ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ศาสตราคู่กู้แผ่นดิน

    ลำดับตอนที่ #149 : เล่ม 5.2 - ตอนที่ 63.2 - เส้นด้ายแห่งความหวัง (2)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 898
      1
      3 พ.ค. 51

    ขณะเดียวกันมือปราบชั้นหนึ่งยินดียิ่งที่พบผู้คนรอดชีวิต
    ไกตรงดิ่งเข้าไปถามด้วยน้ำเสียงอันตื่นเต้นว่า “ลุงโกเมซเป็นอย่างไรบ้าง ทราบหรือไม่ว่าที่แห่งนี้เกิดเรื่องอันใดขึ้น แล้วพ่อแม่ของข้ารวมไปถึงบุคคลอื่นๆหายไปที่ใดกันหมด?
                    ลุงโกเมซถอนหายใจเฮือกใหญ่กล่าวว่า “เป็นกองทัพของนอร์ที่บุกเข้าปล้นชิงทรัพย์หมู่บ้านเรา พวกมันบุกมาในยามที่พวกเราไม่ได้ระวังตัว ไม่มีสัญญาณใดๆบ่งบอก ชาวบ้านกว่าครึ่งถูกจับไปเป็นเชลยไม่ทราบว่าชะตากรรมจะเป็นอย่างไร อีกกว่าครึ่งบ้างก็ต่อสู้ขัดขืนจนเสียชีวิตบ้างก็หนีลงใต้ไปยังเมืองเจนีสได้ทันท่วงที โชคดีที่มีผู้ที่ล่วงรู้เส้นทางลัดชาวบ้านส่วนใหญ่จึงรอดพ้นการถูกทารุณกรรม แต่ทรัพย์สินรวมไปถึงผลผลิตทางการเกษตรนั้นถูกพวกทหารกวาดไปสิ้น ส่วนพ่อแม่ของเจ้านั้น ...”
                    “พ่อแม่ของข้าเป็นอย่างไร?” ไกถามด้วยความร้อนใจ
                    “ข้าไม่อาจทราบได้แน่ชัด เพียงแต่ได้ยินว่ามีชาวบ้านเห็นทั้งสองหลบหนีไปทางเมืองเจนีสเหนือ โดยมีทหารกองหนึ่งตามล่าไปอย่างกระชั้นชิด แต่จะหนีรอดไปโดยปลอดภัยไร้อันตรายหรือไม่นั้นจนใจที่ข้ามิอาจตอบได้ ต้องขอโทษเจ้าด้วยไก” ลุงโกเมซกล่าวด้วยวาจาที่หมดหวังราวกับคนสิ้นเนื้อประดาตัว
                    ไกถามต่อไปว่า “ระหว่างที่เกิดเรื่องขึ้นลุงเอาตัวรอดมาได้อย่างไร?
                    “พอดีข้าออกไปเก็บสมุนไพรที่ภูเขาข้างเคียง พอกลับมาอีกครั้งหนึ่งก็พบเห็นหมู่บ้านเหลือแต่เพียงซากปรักหักพัง ที่เต็มไปด้วยกลิ่นคาวโลหิต ภาพในตอนนั้นคงมิอาจลบเลือนไปจากความทรงจำของข้าได้ จะเรียกว่าโชคดีหรือโชคร้ายกันแน่ที่ข้าไม่มีบุตรภรรยาสักคนหนึ่ง หาไม่แล้วพวกเขาทั้งหมดอาจต้องประสบชะตากรรมที่เลวร้ายอย่างไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ” กล่าวถึงตรงนี้น้ำตาของบุรุษวัยกลางคนก็หยาดหยดลงมาพร้อมหัวเข่าที่ทรุดลงไปจนสัมผัสกับพื้นดิน ได้ยินเสียงเขากล่าวต่อไปว่า “มันน่าแค้นใจยิ่งนัก พวกเราชาวไร่ชาวสวนอยู่กันมาด้วยความสงบสุขตลอดระยะเวลาหลายสิบปี ประพฤติตนอยู่ในกรอบมิเคยลักเล็กขโมยน้อยหรือหากินอย่างทุจริตสักครั้งหนึ่ง เหตุใดจึงได้รับผลตอบสนองเช่นนี้สวรรค์ช่างอยุติธรรม”
