ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ศาสตราคู่กู้แผ่นดิน

    ลำดับตอนที่ #130 : เล่ม 5.1 - ตอนที่ 65.1 - ซองจดหมายแถบดำ (3)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 882
      0
      30 มี.ค. 51

    ขณะเดียวกันที่บ้านพักตระกูลหลิว
                    ตลอดเวลาที่ลูทรู้สึกตัวเสมือนว่าถูกค้อนทุบไปทั่วร่าง เกือบสองวันที่ผ่านมาเขามิอาจนอนหลับเกินสามชั่วโมงได้ ซันและเอลภายในที่ลูทสั่งสมไว้ถูกกระตุ้นขึ้นมาให้ต่อต้านปราณโลหิต ทุกการเต้นหัวใจจะมีการปะทะกันครั้งหนึ่งระหว่างขุมพลังทั้งสอง อาการปวดจะเริ่มจากน้อยไปหามาก พอครบสามชั่วโมงก็จะกำเริบอย่างรุนแรงครั้งหนึ่ง ทุกครั้งที่ปราณโลหิตแข็งกร้าวซันและเอลภายในจะต่อต้านสุดตัว จนทำให้เกิดอาการเจ็บปวดอย่างมิอาจบรรยาย พฤติกรรมเช่นนี้เป็นวงจรการไหลเวียนของปราณโลหิตแบบเฉพาะตัว
                    อาการปวดเช่นนี้คนปกติธรรมดาคงมิอาจทนทานได้ ยินยอมตกตายมิสู้มีชีวิตตั้งแต่สิบชั่วโมงแรก ประสาททุกส่วนจำต้องเกร็งอยู่ตลอด หากหยุดการโคจรซันหรือเอลภายในแม้วินาทีหนึ่ง อาจถูกปราณโลหิตกระแทกเข้าใส่ชีพจรหัวใจได้ ดังนั้นแม้ในยามนอนหลับลูทก็ต้องเรียงร้อยซันในร่างให้ตื่นตัวอยู่เสมอ หรืออย่างน้อยก็ต้องรวบรวมเอลไว้ที่ชีพจรหัวใจมิให้ถูกกระแทกจนขาดสะบั้น
    สิ่งเดียวที่ทำให้บุรุษหนุ่มนักประดิษฐ์ผู้นี้ทนทานอยู่ได้คือโฉมสะคราญที่กำลังจะสิ้นลมหายใจ แม้ลูทจะตกอยู่ในการครอบงำของปราณโลหิต ก็ยังสามารถ “สัมผัส” ได้ถึงตัวตนและความคงอยู่ของสตรีผู้เลอโฉม สัมผัสได้ว่าในตอนนี้ยูกิรู้สึกอย่างไร โดยเฉพาะเหตุการณ์ในการขอหมั้นหมายและสาบานต่อฟ้านั้น ที่ทั้งคู่มิอาจลืมเลือน
                    “เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง?” นั่นเป็นหนึ่งในสองประโยคที่นางกล่าวออกมา ลูทรู้สึกได้ถึงมือของนาง นิ้วอันอ่อมนุ่มทั้งห้าจับกุมมือของตนเอาไว้อยู่ตลอด แม้ในช่วงตอนปลายของชั่วโมงที่สามซึ่งนับเป็นช่วงเวลาที่ทรมาณหาเปรียบมิได้
    ฝ่ามือที่อบอุ่นและเต็มไปด้วยกำลังใจ
    ฝ่ามือที่ฝากฝังชีวิตเอาไว้ทั้งชีวิต
    จะมีอีกไหมคนที่ยอมกระทำเช่นนี้?
