ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ศาสตราคู่กู้แผ่นดิน

    ลำดับตอนที่ #152 : เล่ม 5.2 - ตอนที่ 64.2 วาระสุดท้าย (1)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 928
      0
      10 พ.ค. 51

    ภาคสายโลหิตฟ้าลิขิต
    ตอนที่ 64.2 วาระสุดท้าย
    23 กุมภาพันธ์ อศ. 226
     
    “เข้ามาได้” แม่ทัพมอริแกนเอ่ยปากเมื่อได้ยินคำรายงานที่มาจากทหารภายใต้การบังคับบัญชาของตนเอง
                    ผู้ที่เดินเข้ามาเป็นชายชราผู้หนึ่ง ตามร่างมีริ้วรอยเหี่ยวย่นปะปนกับแผลฟกช้ำดำเขียว ใบหน้าที่เคยดูแจ่มใสก็ซูบซีดลงอย่างเห็นได้ชัด พบเห็นแผลถลอกปอกเปิกอยู่เป็นหย่อม โดยเฉพาะแขนข้างซ้ายที่บาดเจ็บหนักจำต้องพันผ้าพันแผลเอาไว้ เห็นเป็นรอยโลหิตไหลซึมออกมาจากแผลที่เป็นทางยาวกว่าฝ่ามือ
                    “ลูกไก ...” ชายชรากล่าวขึ้นทั้งน้ำตาแห่งความปลื้มปิติ แม้ว่าบุคคลวัยหกสิบกว่าปีนี้ถือว่าใช้ชีวิตมาได้คุ้มค่าในระดับหนึ่ง แต่ประสบการณ์อันน่าสะพรึงกลัวที่ผ่านมาเมื่อหลายวันก่อนนั้น ทำให้ชายชราคิดถึงบุตรบุญธรรมผู้นี้แทบขาดใจ วิงวอนของร้องเทพแห่งเทียร์ทุกขณะจิตว่าก่อนตายขอให้มีโอกาสได้พบเขาสักครั้งหนึ่ง
    โชคดีที่ความปรารถนาของชายชรานั้นเป็นจริง มีคนอีกสักเท่าใดที่ไม่มีโอกาสเช่นนี้
                    ไกเบิกตาโพลงเมื่อพบเห็นบิดาของตนยังมีชีวิตรอด จึงตรงเข้าไปสวมกอดบิดาด้วยความยินดี กล่าวว่า “ท่านพ่อ ... เหตุใดท่านถึงได้บาดเจ็บเช่นนี้ เป็นพวกอัศวินดำใช่หรือไม่ที่ลงมือเหยียบย่ำหมู่บ้านด้วยความอำมหิต?
                    ชายชราสวมกอดบุตรชายด้วยแขนที่ไม่ใคร่จะสมประกอบนัก กล่าวว่า “ทหารเหล่านั้นเป็นพวกใดข้าเองก็ไม่ทราบ แต่หัวหน้าของมันเป็นบุรุษหนุ่มชาวนอร์สวมชุดสีดำ สั่งการให้ลูกน้องลงมือเผาหมู่บ้านของเราจนวอดวาย ผู้คนหลายคนที่หนีไม่ทันกลับต้องสังเวยชีวิตไม่ก็ถูกจับเป็นเชลย”
                    ไกได้ยินเช่นนั้นก็แทบกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ ในใจนึกแค้นอัศวินดำหมายเลขแปดลอบสาบานในใจว่าสักวันหนึ่งจะต้องสังหารผู้นี้ให้จงได้
    โรซาไลน์ที่อยู่ด้านข้างรู้สึกซาบซึ้งไปกับเหตุการณ์ที่กระชากอารมณ์เช่นนี้ จนอดมิได้ที่จะหลั่งน้ำตาออกมา
    “ท่านแม่เป็นอย่างไรบ้าง?” ไกถามขึ้นในทันใดเมื่อกวาดสายตามองไปด้านหลังแล้วไม่พบเห็นเงามารดาของตน จิตใจถึงกับหล่นไปอยู่ที่ข้อเท้าหวังว่าอย่าให้ความจริงเป็นอย่างที่เขาคำนึง
    ชายชราหลั่งน้ำตาออกมานองหน้า ส่ายศีรษะกล่าวด้วยเสียงที่สั่นเครือว่า “แม่ของเจ้า ... แม่ของเจ้าบาดเจ็บสาหัสอาการหนักกว่าที่คิดไว้ ดีที่ได้แพทย์ผู้หนึ่งที่เมืองเจนีสเหนือช่วยรักษาไว้ได้ทันท่วงที แต่อาการของแม่เจ้าก็ยังไม่พ้นขอบเขตอันตราย ดีไม่ดีอาจจะ ...” กล่าวถึงตอนนี้ชายชราก็มิอาจพูดต่อไป
