ลำดับตอนที่ #162
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #162 : เล่ม 5.2 - ตอนที่ 66.2 สองเอกอัครราชทูต (2)
“ท่านเอกอัครราชทูตลองทบทวนให้ดีเสียว่า เหมืองแร่เอลไลท์เหมืองหนึ่งนั้นมีมูลค่ามากมายมหาศาลเท่าใด หากจะคำนวณกันตามจริงแล้ว แร่เอลไลท์ที่สกัดได้จากเหมืองทางตอนใต้ของเมืองแห่งนี้ตกยี่สิบกว่าชั่งต่อวัน เมื่อประเมินเป็นมูลค่าตามสกุลเงินตราก็ต้องไม่ต่ำกว่าสองพันห้าร้อยเหรียญทอง เทียบเป็นมูลค่าต่อเดือนก็ตกประมาณเจ็ดหมื่นห้าพันเหรียญทองต่อเดือน เงินจำนวนนี้สามารถเทียบได้กับเสบียงอาหารและม้าศึกของทหารหนึ่งพันนายเป็นเวลาหนึ่งปี ในขณะที่สัญญาที่พวกเราพร้อมจะมอบให้ลาเวนดิสได้ใช้มีระยะเวลาถึงสิบปี หรืออีกหนึ่งร้อยยี่สิบเท่าของเงินตราจำนวนดังกล่าว ก็จะเทียบได้กับเสบียงอาหารและม้าศึกของทหารสิบสองหมื่นนาย ในขณะที่ทางเราต้องการทหารเพียงสามหมื่นนายเข้าปกป้องเมืองเจนีสใต้จากภัยรุกรานในครั้งนี้ เห็นได้ชัดว่าหากตีเป็นเงินตราทางลาเวนดิสจะได้เปรียบในข้อตกลงนี้อยู่ถึงสี่เท่า ท่านเอกอัครราชทูตมีความเห็นประการใด?”
เอกอัครราชทูตแห่งลาเวนดิสกล่าวตอบอย่างเยือกเย็นว่า “ผลประโยชน์เหล่านี้มากมายมหาศาลก็จริงอยู่ แต่ท่านก็ต้องคิดคำนวณถึงผลดีผลร้ายที่จะตามมาด้วย หากราชอาณาจักรลาเวนดิสเราส่งกองกำลังออกไปปกป้องเมืองเจนีสใต้ตามที่ทางเจนีสร้องขอ พวกเราคงหลีกเลี่ยงที่จะเผชิญการตอบโต้อย่างรุนแรงของจักรวรรดินอร์เสียมิได้ นับเป็นการประกาศสงครามทางอ้อมจริงหรือไม่ แล้วเช่นนี้ผลเสียที่พวกเราจะได้รับในอนาคตย่อมมากกว่าผลดีมิใช่หรือ? ท่านเอกอัครราชทูตอาจเห็นว่าพวกเราอยู่ไกลลงไปทางใต้นั้นจะประเมินค่าของกองทัพนอร์สูงเกินไป แต่พวกเราหาเป็นเช่นนั้นไม่ ในเมื่อตัวเลขการสูญเสียของสงครามเมื่อยี่สิบห้าปีก่อนก็เป็นที่ประจักษ์แล้วว่าการกระโจนเข้าสู่สงครามครั้งหนึ่ง ต้องจ่ายค่าตอบแทนสูงต่ำสักเท่าใด ขอให้เข้าใจด้วยเหตุผลประการเช่นนี้”
บลูพยักหน้าใช้สมองอันฉับไวนึกถึงคำกล่าวของเนรอส แล้วถ่ายทอดออกไปว่า “มิใช่ว่าข้าจะไม่เคารพในความคิดเห็นของท่านมาร์ควิส แต่ในส่วนตัวนั้นข้าเห็นว่าความคิดดังกล่าวมีความถูกต้องเพียงกึ่งหนึ่ง”
“ท่านเอกอัครราชทูตโปรดชี้แจง”
“หากท่านมาร์ควิสลองมองในมุมกลับก็จะเห็นจุดอ่อนอีกประการหนึ่ง ถ้าเกิดว่าทางราชอาณาจักรลาเวนดิสตัดสินใจไม่ส่งกองกำลังมาช่วยเหลือเมืองเจนีสใต้แล้วจะเป็นเช่นไร ประการแรกคือมีโอกาสที่เมืองเจนีสเหนือใต้จะถูกยึดครองโดยจักรวรรดินอร์ ประชาชนชาวลาเวนดิสกว่าหลายพันคนอาจต้องทิ้งชีวิตไว้หรือกลายเป็นบุคคลไร้ที่อยู่อาศัย ธุรกิจหลายประการที่ทางลาเวนดิสมีส่วนในเมืองเจนีสใต้จะต้องถูกทำลายไปสิ้น เงินตราที่เคยไหลเข้ามาจากเมืองเจนีสใต้ก็จะหยุดลง ไม่เพียงเท่านี้แต่ทั้งหมดจะถูกยึดครองโดยจักรวรรดินอร์ ตกอยู่ภายใต้การปกครองของจักรพรรดิเวอร์น่อนอย่างหลีกเลี่ยงมิได้ แล้วพวกท่านคิดว่าจักรพรรดิเวอร์น่อนที่กระหายอำนาจจะปล่อยลาเวนดิสให้อยู่อย่างเป็นสุขอย่างนั้นหรือ? ร้อยทั้งร้อยคำตอบที่ได้ก็คือไม่ ทันทีที่เมืองเจนีสเหนือใต้และสหพันธรัฐนอร์ที่นำโดยผู้ปกครองคาร์ลตกอยู่ภายใต้การปกครองของมัน เป้าหมายต่อไปย่อมต้องเป็นลาเวนดิสเสียแน่แท้ และสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือ เหมืองแร่เอลไลท์ทั้งห้าเหมืองที่อยู่ภายใต้การครอบครองของเจนีสจะต้องตกอยู่ในมือของเวอร์น่อนทั้งสิ้น ถึงบัดนั้นแล้วราชอาณาจักรลาเวนดิสจะต้องประสบปัญหาขาดแคลนแหล่งแร่พลังงานเสียเก้าส่วน ความได้เปรียบเสียเปรียบก็จะถูกกำหนดขึ้นใหม่ โดยโน้มเอียงไปทางจักรวรรดินอร์ที่มีกองทหารเข้มแข็งและทรัพยากรอันสมบูรณ์แบบเสียเป็นแน่ นี่ข้ามิใช่ว่าจะกล่าวบิดเบือนความเป็นจริงหรือดูหมิ่นกองทัพเอลลิสของราชอาณาจักรลาเวนดิสแต่อย่างใด เพียงแค่วิเคราะห์ไปตามเนื้อผ้าทำนายเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นก็เท่านั้น จึงอยากจะขอให้ท่านมาร์ควิสใคร่ครวญดูอีกครั้ง ว่าผลประโยชน์ที่พวกเราหยิบยื่นให้นั้นเพียงพอหรือไม่ หรือว่าต้องการผลประโยชน์พิเศษประการใดเพิ่มเติมก็สามารถร้องขอได้อย่างเต็มที่ หากทางเราเห็นว่าสมควรพอเหมาะก็จะหยิบยื่นให้อย่างไม่รอรี”
ประโยคสุดท้ายนั้นบลูหยอดเป็นนัยว่า หากเจ้าต้องการสินบนทางเราก็ยินดีที่จะเสนอให้ตามสมควร นับเป็นการเปิดช่องว่างอย่างหนึ่งโดยมิให้ฝ่ายตรงข้ามเสียหน้า
มาร์ควิสมาร์เวอริคคำนึงว่า ‘บุรุษหนุ่มตรงหน้านี้มีคารมคมคายหาได้เป็นรองอดีตที่ปรึกษาและเอกอัครราชทูตลาวิชไม่ สมกับเป็นผู้ที่สืบทอดเจตนารมณ์ของวีรบุรุษผู้ล่วงลับ’ แต่อย่างไรก็ตามมาร์เวอริคที่มีคำตอบในใจแล้วก็มิอาจโยกคลอนได้ กล่าวตอบกลับไปว่า “ก่อนอื่นพวกเรายังไม่มีทางรู้ว่าท่าทีของจักรวรรดินอร์ที่มีต่อลาเวนดิสจะเป็นเช่นไรจริงหรือไม่? หากจักรวรรดินอร์หมายจะทำสงครามกับพวกเราจริงทางราชอาณาจักรลาเวนดิสเราก็พอจะมีหนทางรอดจากสถานการณ์เลวร้ายได้หลายประการ ไม่ว่าจะเป็นการหยิบยืมเอลไลท์จากประเทศข้างเคียงเช่นนครมิสต์หรือสหพันธรัฐเอนเซล เมื่อใดก็ตามที่ทางจักรวรรดินอร์แผ่อำนาจออกมานอกเขตที่ควรจะเป็น เมื่อนั้นลาเวนดิสก็พร้อมที่จะจับมือเป็นพันธมิตรกับอีกสองรัฐที่เหลือ ยกกองทัพเข้าต่อต้านกองกำลังดังกล่าวเอง ส่วนปัญหาเรื่องผู้คนชาวลาเวนดิสเราอาจต้องมาทิ้งชีวิตเอาไว้ ณ ที่แห่งนี้พวกเราล้วนจัดการได้ เหตุที่มาสนทนาก็เพื่อที่จะอพยพโยกย้ายประชาชนชาวลาเวนดิสกลับถิ่นฐานทางตอนใต้ จัดหาสถานที่อยู่อาศัยถาวรแห่งใหม่ให้กับพวกเขาตามพระประสงค์ขององค์ราชินีมากาเร็ต จึงอยากที่จะขออนุญาตท่านเอกอัครราชทูตที่มีอำนาจแทนผู้นำการาดอสเสียก่อนว่าจะขัดข้องประการใดหรือไม่?”