                    มือปราบไกผู้ผดุงความยุติธรรมก็เป็นเสาหลักในพื้นที่นี้มาตลอด แต่บุคคลเพียงคนเดียวจะทำอย่างไรได้เมื่อพบพานทหารทั้งกองทัพ ยิ่งไปกว่านั้นในขณะที่มีการจู่โจมหมู่บ้านระบายโทสะเขามิได้อยู่ในบริเวณนี้เสียด้วยซ้ำ จึงไม่ทราบว่าจะปลอบใจชาวบ้านคนหนึ่งที่ต้องสูญเสียทุกสิ่งทุกอย่างด้วยคำกล่าวอันใด นอกเสียจากคำพูดที่ว่า “ความแค้นนี้ข้าจะเป็นคนระบายให้กับลุงเอง ที่นี่ไม่ปลอดภัยอีกแล้วขอให้ลุงหลบไปอยู่ที่อื่นสักระยะหนึ่ง ข้าให้คำมั่นสัญญากับลุงว่าจะนำสันติภาพและความสงบสุขกลับคืนมาอีกครั้ง ด้วยเกียรติยศและศักดิ์ศรีของมือปราบชั้นหนึ่ง” จากนั้นไกก็ทรุดร่างลงยื่นมือไปสัมผัสกับแขนของลุงโกเมซไว้อย่างแนบแน่นแทนการให้กำลังใจ
                    หลังจากที่มือปราบชั้นหนึ่งลุกขึ้นยืนร่างของสตรีสาวชาวลาเวนดิสก็ปรากฏอยู่ตรงหน้า เห็นได้ชัดว่านางมีเค้าของความเป็นห่วงเป็นใยอยู่ไม่น้อย ไกจึงเดินเข้าไปใกล้สบสายตากับนางกล่าวด้วยเสียงอันแผ่วเบาว่า “ขอบคุณเจ้า”
                    “ม ... ไม่เป็นไร”
                    หลังจากนั้นอีกพักหนึ่งบลูกับชานอนก็ตามมาสมทบ ทั้งสองกล่าวแสดงความเสียใจกับไกจากนั้นจึงเล่าสมมุติฐานที่คาดคะเนจากหลักฐานให้ฟัง
                    ไกมีสีหน้าเปลี่ยนไปเป็นคนละคนเมื่อพบว่ามีผู้ที่สูญเสียอีกมากหลายต้องการให้เขากอบกู้แก้ไข หากตนเองจะมาจมปลักอยู่กับความเศร้าและการสูญเสียที่ผ่านมา การที่จะนำพาสันติภาพมาสู่ผู้คนที่ยังคงมีชีวิตอยู่และต้องการความเหลือย่อมเป็นไปไม่ได้ อีกทั้งในตอนนี้เขาก็มีความหวังเรื่องบิดามารดาว่าจะหนีรอดไปยังเมืองเจนีสเหนือได้ทันท่วงที มือปราบชั้นหนึ่งจึงกลับสู่ความเยือกเย็นอีกครั้ง กล่าวว่า
                    “จากนี้พวกเราจะมุ่งตรงไปยังเมืองเจนีสเหนือตามแผนการเดิม คืนนี้พวกเราจะพักที่นี่คาดว่าศัตรูคงไม่มีทางนึก ถึงว่าพวกเราจะมาพักอยู่ในซากของหมู่บ้านร้างที่ไม่หลงเหลืออะไรอีก ขอให้พวกเจ้าพักผ่อนกันให้เต็มที่ และข้าต้องขอขอบคุณพวกเจ้ามากที่ช่วยเป็นกำลังใจให้โดยตลอด จนถึงบัดนี้ข้าพร้อมแล้วที่จะทำสงครามขั้นแตกหักกับจักรวรรดินอร์ไม่ยอมอยู่ร่วมโลกเดียวกันอีก”
                    “พวกเราจะช่วยพี่จนถึงที่สุด ขอให้วางใจ” บลูกล่าวพร้อมกับยื่นมือไปสัมผัสบ่าของบุรุษตรงหน้า ดวงตาของทั้งคู่ที่เต็มไปด้วยความไว้เนื้อเชื่อใจประสานสบ คำกล่าวเพียงเท่านี้ก็เพียงพอแล้วที่จะเป็นสัญญาระหว่างบุรุษ อันสามารถแลกได้ด้วยชีวิต