    เมื่อผ่านพ้นช่วงอาการปวดอย่างรุนแรงลูทได้มองไปที่ยอดหญิงผู้นี้ สังเกตจากสีหน้าก็ทราบว่าอาการของนางย่ำแย่ลงกว่าเดิม แต่ที่สังเกตได้ลึกไปกว่านั้นก็คือ ยูกิพยายามไม่แสดงอาการเจ็บปวดออกมาให้เขาเห็น ทุกครั้งที่นางรู้สึกว่าพอจะทนทานพิษได้นางจะคอยนั่งอยู่เคียงข้างเขาตลอด พอสบสายตากันก็จะปั้นรอยยิ้มขึ้นมาให้กำลังใจ ทั้งๆที่รู้ว่าตนเองมีชีวิตอยู่ได้อีกไม่นาน พร้อมกับกล่าวอีกประโยคหนึ่ง ที่เขาจำได้จนขึ้นใจว่า
    “ข้าเชื่อว่าเจ้าต้องกระทำได้”
                    บัดนี้นางมิอาจกล่าววาจาเหล่านั้นอีก ตั้งแต่ช่วงเที่ยงที่ผ่านมาลูทพบว่ายูกิมิอาจลุกจากเตียงได้ จนใจที่ลูทมิอาจกล่าววาจาใด ผ่านไปสามสิบหกชั่วโมงปราณโลหิตกำเริบหนัก พุ่งเข้ากระแทกชีพจรหัวใจอยู่ตลอด บังคับมิให้ลูทเอ่ยปากแม้แต่น้อย จึงได้แต่ปลุกปลอบกำลังใจ กล้ำกลืนฝืนทนความเจ็บปวด หาทางขับไล่ปราณโลหิตออกไป หลับตานั่งกรรมฐานหลอมรวมวิญญาณให้เป็นหนึ่งกับร่างกาย รับรู้จิตและสัมผัสทุกส่วน ทำใจให้สงบนิ่งมิให้แรงกดดันจากเวลาที่เหลือเพียงน้อยนิดส่งผลกระทบ ถึงขนาดที่ทำให้รวบรวมสมาธิมิได้
                    ผ่านไปครู่หนึ่งเหตุการณ์ไม่คาดฝันพลันอุบัติขึ้น เฉกเช่นคราก่อนที่เขาเคยเกือบจมแม่น้ำนอร์ริช             
                    อนุภาคแห่งซันและเอลในร่างจากที่แยกย้ายต่อต้านปราณโลหิต เปลี่ยนพฤติกรรมกลายเป็นการหนุนเสริมกัน ปรากฏการณ์แปลกพิสดารนี้เป็นผลที่เกิดจากน้ำพิษในหุบเขาไม้ดอก ที่ต่อต้านปราณโลหิตซึ่งเปรียบเสมือน “พิษ” อีกชนิดหนึ่ง ด้วยคุณสมบัติ “พิษต้านพิษ” นี้ จึงมีการชักจูงอนุภาคทั้งหลายในร่างหลอมรวมเข้าด้วยกัน เอลอันกำเนิดจากศาสตราไร้สภาพ และซันที่ฝึกมาด้วยกระบี่เขี้ยวราชสีห์ค่อยๆประสานกันจนกลายเป็นหนึ่งเดียว ทอดสายตาทั่วแผ่นดินยังไม่มีผู้ใดสามารถกระทำได้เช่นนี้มาก่อน กฎการขนานและอยู่ร่วมกันไม่ได้ของซันและเอลพังทลายไปสิ้น ซึ่งชิ้นส่วนที่หายไปนั้นคือ “ปราณ” นั่นเอง
    สมมุติว่าเอลมีขั้วสูงซันมีขั้วต่ำ ซึ่งทั้งสองตรงกันข้ามกันและหักล้างกันอยู่ตลอดเวลามิอาจอยู่ร่วมกันได้ ปราณจะเป็นอนุภาคกลางที่มิได้เอนเอียงไปฝ่ายใด ดังนั้นการหลอมรวมขั้วสูงและต่ำที่อยู่ด้วยกันมิได้ให้อยู่ด้วยกันได้เกิดขึ้นจากการสร้าง “วัฏจักรโคจร” ขึ้นมา
    ซันและเอลต่างก็มีจุดกำเนิดเดียวกัน แต่มีจุดสิ้นสุดไม่เหมือนกัน เมื่อเอลสิ้นสุดซันบรรเจิดเมื่อเอลก่อกำเนิดซันสูญสิ้น ไหลเวียนกันไปอย่างนี้ไม่รู้จบ กลายเป็นวัฏจักรโคจรที่ไร้จุดสิ้นสุด