จากคำกล่าวเมื่อครู่ทำให้บลูทราบได้ทันทีว่ามาร์ควิสผู้นี้ไม่มีเจตนาที่จะช่วยเหลือเจนีสใต้แม้แต่น้อย หากสนทนาต่อไปก็รังแต่จะเสียเวลาเปล่า ดูเหมือนว่าเขาคงต้องทำอะไรสักอย่างเพื่อที่จะได้เข้าเฝ้าองค์ราชินีมากาเร็ต หาไม่แล้วชะตาชีวิตของเมืองเจนีสอาจต้องจบสิ้นเพียงเท่านี้ กล่าวตอบไปว่า “ทางพวกเราคงจะไม่มีสิทธิ์ใดที่จะขัดข้องการกระทำดังกล่าวได้ หากท่านมาร์ควิสต้องการความช่วยเหลือประการใดในการอพยพโยกย้ายราษฎรก็สามารถบอกมาอย่างเต็มที่ ทางเราซึ่งเป็นเหมือนบ้านใกล้เมืองเคียงยินดีที่จะสนับสนุน”
มาร์ควิสมาร์เวอริคกล่าวอย่างปลอดโปร่งว่า “เรื่องนี้คงไม่จำเป็นต้องให้ท่านเอกอัครราชทูตกังวลใจ ศักยภาพของกองทัพลาเวนดิสสามารถกระทำเรื่องการอพยพได้สำเร็จอย่างไม่ยากเย็น ทหารทั้งห้าร้อยนายที่ทางเรานำมาด้วยก็เพื่อการนี้ สำหรับอาหารในค่ำคืนนี้เป็นที่ถูกปากเสียทุกอย่างข้าต้องขอบคุณในการต้อนรับอันอบอุ่นเป็นอย่างยิ่ง ถ้าหากไม่มีเรื่องอันใดแล้ว ก็ต้องขอกล่าวคำอำลา”
บลูลอบด่าสิงห์เฒ่าผู้นี้อยู่ในใจที่มิให้ความร่วมมือแม้แต่ด้านเดียว แต่ภายนอกนั้นก็มิอาจที่จะโต้แย้งอย่างไรได้ จำต้องรักษาความสัมพันธ์ของบ้านเมืองเป็นอันดับแรก จึงกล่าวว่า “ทางเราก็ต้องขอบคุณเช่นกันที่ท่านมาร์ควิสอุตส่าห์มาเยือน เชิญท่านมาร์ควิสตามสะดวก”
มาร์เวอริคพลันลุกขึ้นยืน กล่าวว่า “ขอบคุณท่านเอกอัครราชทูต”
บลูตะโกนเรียกนายกองบาลินที่คุ้มครองอยู่หน้าห้องให้ดำเนินการส่งแขก พลางทอดสายตามองมาร์เวอริค เทล เบริลเลียผู้นี้อย่างไม่สบใจสักเท่าใด คำนึงว่า ‘นึกไม่ถึงว่าโอกาสหนึ่งส่วนที่จะพบกับผลลัพธ์เช่นนี้จะเป็นจริง เห็นทีจะต้องหาช่องทางอื่นในการชักชวนให้ลาเวนดิสยินยอมส่งทหารมาช่วยเหลือ แต่ทุกประการนั้นคงต้องเริ่มต้นที่กรุงเดว่า ก่อนที่กองกำลังของจักรวรรดินอร์จะเข้าประชิดเจนีสเหนือในเร็ววัน’
ขณะที่บลูทอดถอนหายใจที่การเจรจาประสบกับความล้มเหลวนั้น พลันเหลือบไปเห็นจดหมายฉบับหนึ่งปลิวเข้ามาในหน้าต่างห้องจึงจ้องมองด้วยความประหลาดใจ แต่สิ่งที่ทำให้บลูประหลาดใจไปยิ่งกว่ากลับมิใช่การที่มีจดหมายลึกลับลอยเข้ามาเช่นนี้
แต่เป็นกลิ่นที่ติดอยู่บนซองจดหมายนั้นต่างหาก กลิ่นหอมจางๆที่คุ้นเคยที่ระเหยออกมาจากร่างสตรีผมทองเมื่อช่วงเย็นที่ผ่านมา
บลูเห็นดังนั้นจึงรีบหยิบจดหมายขึ้นมาเปิดอ่านด้วยความว่องไว พบว่าภายในมีเนื้อความเพียงประโยคเดียวว่า “เรียนเชิญท่านที่ประตูเมืองทิศตะวันตก เวลาแสงแรกของอาทิตย์ในยามเช้า” ที่สอดคล้องกับคำกล่าวก่อนอำลาของนางทุกประการ
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น