ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ศาสตราคู่กู้แผ่นดิน

    ลำดับตอนที่ #146 : เล่ม 5.2 - ตอนที่ 62.2 - ราชินีแห่งลาเวนดิส (3)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 947
      1
      27 เม.ย. 51

    เช้าวันรุ่งขึ้นที่บริเวณพื้นที่ทางใต้ของตัวเมืองโอดินมุ่งหน้าไปยังเจนีสเหนือ
                    ไก บลู โรสและชานอนทั้งสี่กลบเกลื่อนร่องรอยที่ตนเองก่อไว้เมื่อยามค่ำคืนเสร็จสิ้นก็พร้อมที่จะออกเดินทางต่อ โรซาไลน์ผู้รอบคอบทุกขณะเสนอให้ตนกับชานอนออกไปสำรวจพื้นที่โดยรอบ ด้วยความคล่องแคล่วของสายลับสตรีและเอลแห่งมิติของอดีตครูโรงเรียนเซนต์เอลลิส ใช้เวลาเพียงครึ่งชั่วโมงพื้นที่โดยรอบในรัศมีห้าร้อยก้าวก็มิอาจรอดพ้นสายตาจากสตรีทั้งสองไปได้
                    มือปราบไกผู้ที่เป็นหัวหน้ากลุ่มกล่าวเมื่อเห็นว่าสตรีทั้งสองกลับมาพร้อมหน้าว่า “พวกเจ้าพบเห็นร่องรอยอันใด มีศัตรูลาดตระเวณอยู่แถบนี้หรือไม่?
                    ชานอนเป็นผู้ตอบขึ้นก่อนว่า “เป็นไปได้หรือที่จะไม่มี? เวรยามที่ลาดตระเวณนั้นหนาแน่นกว่าเมื่อวานอย่างเทียบกันมิได้ อาจเป็นเพราะการบุกหักเขตอาคมของพวกเราได้กระตุ้นกองกำลังของพวกมันขึ้น ทางด้านใต้ห่างจากที่นี่ไปห้าร้อยก้าวก็พบด่านตรวจขนาดใหญ่ขวางอยู่กลางเส้นทางหลัก พบเห็นทหารพร้อมอาวุธครบมือประจำการอยู่หลายสิบคน และหากจะให้ข้าคาดเดา ด่านตรวจเช่นนี้ต้องมีอยู่ทุกระยะของเส้นทางสายหลักที่จะมุ่งลงใต้เป็นมั่น”
                    โรซาไลน์กล่าวเสริมว่า “ด้วยกองกำลังขนาดนี้ดูเหมือนว่าพวกเราจะมิอาจใช้เส้นทางหลักได้ แม้กระทั่งเส้นทางเล็กทางน้อยก็ใช่ว่าจะปราศจากหูตาฝ่ายตรงข้าม หน่วยลาดตระเวณยังคงเดินสำรวจเพียงแต่ไม่มีด่านตรวจขนาดใหญ่เท่านั้น ทุกระยะเวลาหนึ่งๆจะปรากฏทหารฝ่ายตรงข้ามลาดตระเวณผ่านไปมา คอยตรวจตราบุคคลที่ต้องสงสัย”
                    บลูที่ผ่านการฝึกเมื่อคืนกับราเฟริค เกิดอาการพักผ่อนไม่เพียงพอเล็กน้อย พบว่ามีการล้าของร่างกายอยู่บ้างแต่ก็ไม่ส่งผลกระทบต่อทักษะการวิเคราะห์ปัญหาที่เชี่ยวชาญ กล่าวว่า “การที่จะเปิดเผยร่องรอยนั้นเป็นเรื่องสิ้นคิดอย่างยิ่ง โดยเฉพาะการบุกฝ่าด่านตรวจที่มีทหารตรวจตรามากหลาย