ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ศาสตราคู่กู้แผ่นดิน

    ลำดับตอนที่ #145 : เล่ม 5.2 - ตอนที่ 62.2 - ราชินีแห่งลาเวนดิส (2)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 929
      0
      25 เม.ย. 51

    “ยินดีด้วยสำหรับการเปิดประตูบานที่สี่สำเร็จ”
                    เสียงที่เยือกเย็นดังขึ้นมาในห้วงสมองของบุรุษหนุ่ม เขารู้สึกตัวว่ายืนอยู่ท่ามกลางความมืดมิดทั้งแปดด้าน แต่มิอาจเห็นร่างของผู้ใดและไม่ทราบว่าเสียงนั้นมีต้นตอมาจากที่ใด
                    บลูกวาดสายตามองไปทุกทิศทางสำนึกว่าเสียงเมื่อครู่คลับคล้ายคลับคลาว่าเคยได้ยินมาก่อน ครุ่นคิดพักหนึ่งก็ทราบได้ว่าเสียงนั้นเป็นเสียงของผู้ใด กล่าวว่า “จอมขมังเวทย์ราเฟริค?
                    เสียงหัวร่ออันเย็นเยียบดังขึ้นพร้อมกับแสงสว่างวูบสีขาวที่ปรากฏขึ้นตรงหน้าบุรุษหนุ่ม เครายาวสีขาวอันเป็นเอกลักษณ์ของศิษย์ของทายาทแห่งอาร์คาน่ารุ่นก่อน และร่างกายที่ปราศจากร่างเลือดเนื้อคงเหลือไว้แต่เพียงกายทิพย์ที่โปร่งแสง ค่อยๆปรากฏขึ้นจากความเลือนรางมาเป็นแจ่มชัดในอีกไม่กี่วินาทีถัดมา
                    “นึกไม่ถึงว่าเจ้าจะใช้เวลาเพียงอาทิตย์เดียวในการเปิดประตูบานสุดท้าย อันเป็นขั้นตอนที่ยากที่สุดในการก้าวสู่วิถีของทายาทแห่งอาร์คาน่า ... แต่ผลที่ได้กลับเป็นที่น่าผิดหวังยิ่งนัก ข้ารู้สึกได้ว่าเอลในกายเจ้ามิได้พัฒนามากขึ้นเท่าใด หากใช้พลังจากประตูทั้งสี่บานร่วมกันอย่างมากก็ได้เพียงระดับเหนือเมฆา และถ้าหากทำเช่นนั้นเอลในกายเจ้าก็จะเหือดแห้งมิอาจต่อสู้อย่างต่อเนื่อง ... เป็นที่น่าผิดหวังเสียจริง”
                    บลูฟังคำพูดที่ไม่เข้าหูเหล่านี้ก็รู้สึกหงุดหงิดขึ้นมาทันใด กล่าวสวนไปว่า “เจ้ากล่าวเพียงพอแล้วหรือไม่? หากไม่มีเรื่องราวอื่นใดก็จงไปเสียให้ไกล”
                    จอมขมังเวทย์แห่งอาร์คาน่าลูบเคราที่ปราศจากของจริงกล่าวว่า “อย่าพึ่งด่วนตัดสินคำพูดของข้าเจ้าหนุ่มที่เลือดร้อน ที่ข้ามานั้นมีจุดประสงค์ที่จะช่วยให้เจ้าพัฒนาตนเองได้รวดเร็วยิ่งขึ้น ให้ก้าวสู่ระดับผู้หยั่งรู้ดินฟ้าที่ยังคงอยู่ห่างไกลเข้าไปอีกก้าวหนึ่ง”
                    “เช่นนี้ค่อยน่าฟังมากขึ้น” บลูพยักหน้าพร้อมกล่าวต่อไปว่า “ก่อนอื่นข้าอยากจะคำถามสามข้อว่าที่นี่คือที่ใด เจ้ามาได้อย่างไร และการฝึกที่เจ้ากล่าวหมายถึงอะไร?