    มือปราบชั้นหนึ่งหันหลังกลับไปหาที่ประชุมด้วยจิตใจที่ไม่อยู่กับเนื้อกับตัว กล่าวว่า “ขออนุญาตท่านผู้นำการาดอส”
    “จงรีบไปเถิด ข้าหวังว่ามารดาของเจ้าจะหายดีในเร็ววัน” ผู้นำการาดอสกล่าว
    ทันใดนั้นเองมือปราบไกก็โอบอุ้มบิดาชราของตนรุดออกไปจากตึกที่ทำการ มุ่งไปยังที่พักของมารดาด้วยความเร็วประดุจสายลม กุนซือราเมสและแม่ทัพมอริแกนที่เหม่อมองอยู่ด้านหลังนั้นทราบดีว่า การโอบอุ้มคนผู้หนึ่งวิ่งความเร็วระดับนี้ต่อให้เป็นพวกเขาที่อยู่ในสภาพพร้อมถึงขีดสุดก็มิอาจกระทำได้
    ขณะที่โรซาไลน์กำลังจะติดตามไกไป ชานอนก็ได้คว้าไหล่ของนางเอาไว้พร้อมกับส่ายศีรษะครั้งหนึ่งเป็นเชิงห้ามปราม สตรีทั้งสองนางที่มีจิตใจตรงกันจึงได้แต่ส่งสายตาแห่งความเป็นห่วงเป็นใยตามหลัง
    ถึงจุดนี้กุนซือราเมสก็กล่าวปิดประชุม ส่วนแม่ทัพมอริแกนก็นัดหมายให้บลูกับโรซาไลน์มาพบในช่วงเวลาถัดไป เพื่อเตรียมการที่จะเดินทางลงใต้สู่เขตแดนของราชอาณาจักรลาเวนดิส
     
    ณ บ้านพักผู้ลี้ภัย
                    สองบุรุษหนึ่งชราหนึ่งฉกรรจ์กำลังมองหญิงชราผู้หนึ่งด้วยความเป็นห่วง หญิงชราใบหน้าซูบซีดทอดกายนอนอยู่บนเตียงมิอาจช่วยเหลือตนเองได้ แม้ภายนอกไม่มีบาดแผลให้เห็นเด่นชัด แต่อาการบอบช้ำภายในกลับรุนแรงถึงขนาดมิอาจเยียวยารักษา
                    “ท่านแม่” ไกโน้มใบหน้าเข้าไปที่ข้างหูของหญิงชรากล่าวด้วยน้ำเสียงที่รันทดยิ่ง ใช้มือสองข้างกุมหลังมือของมารดาส่งมอบความรู้สึกและความรักไปยังสตรีนางนี้
                    ไม่มีเสียงใดๆตอบรับจากหญิงชรา นอกเสียจากเสียงผ่อนลมหายใจเข้าออกเป็นจังหวะในยามหลับสนิท นิ้วของมารดายังมีความอบอุ่นอยู่บ้าง แต่ก็มิได้กระดิกตอบรับการกุมมือของบุตร
                    ชายชราใช้มือข้างหนึ่งวางไว้บนไหล่ของลูกตน กล่าวว่า “แม่ของเจ้าพึ่งจะหลับไปไม่นาน ก่อนหน้านี้นางต้องทนความเจ็บปวดนอนร้องโอดโอยอยู่บนเตียง หลังจากที่พยาบาลใต้สังกัดเจนีสผู้หนึ่งเข้ามาดูอาการให้ยาขนานหนึ่ง ก็เห็นว่าสีหน้านางดีขึ้นเล็กน้อยจนสามารถหลับสนิทอย่างที่เจ้าเห็น”
                    “ท่านพ่อทราบหรือไม่ว่าท่านแม่เป็นอะไรถึงได้ตกอยู่ในสภาพเช่นนี้ ร่างกายท่านเหมือนมิใช่ถูกอาวุธของมีคมทำร้าย” ไกยังคงจับจ้องไปที่ใบหน้าของมารดาอย่างไม่ลดละ ในใจส่วนหนึ่งก็ดีใจที่มารดายังคงมีชีวิตอยู่แต่อีกส่วนหนึ่งก็ปรารถนาจะสับผู้ที่ทำร้ายมารดาของตนเป็นหมื่นท่อน