พวกเราที่ไม่มีพาหนะเดินทางหากจะบุกฝ่าด่านไปคงไม่มีทางรอด ร้อยทั้งร้อยต้องถูกม้าเร็วฝ่ายตรงข้ามไล่ประชิดบีบบังคับให้ต่อสู้อย่างยืดเยื้อจนพวกเราเหน็ดเหนื่อย หลังจากนั้นจะเป็นอย่างไรทุกคนก็คงจะทราบกันดี เช่นนี้ข้าเสนอให้ใช้ทางเล็กทางน้อยค่อยๆเดินทางไปอย่างปลอดภัยจะดีกว่า ทุกระยะห้าร้อยก้าวก็หยุดพักสำรวจพื้นที่โดยรอบครู่หนึ่งแล้วค่อยเดินทางต่อ เหมือนกับครั้งที่พวกเราเดินทางไปยังหมู่บ้านพนาสุข หลบหนีการติดตามของพวกมิดาส”
                    ไกส่ายหน้ากล่าวว่า “หากทำเช่นนั้นกว่าจะไปถึงเมืองเจนีสเหนือคงใช้เวลาสามหรือสี่วันเป็นอย่างน้อย เมืองเจนีสเหนือที่อยู่ในสภาวะไม่สู้ดีนักย่อมมิอาจรอคอยความช่วยเหลือของพวกเราได้นาน”
                    “เช่นนี้ควรทำอย่างไร? ให้ไกที่เป็นหัวหน้ากลุ่มตัดสินใจแล้วพวกเราทั้งสามจะปฏิบัติตาม” ชานอนกล่าวด้วยความไว้วางใจในสหายสนิท
                    ไกหลังจากที่ผ่านเหตุการณ์เมื่อคืนเขาก็พอจะควบคุมจิตใจของตนเองได้ระดับหนึ่ง สติปัญญาที่เคยหมองหม่นกลับมาเป็นแจ่มชัดเมื่อต้องปฏิบัติภารกิจที่เสี่ยงอันตราย กล่าวว่า “ปัญหาทั้งหมดของพวกเราอยู่ที่พาหนะเพียงอย่างเดียว การบุกฝ่าด่านนั้นมิใช่ปัญหาหลัก เนื่องจากพวกเรามีเขตปลอดภัยที่ชัดเจนนั่นคือเมืองเจนีสเหนือ อาศัยกำลังทหารลิ่วล้อเหล่านี้ยังมิอาจเหนี่ยวรั้งพวกเราคนใดคนหนึ่งเอาไว้ได้ แต่การที่จะบุกเข้าไปชิงม้ามาจากฝ่ายตรงข้ามนั้นก็อันตรายเกินไป และการเปิดเผยร่องรอยทั้งๆที่ยังอยู่ห่างเขตควบคุมของทหารเจนีสนั้นก็ยังไม่สมควรกระทำดั่งที่บลูกล่าว ข้าจึงมีความคิดว่าหากพวกเราอาศัยทางเล็กทางน้อยเดินทางอย่างระมัดระวังไปอีกระยะหนึ่ง ทางทิศใต้มีหมู่บ้านเล็กๆที่เป็นบ้านเกิดของข้าตั้งอยู่ คาดว่าด้วยความเร็วระดับนี้ช่วงเย็นก็จะถึงที่นั่นโดยปลอดภัย ข้าจะใช้ความสัมพันธ์ส่วนบุคคลหยิบยืมม้ามาสักสี่ตัวแล้วพวกเราค่อยบุกฝ่าด่านในยามค่ำคืน ควบขับม้าอาศัยเส้นทางหลักที่สั้นที่สุด ไม่เกินรุ่งเช้าเมืองเจนีสเหนือก็จะปรากฏอยู่ตรงหน้า”
                    “แผนการอันประเสริฐ” บลูกล่าวขึ้นในทันใด “นี่เรียกว่าเป็นการรวบรวมเอาปมเด่นของการหักด่านและหลบหลีกศัตรูเข้าด้วยกัน”