                    “กล่าววาจาตรงประเด็นเหมือนท่านอาจารย์ยิ่งนัก ข้าจะตอบคำถามแรกของเจ้าเสียก่อน สถานที่แห่งนี้ไม่ปรากฏอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริง มันเป็นเพียงสถานที่ที่เจ้าเพียงผู้เดียวสามารถกำหนดขึ้นได้ตามใจปรารถนา ที่แห่งนี้คือ โลกแห่งความฝัน หรือโลกที่เรียกว่า ห้วงแห่งนิมิต นั่นเอง”
                    บลูเบิกตาโพลงด้วยความประหลาดใจ กล่าวทวนคำว่า “ความฝันของข้าอย่างนั้นหรือ? แล้วเจ้าเข้ามาได้อย่างไร แล้วทำไมถึงได้มาปรากฏร่างเอาในตอนนี้มิใช่ก่อนหน้า?
                    “ข้าเหลือเพียงวิญญาณปราศจากกายเนื้อจึงแทรกความคิดเข้ามาในห้วงแห่งความฝันของเจ้าได้ แต่มิใช่ว่าจะเข้าไปในความฝันของผู้คนทั่วไปได้ตามใจชอบ ข้าสามารถเข้าไปในห้วงแห่งนิมิตของบุคคลที่มีสายเลือดแห่งอาร์คาน่าเต็มตัวและสามารถเปิดประตูทั้งสี่บานได้ครบถ้วนแล้วเท่านั้น นี่เป็นสาเหตุที่ข้ามิอาจติดต่อกับเจ้าผ่านห้วงแห่งนิมิตได้จนกระทั่งค่ำคืนนี้” ราเฟริคกล่าวขณะที่ตนเองเดินเวียนอยู่รอบกายบุรุษหนุ่ม ทอดสายตามองไปยังร่างของบลูทุกสัดส่วนสำรวจการไหลเวียนของเอลทุกสายอย่างถ้วนถี่
                    นี่นับเป็นปรากฏการณ์แปลกประหลาดอีกครั้งที่บุรุษหนุ่มผมน้ำเงินต้องเผชิญ คงจะไม่มีผู้ใดในโลกถูกเข้าฝันด้วยความตั้งใจเช่นนี้อีก แต่เมื่อครั้งหนึ่งเขายอมรับได้ว่าตอนเองเป็นบุคคลที่สมควรจะมีชีวิตอยู่ในโลกเมื่อสี่ร้อยปีก่อน เรื่องเพียงเท่านี้เขาก็ควรที่จะยอมรับได้เช่นกัน จึงกล่าวว่า “เจ้ายังมิได้ตอบคำถามสุดท้ายของข้า ว่าการฝึกนั้นจะต้องกระทำอย่างไร?
                    “เจ้าไม่ต้องกังวลไป การฝึกในห้วงแห่งนิมิตนี้มิอาจส่งผลกระทบใดๆกับร่างกายโดยตรง การฝึกทุกขั้นตอนล้วนเป็นการจำลองขึ้นในขณะที่ร่างกายเจ้ายังคงพักผ่อนจากการดำเนินงานทั้งวัน เป็นการใช้เวลาในช่วงที่เจ้าหลับสนิทฝึกปรือฝีมือเสมือนว่ากำลังฝันอยู่ สิ่งที่ข้าสามารถถ่ายทอดให้เจ้าได้นั้นจะเป็นเพียงความรู้ความเข้าใจ ที่เจ้าจะต้องนำไปฝึกด้วยตนเองอีกครั้งเมื่อผ่านพ้นออกจากห้วงแห่งนิมิต” จอมขมังเวทย์ชรากล่าวตอบ
                    บลูพยักหน้าครั้งหนึ่งกล่าวว่า “เช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน จากการศึกที่นครหลวงทำให้ข้าทราบว่าผู้สืบทอดลัทธิแห่งเทพสงครามได้ลงมือในนามของจักรวรรดินอร์ หากข้ามิอาจต่อกรกับมันได้ทุกประการก็จะสูญสิ้น รวมไปถึงภารกิจที่เจ้ามอบหมายให้ข้าด้วย”
                    ราเฟริคพยักหน้าตามติด กล่าวว่า “เรื่องนี้ก็อยู่ในคาดการณ์ของข้า ภัยพิบัติครั้งใหญ่ที่ท่านอาจารย์ทำนายไว้ในสี่ร้อยห้าสิบปีให้หลังเริ่มปรากฏเค้าโครงของความเป็นจริงแล้ว เหล่าลูกครึ่งที่มีสายเลือดแห่งอาร์คาน่าอยู่กึ่งหนึ่งปฏิบัติภารกิจได้ดียิ่ง สามารถยับยั้งบุคคลระดับสูงของลัทธิแห่งเทพสงครามเอาไว้ได้หลายครั้งหลายคราว แม้กระทั่งครั้งสุดท้ายที่พึ่งจะผ่านพ้นไป”
                    “เจ้าหมายถึงอาจารย์ของข้าอย่างนั้นหรือ?
