ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ศาสตราคู่กู้แผ่นดิน

    ลำดับตอนที่ #174 : เล่ม 6 - ตอนที่ 76 สองจอมทัพมังกร (3-4)

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 2.02K
      0
      27 มิ.ย. 51

    ขณะเดียวกัน การประชุมอีกแห่งหนึ่งก็ได้เริ่มขึ้น ณ เมืองเจนีสเหนือ
                    สตรีสาวผู้หนึ่งจากไปในฐานะของพลเมืองสามัญแต่กลับมาด้วยอีกฐานะที่แตกต่างกันไปราวฟ้ากับดิน มาร์คีสโรซาไลน์ คอรันดัมกลับมาพร้อมกับกองกำลังกริฟฟอนอันเกรียงไกร ทหารฝีมือดีจำนวนห้าพันนายและกระบี่ที่หนึ่งโซโลมอนนับเป็นกำลังเสริมชั้นเลิศของเมืองเจนีสทั้งสองแห่ง
                    ขุนศึกไกที่ปัจจุบันมีตำแหน่งสูงสุดในเมืองเจนีสได้นั่งอยู่ที่หัวโต๊ะประชุมที่เคยเป็นที่นั่งของผู้นำการาดอสมาก่อน โดยมีผู้เข้าร่วมประชุมนั่งรายล้อมอยู่รอบโต๊ะยาว นั่นคือกุนซือราเมส แม่ทัพมอริแกน หน่วยข่าวกรองเนรอส จอมแพทย์วี ครูชานอน มาร์คีสโรซาไลน์ กระบี่ที่หนึ่งโซโลมอน ประธานสำนักข่าวพิราบรายวันสตีเฟ่นและองครักษ์ลาโทน่า ซึ่งหัวข้อการสนทนาจะเป็นเรื่องอื่นไปได้อย่างไร นอกเสียจากความอยู่รอดของบ้านเมือง
                    กุนซือราเมสกล่าวขึ้นก่อนว่า “นับเป็นเรื่องที่น่ายินดีของเมืองเจนีสที่ได้พันธมิตรอันเข้มแข็งอย่างราชอาณาจักรลาเวนดิสมาเข้าร่วมอุดมการณ์ต่อต้านจักรวรรดินอร์ แต่สถานการณ์ของประเทศเราทั้งสองนั้นเรียกว่าไม่สู้ดีนัก ทางทิศเหนือมีกองกำลังของมิดาส คอร์เนเลียและมู่หลงจำนวนกว่าห้าหมื่นนายเฝ้าประจำการอยู่ ส่วนทางใต้ก็ยังมีกองกำลังของสองพ่อลูกเบริลเลียร์อีกกว่าสามหมื่นนายจ่อคอหอยจ้องจะแทรกแซงอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะสถานการณ์ปัจจุบันที่ราชอาณาจักรลาเวนดิสอยู่ในรอยต่อของการเปลี่ยนแผ่นดิน”
                     กระบี่ที่หนึ่งโซโลมอนกล่าวในฐานะตัวแทนของชาวลาเวนดิสว่า “ข้าพอจะเข้าใจประเด็นของท่านกุนซือ แม้ว่าการเมืองการปกครองในราชสำนักตอนนี้อาจไม่เข้มแข็งเท่ากับสมัยที่องค์ราชินีมากาเร็ตทรงมีชีวิตอยู่ แต่เหล่าขุนนางที่จงรักภักดีของลาเวนดิสก็จะมอบความจงรักภักดีให้กับองค์ราชินีเจสสิกาโดยมิได้ลดน้อยถอยลง กองกำลังของเมืองเบริลนั้นดูเข้มแข็งก็จริงอยู่ แต่พวกท่านอย่าลืมว่ากองกำลังที่อยู่ในการปกครองของท่านมาร์ควิสลูเชียสและกระบี่ที่สองออสวอลมีจำนวนมากกว่าเกือบสี่เท่า คิดเป็นจำนวนทหารคร่าวๆได้ราวสิบเอ็ดหมื่นนาย