    ลูทลืมตามขึ้นมาจากการนั่งกรรมฐาน กับการค้นพบครั้งสำคัญในประวัติศาสตร์ ซึ่งแทบมิอาจเรียกเป็นการค้นพบได้ เพราะแม้แต่ผู้ค้นพบยังไม่ทราบว่าตนเองกระทำอะไรลงไป หลักการที่ว่าเมื่อเอลสิ้นสุดซันบรรเจิดเมื่อเอลก่อกำเนิดซันสูญสิ้น จะทำให้ “ขั้ว” สูงต่ำที่เป็นตัวแทนของซันและเอลหักล้างกันจนเป็นกลาง เฉกเช่นลูกคลื่นสองลูกที่ขึ้นสูงลงต่ำสลับกันในช่วงเวลาเหลื่อมกัน พลังทั้งสองสายจึงสามารถอยู่ร่วมกันได้ในที่สุด ด้วยเหตุนี้ปราณโลหิตจึงถูกยับยั้งไว้ได้ระดับหนึ่ง สิ่งนี้มิใช่การสำเร็จวิชาปราณโลหิตตามที่จางเสินโส่วถ่ายทอด แต่เป็นการค้นพบหลักวิชาใหม่ขึ้นมาหักล้างกับปราณโลหิตได้ด้วยตนเอง
    การที่ลูทยับยั้งปราณโลหิตเอาไว้ได้นั้นมิได้หมายความว่าอาการปวดทั้งหมดจะหายไป แล้วเขาจะกลายเป็นจอมยุทธ์ผู้ไร้ต่อต้านแต่ประการใด ด้วยเหตุผลที่ว่าซันและเอลในร่างยังมิอาจหลอมรวมกันได้สมบูรณ์ ทำให้ลูทต้องผ่านการฝึกฝนขัดเกลาอีกมาก จนกว่าจะบังคับให้ทั้งซันและเอลก่อกำเนิดขึ้นมาทุกจังหวะการเต้นของหัวใจ มิฉะนั้นจะไม่สามารถเอาชนะปราณโลหิตในร่างได้ แต่ถ้าหากลูทกระทำได้สำเร็จ ปรากฏการณ์ในครั้งนี้จะเป็นการพัฒนาความสามารถของลูท ชนิดที่ไม่มีปรากฏการณ์อื่นใดเทียบเคียง
    สิ่งแรกที่บุรุษกระทำหลังจาก “จำกัด” ฤทธิ์เดชของปราณโลหิตเอาไว้ในร่างได้ก็คือ การเดินไปหายอดหญิงยูกิ มีเพียงพลังแห่งความรักเท่านั้นที่ชักนำให้บุรุษหนุ่มฝ่าฟันมาถึงจุดนี้ได้
    ยอดหญิงนอนสลบไสลอยู่บนเตียง การเดินของลูทอาจเรียกไม่ได้ว่าเป็นการเดินสักเท่าใดนัก เขาพบว่าการออกแรงแต่ละย่างก้าวนั้นทำให้วงจรซันเอลในร่างชะงักงันชั่วขณะ สาเหตุมาจากความไม่เคยชินในการโคจรพลังตลอดเวลา ในชั่ววินาทีนั้นเองจึงมีการต่อต้านจากปราณโลหิต แพร่กระจายความเจ็บปวดไปทั่วร่าง ระยะทางสิบก้าวระหว่างเตียงสองเตียงนั้นดูเหมือนจะกว้างเป็นพิเศษ สองสามก้าวแรกลูทรู้สึกปวดทรมานราวกับช่วงที่ปราณโลหิตกำเริบ แต่พอเดินไปได้ครึ่งทางร่างกายก็คุ้นกับวรจรซันเอลมากขึ้น ส่งผลให้การเดินในก้าวที่แปดเก้านั้นทุเลาลง
    ลูทบรรจงนั่งลงบนเตียงยูกิ โดยให้น้ำหนักร่างกายที่กดลงบนเตียงกระเทือนต่อความรู้สึกของยอดหญิงน้อยที่สุด ใบหน้าของนางซูบผอมลงไปอย่างเห็นได้ชัด แม้ว่าความงามอันเป็นเลิศในแผ่นดินยังมิเสื่อมคลาย แต่พิษร้ายก็ทำให้สีหน้าของนางหมองคล้ำซีดเซียวจนแทบแปรเปลี่ยนเป็นคนละคน ลูทมองหญิงสาวที่ตนเองรักอย่างซาบซึ้งตื้นตัน พอเขานึกย้อนไปถึงประโยคสองประโยคที่นางกล่าวกับเขายามปราณโลหิตกำเริบ น้ำตาสุกใสพลันเอ่อล้นขึ้นมาที่เบ้าตา แม้ว่าการหมั้นหมายจะถือเป็นโมฆะ ความรักของบุรุษหนุ่มก็มิได้ลดน้อยถดถอยลง
    ทั้งที่นางเองบาดเจ็บสาหัสถึงเพียงนี้ เพราะเหตุใดจึงพยายามให้กำลังใจเขาถึงเพียงนั้น?