                    ชานอนพยักหน้าเห็นด้วย กล่าวว่า “แผนการนี้คงไม่มีผู้ใดคัดค้านอีก ดังนั้นข้าจะขอลงรายละเอียดว่าบ้านเกิดของเจ้านั้นตั้งอยู่ที่ใด จำเป็นต้องส่งผู้ใดออกไปสร้างความสับสนให้กับพวกมันหรือไม่”
                    “ข้าเห็นด้วยกับการสร้างความสับสนเล็กๆน้อยๆ” โรซาไลน์กล่าวขึ้น “หน้าที่นี้ปล่อยเป็นภาระของข้าเอง เมื่อคราวที่ต้องหนีจากวงล้อมของมิดาสหาเส้นทางเข้านครหลวงข้าก็เคยกระทำมาแล้วครั้งหนึ่งนับว่าได้ผลดีเกินคาด หน่วยลาดตระเวณทั่วไปต่างเข้าใจผิดนึกว่าร่องรอยของพวกเราเปิดเผย นำพาพวกมันกว่าครึ่งไปค้นหาเป้าหมายอันเลื่อนลอย”
                    บลูเกิดความคิดขึ้นจึงกล่าวว่า “เรื่องนี้จะง่ายขึ้นอีกถ้ามีครูชานอนคอยช่วยเหลืออีกแรงหนึ่ง ขอเพียงให้โรสกำหนดตำแหน่งที่ดีที่สุดในการเบี่ยงเบนความสนใจ แล้วใช้เอลแห่งมิติเคลื่อนกายในระยะสายตาข้ามไปตระเตรียมร่องรอยเหล่านั้น จะร่นเวลาในการตระเตรียมแผนเบี่ยงเบนความสนใจได้มาก ทั้งที่ส่งผลดีกว่าอย่างเช่นการที่ไม่ต้องทิ้งรอยเท้าโดยไม่จำเป็น”
                    ไกส่ายหน้ากล่าวว่า “เจ้าไม่รู้หรืออย่างไรว่าโรสมีความสามารถในการเหยียบย่างโดยไม่ทิ้งรอยเท้าไว้อยู่แล้ว แต่ก็ดีเหมือนกันที่มีชานอนไปด้วย การเดินตระเวนไปรอบๆในลักษณะนั้นจะทำให้สิ้นเปลืองเรี่ยวแรงไปโดยเปล่าประโยชน์ อีกทั้งไปสองคนยิ่งเพิ่มความปลอดภัยหากเกิดอะไรที่คาดไม่ถึงขึ้น”
                    บลูทอดสายตาไปมองรอยเท้าที่เหยียบย่ำ พบว่ารอยเท้าของตนเองนั้นหนาที่สุดในบรรดาสี่คน ในขณะที่รอยเท้าของโรสเรียกได้ว่าแทบจะมองไม่เห็นถ้าไม่เพ่งสายตาสังเกต จึงหันกลับไปมองสหายสนิทผู้นี้อีกทีหนึ่ง กล่าวว่า “ไม่น่าเชื่อว่าเจ้าจะเป็นสายลับมือดีถึงเพียงนี้”
                    โรซาไลน์ยิ้มอย่างมั่นใจพร้อมกล่าวตอบไปว่า “แน่นอน”
                    ไกอธิบายต่อไปว่า “จากที่แห่งนี้มุ่งลงไปทางทิศตะวันตกเฉียงใต้ ออกนอกเส้นทางหลักข้ามเนินที่อยู่ลิบตานั่นไปก็จะถึงหมู่บ้านของข้า ส่วนระหว่างที่เจ้าทั้งสองออกไปทิ้งร่องรอยสร้างความสับสนเบี่ยงเบนความสนใจนั้น ข้ากับบลูก็จะออกสำรวจดูหน่วยลาดตระเวณที่เดินตรวจตรา คำนวณเส้นทางที่ปลอดภัยไปพลาง”
                    เมื่อได้ข้อสรุปทุกประการชานอนจึงกล่าวขึ้นว่า “เช่นนี้พวกเราเริ่มงานกันเลยดีหรือไม่?
