เนเลียกับเจ้าสำนักงูสวัดที่มีฝีมือร้ายกาจ อีกทั้งอัศวินดำภายใต้การปกครองอีกสี่นาย หากขุมกำลังส่วนนี้ไม่ถูกแบ่งแยกไปตั้งแต่แรก พวกเราอาจมิได้มานั่งอยู่ในห้องประชุมนี้ก็เป็นได้”
                    ห้องประชุมเปลี่ยนเป็นเงียบกริบ เต็มไปด้วยบรรยากาศอันอึมครึม ทุกผู้คนที่ผ่านการศึกนองเลือดอันน่าสะพรึงกลัวนั้น ต่างใช้ความคิดย้อนนึกกลับไป การหลบหนีออกมาจากนครหลวงครั้งนี้ได้ล้วนเต็มไปด้วยเหตุการณ์ฉิวเฉียด บางคนถึงกับคิดว่าถ้าตนเองขยับร่างผิดไปสักนิ้วหนึ่ง อาจต้องทิ้งสังขารหรืออวัยวะข้างใดข้างหนึ่งเอาไว้ที่นั่น ทุกผู้คนที่นั่งอยู่ในที่นี้มีศัตรูร่วมกัน ต่างไม่ยอมอยู่ร่วมฟ้าเดียวกับขุมกำลังของเวอร์น่อนเป็นอันขาดไม่ว่าด้วยกรณีใดๆ  โดยเฉพาะอย่างยิ่งโจนาธาน ซิลิเซีย สตีเฟ่นและไก ที่สูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักยิ่งภายใต้ช่วงเวลาข้ามคืน
                    ส่วนลูทนั้นกลับคิดแตกต่าง นึกถึงเรื่องของแจ๊คที่ดำรงตำแหน่งอัศวินดำ แต่กลับช่วยเหลือเขาให้รอดพ้นจากวินาทีคับขัน ซึ่งความจริงแล้วไม่มีความจำเป็นต้องทำเช่นนั้นแม้แต่น้อย จึงเกิดความรู้สึกสะทกสะท้อนใจ เฝ้าถามคำถามที่ว่า นี่หรือคือชะตาลิขิต?’
                    สตีเฟ่นกล่าวต่อไปว่า “แต่ข่าวล่าสุดที่ข้าได้รับจากสำนักข่าวก็คือ ผู้นำการาดอสได้รับบาดเจ็บสาหัสจนอาจถึงแก่ชีวิตก็เป็นได้ ในขณะที่กุนซือราเมสเองก็ได้รับบาดเจ็บไม่น้อยกว่ากันเท่าใด มิอาจลงมือต่อสู้ได้อีกในระยะเวลาอันสั้น คงเหลือเพียงแม่ทัพมอริแกนที่คุมทหารสองหมื่นกว่านาย คอยปกปักษ์รักษาเมืองเจนีสเหนือเพียงลำพัง สถานการณ์ของพวกเราที่เอเวอร์เกรซจึงมิอาจเรียกได้ว่าคับขัน หากเทียบกับสถานการณ์ที่เมืองเจนีสเหนือในตอนนี้”
                    ข่าวนี้ทำให้ผู้คนในห้องประชุมตกตะลึงไปตามๆกัน ผู้คนที่มิได้ปัญญาอ่อนล้วนคิดได้ว่าหากเจนีสเหนือถูกโจมตีสวนกลับจนล่มสลาย คราวต่อไปจะถึงรอบของพวกเขาเป็นแน่แท้ อีกทั้งคอร์เนเลียและมู่หลงมิใช่ว่ารับมือได้โดยง่าย ในเมื่อทั้งสองสามารถทำร้ายผู้นำสูงสุดสองคนของกองกำลังปลดปล่อยเจนีสจนสาหัสได้ ต้องมีฝีมือจัดอยู่ในระดับเหนือเมฆาขึ้นไป
                    มือปราบไกที่นั่งอยู่ริมขวาสุดของโต๊ะรอบใน ตัดสินใจกล่าวว่า “เรื่องนี้ปล่อยให้ข้าจัดการ ผู้นำการาดอสและกุนซือราเมสทั้งสองมีความสัมพันธ์อันดีกับข้าในระดับหนึ่ง อีกทั้งพื้นที่แถบนั้นเป็นอาณาเขตเก่าที่ข้าคุ้นเคยเป็นอย่างดี ด้วยเหตุผลเหล่านี้จึงขออาสารุดไปช่วยเหลือกองกำลังปลดปล่อยเจนีสในบัดดล ขอให้ผู้ปกครองคาร์ลวางใจ”
