ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ศาสตราคู่กู้แผ่นดิน

    ลำดับตอนที่ #137 : เล่ม 5.1 - ตอนที่ 67.1 - เหตุร้ายในเอนเซลเลียร์ (2)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 879
      0
      9 เม.ย. 51

    สี่วันต่อมาที่หน้าประตูเมืองฝั่งตะวันออกของนครหลวงเอนเซลเลียร์
                    บุรุษสตรีคู่หนึ่งหน้าตามอมแมมสวมชุดชาวบ้านชนบทเดินกำลังเดินผ่านประตูเมืองในเวลาสายันห์ บนฟ้าเห็นพระอาทิตย์คล้อยไปทางทิศตะวันตก เมื่อยื่นมือออกไปวัดพบว่าเหลืออีกหนึ่งฝ่ามือหนึ่งจึงจะลับขอบฟ้า ทั้งสองเสียเวลาไปมากกับการพักรักษาตัว หลีกเลี่ยงหูตาของทหารและมือปราบในเขตแคว้นธอร์ ส่งผลให้การเดินทางล่าช้ากว่าที่ควร เวลาที่ใช้จากสามวันจึงกลับกลายมาเป็นสี่วัน แต่นั่นก็คุ้มค่ากับประสบการณ์ที่ทั้งสองได้พบพาน
    สี่วันที่ผ่านมาจะนับเป็นห้วงเวลาแห่งความทรมานที่สุขที่สุดในชีวิตก็ว่าได้ อาการบาดเจ็บจากปราณโลหิตยังคงกำเริบอยู่เนืองๆ หากวงจรซันเอลในร่างลูททำงานไม่สมบูรณ์พร้อม ซึ่งจะเกิดขึ้นบ่อยในสภาพเหนื่อยล้าอ่อนแรง ในขณะที่มีสะคราญโฉมอันดับหนึ่งในแผ่นดินเป็นผู้ดูแลและเป็นสหายร่วมทาง ความสนิทสนมและน้ำใจระหว่างบุคคลทั้งสองจึงเพาะสร้างขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง
    หลังจากก้าวเข้าเมืองเอนเซลเลียร์ได้สามก้าว ลูทที่เป็นคนต่างถิ่นพบเห็นสิ่งก่อสร้างอันแปลกประหลาด มันเป็นรางที่วางเลียบแนวกำแพงเมืองยาวสุดลูกหูลูกตา ตั้งสูงขึ้นมาจากพื้นศอกหนึ่งกว้างครึ่งวา สร้างกรอบแก้วครอบไว้อีกชั้น วางสายพานอยู่บนรางให้เลื่อนไปด้านหน้าตลอดเวลา จึงกล่าวกับยูกิว่า “ข้าไม่เข้าใจว่าสายพานที่เคลื่อนตลอดเวลาเหล่านี้มีไว้เพื่ออะไร เห็นได้ชัดว่ารางยาวเหยียดนี้ประดิษฐ์ขึ้นมาจากกลไกเอลเทค”
    ยูกิที่หน้าตามอมแมมจากควันเขม่าที่ใช้พรางตัว กล่าวตอบอย่างฉะฉานว่า “รางเส้นนี้เรียกว่าระบบรางไปรษณีย์ เจ้าได้ยินชื่อก็คงพอจะทราบได้ว่ามันมีไว้เพื่ออะไรกระมัง?