                    “มิใช่เพียงแค่ดูแรนดัล ลาวิชเองก็เช่นกัน ทั้งคู่มีความสามารถเหนือลูกครึ่งแห่งอาร์คาน่าทั่วไป นับเป็นอัจฉริยะบุรุษที่ยากจะพบพานดั่งเช่นบิดาของเจ้า น่าเสียดายที่พวกเขามิได้มีสายเลือดแห่งอาร์คาน่าเต็มตัว ไม่เช่นนั้นลำพังคนใดคนหนึ่งก็สามารถกำจัดต้นตอแห่งเทพสงครามที่กำลังจะเกิดขึ้นได้อย่างหมดจด ไม่จำเป็นต้องพึ่งทายาทแห่งอาร์คาน่าที่ยังไม่เข้าขั้นอย่างเจ้า”
                    บลูเริ่มจะรำคาญกับคำกล่าวของราเฟริค จึงกล่าวว่า “วาจาไร้สาระที่ทราบกันดีขออย่าได้กล่าว ว่าแต่ลาวิชผู้นี้คือที่ปรึกษาลาวิช อดีตเอกอัครราชทูตแห่งเจนีสเมื่อยี่สิบห้าปีก่อนอย่างนั้นหรือ? บุคคลผู้นี้เกี่ยวอันใดกับเรื่องราวของอาร์คาน่าด้วย?
                    ราเฟริคถามด้วยความสงสัยว่า “เจ้าไม่ทราบหรอกหรือ? ว่าลาวิชเป็นลูกครึ่งทายาทแห่งอาร์คาน่าเช่นเดียวกับดูแรนดัล พวกเขาทั้งสองมีพรสวรรค์ทัดเทียมกัน ระดับที่สามารถสังหารเวน ซอร์โด สาวกลัทธิแห่งฮัสการ์คนก่อน ลาวิชดึงพลังของทายาทแห่งอาร์คาน่าออกมาทั้งหมด ต่อสู้ในลักษณะเดียวกันกับที่ดูแรนดัลกระทำ แต่ลาวิชไม่ออมรั้งฝีมือกลับฝืนตัวเองใช้ชีวิตเข้าแลกกับเวนจนตายตกไปตามกัน หาไม่แล้วสงครามเมื่อยี่สิบห้าปีก่อนคงจะไม่จบสิ้นลงอย่างที่เจ้าทราบ”
                    บลูส่ายศีรษะกล่าวว่า “ท่านอาจารย์ไม่เห็นจะเคยเล่าเรื่องประการนี้ให้ข้าฟังมาก่อน แต่เอาเถอะข้าเชื่อว่าท่านคงมีเหตุผลส่วนตัวของท่าน ที่ไม่ต้องการเอ่ยถึงเรื่องราวในอดีต ... ว่าแต่ว่าพวกเรามาเริ่มการฝึกกันเลยดีหรือไม่?
