ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ศาสตราคู่กู้แผ่นดิน

    ลำดับตอนที่ #159 : เล่ม 5.2 - ตอนที่ 65.2 - สัมผัสมิอาจเลือน (3)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 936
      0
      21 พ.ค. 51

    ระหว่างที่มารดากับบุตรทั้งสองร่ำลากันเป็นครั้งสุดท้ายนั้น ผู้นำการาดอสก็ได้ขยายความเรื่องราวในรายละเอียดให้กุนซือราเมสรับฟัง
                    มินดาเทียเดินออกมาจากห้องข้างเคียงพร้อมกับบุตรชาย หยิบจดหมายฉบับหนึ่งมอบให้กับการาดอสที่นอนอยู่บนเตียง กล่าวว่า “บัดนี้ข้าได้สั่งเสียเรื่องราวหนหลังเกือบครบทุกสิ่งแล้ว ขอให้ท่านผู้นำโปรดอ่านจดหมายฉบับนี้ผ่านตาสักรอบหนึ่ง เนื้อความด้านในนั้นกล่าวถึงรายละเอียดของเหตุการณ์เมื่อยี่สิบห้าปีก่อนเท่าที่ข้าพอจะจำความได้ อย่างน้อยก็สามารถใช้เป็นหลักฐานหากอนาคตมีผู้ใดต้องการสืบเสาะเรื่องราวที่มีข้าเพียงเป็นพยานคนเดียวที่รอดชีวิต”
                    การาดอสรับฟังดังนั้นก็เข้าใจว่ามินดาเทียหมายถึงเรื่องราวอันใด คงจะไม่พ้นเรื่องของการเสียชีวิตขององค์ราชินีคนก่อนผู้เป็นพระมเหสีของราชันย์กาเรีย รัชทายาท ตลอดจนชะตากรรมของกองทหารรักษาพระองค์อีกห้าร้อยกว่านาย ผู้นำกลุ่มปลดปล่อยเจนีสตั้งใจว่าหากบ้านเมืองกลับคืนสู่ความสงบสุขเมื่อใด จะจัดสร้างอนุสาวรีย์รำลึกถึงเหตุการณ์เมื่อยี่สิบห้าปีก่อนเทิดทูนเกียรติยศและชีวิตของบุคคลทั้งหมดที่ต้องพลีชีพไปเพื่อปกป้องเอกราชของบ้านเมือง
                    “ขอบใจเจ้ามาก” การาดอสกล่าวพร้อมยื่นมือรับจดหมายฉบับนั้นไว้
                    “เรื่องนี้คงจะเป็นสิ่งสุดท้ายของชีวิตข้าที่ต้องการกระทำให้ลุล่วง หากไม่นับรวมการหยุดยั้งสงครามและกอบกู้ชาติบ้านเมืองที่ข้ามิอาจมีชีวิตอยู่จนถึงเวลานั้นได้” มินดาเทียฝืนยิ้มแล้วกล่าวต่อไปว่า “ถึงเวลาของข้าแล้วที่จะต้องจากไป ขออภัยที่ข้ามิอาจอยู่ช่วยเหลือเรื่องราวที่เหลือได้ ทุกสิ่งทุกอย่างขอฝากไว้กับบุตรชาย ให้เขากระทำหน้าที่แทนข้าที่จำต้องจากไปก่อนก้าวหนึ่ง”
                    มือปราบไกที่เตรียมใจไว้ก่อนหน้านี้มีท่าทีต่างไป มิได้เศร้าโศกเสียใจจนมิอาจรับความจริงตรงหน้าได้อีก พลางใช้มือทั้งสองกุมมือที่อบอุ่นของมารดาไว้ กล่าวว่า “จากไปให้สบายท่านแม่ เรื่องราวทุกประการโปรดวางใจในตัวข้า พักผ่อนให้สงบอย่าได้วิตกในเรื่องราวหนหลังอันใด ข้าจะกระทำในส่วนของท่านแม่เอง”
                    รอยยิ้มของมินดาเทียที่เคยยิ้มอย่างเต็มฝืนเปลี่ยนเป็นรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความสุข มือที่เคยอบอุ่นก็กลับกลายเป็นเย็นเยียบ ร่างกายที่เป็นร่างเลือดเนื้อพลันค่อยๆโปร่งใสมีแสงสว่างสีน้ำเงินจางๆแผ่ออกมา หญิงชราหลับตาทั้งสองข้างด้วยความหมดกังวล แสงจากเอลแห่งน้ำแข็งกระจายออกไปทั่วห้องนอนของผู้นำคนปัจจุบันของเจนีส สาดเป็นสีน้ำเงินที่เบาบางแล้วบรรจงเข้มขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งความเข้มของแสงบรรลุถึงจุดสูงสุดที่จ้าจนมิอาจมองได้ด้วยตาเปล่า บุคคลทั้งสามที่อยู่ในห้องจำต้องปิดตาตนเองมิอาจมองเงาร่างของมินดาเทียต่อไป บรรยากาศที่เคยอบอุ่นจากเตาไฟที่แผ่ความร้อนออกมาทั่วห้องก็กลายเป็นเย็นยะเยือก ไม่ต้องคาดเดาก็ทราบได้ว่าเป็นผลจากเอลกาลเวลาประดุจห้วงน้ำแข็งขั้นสุดท้าย แต่ความหนาวเย็นเช่นนี้กลับเป็นเสมือนเชื้อไฟอันร้อนระอุ ที่เติมให้กับผู้สืบทอดสายเลือดแห่งน้ำแข็งคนสุดท้าย จนเวลาผ่านไปราวสองสามนาทีแสงสว่างจ้าสีน้ำเงินนั้นก็ค่อยๆเบาบางลง จนกระทั่งบุคคลทั้งสามสามารถลืมตาได้อีกครา