    ลูทร้องออด้วยเสียงอันดัง กล่าวอย่างตื่นตาตื่นใจเมื่อเห็นพัสดุชิ้นหนึ่งวิ่งมาตามรางว่า “นึกไม่ถึงว่าจะมีสิ่งประดิษฐ์เช่นนี้ รางเหล่านี้จะเป็นเหมือนถนนเคลื่อนที่ให้ผู้คนส่งพัสดุจากจุดหนึ่งไปอีกจุดหนึ่งใช่หรือไม่? เรียกได้ว่าสะดวกสบายยิ่ง ลดจำนวนม้าเร็วลงไปมหาศาล”
    ยูกิพยักหน้ายิ้มภูมิใจในเทคโนโลยีอันล้ำสมัยของบ้านเกิด กล่าวว่า “เจ้าเดาครั้งเดียวก็ถูกต้อง”
    พื้นที่ของเมืองเอนเซลเลียร์นั้นดูแล้วแปลกตา บริเวณรอบนอกสุดมีกำแพงเมืองและคูน้ำรายล้อมห้าด้านกอปรเป็นรูปห้าเหลี่ยม ในขณะที่ประตูเมืองทั้งห้าบานตั้งอยู่ที่มุมของรูปห้าเหลี่ยมประดุจดาวห้าแฉก ทุกบานสามารถยกขึ้นลงได้เมื่อปรากฏข้าศึกรุกราน เมืองแห่งนี้ก็จะกลายเป็นเกาะรูปห้าเหลี่ยมขนาดย่อมโดยมีคูน้ำกว้างสิบวาล้อมรอบ จึงไม่น่าแปลกที่เมืองเอนเซลเลียร์ได้ชื่อเล่นว่า ดาวกลางน้ำ
    สายพานที่เป็นระบบรางไปรษณีย์ดังกล่าวจะวางพาดจากประตูเมืองหนึ่งไปอีกบานหนึ่งที่อยู่ติดกันตามแนวงกำแพงเมือง มีจุดรับส่งของตามประตูเมืองรวมทั้งหมดห้าสถานี และมีรางอีกเส้นหนึ่งที่ใหญ่เป็นสองเท่าของรางเส้นอื่นลากจากประตูเมืองทางทิศเหนือเข้ามายังจุดศูนย์กลางที่เป็นตัวเมืองหลัก อันเป็นตำแหน่งกึ่งกลางของประตูเมืองทั้งห้าบานเป็นสถานีที่หก เจ้าหน้าที่ไปรษณีย์จะประจำการอยู่หกจุดคอยบริการประชาชนตลอดเวลาทำการ ทำให้การส่งพัสดุภัณฑ์ที่เกินกว่าพิราบตัวหนึ่งจะแบกได้สะดวกรวดเร็วยิ่ง
    เอนเซลเลียร์เป็นเมืองที่มีความเก่าแก่สร้างมาเกือบพันปี จึงมิได้มีการวางผังเมืองอย่างเป็นระบบระเบียบเช่นเมืองอื่นๆ หรืออาจเป็นเพราะว่าความเป็นชาวเอนเซลที่มิได้ให้ความสำคัญกับเรื่องของผังเมืองแต่อย่างใด สิ่งก่อสร้างหลากหลายประเภทจึงอยู่ปะปนกันทั่วทั้งเมือง ไม่ว่าจะเป็นสิ่งก่อสร้างทางราชการ บ้านเรือน ยุ้งฉาง ตลาด ศูนย์การค้า หรือแม้แต่สวนสาธารณะ ส่วนทุ่งนาหรือแปลงเกษตรนั้นจะไม่อนุญาตให้มีการเพาะปลูกในเขตกำแพงเมือง ผู้คนชาวต่างชาติหรือต่างแคว้นเมื่อได้มาเยือนเอนเซลเลียร์ใหม่ๆจึงต้องพึ่งพาแผนที่กันทุกคน หาไม่แล้วคงจะหลงจนมิอาจกลับที่พักได้ถูกทาง เรียกว่าเป็นขั้วตรงข้ามของเมืองเอเวอร์เกรซที่เป็นระเบียบเรียบร้อยทุกสัดส่วนเลยทีเดียว
    ยูกิมองไปที่สหายร่วมทาง กล่าวด้วยความเป็นห่วงว่า “ว่าแต่อาการของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง อาการต่อต้านปราณโลหิตทุเลาลงบ้างหรือไม่?
    ลูทส่ายหน้าพลางกล่าวว่า “ขอบคุณที่เจ้าเป็นห่วง อาการของข้านั้นดีขึ้นมาก วงจรในร่างกดปราณโลหิตจนไม่ส่งผลแทรกซ้อนในเวลาปกติ เว้นเสียแต่ว่าร่างกายจะมีอาการอ่อนแอหรือทำงานอย่างหักโหม”
    “ได้ยินเช่นนี้ข้าก็วางใจ”
    ลูทพลันนึกอะไรออกจึงกล่าวว่า “พอข้าเห็นกำแพงเมืองอีกครั้งจึงนึกออก จำได้หรือไม่ขณะที่พวกเรากำลังจะออกจากเมืองธอร์ ข้าเคยถามว่าเพราะเหตุใดเจ้าที่เป็นเอลลิสแห่งธาตุไม้จึงมิได้สังกัดตระกูลมู่ หากไม่เป็นอันละลาบละล้วงมากไปนัก รบกวนเจ้าเล่าให้ฟังสักนิดได้หรือไม่?
    ยูกิยิ้มอย่างอ่อนหวาน แม้ใบหน้าของนางจะทาถูไปด้วยเขม่าสีดำ แต่พอยิ้มออกมาแล้วกลับเป็นวงพักตร์ที่งดงามไม่เสื่อมคลาย กล่าวว่า “เรื่องนี้ไม่มีอะไรที่จะต้องปิดบัง ทั้งยังอาจมีส่วนที่จะอธิบายเอลสีทองบนมือซ้ายของเจ้าก็เป็นได้ สาเหตุง่ายๆที่ข้ามิได้สังกัดตระกูลมู่เป็นเพราะว่า ข้ามิใช่คนตระกูลมู่โดยกำเนิด และไม่มีส่วนเสี้ยวใดของสายโลหิตที่เกี่ยวข้องกับตระกูลธาตุไม้แห่งเมืองโอเบรอนแม้แต่น้อย”
    “ข้าไม่เข้าใจ เช่นนี้เจ้าจะมีสายเลือดระดับสองของธาตุไม้ได้อย่างไรกันเล่า?