                    ราเฟริคหยุดอยู่ตรงหน้าบลูจ้องมองมาพร้อมกล่าวว่า “เช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน พวกเราจะเริ่มจากการฝึกอาวุธเสียก่อน หากเจ้ายังไม่คุ้นเคยกับกระบองวิสุทธิ์ศาสตราที่ข้ากำนัลให้ไป เจ้าก็จะเป็นเหมือนวานรได้แก้วตัวหนึ่งได้ของวิเศษไปแล้วไม่รู้จักใช้ให้เป็นประโยชน์”
                    “ใครว่าข้าไม่รู้จักใช้ให้เป็นประโยชน์? ตลอดช่วงห้าหกวันที่ผ่านมานี้ข้ามุ่งมั่นฝึกวิชากระบองตามที่หนังสือของอาจารย์ดาธระบุเอาไว้ ... ว่าแต่จะนำกระบองกับหนังสือนั้นออกมาฝึกได้อย่างไร?
                    “เรื่องนี้ไม่ยาก นี่เป็นห่วงแห่งนิมิตของเจ้ามิใช่หรือ? ขอเพียงนึกถึงอะไรก็จะได้เช่นนั้น แม้ว่าสิ่งนั้นจะเป็นเรื่องที่มิอาจเป็นจริงได้ในโลกแห่งความเป็นจริงก็ตาม ลองใช้จิตใต้สำนึกวาดภาพวัตถุเหล่านั้นออกมา พวกมันก็จะปรากฏขึ้นในมือของเจ้าทันที แต่ข้าขอบอกไว้ก่อนว่า หากเจ้ามิอาจจำข้อความในหนังสือนั้นได้ขึ้นใจ ข้อความที่ปรากฏบนหนังสือในห้วงแห่งนิมิตแห่งนี้ก็จะเป็นข้อความผิดๆตามความทรงจำของเจ้าเช่นกัน”
                    “อยากจะบอกว่าข้าสามารถท่องได้ทุกตัวอักษรตั้งแต่วันแรกที่ได้บทคัดลอกฉบับนี้” บลูที่อยู่ในความฝันหลับตาลงนึกภาพของกระบองวิสุทธ์ศาสตราและบทคัดลอกฉบับนั้น ผ่านไประยะหนึ่งวัตถุทั้งสองก็ปรากฏขึ้นมาในมือ บุรุษหนุ่มจึงยื่นหนังสือไปให้ราเฟริคพร้อมกล่าวว่า “ข้าฝึกหลักการใช้ศัสตราวุธตามที่ระบุไว้ เจ้าลองเปิดผ่านดูรอบหนึ่งก็จะทราบได้เองว่าเป็นเช่นไร”
                    จอมขมังเวทย์แห่งอาร์คาน่ามิได้ยื่นมือรับหนังสือมาอย่างคนทั่วไป เขายื่นมือมา “สัมผัส” กับหนังสือนั้นพลางดูดซึมเนื้อหาและข้อความที่เขียนไว้ในหนังสือโดยมิได้เปิดอ่าน ผ่านไปเพียงชั่วครู่ก็กล่าวว่า “นี่เป็นหลักวิชาพื้นฐานอันเยี่ยมยอด นึกไม่ถึงว่าดูแรนดัลจะมีความสามารถในการถ่ายทอดสูงส่งถึงเพียงนี้”
                    “มิได้เปิดหนังสือก็สามารถรับทราบข้อความที่ระบุไว้ภายในได้ เป็นไปได้อย่างไร?
                    ราเฟริคพลันกล่าวราวกับเปิดหนังสืออ่านว่า “หลักการของวิชากระบองในหนังสือเล่มนี้กำหนดไว้เพียงกึ่งหนึ่ง อีกกึ่งหนึ่งที่เหลือเป็นสิ่งที่ผู้อ่านจะต้องไปแต่งเติมมันด้วยตนเอง”
                    บลูถึงกับอ้าปากตาค้าง กล่าวว่า “เป็นไปมิได้!?