นั่นยังมิได้นับรวมกองกำลังกริฟฟอนอีกห้าพันนายที่อยู่ภายใต้การควบคุมของท่านมาร์คีสโรซาไลน์ ก่อนที่ราชินีองค์ก่อนจะเสด็จสวรรคตพระองค์ได้รับสั่งให้ท่านมาร์คีสและข้ามาช่วยเหลือพวกท่านคุ้มครองเมืองเจนีสทั้งสอง ภายในระยะเวลาอันสั้นนี้มาร์ควิสลูเชียสจะเปิดฉากเข้าตีเมืองเบริลเสีย หากกองกำลังของมาร์เวอริคสองพ่อลูกล่มสลายพวกเราจะเปลี่ยนจากการรับศึกสองด้านมาเป็นรับศึกด้านเดียว สามารถรับมือจักรวรรดินอร์ได้อย่างเต็มที่”
                    ได้ยินเช่นนั้น สตีเฟ่นที่เป็นคนนอกมิได้มีส่วนได้ส่วนเสียกับเจนีสและลาเวนดิสจึงเอ่ยปากว่า “ข้าเชื่อมั่นในความสามารถของท่านมาร์ควิสลูเชียสว่าจะสามารถกำราบเมืองเบริลได้ในที่สุด แต่สิ่งที่ข้ากังวลกลับมิใช่ว่าจะตีเมืองเบริลแตกหรือไม่ แต่เป็นคำถามที่ว่าท่านมาร์ควิสลูเชียสจะตีเมืองเบริลแตกเมื่อใด หากพวกเราดำเนินแผนการอย่างที่ท่านโซโลมอนกล่าว การศึกทางตะวันตกนี้จะแบ่งออกเป็นสองสมรภูมิในทันใด นั่นคือสมรภูมิที่เมืองเจนีสและสมรภูมิที่เมืองเบริล ทางเราจะต้องต้านทานการโหมบุกของเสนาธิการมิดาส ส่วนทางมาร์เวอริคก็จะต้องต้านการโหมบุกของมาร์ควิสลูเชียส ซึ่งฝ่ายบุกทั้งสองฝ่ายล้วนมีกำลังมากกว่าฝ่ายตั้งรับ เชื่อว่าหากเวลาผ่านไปเรื่อยๆ เมืองทั้งสองนี้จะต้องแตกในที่สุด ดังนั้นประเด็นของการทำสงครามทั้งสองสมรภูมินี้คือเรื่องเวลา ว่าจะต้านรับอย่างไรให้เมืองเจนีสอยู่รอดได้นานกว่าเมืองเบริล หากเมืองใดเมืองหนึ่งแตกก่อน กองทัพที่โหมกระหน่ำจะสามารถยกมาช่วยเสริมการป้องกันได้ เป็นจุดตัดสินชี้ขาดผลแพ้ชนะของการศึกครั้งนี้”
                    ชานอนที่อยู่ในแนวหน้าเฝ้าป้องกันเมืองเจนีสเหนือมาตลอด พอได้ข่าวจึงปรึกษากับเนรอสที่เชี่ยวชาญเรื่องข่าวกรอง วิเคราะห์รายละเอียดของการป้องกันในระดับหนึ่งมาก่อนหน้านี้ กล่าวเสริมขึ้นว่า “พูดกันตามตรงสามารถบอกได้ว่าการป้องกันของเมืองเจนีสเหนือนั้นอ่อนแอกว่าเมืองเบริลนัก เมืองเบริลเป็นเมืองติดชายทะเลตะวันตกสามารถล่องเรือออกทะเลกว้าง หากเกิดศึกยืดเยื้อเมืองแห่งนี้จะนำกำลังพลจากจักรวรรดินอร์มาสนับสนุนได้โดยที่มาร์ควิสลูเชียสมิอาจขัดขวาง มาร์ควิสมาร์เวอริคและบารอนมาร์คัสทราบดีว่าจะต้องดำเนินการใหญ่ การป้องกันรอบเมืองเบริลจึงสมบูรณ์แบบ มีการขุดคลองใหญ่กั้นขวาง ตั้งป้อมเป็นที่มั่นและมีหอยิงธนูเพียบพร้อม กองทัพที่มากกว่าเท่าตัวหากบุ่มบ่ามบุกเข้าไปรังแต่จะพินาศกลับมา แต่ในทางกลับกันเมืองเจนีสเหนือนี้ทางเราพึ่งจะตีชิงเอามาเป็นของตนเองได้ไม่นาน อย่าว่าแต่มาตรการป้องกันตัวอย่างสมบูรณ์แบบ กำแพงเมืองหลายจุดยังคงบกพร่องเสียหายจากสงครามครั้งก่อนมิอาจซ่อมแซมได้ทันเวลา จะมีดีก็แค่เรื่องเสบียงอาหารที่เมืองเจนีสทั้งสองแห่งนั้นอุดมสมบูรณ์สามารถยืนหยัดได้เป็นแรมปี แต่ถ้ากองทัพอันเกรียงไกรของจักรวรรดิโหมกระหน่ำเข้ามาจริง กองทัพของพวกเราอาจเสียการทรงตัวได้อย่างง่ายๆ”