    ยูกิอธิบายต่อไปว่า “เจ้าไม่รู้หรอกหรือว่ามีโอกาสอยู่หนึ่งในหมื่นหรือน้อยกว่านั้น ที่คนปกติธรรมดาคนหนึ่งจะมีสัญลักษณ์ของเอลระดับสองปรากฏขึ้น โดยมีเงื่อนไขอยู่ว่าต้องถูกกระตุ้นด้วยเหตุการณ์บางอย่าง หรือเมื่อเวลาผ่านล่วงเลยไปจนสัญลักษณ์นั้นสมบูรณ์พร้อม เอลที่ซ่อนไว้ในกายก็จะปรากฏขึ้นมาเอง นักปราชญ์บางท่านกล่าวว่าปรากฏการณ์เช่นนี้อาจเป็นการกลายพันธุ์ของมนุษย์ก็เป็นได้ ตั้งแต่โลกของเรามีแร่เอลไลท์ทุกอย่างก็เปลี่ยนไป”
    ลูทพยักหน้าเริ่มสนใจในประเด็นที่ยอดหญิงเอ่ยปาก จึงกล่าวว่า “สำหรับตัวเจ้ามีเงื่อนไขเป็นอย่างไร พบกับเหตุการณ์บางอย่างหรือเมื่อเวลาผ่านไปสัญลักษณ์นั้นก็ปรากฏขึ้นมาเอง?
    “เป็นอย่างแรก”
    “เหตุการณ์อะไรอย่างนั้นหรือ?
    ยูกิรำลึกถึงความทรงจำในอดีต กล่าวว่า “เป็นท่านอาจารย์คาโรล เมื่อห้าปีก่อนช่วงที่ท่านรับข้าเป็นศิษย์ใหม่ๆ ท่านสามารถตรวจสอบได้ว่าภายในร่างของข้ามีเอลขุมหนึ่งซ่อนอยู่ภายใน จึงช่วยปลุกพลังแห่งธาตุไม้นั้นออกมา ฝึกสอนข้าด้วยวิธีต่างๆนานา จนสามารถควบคุมเอลแห่งไม้ได้ในระดับหนึ่ง จากนั้นท่านอาจารย์ที่มีความรู้จักมักคุ้นกับตระกูลมู่แห่งเมืองโอเบรอน ได้เชื้อเชิญท่านมู่ซิ่วหลันมาถ่ายทอดเคล็ดวิชาให้ข้าอีกทีหนึ่ง ท่านมู่ซิ่วหลันเป็นธิดาคนเดียวของท่านมู่จื้อที่มีอายุร่วมร้อยปี เนื่องจากท่านมู่กับท่านอาจารย์คาโรลเป็นสหายรักที่มีความสนิทสนมกันเป็นพิเศษ ข้าจึงได้รับการสอนเคล็ดลับแห่งตระกูลมู่ให้เป็นกรณีพิเศษ สามารถควบคุมและใช้งานเอลธาตุไม้ในกายได้เหมือนกับบุคคลในตระกูลมู่คนอื่นๆ เว้นเสียแต่ว่าจะมิอาจฝึกยอดวิชานามว่าหมื่นพฤกษาพันวณาได้”
    ลูทขบคิดพร้อมกล่าวว่า “เช่นนี้แม้สัญลักษณ์แห่งเอลในกายข้าจะปรากฏออกมาที่หลังมือซ้าย แต่ก็มิได้หมายความว่าจะควบคุมพลังนั้นๆได้ จนกว่าจะรู้จักการควบคุมมันอย่างถูกวิธี”
    ขณะที่ยูกิกำลังพยักหน้าตอบว่าใช่ พลันได้ยินเสียงผู้คนต่อยตีกัน และเสียงร้องขอให้ช่วยเหลือจากบุรุษผู้หนึ่ง ดังมาจากตรอกเล็กๆด้านข้าง
    “พวกเราไป” บุรุษหนุ่มกล่าวพร้อมกับกุมมือสตรีด้านข้างมุ่งตรงไปยังตรอกนั้น
    มือของสตรีกุมตอบประสานนิ้วทั้งสิบเข้าด้วยกัน ติดตามบุรุษหนุ่มไปอย่างไม่ลดละนิ้วมือที่ประสานความห่วงหาอาทรอันเป็นบ่อเกิดของความรู้สึกทั้งปวง
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×