    โรซาไลน์พยักหน้ากล่าวว่า “รบกวนครูชานอนช่วยนำข้าไปทางทิศตะวันออกร้อยยี่สิบก้าวได้หรือไม่?” ชานอนพยักหน้ารับปากในทันใดที่สตรีสาวกล่าวจบ แสงสีม่วงพลันสว่างขึ้นวูบหนึ่งสตรีทั้งสองก็หายร่างไปใบบัดดล
                    หารู้ไม่ว่าเป้าหมายที่พวกเขาทั้งสี่กำลังจะมุ่งไปนั้นมิได้เป็นอย่างที่คิด
     
    ณ พระราชวังฟ้าประทาน กรุงเดว่า
                    ได้มีการประชุมระหว่างมาร์ควิสสองท่านกับราชินีมากาเร็ตแห่งราชอาณาจักรลาเวนดิส หัวข้อที่สนทนาจะเป็นเรื่องอื่นไปได้อย่างไรนอกจากประเด็นทางการเมือง ที่เกี่ยวข้องกับเขตแดนของรัฐอิสระเจนีสและจักรวรรดินอร์
                    ในพระหัตถ์ขององค์ราชินีทรงกุมจดหมายอยู่ฉบับหนึ่งซึ่งเป็นของผู้นำกลุ่มปลดปล่อยนามว่าการาดอสเขียนระบุถึงพระองค์โดยตรง ด้วยความรู้จักมักคุ้นเก่าแก่ที่ทรงมีกับอดีตพระอนุชาของกษัตริย์กาเรียผู้นี้ ราชินีมากาเร็ตทรงมีพระดำรัสให้เปิดประชุมขึ้นอย่างฉุกเฉิน ส่งเทียบเชื้อเชิญมาร์ควิสทั้งสองที่เป็นขุนนางตำแหน่งใหญ่ที่สุดในราชอาณาจักรลาเวนดิสเข้าเฝ้าพร้อมกัน เพื่อปรึกษาปัญหาและการเรียกร้องความช่วยเหลือที่ได้รับมาจากการาดอส
                    “ลูเชียส ซิลเวอร์แซนด์ถวายบังคมต่อองค์ราชินี” เสียงดังขึ้นมาจากด้านข้าง มาร์ควิสแห่งซิลเวอร์แซนด์นามว่าลูเชียส ซิลเวอร์แซนด์น้อมสดุดีด้วยทวงท่าถวายบังคม บุรุษอายุหกสิบปีที่ผมเป็นสีเงินทุกเส้นผู้นี้อยู่เหนือประชาราษฎร์ทุกหมู่เหล่ามีศักดิ์รองจากองค์ราชินีเพียงพระองค์เดียว ด้วยความสามารถอันโดดเด่นทั้งบู๊และบุ๋น ลูเชียสผู้นำตระกูลแห่งโลหะจึงได้รับการอวยยศให้เป็นมาร์ควิสแห่งซิลเวอร์แซนด์ต่อจากบรรพบุรุษ รับมอบความไว้วางใจให้ปกครองดินแดนตอนใต้ กุมขุมกำลังขนาดใหญ่เป็นหนึ่งในสามของนักรบของราชอาณาจักรลาเวนดิส
                    “ไม่ต้องมากพิธีท่านลูเชียส” ราชินีมากาเร็ต เทล เดวารอส ทรงมีพระชนมายุหกสิบหกสองชันษา เค้าโครงพระพักตร์ใจดีเปี่ยมด้วยคุณธรรม พระเนตรทั้งสองฉายแววแห่งปัญญาบารมี สมกับที่ทรงครองราชย์มาเป็นเวลาสามสิบสามปีเต็ม พระองค์ทรงนำพาราชอาณาจักรลาเวนดิสผ่านวิกฤตการณ์น้อยใหญ่สิบกว่าครั้ง รวมไปถึงสงครามเจนีสเมื่อยี่สิบห้าปีก่อน ราชินีองค์นี้จึงเป็นที่รักยิ่งของปวงชน
                    ถัดจากนั้นไม่นานก็มีเสียงจากบุรุษอีกผู้หนึ่งกราบทูลว่า “มาร์เวอริค เทล เบริลเลีย ถวายบังคมองค์ราชินี”
                    ผู้กล่าวคือมาร์เวอริคพระอนุชาต่างมารดาขององค์ราชินีมากาเร็ต ขุนนางที่มีความสามารถทางการทูตและการปกครองอันโดดเด่น มาร์เวอริคสร้างเขตเศรษฐกิจพิเศษขึ้นที่เมืองเบริล ปรับปรุงพื้นที่ริมทะเลฝั่งตะวันตกให้กลายเป็นเขตเพาะปลูกแห่งใหม่ของลาเวนดิส ซึ่งเป็นสถานที่ตั้งของสถาบันการศึกษาทรานซิลเบเรียอันเป็นสถานศึกษาชั้นสูงที่จะรับบรรดาบัณฑิตที่จบจากโรงเรียนอื่นๆมาศึกษาต่อ ด้วยผลงานในระดับนี้จึงได้รับตำแหน่งมาร์ควิสแห่งเบริล ปกครองเขตตะวันตกของอาณาจักรลาเวนดิสด้วยศักดิ์ฐานะที่ทัดเทียมกับลูเชียส