                    เป็นดั่งคาดร่างของหญิงชราได้หายไปจากโลกใบนี้แล้ว ทิ้งเอาไว้เพียงดาบสีทองอร่ามเล่มหนึ่งที่มองปราดเดียวก็ทราบได้ว่าเป็นยอดของยอดศัสตราวุธในแดนดิน อันมีนามว่า “กุญแจแห่งพิภพ” กับสร้อยคอทองคำขาวเส้นหนึ่งที่ไม่เคยอยู่ห่างจากกายมารดามาก่อน คล้องไว้ด้วยจี้ทองคำขาวแกะสลักเป็นสัญลักษณ์ของเอลแห่งน้ำแข็ง คาดว่าเป็นสิ่งสุดท้ายที่นางหลงเหลือเอาไว้เป็นที่ระลึก
                    มือปราบไกทอดถอนหายใจครั้งหนึ่งเดินเข้าไปใกล้ของทั้งสองสิ่ง ทอดสายตามองสร้อยทองคำขาวเส้นนั้นก่อนเป็นอันดับแรก ในขณะที่ละเลยหนึ่งในศาสตราคู่กู้แผ่นดินที่ผู้คนทั่วหล้าต่างหมายปองไปเสีย ใช้มืออันสั่นเทาข้างที่สัมผัสกับมารดาเมื่อครู่หยิบสร้อยคอเส้นนั้นขึ้นมา พบว่ายังคงมีความอบอุ่นหลงเหลือเอาไว้อยู่บ้างเล็กน้อย จึงหลับตาน้อมรำลึกถึงมารดาอีกครั้ง ก่อนที่จะคล้องสร้อยของมารดาเอาไว้กับลำคอของตนพร้อมหยดน้ำตาที่ต้องหลั่งลงมาอีกครั้ง สาบานว่าต่อจากนี้จนสิ้นลมหายใจ จะไม่ยอมให้สร้อยเส้นนี้อยู่ห่างกายแม้แต่เสี้ยววินาที
                    เป็นเรื่องที่น่าแปลกสำหรับมนุษย์ปุถุชน ของล้ำค่าที่ผู้คนทั้งโลกต่างหมายปองอาจไม่มีคุณค่าทางจิตใจเท่ากับของชิ้นหนึ่งที่ไม่มีผู้ใดเหลียวแล
                    “พักผ่อนให้สบายท่านแม่” เป็นคำอำลาสุดท้ายของมือปราบผู้นี้ ไกจับด้ามของดาบที่ทำจากโลหะโอริฮาลกอนสีทองคำ ที่มีขอบตามแนวคมคาบเป็นสีเงินตรงกันข้ามกับสีของตัวดาบซึ่งเป็นสีทองขึ้นมา ประกายดาบเปล่งแสงสีทองนวลเนียนไร้รอยตำหนิ แม้ว่าจะใช้ยอดศัสตราวุธเล่มใดในโลกก็มิอาจสร้างรอยขีดข่วนให้กับยอดศัสตราวุธเล่มนี้สักรอยหนึ่ง นอกเสียจากจะเป็นยอดศัสตราวุธในระดับเดียวกันที่มีนามว่ากุญแจแห่งสวรรค์
                    มือปราบไกบรรจงพิศดูสุดยอดศาสตราเล่มนี้ดูพักหนึ่ง ในใจกลับเกิดเป็นรสชาติแปลกประหลาด หากไม่มีดาบเล่มนี้มารดาของตนคงจะไม่ต้องสละชีวิตเข้าปกป้อง แต่ในเมื่อมารดายอมกระทำถึงเพียงนั้น เขาย่อมต้องกระทำต่อไปให้ถึงที่สุด จึงเดินเข้าไปหาผู้นำการาดอสพร้อมกล่าวว่า “สมบัติชิ้นนี้เป็นของราชวงศ์เจนีส ข้าในฐานะของทายาทผู้ที่ปกป้องมันย่อมต้องมอบคืนให้กับราชวงศ์อีกครั้งหนึ่ง ขอโปรดรับไว้ด้วยท่านผู้นำ”
                    แท้จริงแล้วผู้นำการาดอสไม่มีความต้องการในยอดศาสตราเล่มนี้เช่นกัน หากไกไม่มอบให้ก็จะไม่มีทางเอ่ยปากขอคืนเป็นอันขาด เขาทราบดีว่าชีวิตของบุคคลที่ปกป้องมันนั้นมีความสำคัญเพียงใด แต่เมื่อมือปราบไกยินยอมที่จะมอบสมบัติล้ำค่าคืนแก่ราชวงศ์ การาดอสก็พร้อมที่จะรับมันไว้และยินยอมที่จะปกป้องมันด้วยชีวิต จึงกล่าวตอบไปว่า “ขอบคุณเจ้าและมารดาที่กระทำเพื่อประเทศเจนีสมากมายถึงเพียงนี้ ข้าการาดอสขอให้สัตย์ปฏิญาณว่าจะปกป้องกุญแจแห่งพิภพนี้ไว้ด้วยชีวิต”
                    กุนซือราเมสที่ยืนอยู่ด้านข้างก็กล่าวขึ้นว่า “ข้าเองก็มีความตั้งใจไม่ต่างกัน”
                    ทันใดที่มือของผู้นำการาดอสสัมผัสกับยอดศัสตราวุธ ก็พบว่ามีความรู้สึกอันแปลกประหลาดกำเนิดขึ้น ซันจำนวนมหาศาลถ่ายทอดจากตัวดาบเข้าสู่ร่างเขาในบัดดล!
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×