                    “จำมิได้แล้วหรือว่าข้าที่ไม่มีร่างกายเนื้อสามารถผ่านเข้ามาในความฝันด้วยหลักการของพลังงาน ในเมื่อหนังสือที่เจ้านึกคิดออกมานั้นมิใช่หนังสือที่แท้จริง แต่เป็นพลังงานที่กำเนิดและสลายไปในห้วงแห่งนิมิต ข้าจึงไม่จำเป็นต้องเปิดหนังสืออ่านก็สามารถดูดซึมพลังงานเหล่านั้นมาได้ ซึ่งจะแตกต่างกับการเปิดหนังสืออ่านเองอยู่มาก เนื่องจากสิ่งที่ข้าดูดซึมเข้ามานั้นเป็นเพียงสิ่งที่เจ้าทราบและจินตนาการออกมาได้ในหวงแห่งนิมิต หากเป็นหน้าในหนังสือบทใดที่เจ้ายังไม่เคยเปิดอ่านผ่านตา ข้าเองก็จนปัญญาที่จะรับรู้เช่นกัน”
                    “เป็นเช่นนี้เอง” บลูกระชับกระบองวิสุทธิ์ศาสตราในมือ กล่าวต่อไปว่า “เจ้ามีข้อแนะนำที่เป็นประโยชน์ใดๆกับวิชากระบองเหล่านี้หรือไม่ หรือว่าจะให้ข้าใช้กระบองจู่โจมใส่เจ้าในห้วงแห่งความฝันได้ทันที?
                    ราเฟริคยกไม้เท้าข้างกายขึ้น เคราสีขาวโพลนก็กระพือขึ้นตามแรงลม กล่าวว่า “แม้จะอยู่ในห้วงแห่งนิมิตเจ้ากับข้าก็ยังอยู่กันคนละพิภพมิอาจสัมผัสร่างของกันและกันได้ การที่เจ้าจะใช้กระบองจู่โจมใส่ข้านั้นก็เหมือนกับการหวดไม้กระบองเข้าสู่ธาตุอากาศมิได้แตกต่างกัน ดังนั้นสมควรมีวิธีการฝึกที่แตกต่างออกไป”
                    “วิธีเช่นใด?
                    “วิธีนี้มิได้ต่างจากวิธีที่เจ้าเสนอ เจ้าจะต้องใช้เพลงกระบองที่อยู่ในหน้าหนังสือนี้ประยุกต์เข้ากับวิสุทธิ์ศาสตราในมือบุกจู่โจมใส่ข้า และข้าจะใช้ไม้เท้าด้ามนี้ประยุกต์เพลงกระบองในความทรงจำของเจ้าตั้งรับเช่นกัน ตั้งรับการจู่โจมของเจ้าด้วยเพลงกระบองที่เจ้าทราบดีอยู่แล้ว เช่นนี้เจ้าเองก็จะทราบได้ว่าการจู่โจมนั้นประสบผลหรือไม่ มีความสามารถในการรุกและรับเช่นใด เนื่องจากเพลงกระบองของทั้งข้าและเจ้าเป็นเพลงเดียวกันที่มีต้นตอมาจากแหล่งเดียวกัน ทวงท่าที่ข้าหรือเจ้าใช้ออกนั้นก็จะประทับอยู่ในความทรงจำของเจ้าแม้ในยามที่หลุดออกจากห้วงแห่งนิมิต ฝังอยู่ในจิตใต้สำนึกเป็นความรู้ติดตัวที่มิอาจลืมเลือน” จอมขมังเวทย์ชรากล่าวตอบ
                    บลูยิ้มครั้งหนึ่งพยักหน้าด้วยความยินดี กล่าวว่า “หากเป็นเช่นนี้ข้าก็จะน้อมสนอง”
                    การฝึกเพลงยุทธที่ไม่มีผู้ใดเหมือนก็ได้เริ่มขึ้น ณ บัดนี้
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×