                    ผู้ปกครองคาร์ลพยักหน้า กล่าวว่า “ข้าเกรงว่าน้ำไกลมิอาจดับไฟใกล้ จากเอเวอร์เกรซไปถึงเจนีสเหนือเป็นทิศทางตรงกันข้ามของแผ่นดิน เจ้าต้องเดินทางข้ามแผ่นดินจากตะวันออกไปตะวันตก อย่างต่ำต้องใช้เวลาในการเดินทางสิบวัน ซึ่งในปัจจุบันมิอาจกระทำได้ เนื่องจากเวอร์น่อนคงจะวางกองกำลังเอาไว้มากมาย เตรียมสกัดมิให้พวกเราหยิบยื่นความช่วยเหลือแก่เจนีสเหนือ ต่อให้เจ้ามีฝีมือสูงส่งเท่าใดก็ต้องใช้เวลายี่สิบวันหรือเดือนหนึ่ง ซึ่งรับรองได้ว่าถึงตอนนั้นเจนีสเหนือได้แตกไปแล้ว”
                    ชานอนที่นั่งอยู่รอบนอกผุดลุกขึ้นยืน กล่าวว่า “เรื่องนี้สามารถแก้ปัญหาได้โดยง่ายหากข้าเดินทางไปกับมือปราบไก เอลแห่งมิติสามารถช่วยให้เดินทางไปถึงจุดเคลื่อนย้ายลับที่เมืองโอดินภายในชั่วพริบตา จากนั้นค่อยย้อนลงใต้มายังเมืองเจนีสเหนือ ซึ่งสมควรใช้เวลาไม่เกินสองวันเป็นอย่างมาก หากจำเป็นต้องหลบซ่อนสายตาของเหล่าทหารสอดแนม”
                    ชายหนุ่มผมสีน้ำเงินอีกผู้หนึ่งลุกขึ้นตามชานอน กล่าวว่า “ข้าเองมีสหายสนิทอยู่ในกองกำลังปลดปล่อยเช่นกัน จึงขออาสาติดตามไปด้วย”
                    สตรีสาวชาวลาเวนดิสเองก็เช่นกัน ผุดลุกขึ้นยืนกล่าวว่า “แม่ทัพมอริแกนติดต่อกับข้ามาโดยตลอด ดังนั้นข้าเองก็ขอติดตามไปเช่นกัน”
                    ในขณะที่ลูทผู้เป็นศิษย์ร่วมอาจารย์มิได้ลุกขึ้นยืน เขาทราบดีว่าสหายสนิททั้งสองขออาสาไปปฏิบัติหน้าที่สำคัญ แต่ตนเองมิอาจกระทำได้ เนื่องจากยอดหญิงยูกิจะต้องเดินทางไปเอนเซลเลียร์ อีกทั้งนางยังถูกพิษได้รับบาดเจ็บต้องหาหนทางเยียวยา
                    บลูกับลูทได้สบตากันเพียงครั้งหนึ่งก็เข้าใจถึงภาระหน้าที่ของอีกฝ่ายเป็นอย่างดี มิได้กล่าววาจาอันใดนอกจากลอบภาวนาให้อีกฝ่ายปลอดภัยและทำงานสำเร็จลุล่วง
                    ผู้ปกครองคาร์ลมองเห็นความหวังขึ้นมาบ้าง กล่าวว่า “เรื่องนี้เป็นอันตกลงตามนี้ ข้าอนุญาตให้มือปราบไกและพวกเจ้าเป็นหน่วยรบพิเศษของเอเวอร์เกรซ โดยให้ท่านไกดำรงตำแหน่งหัวหน้าของหน่วยนี้มีศักดิ์เทียบเท่ารองแม่ทัพใหญ่  ส่วนผู้อื่นจะเทียบเท่ากับนายกองชั้นพิเศษ ออกปฏิบัติการให้ความช่วยเหลือแก่เมืองเจนีสเหนืออย่างลับๆ ในขณะที่ขบวนของท่านทูตเจริญสัมพันธไมตรีเดินทางลงใต้ ก็ขอให้ลูทที่กระทำการคุ้มกันมีตำแหน่งเทียบเท่านายกองชั้นพิเศษเช่นเดียวกัน ดำเนินภารกิจการเป็นตัวแทนของสหพันธรัฐแห่งนอร์ไปเจรจาทางการทูตกับสาธารณรัฐเอนเซล