                    เนรอสที่เคยสนทนากับครูชานอนมาครั้งหนึ่งพยักหน้าเห็นพ้อง กล่าวว่า “พวกเรามีสองเมืองเหนือใต้มีแนวป้องกันสองแนวให้ระวัง ดังนั้นต้องแบ่งกำลังเป็นสองส่วน หากศัตรูโหมบุกเมืองใดเมืองหนึ่งแล้วมิอาจช่วยเหลือได้ทันเวลา อีกเมืองหนึ่งจะแตกพินาศดั่งเช่นการสงครามเมื่อยี่สิบห้าปีก่อน ที่เมืองเจนีสใต้ถูกตรึงกำลังเอาไว้จนเมืองเจนีสเหนือถูกตีแตก ข้าเชื่อมั่นว่ามิดาสที่เคยใช้แผนการนี้สำเร็จมาก่อนเมื่อครั้งที่แล้วย่อมจะใช้แผนการเดิมอีกครั้ง”
                    ขุนศึกไกรับฟังความคิดเห็นของคนทุกคน แล้วจึงกล่าวถามเนรอสว่า “ในเมื่อเจ้าทราบอยู่ก่อนว่ามิดาสสมควรจะใช้แผนการนี้ ข้าก็เชื่อว่าเจ้าต้องมีวิธีการป้องกันอยู่ระดับหนึ่ง อยากให้เจ้าลองบอกออกมาให้ทุกคนในที่ประชุมนี้ช่วยกันออกความคิดเห็น”
                    เนรอสพยักหน้าครั้งหนึ่ง กล่าวว่า “ท่านขุนศึกมองข้าออกทะลุปรุโปร่ง แผนการที่ข้าจะเสนอก็คือการเชื่อมเมืองทั้งสองให้เป็นหนึ่ง ขอเพียงเราตั้งค่ายทหารถาวรขึ้นที่บริเวณสะพานข้ามแม่น้ำเจนีส สังเกตว่าบริเวณนั้นจะมีคลองขุดอยู่สองสายที่ทำเป็นเส้นทางชลประทานมาสู่พื้นที่การเกษตรของทั้งเมืองเจนีสเหนือและใต้ หากเราใช้ทางน้ำนั้นให้เรือขนาดเล็กแล่นสัญจรไปมาได้ พวกเราก็จะมีวิธีเชื่อมต่อระหว่างเมืองทั้งสองอีกสายหนึ่ง กระทำเช่นนี้ถึงแม้ว่าเมืองเจนีสใต้อยู่ภายใต้การกดดันของกองทัพข้าศึก ก็ยังสามารถติดต่อกับเมืองเจนีสเหนือได้อยู่ดี”
                    ขุนศึกไกกล่าวตอบว่า “ความคิดของเจ้าอาจจะปฏิบัติได้จริงเมื่อราวเจ็ดวันสิบวันก่อน แต่ในขณะนี้ข้าศึกสามารถบุกโจมตีได้ทุกขณะ หากพวกเราส่งกองกำลังทหารช่างส่วนหนึ่งไปตั้งค่ายถาวรที่นอกเมือง มีหรือที่มิดาสจะไม่รู้ว่าพวกเรากำลังจะทำอะไร แน่นอนว่ากองกำลังของมู่หลงหรือคอร์เนเลียต้องบุกเข้ามาขัดขวาง นี่ไม่นับรวมอัศวินดำคนอื่นๆ ที่มีฝีมือสูงอย่างเอริคหรือโทเบีย”
                    โรซาไลน์จึงถามว่า “ในเมื่อการป้องกันมิอาจใช้ได้โดยสมบูรณ์ เช่นนี้พวกเราจะควรรับสถานการณ์นี้อย่างไรจึงจะได้ผลดีที่สุด? ดำเนินการโจมตีตอบโต้เป็นอย่างไร?