    น้ำตาของบุรุษหนุ่มมิได้หยดลงมา นี่มิใช่เวลาที่จะมาร้องไห้ซาบซึ้ง แต่เป็นเวลาคับขันที่จะต้องช่วยชีวิตของโฉมสะคราญนางนี้เอาไว้ ก่อนที่จะสายเกินไป
    ลูทขยับกายไปที่หัวเตียงนั่งขัดสมาธิในท่าที่เป็นธรรมชาติที่สุด แนบฝ่ามือทั้งสองลงบนไหล่ของยูกิ เพิ่มระดับการโคจรพลังในร่างตามวงจรซันเอลทีละน้อย บรรจงปรับขั้วทั้งสองให้สมดุลจนสภาพของขั้วโดยรวมกลายเป็นศูนย์ พึงรู้สึกได้ว่ามีวัฎจักรเล็กๆของซันและเอลหมุนเวียนไปกลับในแต่ละจังหวะการเต้นของหัวใจ
    ครั้งที่หนึ่งเป็นซัน ครั้งที่สองเป็นเอล ครั้งที่สามเป็นซัน ครั้งที่สี่เป็นเอล สลับกันไปมาอย่างนี้จนแน่ใจว่าอยู่ตัว แล้วจึงค่อยๆชักนำพิษของดอกไม้พิษในหุบเขาไม้ดอก ที่ถูกฤทธิ์ของน้ำทิพย์กดเอาไว้ออกมาตามกระแสโลหิต
    การกระทำเช่นนี้เป็นการเล่นกับความตาย ถ้าควบคุมวงจรซันเอลได้ไม่สมบูรณ์พิษที่ถูกชักนำออกมาจะแพร่กระจายไปทั่วร่าง แต่บุรุษหนุ่มไม่มีอันใดจะเสียอีก ชีวิตของเขาเป็นนางในดวงใจช่วยเอาไว้ครั้งหนึ่ง เหตุใดเขาจะคืนให้นางไปมิได้?
    แต่ส่วนลึกๆในใจอีกส่วนหนึ่งกลับบอกกับเขาว่า ชะตาฟ้าลิขิต ในเมื่อคู่ชีวิตของนางมิอาจเป็นเขา เช่นนั้นมีชีวิตอยู่มิสู้ตกตาย ... โชคดีที่จิตใจส่วนนี้มิใช่ส่วนที่บงการความประพฤติของลูท แต่เป็นเพียงเสียงสะท้อนจากก้นบึ้งของจิตใจเท่านั้น
    สองมือที่นาบลงบนหัวไหล่ของหญิงงามหมุนไปด้านข้างอย่างแช่มช้า พิษของดอกไม้พิษที่ไหลเวียนอยู่ในระบบวงจรซันเอลถ่ายทอดมาสู่ปลายนิ้ว บัดนี้หน้าผากของลูทมีหยาดเหงื่อหยดลงมา ทั้งเกิดจากความตื่นเต้นตึงเครียดและความอ่อนล้า เขาเริ่มถ่ายทอดซันและเอลลงไปจากฝ่ามือ เป็นปริมาณน้อยนิดก่อนในช่วงแรก ศึกษาสภาพร่างกายของยอดหญิงยูกิ จนพบว่าภายในมีการไหลเวียนของเอลจำนวนหนึ่ง ซึ่งยังคงต่อต้านพิษผีเสื้อสีครามมิให้แล่นเข้าสู่ชีพจรหัวใจ แต่เอลจำนวนนั้นอ่อนแรงลงตลอดเวลา ทำให้พิษผีเสื้อสีครามเคลื่อนเข้าใกล้หัวใจอยู่ทุกวินาที
    พอลูทโคจรซันและเอลในร่างยูกิไปครบสามรอบ ก็พอทำความเข้าใจกับระบบหมุนเวียนในตัวนางอย่างคร่าวๆ จึงค่อยๆถ่ายทอดซันและเอลที่เจือปนไปด้วยพิษของดอกไม้พิษ ลงในร่างยอดหญิงผู้เลอโฉม บังคับให้ซันและเอลจำนวนนี้ไปอออยู่ที่ชีพจรหัวใจ ช่วยเสริมเอลในร่างยูกิให้แข็งแรงขึ้น ผลักดันต่อต้านพิษผีเสื้อสีคราม