                    ชานอนถึงกับยิ้มได้เมื่อเห็นไกกลับคืนสู่สภาวะปกติอีกครั้ง กล่าวว่า “ข้าจะยึดถือคำกล่าวของเจ้าเมื่อครู่เป็นคำปฏิญาณตนอย่างหนึ่ง ตัวข้าเองนั้นยินยอมทิ้งความเป็นครูที่เซนต์เอลลิสออกมาครั้งหนึ่งแล้ว คงจะต้องดำเนินการต่อไปให้ถึงที่สุด หาไม่แล้วคงไม่มีหน้าเข้าพบผู้อำนวยการทอริอุสอีกเป็นแน่”
                    โรซาไลน์มิได้ยิ้มเหมือนกับชานอน ใบหน้าของนางกลับมีน้ำตาเอ่อล้นออกมาคลอเบ้า ความเป็นห่วงที่นางอัดอั้นเอาไว้ในใจตลอดช่วงเวลาสี่ห้าวันที่ผ่านมามิได้น้อยไปกว่าความกลัดกลุ้มของมือปราบไกแม้แต่น้อย วินาทีนี้เองทำให้นางทราบว่าตนหลงรักบุรุษตรงหน้าอย่างถอนตัวไม่ขึ้นเสียแล้ว
                    “อย่าได้หลั่งน้ำตาอีกเลย” ไกเดินเข้ามาใกล้ใช้นิ้วมืออันหยาบกร้านปาดเช็ดแก้มที่เปล่งปลั่งของสตรีนางนี้
                    น้ำตาของโรสยังคงหลั่งต่อไป แว่วเสียงกล่าวของนางเป็นวาจาว่า “ข้ากลัว กลัวเหลือเกิน ... กลัวว่าพี่ไกจะคิดทำร้ายตนเองไม่สนใจอนาคตของพี่อีก หากเป็นเช่นนั้น ... หากเป็นเช่นนั้น ... ข้า ... ข้าจะอยู่ได้อย่างไร?
                    จิตใจของไกส่วนหนึ่งก็อยากที่จะรั้งนางเข้าไว้ในอ้อมอก แต่จิตใจอีกส่วนหนึ่งกลับนึกถึงภาพของโซเฟียที่ร่ำไห้ในคืนก่อนจะสิ้นลม ไกจึงมิอาจที่จะกระทำดั่งใจตนเองคิดได้ เพียงใช้มือข้างหนึ่งลูบศีรษะของสตรีที่เปรียบเสมือนน้องสาวนางนี้ด้วยความรักและความเอ็นดู กล่าวด้วยเสียงอันแผ่วเบาว่า “ข้าไม่ทำร้ายตนเองหรอก วันหนึ่งหากเรื่องราวอันเลวร้ายที่เปรียบเสมือนเมฆหมอกบังตาพวกนี้สิ้นไป สตรีคนแรกที่ข้าจะนึกถึงก็คือเจ้า”
                    บลูเห็นภาพตรงหน้าเป็นเช่นนี้จึงเดินออกไปปล่อยให้บุรุษสตรีอยู่กันตามลำพัง อีกทั้งยังสังเกตเห็นแววตาที่ผิดปกติของชานอนก่อนเดินจากมา
     
    สองคืนต่อมา
                    “เจ้าเข้ามาในความฝันของข้าโดยพลการอีกแล้วอย่างนั้นหรือ?” จะเป็นเสียงของผู้ใดไปได้นอกจากบุรุษหนุ่มผมสีน้ำเงินที่เป็นทายาทแห่งอาร์คาน่า
                    เสียงชราภาพของราเฟริคกล่าวตอบกลับมาว่า “ในเมื่อเจ้าต้องการจะฝึกวิชาเพื่อเป็นผู้หยั่งรู้ดินฟ้า ข้าก็จำเป็นที่จะต้องติดต่อกับเจ้าผ่านห้วงแห่งนิมิตอยู่ทุกระยะ หาไม่แล้วจะปล่อยให้เจ้าฝึกตัวคนเดียวอาจไม่ทันใช้งานถูกศัตรูสังหารไปเสียก่อน เช่นนี้ภาระที่อาจารย์มอบหมายให้ข้าไว้คงจะต้องพังทลายลง ซึ่งข้าที่ยินยอมทนมากว่าสี่ห้าร้อยปีแล้วคงมิอาจปล่อยให้มันสูญสลายไปต่อหน้าต่อตากระมัง?