                    กุนซือราเมสออกความเห็นว่า “ข้าเชื่อมั่นว่าการดำเนินการโจมตีตอบโต้อาจเป็นหนทางรอดในจุดอับ จริงอยู่ที่ฝ่ายตรงข้ามมีแม่ทัพฝีมือดีด้วยกันถึงสามคน แต่ทางเราก็ได้แม่ทัพฝีมือดีอย่างท่านโซโลมอนมาช่วยเหลือ ทำให้การควบคุมกองทัพของเราสามารถแตกได้ทั้งหมดสามกองเป็นอย่างน้อย กองกำลังหลักของเราจำนวนหนึ่งหมื่นสองพันนายจะมีท่านขุนศึกไกเป็นผู้นำทัพ ส่วนกองกำลังรองอีกราวเก้าพันนายจะเป็นของท่านแม่ทัพมอริแกน และกองกำลังกริฟฟอนจากลาเวนดิสจะนำโดยท่านโซโลมอน หากพวกเราอาศัยชัยภูมิการป้องกันที่ดีกว่า โจมตีสวนกลับในขณะที่ข้าศึกบุกเข้ามา โอกาสที่จะได้รับชัยชนะก็ยังพอมีอยู่บ้าง”
                    จอมแพทย์วีที่รับฟังมาโดยตลอดกล่าวขึ้นเป็นครั้งแรกว่า “พวกเจ้ารู้หรือไม่ว่าการโจมตีสวนกลับนี้มีความเสี่ยงสูง และอาจทำให้เมืองเจนีสทั้งเมืองวอดวายได้ภายในเวลาไม่ถึงครึ่งวัน แผนการทุกขั้นสมควรจะถูกไตร่ตรองโดยละเอียด หาไม่แล้วบุคคลอย่างมิดาสย่อมคิดได้ว่าพวกเจ้าจะทำอะไรกัน หากถูกพวกมันคนใดคนหนึ่งดูการเคลื่อนไหวออก ก็ไม่ต่างอะไรกับการยกเมืองแห่งนี้ให้กับจักรวรรดินอร์”
                    “ข้าทราบดีท่านจอมแพทย์” ขุนศึกไกกล่าวต่อไปว่า “พวกเราจะทำทุกอย่างเท่าที่จะทำได้ เพื่อรักษาเมืองเจนีสแห่งนี้ไว้ให้ดีที่สุด”
                    โรซาไลน์พยักหน้ารับรู้พลางกวาดสายตามองไปที่ประตู ในใจนึกขึ้นว่า เหตุใดบลูยังไม่มาร่วมการประชุมอีก ทั้งๆที่ปกติแล้วเขาไม่เคยมาสายมาก่อน?’
                    ทันใดที่ความสงสัยของโรซาไลน์ยังมิทันจะจางหาย ประตูห้องประชุมพลันเปิดออกพร้อมกับร่างของบุรุษหนุ่มสองคนที่เป็นสหายรักเดินเข้ามาเคียงคู่ จะเป็นใครเสียได้อีกนอกจากลูท ออร์นิเทียร์และบลู วอลทซ์
                    “ลูท!? เจ้ามาได้อย่างไร?” เสียงของโรซาไลน์ดังขึ้นเป็นคนแรก รีบลุกจากที่นั่งเดินไปรับสหายสนิท
                    บลูกล่าวขึ้นมาเป็นคนที่สองว่า “ต้องขอโทษที่ประชุมด้วย พอดีข้าสามารถสัมผัสกับเอลของเจ้านี่ได้จึงแวะไปรับมันที่นอกเมืองทำให้มาสายไปครู่หนึ่ง”
                    ลูททักทายทุกคนครั้งหนึ่งแล้วจึงนั่งลงบนเก้าอี้ที่เว้นว่างไว้ กล่าวว่า “พวกพี่ไกทราบสถานการณ์ทางด้านเอนเซลกันแล้วใช่หรือไม่? ว่าปัจจุบันประธานาธิบดีราชิตและเจ้าครองแคว้นชิล่าเข้าร่วมกับฝ่ายจักรวรรดิแล้ว หากข้าคาดเดาไม่ผิดพวกมันทั้งสองจะต้องยกกองทัพเข้าร่วมกับกองกำลังของซิฟเฟอร์ที่จ่อประชิดป้อมวอเตอร์ดีพ โหมกระหน่ำกองกำลังตึกธงมังกรของท่านแม่ทัพทาเรีย”
                    กุนซือราเมสพยักหน้าแล้วกล่าวว่า “นี่ก็เป็นอีกปัญหาหนึ่งที่พวกเราแก้ยังไม่ตก ยิ่งสถานการณ์ล่าสุดพบว่ากองกำลังของทาลอสที่เคยบุกยึดเมืองโลซานได้สำเร็จเมื่อหลายวันก่อน ปัจจุบันรวมเข้ากับกองกำลังของซิฟเฟอร์พร้อมที่จะบุกป้อมวอเตอร์ดีพทันทีที่ได้รับการสนับสนุนจากเอนเซล ซึ่งพวกเราก็ไม่รู้ว่าจะยื่นมือเข้าช่วยเหลือได้อย่างไร ในเมื่อเรื่องราวที่เมืองเจนีสก็อยู่ในสภาวะตึงเครียดเช่นนี้”
                    โรซาไลน์ถามลูทว่า “ยอดหญิงยูกิมิได้กลับมากับเจ้าหรอกหรือ? พิษในกายของนางเป็นอย่างไรบ้าง?