    ขอให้ท่านผู้ตรวจการโลเปซช่วยจัดตราสัญลักษณ์ธงมังกรให้กับพวกเขา หากพบกับหน่วยอื่นที่สังกัดธงมังกรเช่นกัน จะได้ขอความช่วยเหลือสนับสนุนได้ไม่ลำบาก และโปรดร่างหนังสือฉบับหนึ่งมอบให้กับยอดหญิงยูกิ ระบุว่าให้เป็นตัวแทนที่มีอำนาจในการเจรจาเทียบเท่ากับข้ารุดไปด้วยตนเอง”
                    ผู้ตรวจการโลเปซพยักหน้าครั้งหนึ่ง เรียกผู้ใกล้ชิดที่นั่งอยู่โต๊ะรอบนอกมาสั่งการอย่างฉับไว
    เมื่อประเด็นทั้งสามถูกคลี่คลายไปในระดับหนึ่ง ก็จะถึงการสนทนาในระดับรายละเอียด แต่ก่อนหน้านั้นโจนาธานที่นั่งอยู่บริเวณโต๊ะรอบในกล่าวว่า “เรียนท่านผู้ปกครองคาร์ล ข้ามีคำขอร้องประการหนึ่ง”
                    ผู้ปกครองคาร์ล ผายมือออกกล่าวว่า “เชิญท่านโจนาธานกล่าวได้โดยมิต้องเกรงใจ”
                    โจนาธานตัดสินใจเด็ดขาด กล่าวว่า “ข้ากับบุตรีซิลิเซียและทหารภายใต้ร่มธงดาบที่หลงเหลือทั้งหมด ขออาสาเข้าร่วมประจำการอยู่ที่ป้อมปราการวอเตอร์ดีพกับแม่ทัพทาเรีย ประจัญบานกับกองทัพของเวอร์น่อนให้ถึงที่สุด”
                    ในขณะที่ผู้ปกครองคาร์ลมีสีหน้ากระอักกระอ่วนลังเลใจ ผู้ตรวจการโลเปซพลันกล่าวว่า “ในความเห็นของข้า การที่ท่านโจนาธานจะเข้าไปร่วมรบที่แนวหน้ามีข้อดีอยู่สามประการ ประการหนึ่งคือเป็นการสร้างขวัญและกำลังใจ เมื่อมีสมาชิกสภาอย่างท่านโจนาธานเข้าร่วมรบ ทหารใต้สังกัดก็จะเกิดความฮึกเหิมเพิ่มขึ้นเป็นธรรมดา
    ประการที่สองคือท่านโจนาธานผ่านการศึกกับพวกเวอร์น่อนมาแล้วรอบหนึ่ง อาจกล่าวได้ว่าคุ้นเคยกับข้าศึกมากกว่าพวกเราอีกหลายคน การที่ได้ประสบการณ์ของท่านโจนาธานเข้ามาเสริมจะทำให้การป้องกันป้อมปราการวอเตอร์ดีพมั่นคงยิ่งขึ้น
    และประการสุดท้ายที่สำคัญที่สุด นั่นคือท่านโจนาธานเปรียบเสมือนทายาทของผู้ปกครองจอห์นผู้ล่วงลับ หากผู้ใดที่ยังคงจงรักภักดีต่อท่านผู้ปกครองจอห์นทราบว่าท่านโจนาธานปักหลักอยู่ที่วอเตอร์ดีพ เตรียมต่อกรกับเวอร์น่อนให้ถึงที่สุด คนเหล่านั้นจะต้องเข้ามาสวามิภักดิ์กับพวกเรา เข้าร่วมรบจัดเป็นแนวรบใหม่ที่แข็งแกร่งขึ้น
    จากข้อดีทั้งสามประการร่วมกับความต้องการโดยส่วนตัวของท่านโจนาธานเอง ข้าเห็นว่าจะเป็นการดีอย่างยิ่งถ้าท่านโจนาธานดำเนินการอยู่บริเวณแนวหน้า”
                    โจนาธานมองด้วยสายตาขอบคุณครั้งหนึ่งไปที่ผู้ตรวจการโลเปซที่ช่วยกล่าววาจาเหล่านี้ให้ ซึ่งโลเปซเองก็พยักหน้าแสดงท่าทีว่ามิต้องเกรงใจ
                    ผู้ปกครองคาร์ลผ่านการใคร่ครวญอีกครั้งหนึ่งจึงกล่าวว่า “ตกลง ขอให้ท่านโจนาธานดำรงตำแหน่งแม่ทัพควบคู่กับแม่ทัพทาเรีย ร่วมกันป้องกันป้อมปราการวอเตอร์ดีพ”
                    โจนาธานเล็งเห็นปัญหาขึ้นจึงกล่าวว่า “ขอให้ตำแหน่งของข้าเป็นเพียงในนามเท่านั้น อำนาจสั่งการทั้งหมดยังคงให้แม่ทัพทาเรียที่เป็นบุคคลท้องถิ่น จะอย่างไรทหารทั้งสามหมื่นห้าพันนายล้วนให้ความเคารพกับแม่ทัพทาเรียที่เป็นมือปราบชั้นหนึ่ง ผู้ผดุงความยุติธรรมให้กับรัฐตะวันออกมานาน สำหรับข้าจะขอบัญชาการเพียงทหารที่อยู่ใต้ร่มตึกธงดาบห้าพันกว่าคนเท่านั้น”
                    สตีเฟ่นเองก็พยักหน้าเห็นด้วย คิดไม่ถึงว่าโจนาธานจะใจกว้างและรอบคอบถึงเพียงนี้ จากนั้นจึงกล่าวว่า “ในเมื่อพวกเราจำเป็นต้องแยกย้ายกระจายกันไปตามสถานที่ต่างๆ ข้าจึงอยากให้พวกท่านเก็บเหรียญเหล่านี้เอาไว้ติดตัว มันจะมีประโยชน์มากกับการติดต่อสื่อสาร”
                    สตีเฟ่นหยิบถุงเล็กข้างกายเทออกบนโต๊ะ เห็นเป็นเหรียญทองคำแท้สิบกว่าเหรียญมีรูปพิราบสลักเอาไว้ด้านหลัง กล่าวว่า “เหรียญเหล่านี้เรียกว่าพิราบทองคำ ข้าได้ตั้งระบบใหม่ขึ้นมาในองค์กรพิราบรายวัน หากผู้ใดถือเหรียญพิราบทองคำนี้สามารถติดต่อขอรับหรือส่งข่าวสารใดๆที่สาขาย่อยได้ ทางสาขาย่อยจะส่งพิราบไปที่ศูนย์กลางเพื่อทำการติดต่อสื่อสาร เก็บข้อมูลลับเฉพาะนี้ไว้สำหรับผู้ที่มีเหรียญพิราบทองคำไว้ในครอบครอง ทำให้สามารถติดต่อขอรับฟังข่าวสารล่าสุดได้ตลอดเวลา โดยการที่พิราบจะบินไปกลับระหว่างสำนักงานใหญ่ที่ออรอน กับสาขาย่อยต่างๆจะใช้เวลาไม่เกินวันหนึ่ง”
                    ผู้ปกครองคาร์ลกล่าวขึ้นมาทันทีว่า “หากเรามีโครงข่ายข่าวสารเช่นนี้ก็วิเศษ พวกเราจะสามารถติดต่อกันได้เกือบทุกที่ทุกเวลา ไม่ว่าจะเป็นสถานการณ์ที่เมืองเจนีส เอเวอร์เกรซ เอนเซลเลียร์หรือออรอน สาขาย่อยของพิราบรายวันล้วนมีอยู่ในเมืองใหญ่ทุกที่ ทำให้การเดินทางของทั้งยอดหญิงยูกิและมือปราบไกสะดวกมากขึ้น”
                    ผู้ตรวจการโลเปซเองก็กล่าวเห็นด้วย จากนั้นจึงขอให้สตีเฟ่นแจกเหรียญพิราบทองคำนี้ให้กับทุกคนในที่ประชุม การสนทนาที่เหลือดำเนินเจาะจงลงไปในรายละเอียดของเรื่องต่างๆ จนจบการประชุม
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×