                    บิดาของไกถอนหายใจครั้งหนึ่ง กล่าวว่า “ในตอนนั้นเป็นช่วงที่โกลาหลวุ่นวายที่สุด ข้ากับแม่เจ้าพากันหนีออกมาได้ราวห้าร้อยวาก็ถูกทหารม้ากลุ่มหนึ่งไล่กวดเข้ามาจนทัน ตอนนั้นเองชาวบ้านที่ยังหนุ่มแน่นหลายคนก็จับอาวุธเข้าสู้ ผลก็ไม่ต้องคาดคิดว่าพวกเขาล้วนถูกสังหารสิ้น ส่วนข้ากับแม่เจ้านั้นก็พลัดหลงจากกันไม่ทราบว่าเป็นตายร้ายดีประการใด ต่างคนต่างหาทางดิ้นรนเอาชีวิตรอดโ สุดท้ายอีกวันหนึ่งให้หลังกลับได้มาพบกันที่บริเวณกำแพงเมืองเจนีสเหนือแห่งนี้ ในตอนนั้นมารดาของเจ้าอาการบอบช้ำแสนสาหัส ข้าต้องให้มารดาเจ้านอนบนเกวียนลากมาจนถึงที่พักที่นี่ นางอาเจียนออกมาเป็นโลหิตหลายครั้งจนข้าทำอะไรไม่ถูก ต้องออกไปตามแพทย์มารักษาเป็นการใหญ่”
                    ไกส่ายศีรษะกล่าวทั้งน้ำตาที่เอ่อล้นขอบเบ้าว่า “หากข้าอยู่ที่นั่นด้วยล่ะก็ เรื่องเช่นนี้คงจะไม่เกินขึ้น”
                    “เจ้าอย่าโทษตนเองไปเลย ครอบครัวของเรานั้นมีสภาพดีกว่าครอบครัวอื่นมากนัก ที่ทั้งสามพ่อแม่ลูกยังคงมีชีวิตอยู่และมีโอกาสได้กลับมาพบหน้ากันอีกครั้ง แต่บางครอบครัวกลับไม่มีโอกาสเช่นนี้ บ้างก็สูญเสียสมาชิกทั้งหมดไป บ้างก็สูญเสียคนใดคนหนึ่งในครอบครัวไป แต่ก็มิอาจเทียบได้กับครอบครัวที่หลงเหลือเพียงบุตรเยาว์วัย ที่ต้องใช้ชีวิตอยู่ในโลกโดยไม่มีผู้ใดให้พึ่งพิง” ชายชรากล่าวด้วยสีหน้าที่หดหู่
                    ขณะที่ไกกำลังจะกล่าวตอบอันใดนั้น นิ้วมือของมารดาพลันขยับขึ้น ส่งผลให้มือปราบชั้นหนึ่งหันหน้าไปมองมารดา พบว่ามารดาของตนกำลังรู้สึกตัว
                    “ท่านแม่”
                    เปลือกตาทั้งสองที่ผ่านโลกมาเกือบหกสิบปีค่อยๆเปิดขึ้น เมื่อพบว่าสิ่งที่สำคัญที่สุดในโลกรอคอยนางอยู่เบื้องหน้า ใบหน้าที่มีสีหน้าอิดโรยก็ค่อยๆผ่องใสขึ้นตามลำดับ ริมฝีปากที่แตกแห้งค่อยขยับขึ้นลงราวกับว่าจะส่งเสียงใดๆ จนสุดท้ายวาจาแรกที่เล็ดรอดออกจากสตรีผู้นี้ก็คือคำว่า ลูก
                    น้ำตาที่มิอาจกั้นไว้ได้ก็หยาดหยดลงมาเป็นทาง มือปราบรู้สึกสงสารมารดาตนจับใจที่ต้องมาเป็นเหยื่อของสงครามเช่นนี้ กล่าวตอบไปว่า “ข้าอยู่ที่นี่แล้วท่านแม่”
                    สิ่งที่มารดากระทำได้ในตอนนี้ก็คือยิ้ม ไกสังเกตเห็นรอยยิ้มบริเวณมุมปากของท่าน รอยยิ้มที่เกิดจากความอิ่มเอมใจที่ได้พบบุตรชายอีกครั้ง ซึ่งริมฝีปากของนางก็พยายามขยับเขยื้อนจะกล่าววาจาเพิ่มเติม
                    ไกกลับกล่าวทัดทานว่า “ท่านแม่อย่าพึ่งฝืนกล่าววาจาเลย ข้าจะอยู่กับท่านแม่ไม่ไปไหนทั้งสิ้น โปรดนอนพักผ่อนจนกว่าจะหายดี”
                    แต่ที่ไหนได้มารดากลับส่ายหน้าด้วยสีหน้าเต็มฝืน พยายามกล่าวว่า “แม่ ... รัก ... ลูก”
                    วินาทีนั้นเองไกก็เข้าไปสวมกอดมารดาไว้ด้วยความรักทั้งหมดที่มี คำนึงว่าในโลกใบนี้ผู้ที่รักตนเองมากที่สุดจะเป็นใครได้อีกนอกจากสตรีนางนี้
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×