                    ลูทส่ายหน้ากล่าวว่า “นางมิได้กลับมาด้วยกัน แต่เจ้าไม่ต้องเป็นห่วงหรอกบัดนี้นางถึงมืออาจารย์ สมควรจะได้รับการถอนพิษแล้ว”
                    โรซาไลน์ถามต่อไปว่า “แล้วรินะล่ะ? พวกเรามิได้ข่าวของนางอีกเลยตั้งแต่ที่เจ้าให้นายกองบาวาเรียส่งมาตอนหลบหนีออกจากเอนเซลเลียร์ ว่านางจะรุดมาสมทบที่เมืองเจนีสด้วยตนเอง”
                    ลูทมีสีหน้าตกใจขึ้นทันที กล่าวว่า “ว่ากระไร!? นางยังมาไม่ถึงเมืองเจนีสอีกหรือ?
                    หน่วยข่าวกรองเนรอสส่ายศีรษะแล้วกล่าวว่า “หากนางเข้ามาถึงในระยะหนึ่งพันก้าวของเมืองเจนีสไม่ว่าเหนือหรือใต้ หน่วยข่าวกรองของข้าจะต้องรับทราบทันที ดังนั้นข้าสามารถยืนยันได้อย่างเต็มปากเต็มคำว่าไม่พบเห็นสตรีที่มีคุณสมบัติคล้ายกับรินะดั่งที่ท่านชานอนได้บรรยายเอาไว้”
                    ขุนศึกไกกล่าวว่า “ใจเย็นๆก่อนลูท ข้าเชื่อมั่นว่านางจะต้องไม่เป็นอะไร”
                    “ขออภัย” ลูทถอนหายใจครั้งหนึ่งแล้วหันไปกล่าวกับกุนซือราเมสว่า “เสียใจด้วยท่านกุนซือกับเรื่องของผู้นำการาดอสที่ต้องมาพลีชีพในสงคราม”
                    กุนซือราเมสอมยิ้มกล่าวว่า “ขออภัยที่พวกเรายังมิได้บอกเรื่องนี้กับเจ้า ท่านผู้นำการาดอสยังไม่ตาย เพียงแต่ท่านได้รับบาดเจ็บและกำลังหาทางรักษาตัวจากกุญแจแห่งพิภพอยู่เท่านั้น”
                    “ยังไม่ตาย? กุญแจแห่งพิภพ!? ท่านกุนซือหมายความว่าอย่างไร?
                    โรซาไลน์ที่นั่งอยู่ข้างเคียงจึงค่อยๆเล่าเหตุการณ์ที่ผ่านมาให้กับลูทฟังจนหมดสิ้น ทำให้ทราบว่าแท้จริงแล้วข่าวการตายของท่านผู้นำการาดอสเป็นข่าวลวง
                    ลูทรับฟังจึงร้องออขึ้นมา ถามต่อไปว่า “นับเป็นแผนตบตาอันเยี่ยมยอด ตอนนี้ไม่ว่าผู้ใดก็เชื่อถือว่าท่านผู้นำตายไปแล้วจริงๆ ไม่ทราบว่าอาการของท่านผู้นำการาดอสเป็นอย่างไรบ้าง?