    เวลาผ่านไปเกือบครึ่งชั่วโมง ไอสีม่วงจำนวนหนึ่งค่อยๆระเหยออกมาจากสองมือ พิษผีเสื้อสีครามถูกขับออกมาอย่างช้าๆ ลูทกระทำเช่นนี้ต่อเนื่องไปอีกระยะ เรี่ยวแรงเขาก็หมดลง จึงจำต้องหยุดการถ่ายทอดวงจรซันเอลต่อไป พอเหลือบไปมองใบหน้าของยูกิ ก็พบว่ามีสีเลือดขึ้นกว่าเดิม อาการหมองคล้ำที่มีหายลงไปกว่าครึ่ง แม้เขาจะแน่ใจได้ว่ามิได้กำจัดพิษผีเสื้อสีครามทั้งหมดออกไป แต่ก็ทำให้นางกลับไปอยู่ในสภาพเดิมในช่วงสี่ห้าวันที่ผ่านมานี้ ช่วยยืดนาฬิกาชีวิตของยูกิออกไปอีกช่วงใหญ่
    ลูทระบายลมหายใจออกจากอกเฮือกใหญ่ ล้มกายลงสลบไปด้วยความเหนื่อยล้า มุมปากยังคงประดับไว้ด้วยรอยยิ้ม ที่แสดงถึงความพยายามที่เขาทุ่มเทลงไป ว่ามันผลิดอกออกผลแห่งความสำเร็จ
     
    ตาเดินหมากผ่านไปเป็นจำนวนสิบหกตาหลังจากนั้น หมากดำตั้งรับการรุกไล่ของหมากขาวอย่างพอฟัดพอเหวี่ยง แต่ผลสุดท้ายด้วยการบุกที่เฉียบขาด หมากดำจึงหมดหนทางสู้
                    ทันใดที่บุรุษที่มีเค้าหน้าเหี้ยมหาญกล่าวยอมแพ้ เสียงปรบมือก็ดังสนั่นขึ้นทั่วบริเวณ โดยเฉพาะอย่างยิ่งจากบุคคลทั้งห้าที่แข่นขันเสร็จไปก่อนหน้าแล้ว
                    ปรมาจารย์หมากรุกทองคำกล่าวว่า “ข้าคิดไม่ถึงว่าจะมีนักหมากรุกรุ่นหลังจะมีบุคคลฝีมือดีอย่างเจ้าอยู่อีกคนหนึ่ง นับว่าควรค่าแก่การยกย่อง”
                    คำชมเชยเท่านี้ก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้วงการหมากรุกสั่นสะเทือน
                    เมื่อสิ้นสุดการแข่งขันบุรุษผมยาวที่ใส่แว่นถึงกับต้องถอนหายใจออกโดยแรง ลอบส่ายหน้าเมื่อทราบดีว่าตนเองมิอาจนำพาให้หมากดำอยู่รอดได้ถึงสิบหกตา ความฝันที่จะได้อบรมเด็กอัจฉริยะผู้หนึ่งจึงต้องหลุดลอยไปอย่างน่าเสียดาย แต่ด้วยความมีน้ำใจนักกีฬา เขาก็ต้องทดลองดูสักหนหนึ่ง
    “ถึงตาเจ้าแล้วน้องชาย” บุรุษที่มีเค้าหน้าเหี้ยมหาญกล่าวต่อไปว่า “ขอให้โชคดี”
    บุรุษผมยาวรับคำครั้งหนึ่ง ลอบปลุกปลอบกำลังใจให้คืนกลับมาอีกครั้ง จากนั้นจึงก้าวเดินไปที่ทางขึ้นศาลา นั่งลงในตำแหน่งผู้ท้าชิงการไขปริศนาหมากรุกเป็นคนสุดท้าย