                    บลูพยักหน้ากล่าวว่า “ไม่ต้องเอาเรื่องของท่านพ่อมากล่าวอ้าง จะฝึกวิชาก็ฝึกข้ามิได้ไม่พอใจอันใด แต่ก่อนที่จะเริ่มการฝึกใดๆนั้นข้ากลับมีคำถามอยู่ข้อหนึ่งที่อยากจะให้เจ้าอธิบายได้หรือไม่?
                    “คำถามอันใด”
                    “ข้าอยากจะรู้เหลือเกินว่าห้วงแห่งนิมิตนั้นแท้จริงคืออะไร หากเจ้าจะให้คำตอบว่าความฝันนั้นก็ยังมิใช่คำจำกัดความที่ชัดเจน ข้าอยากจะรู้ว่าความฝันนั้นคืออะไร มันเป็นโลกอีกมิติหนึ่งอย่างนั้นหรือ?” บลูถาม
                    ช่วงที่เดินทางออกจากหมู่บ้านของไกนั้น บลูก็ได้ฝึกวิชาตามเพลงกระบองที่เรียนรู้จากห้วงแห่งนิมิตตลอดเวลา ทำให้ฝีมือในการใช้ศัสตราวุธรุดหน้าขึ้นไปกว่าเก่า จนมีพื้นฐานเทียบเท่ากับทหารที่แข็งแรงกำยำทั่วไป แม้มิอาจเทียบได้กับยอดฝีมือการใช้อาวุธด้วยฝีมือเช่นนี้ก็ไม่ทำให้บลูตกเป็นรองมากมายนัก นับว่าเป็นการปิดจุดอ่อนที่มีอยู่ให้น้อยลงกว่าเดิม แต่ตลอดเวลาที่เขาฝึกเพลงกระบองนั้นก็ครุ่นคิดอยู่ตลอดว่าห้วงแห่งนิมิตคืออะไรกันแน่ ลอบตกลงกับตนเองว่าหากพบราเฟริคอีกครั้งหนึ่งจะต้องไต่ถามให้แน่ชัด
                    ราเฟริคลูบเคราขาวของตนเองด้วยทวงท่าอันเคยชิน กล่าวราวกับปราชญ์ชราที่เปี่ยมไปด้วยภูมิปัญญาว่า “ห้วงแห่งนิมิตหรือความฝันนั้นอาจจัดเป็นโลกอีกมิติหนึ่งก็ย่อมได้ แต่เป็นโลกที่เกิดขึ้นมาโดยจินตนาการของบุคคลหนึ่งๆ สร้างมิติทั้งมิติขึ้นมาด้วยพลังงานอันเกิดจากความคิดและจิตใต้สำนึก เจ้าอาจยังสงสัยว่าเหตุใดห้วงแห่งนิมิตของแต่ละผู้คนจึงไม่ซ้ำซ้อนอยู่ในมิติเดียวกัน ความฝันของแต่ละคนนั้นมิอาจก้าวก่ายกันได้เนื่องจากมีสิ่งที่เรียกว่า คลื่นแห่งความคิด ไม่ตรงกัน มิติทั้งมวลจึงมีอยู่หลายล้านมิติ แต่ในบางครั้งผู้ที่มีความสามารถในการปรับคลื่นแห่งความคิดให้ตรงกับผู้อื่น ดั่งเช่นข้าก็สามารถแทรกตนเองเข้าไปในห้วงแห่งนิมิตของบุคคลที่ถูกปรับคลื่นความคิดให้ตรงกันได้ ปรากฏการณ์พิเศษเช่นนี้สามารถเกิดขึ้นได้กับบุคคลทั่วไป ที่มีจิตสัมพันธ์ต่อเชื่อมถึงกัน ดั่งเช่นคนสนิทหรือผู้ที่ใกล้ชิด ที่มักจะสามารถจับคลื่นความคิดของบุคคลที่ตนเองต้องการจะพบได้เมื่อมีความปรารถนาอันแรงกล้า จนสามารถปรากฏตัวอยู่ในห้วงแห่งนิมิตของอีกฝ่ายหนึ่งได้สำเร็จ และโดยส่วนใหญ่แล้วเงื่อนความปราถนาอันแรงกล้าเหล่านั้นจะบังเกิดก็ต่อเมื่อบุคคลนั้นเหลือเพียงจิตวิญญาณปราศจากร่ายกาย ดั่งเช่นการที่คู่รักที่เคยใกล้ชิดสนิทสนมด้วยกันเป็นเวลานานจำต้องแยกจากกันด้วยการตายของอีกคนหนึ่งอย่างกระทันหัน ในบางครั้งพวกเขาสามารถพบกันในความฝันที่เหมือนกันทุกประการ เนื่องเพราะคลื่นความคิดของทั้งสองนั้นตรงกัน”
                    บลูรับฟังพร้อมกับผงกศีรษะถี่ๆ กล่าวว่า “ข้าเข้าใจแล้ว เช่นนี้หากข้าสามารถปรับคลื่นแห่งความคิดได้ตามต้องการก็สามารถพบเจ้าได้ทุกเมื่อใช่หรือไม่?
                    ราเฟริคหัวเราะเสียงสนั่นแล้วกล่าวว่า “การปรับคลื่นแห่งความคิดนั้นมิใช่เรื่องที่กระทำกันได้ทั่วไป หาไม่แล้วผู้ที่กระทำได้คงจะสามารถเข้าไปเยี่ยมเยียนผู้อื่นในความฝันได้ตลอดเวลา ซึ่งมันผิดกับหลักแห่งธรรมชาติจริงหรือไม่? ข้าเคยบอกเจ้าไปแล้วในครั้งก่อนว่าตัวข้าเองนั้นเป็นพลังงาน และความฝันของเจ้าก็เป็นพลังงานอีกชนิดหนึ่ง การปรับให้พลังงานทั้งสองนี้ตรงกันทำให้มีคลื่นความคิดที่สอดคล้องกัน ย่อมกระทำได้ง่ายกว่าบุคคลที่เปี่ยมไปด้วยร่างเลือดเนื้อเช่นเจ้า”
                    บลูส่ายศีรษะกล่าวว่า “เจ้าลืมไปแล้วหรืออย่างไรว่าเจ้าเคยบอกว่าข้าเป็นอัจฉริยะผู้หนึ่ง หากเรื่องนี้เป็นสิ่งที่ไม่มีผู้ใดเคยกระทำได้มาก่อนย่อมเป็นเรื่องที่น่าทดลองกระทำอย่างยิ่ง แต่ถ้าหากกระทำมิได้ก็ไม่เสียหายไม่ใช่หรือ?
                    ราเฟริคมิอาจกล่าวโต้แย้งได้จึงตอบว่า “ก็ตามแต่ใจเจ้า ข้าไม่อยากที่จะห้ามหรอก ช่วงสองวันมานี้ข้าได้สังเกตการเปลี่ยนแปลงของกล้ามเนื้อและการไหลเวียนของเอลในกายเจ้าอยู่ตลอด พบว่าได้ปรับพื้นฐานเรื่องเพลงกระบองที่สำคัญๆจนหมดสิ้น ต่อไปคงจะสามารถเริ่มการฝึกขั้นประยุกต์ที่ใช้ศัสตราวุธร่วมกับเอลได้แล้วกระมัง?
                    บุรุษหนุ่มผมน้ำเงินมีทีท่ากระตือรือร้นขึ้นทันที กล่าวว่า “ยอดเยี่ยม พวกเราเริ่มการฝึกกัน ณ บัดนี้เลยเป็นอย่างไร”
                    ราเฟริคมิได้ตอบคำกลับควงกระบองขึ้นตั้งท่าพร้อมจู่โจม กวักมืออีกข้างหนึ่งเป็นเชิงให้รุกเข้ามาได้เต็มที่
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×