                    เป็นเรื่องที่น่าแปลกของราชวงศ์เดวารอสแห่งลาเวนดิส พวกเขาจำกัดศักดิ์ฐานะพิเศษที่ต้องใช้ราชาศัพท์และการปฏิบัติตนแบบพิเศษเพียงองค์ราชินีและเหล่าเครือญาติผู้ใกล้ชิดเท่านั้น หากมิใช่ผู้ที่มีเชื้อสายตรงก็มิอาจใช้นามสกุล เทล เดวารอส อันเป็นนามสกุลเดียวกับองค์ราชินีได้ และกฏมณเฑียรบาลยังจำกัดเพศของประมุขแห่งราชอาณาจักรว่าต้องเป็นสตรีเท่านั้น ดังนั้นมาร์เวอริคที่มีสายเลือดของ เทล เดวารอส อยู่กึ่งหนึ่ง แต่เป็นสายเลือดของฝ่ายบิดามิใช่สายเลือดของฝ่ายมารดาจึงมิได้รับยศถาบรรดาศักดิ์โดยกำเนิด ตำแหน่งการงานทั้งหลายต้องแลกมาด้วยประสบการณ์และผลงานล้วนๆ ไต่เต้าจากชนชั้นบารอนจนสุดท้ายก็ได้รับพระราชทานยศมาร์ควิสและนามสกุล เทล เบริลเลีย
                    การประชุมที่ได้ชื่อว่าเป็นการประชุมของบุคคลสามคนแต่กลับมีคนอยู่ในห้องประชุมทั้งหมดสี่คน ซึ่งคนสุดท้ายนั้นก็มิอาจประเมินค่าต่ำไปได้ บุรุษวัยสามสิบห้าปีที่มากด้วยประสบการณ์นามว่าออสวอล ดำรงตำแหน่งราชหัตถเลขารับหน้าที่แบ่งเบาภาระทางการปกครองขององค์ราชินี ติดสอยห้อยตามบิดาของตนตั้งแต่อายุสิบหกช่วยงานราชการหลายสิบอย่าง รวมไปถึงตำแหน่ง กระบี่ที่สอง ของกองกำลังกริฟฟอนอันเลื่องชื่อลือนาม จนกระทั่งเมื่อสิบปีก่อนบิดาผู้ดำรงตำแหน่งราชหัตถเลขาเกษียณอายุราชการ ออสวอลที่เฉลียวฉลาดและมีความสามารถโดดเด่นจึงได้รับพระกรุณาให้สืบทอดตำแหน่งราชหัตถเลขานี้ต่อไป
                    กองกำลังกริฟฟอนเป็นหน่วยทหารที่มีจำนวนเพียงห้าพันนาย แต่สามารถรับศึกต่อต้านกองทหารนับหมื่น ทหารเอกของกองกำลังแห่งนี้มีทั้งหมดสามคน ได้รับการขนานนามว่ากระบี่ที่หนึ่ง สองและสามแห่งลาเวนดิสตามลำดับ กล่าวกันว่ากระบี่ทั้งสามนี้มีฝีมือทัดเทียมกับยอดฝีมือระดับต้นๆของหน่วยรบพิเศษอัศวินดำ
                    “ออสวอล ขอให้เจ้าสรุปสถานการณ์ปัจจุบันอย่างคร่าวๆให้กับท่านมาร์ควิสทั้งสองก่อนได้หรือไม่?” พระราชินีมากาเร็ตตรัสขึ้น
                    บุรุษผมสีทองโค้งคำนับรับพระบัญชา กราบทูลโดยไม่ยืดเยื้อว่า “ปัจจุบันเมืองเจนีสทั้งสองได้มีการเปิดให้เดินทางเข้าออกอย่างอิสระอีกครั้ง ภายใต้นโยบายการปกครองของผู้นำการาดอสและสนธิสัญญาว่าด้วยการปกครองพื้นที่เจนีสที่ได้ทำร่วมกันไว้ตั้งแต่ยี่สิบห้าปีก่อน นั่นคือเมื่อใดที่ชาวเจนีสสามารถยึดครองพื้นที่ของเมืองเจนีสเหนือคืนมาได้ เมื่อนั้นพื้นที่ของเมืองเจนีสใต้ก็จะได้รับอิสระเป็นหนึ่งในเขตแดนของรัฐอิสระเจนีสทันที แต่ก็ยังให้สิทธิกับประชากรลาเวนดิสที่อาศัยอยู่ในเมืองเจนีสใต้เทียบเท่าพลเมืองเจนีสทุกประการ ซึ่งในช่วงนี้ยังถือว่าเป็นช่วงรอยต่อของการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ทางกลุ่มประสานเจนีสของผู้นำการาดอสจึงขอร้องให้ทางเราช่วยปกครองเมืองเจนีสใต้สืบไปอีกสักระยะจนกว่าจะลงตัว”
                    มาร์ควิสแห่งซิลเวอร์แซนด์รับทราบเหตุการณ์เหล่านี้อยู่ก่อนแล้ว จึงทูลถามขึ้นว่า “ท่านราชหัตถเลขาคาดว่าฝ่ายนอร์จะดำเนินการโต้ตอบอย่างไร?