    ทันใดที่ตัวหมากถูกเปลี่ยนแปลงให้อยู่ในรูปแบบหลังตาเดินที่สาม เสียงของผู้คนรอบข้างก็ดังขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อเห็นว่าตาเดินหมากทั้งสามของผู้ท้าชิงคนที่เจ็ดนี้มิได้ต่างไปจากผู้ท้าชิงคนที่หกแม้แต่น้อย อาจมีความเป็นไปได้ก็เป็นได้ที่ผู้ท้าชิงคนที่เจ็ดจะสามารถไขปริศนาหมากรุกสำเร็จ การแข่งขันจึงมีความน่าสนใจมากขึ้นตามลำดับ
    การเดินหมากผ่านไปอีกเจ็ดตาเดินท่ามกลางความเงียบสงัดของผู้ชม หมากดำทะลวงซ้ายป่ายขวาแลกชีวิตกับหมากขาวหลายครั้งเพื่อปกป้องตำแหน่งยุทธศาสตร์ในกระดาน เป็นการเดินอีกแนวทางหนึ่งที่ต่างจากผู้ท้าชิงคนเมื่อครู่ทั้งๆที่ตาเดินสามตาแรกเหมือนกันทุกประการ
    “เดินได้ดี” ปรมาจารย์หมากรุกทองคำกล่าวพร้อมกับเคลื่อนตัวหมากขาวตัวหนึ่งลงในจุดที่นำมาซึ่งความเสียเปรียบอย่างมหาศาลของหมากดำ
    บุรุษผมยาวต้องทอดถอนหายใจอีกครั้งหนึ่ง สำนึกตัวว่าหมากดำของตนมิอาจอยู่รอดได้เกินสองตาเดิน ดูท่าการพนันครั้งนี้คงจะต้องประสบกับความปราชัยเสียแล้ว พลางเหลือบตามองไปยังบุรุษที่มีเค้าหน้าเหี้ยมหาญนั้นคราหนึ่ง ก่อนที่จะเดินหมากในตาเดินที่สิบเอ็ด
    ทันใดนั้นเองสายตาของเขาพลันสบกับเด็กหนุ่มคนเมื่อครู่ ตัวหนังสือที่เคยอยู่ในแผ่นกระดาษของเด็กหนุ่มคนนั้นพลันวาบเข้ามาในห้วงสมอง เปรียบเสมือนคนที่ตกอยู่ในที่มืดพลันเห็นแสงสว่าง จะอย่างไรหากเดินหมากตามที่ตนคิดก็มิอาจรอดไปได้ จึงเดินหมากในตาที่สิบเอ็ดตามตำแหน่งที่ตนเองจดจำได้นั้นอย่างไม่ลังเล
    เมื่อตัวหมากดำเคลื่อน ปรมาจารย์หมากรุกทองคำยิ้มออกมาทันที พร้อมกล่าวชมเชยว่า “ยอดเยี่ยม”
    หมากดำที่ตกอยู่ในจุดอับพลันปรับเปลี่ยนเป็นฝ่ายรุกในตาเดียว ด้วยไหวพริบของบุคคุลระดับบุรุษผมยาวจึงอ่านเกมทั้งกระดานออกในพริบตา กุญแจแห่งการไขปริศนาทั้งหมดอยู่ที่หมากตาเมื่อครู่ การเดินหมากที่คิดได้จากมันสมองของเด็กหนุ่มวัยไม่เกินสิบหกปี!
                    จิตใจของบุรุษผมยาวเต้นถี่เป็นรัวกลอง มิใช่จากเรื่องที่ตนสามารถตีความปริศนาหมากรุกได้ทะลุปรุโปร่ง แต่เป็นจากความคิดในขณะนั้นที่โผล่วูบขึ้นมาในห้วงสมองว่า ไม่ว่าอย่างไร เด็กหนุ่มผู้นี้ก็ต้องเป็นศิษย์ของข้า!’
                    แม้เวลาในวินาทีนั้นจะผ่านมาแล้วถึงสิบปีเต็ม ความตื่นเต้นของบุรุษที่ได้ชื่อว่าอัครผู้พิทักษ์แห่งนครมิสต์ในครั้งนั้นก็ยังติดตรึงอยู่ในใจจนถึงทุกวันนี้
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×