                    “ขอเรียนท่านมาร์ควิสตามตรง จักรวรรดินอร์ย่อมต้องโหมบุกด้วยกำลังที่เหนือกว่า ส่งขุนพลผู้แก่กล้าหาทางตีหักเอาเมืองเจนีสเหนือกลับคืนภายในระยะเวลาอันสั้น หาไม่แล้วถ้าผู้นำการาดอสตั้งตนเป็นกษัตริย์สถาปนารัฐอิสระเจนีสได้สมบูรณ์แบบ หาทางจับมือเป็นพันธมิตรกับนครมิสต์ที่เป็นเสมือนบ้านใกล้เรือนเคียง รับรองว่าจักรวรรดินอร์จะต้องลำบากกินแรงมากขึ้นอีกเป็นเท่าตัว” ออสวอลกล่าวด้วยน้ำเสี่ยงที่เปี่ยมด้วยความมั่นใจ
                    “หากคาดการณ์ไม่ผิด ผู้นำการาดอสย่อมต้องส่งสารมาขอความช่วยเหลือจากพวกเราใช่หรือไม่?” มาร์ควิสแห่งเบริลกราบทูล
                    ครานี้เป็นพระสุรเสียงขององค์ราชินีดังขึ้นว่า “ท่านมาร์ควิสคาดการณ์ไว้ไม่ผิด และนี่เป็นสาเหตุหลักที่เราเรียกพวกท่านทั้งสองมาปรึกษา ว่าราชอาณาจักรของเราสมควรจะหยิบยื่นการช่วยเหลือให้กับรัฐอิสระเจนีสหรือไม่ หากตกลงช่วยเหลือจะจำกัดอยู่ในขอบเขตประการใด หากนิ่งเฉยไม่ช่วยเหลือพวกเราสมควรติดต่อทางการทูตต่อไปอย่างไร?
                    มาร์ควิสลูเชียสกราบทูลว่า “กระหม่อมเห็นว่าพวกเราสมควรแยกแยะผลได้ผลเสียจากการกระทำทั้งสองก่อน แล้วค่อยตัดสินใจตามข้อมูลเหล่านั้น”
                    “เชิญท่านมาร์ควิสลูเชียสออกความเห็น”
                    “ประการแรกต้องพิจารณาจากคำถามที่ว่าหากพวกเราสนับสนุนแล้วฝ่ายเราได้หรือเสียอะไร สิ่งที่พวกเราจะได้รับอย่างแน่นอนในการสนับสนุนครั้งนี้คือความสัมพันธ์อันดีกับรัฐอิสระเจนีสที่ใกล้ชิด โดยเฉพาะในช่วงยี่สิบห้าปีให้หลังที่ทางเรามีส่วนร่วมปกครองเขตเมืองเจนีสใต้ ชาวเมืองลาเวนดิสได้เข้าไปตั้งรกรากถิ่นฐานในเมืองเจนีสใต้เป็นจำนวนมาก การหยิบยื่นความช่วยเหลือจึงเป็นสิ่งที่พวกเราสมควรจะทำ สอดคล้องกับคุณธรรมของหลักการปกครองราชอาณาจักรเรา แต่ในอีกมุมหนึ่ง การหยิบยื่นความช่วยเหลือจะเท่ากับเราประกาศตัวเป็นศัตรูกับจักรวรรดินอร์ ที่ได้ทำการปฏิวัติยึดครองประเทศมาด้วยความไม่ชอบธรรม ดังนั้นเมื่อกล่าวกันด้วยเรื่องของคุณธรรมน้ำมิตรแล้ว หนทางการสนับสนุนนั้นเหมาะสมยิ่ง แต่ถ้าเปลี่ยนมุมมองเสียใหม่ตัดเรื่องคุณธรรมเหล่านี้ออกไป จะเห็นว่าการยกกองทัพไปสนับสนุนเท่ากับเป็นการชักศึกเข้าบ้าน พวกเราทราบฝีมือกันดีว่าพวกศัตรูอย่างเวอร์น่อนและกองกำลังอัศวินดำที่เคยทำลายประเทศเจนีสเสียย่อยยับในสงครามครั้งก่อนเป็นอย่างไร การที่จะต้องก้าวเข้าไปทำสงครามในภาวะเช่นนี้ต้องไตร่ตรองให้มาก ว่าถ้าพวกเราชนะแล้วจะได้อะไร คุ้มค่ากับกองกำลังทหารที่จะสูญเสียหรือไม่?
                    มาร์ควิสแห่งซิลเวอร์แซนด์สมกับเป็นขุนนางเคียงคู่บัลลังก์ของราชินีมากาเร็ตมาช้านาน ผ่านร้อนผ่านหนาวมามากแยะแยะข้อเท็จจริงต่างๆอย่างถูกต้องตรงประเด็น กราบทูลต่อไปว่า “กระหม่อมทดลองมองข้ามไปในอนาคตอีกก้าวหนึ่ง ว่าถ้าหากพวกเราชนะสงครามกับจักรวรรดินอร์ในครั้งนี้จะมีอะไรเกิดขึ้น ลาเวนดิสจะได้สิทธิประโยชน์หลายอย่างในพื้นที่ของเมืองเจนีส อาทิเช่นแหล่งแร่เอลไลท์ที่ประเทศเราขาดแคลน ซึ่งจะมีส่วนช่วยเหลือประเทศเราเป็นอย่างมาก
    และหากเพิ่มเหตุผลเรื่องความบาดหมางที่เคยมีกับอาณาจักรนอร์เข้าไปการเข้าร่วมสงครามก็มีผลดีต่อประเทศเราในอีกมุมหนึ่ง ความบาดหมางที่เคยมีในอดีตจะถูกโอนไปให้จักรวรรดินอร์ที่นำโดยตระกูลซอร์โดเพียงเท่านั้น พวกเราสามารถเพาะสร้างความสัมพันธ์อันดีกับสหพันธรัฐแห่งนอร์ที่นำโดยผู้ปกครองคาร์ล เดอ เกรซทดแทน สภาวะตึงเครียดที่เป็นเสมือนน้ำไฟไม่ก้าวก่ายของการเมืองลาเวนดิสและนอร์ตลอดยี่สิบห้าปีนี้ก็จะสิ้นสุดลง หลังสงครามทั้งสองประเทศจะสามารถเปิดการติดต่อค้าขายในระดับรัฐร่วมกันอีกครั้ง ซึ่งตรงนี้จะนำมาสู่การกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ นำพาประเทศเราไปสู่ยุครุ่งเรื่องของทั้งทางด้านเศรษฐกิจและสังคม”
                    “ท่านมาร์ควิสลูเชียสแยกแยะได้เห็นภาพชัดเจนยิ่ง” มาร์ควิสมาร์เวอริคกราบทูลต่อไปว่า “กระหม่อมเองก็เห็นด้วยกับข้อเท็จจริงที่ท่านมาร์ควิสลูเชียสกล่าว แต่การสงครามกับเวอร์น่อนนั้นยากเกินกว่าที่จะเอาชนะได้โดยง่าย ทุกคนล้วนทราบดีว่าหากเมื่อยี่สิบห้าปีก่อนไม่มีท่านมาร์ควิสและเลดี้แห่งกริฟฟอนพวกเราคงจบสิ้นกันไปแล้ว ครั้งนี้คงจะมิอาจปฏิเสธได้ว่าพวกเราปราศจากขุนพลผู้เก่งกล้าเทียบเท่าครั้งก่อน โดยเฉพาะการที่สายของกระหม่อมได้รับรายงานว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลังการวางกลยุทธ์คืออดีตรองหัวหน้าหน่วยอัศวินดำมิดาส เดอแล่ม ผู้ก้าวขึ้นเป็นเสนาธิการสูงสุดของจักรวรรดินอร์ในปัจจุบัน”
                    ราชินีมากาเร็ตทรงหดหู่ลงอย่างเห็นได้ชัดเมื่อทรงได้ยินคำว่า มาร์ควิสและเลดี้แห่งกริฟฟอน ทั้งสองเป็นบุคคลที่พระองค์ทรงโปรดปรานยิ่ง จึงตรัสว่า “แม้ว่าการสงครามครั้งนี้จะส่งผลเสียต่อประเทศโดยรวม แต่ด้วยคุณธรรมอันเป็นหลักของการปกครองบ้านเมือง เรามิอาจที่จะขัดมโนธรรมไม่ส่งกองกำลังไปช่วยเหลือประชาชนของเราเองได้ จริงอยู่ที่การนิ่งเฉยดูสถานการณ์โดยรวมไปก่อนอาจส่งผลดีกว่าทางด้านการเมืองและการตัดสินใจ แต่ประชาชนที่ตั้งรกรากอยู่ในเมืองเจนีสใต้อาจต้องสูญสิ้นทั้งชีวิตและทรัพย์สิน เหล่าทหารที่ราชอาณาจักรลาเวนดิสภูมิใจก็ตั้งเอาไว้เพื่อการนี้มิใช่หรือ?
                    ราชหัตถเลขาออสวอลรับคำครั้งหนึ่งแสดงว่าเห็นด้วยกับพระดำริ สองตาของเขาเช่นกันก็ปรากฏร่อยรอยแห่งความเสียใจ ด้วยความที่ออสวอลเคยดำรงตำแหน่งกระบี่ที่สองใต้สังกัดของกองกำลังกริฟฟอนมาก่อน หากไม่เคยได้เข้าร่วมกับกองกำลังกริฟฟอน ออสวอลคงไม่มีวันได้รับตำแหน่งราชหัตถเลขาเช่นนี้
                    มาร์ควิสมาร์เวอริคกราบทูลว่า “กระหม่อมอาจมีความเห็นไม่ตรงกับองค์ราชินี โดยเห็นว่าการส่งกองกำลังไปทันทีนั้นอาจมิใช่เรื่องที่จำเป็นต้องทำอย่างรีบด่วน พวกเราสมควรใช้เวลาช่วงหนึ่งในการวางแผนการล่วงหน้า ดูช่องทางที่สามารถส่งกองกำลังไปแล้วได้รับผลเสียหายน้อยที่สุดในขณะที่ปฏิบัติภารกิจได้ผลมากที่สุด แต่การนิ่งดูดายก็มิใช่วิสัยดังเช่นที่องค์ราชินีตรัสเมื่อครู่ ดังนั้นกระหม่อมขออาสาทำหน้าที่ทูตแห่งลาเวนดิสเพื่อการนี้โดยเฉพาะ นำคณะทูตพร้อมกับกองทหารห้าร้อยนายออกเดินทางไปยังเมืองเจนีสเหนือเจรจากับทางผู้นำการาดอส หลังจากนั้นจะส่งพิราบสื่อสารกลับมา เพื่อให้องค์ราชินีทรงตัดสินพระทัยอีกครั้งหนึ่ง”
                    องค์ราชินีมากาเร็ตทรงพยักหน้าครั้งหนึ่งแล้วตรัสว่า “หากไม่เป็นการรบกวนการงานประจำของท่านมาร์ควิส เราคงต้องพึ่งพาท่านสักครั้งให้รับตำแหน่งเอกอัครราชทูตแห่งลาเวนดิสเดินทางไปเมืองเจนีสเหนือ” จากนั้นทรงเบือนพระพักตร์มาหาราชหัตถเลขาดำรัสว่า “ช่วยร่างคำสั่งแต่งตั้งเอกอัครราชทูตเฉพาะกิจให้เราฉบับหนึ่ง ให้ท่านมาร์ควิสคัดเลือกทหารคนสนิทห้าร้อยนายด้วยตนเอง ทหารทุกคนจะได้เบี้ยหวัดเป็นสองเท่าของปกติในการปฏิบัติภารกิจที่ต่างแดน และจงออกเดินทางในทันที”
                    “ออสวอลรับพระบัญชา”
                    “มาร์เวอริครับพระบัญชา”
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×