                    แม่ทัพมอริแกนกล่าวว่า “พวกเราเองก็ไม่ทราบเช่นกัน ท่านผู้นำยังไม่ยอมเปิดประตูห้องออกมาเลยแม้แต่ครั้งเดียว แต่ถ้าดูจากอาหารที่แม่ครัวส่งเข้าไปทุกวันก็ทราบได้ว่าท่านผู้นำสามารถรับประทานได้เป็นปกติ สมควรจะอยู่ในช่วงกำลังฟื้นฟูกำลังวังชา”
                    หลังจากที่แม่ทัพมอริแกนกล่าวจบพลันมีเสียงเคาะประตูดังขึ้นครั้งหนึ่ง ผู้มาเป็นสายข่าวคนสนิทของสตีเฟ่น ยื่นจดหมายขอบแดงมาหนึ่งฉบับให้กับประธานสำนักข่าวผู้นี้ พลางกล่าวว่า “จดหมายฉบับนี้เป็นของท่านซิลิเซีย ส่งผ่านเหรียญพิราบทองคำตรงมาถึงที่ประชุมแห่งนี้”
                    สตีเฟ่นกล่าวขอบคุณคำหนึ่งรับจดหมายฉบับนั้นมา ฉีกซองขอบแดงที่หมายความว่าจดหมายด่วนต้องส่งให้ทันภายในเวลายี่สิบสี่ชั่วโมงออก เห็นในเนื้อหามีใจความว่า
     
    “เรียนท่านสตีเฟ่นและบรรดาแกนนำของเมืองเจนีส
                    เมื่อคืนก่อนกองทัพของจักรวรรดินอร์อีกห้าหมื่นนายยกเข้าประชิดป้อมวอเตอร์ดีพโดยการนำของจอมพลทาลอส เข้าร่วมกับกองทำของซิฟเฟอร์ที่มีอยู่สามหมื่นนายเป็นทั้งหมดแปดหมื่นนาย เปิดฉากโจมตีป้อมของเราเป็นระลอกๆ และดูเหมือนว่ากองกำลังนี้ตระเตรียมจะโหมบุกป้อมวอเตอร์ดีพในเร็ววันอีกทั้งสายสืบของทางป้อมเรารายงานมาว่ากองทัพของเอนเซลอีกราวหกหมื่นนายยกขึ้นเหนือมาจ่อประชิดชายแดนทางใต้ของเอเวอร์เกรซ โดยที่มีแม่ทัพใหญ่เป็นประธานาธิบดีราชิตเอง ซึ่งกองทัพนี้อาจต้องปะทะกับกองกำลังที่เหลือของท่านผู้ปกครองคาร์ลและผู้ตรวจการโลเปซอีกราวห้าหมื่นห้าพันหมื่นนาย คาดว่าการศึกครั้งใหญ่จะเริ่มเปิดฉากทันใดที่กองทัพเอนเซลจำนวนนี้ยกขึ้นมาถึง
    ทางป้อมเรามีกำลังอีกสองหมื่นนายที่ท่านจูเลียส ฟาเดลนำมาสมทบจากเมืองโลซาน พอรวมกับกองทัพของท่านแม่ทัพทาเรียและบรรดาลูกน้องของท่านพ่อจึงมีกำลังรบอยู่ราวห้าหมื่นห้าพันนาย พิจารณาจากจำนวนทหารดูเหมือนว่าฝ่ายเราจะเสียเปรียบอยู่บ้าง แต่ทางเรามีป้อมวอเตอร์ดีพที่มีชัยภูมิยอดเยี่ยมให้เฝ้ารักษา โอกาสที่กองกำลังแปดหมื่นนี้จะตีป้อมวอเตอร์ดีพแตกก็มีอยู่ไม่ถึงครึ่ง
    สิ่งที่ข้ากังวลมิใช่เรื่องจำนวนทหารเหล่านี้ แต่เป็นเรื่องยอดฝีมือของฝ่ายตรงข้าม ทั้งจอมพลทาลอส อัศวินดำซิฟเฟอร์ มือดีตระกูลชไวน์อีกนับร้อย รวมไปถึงประธานาธิบดีราชิตล้วนเป็นบุคคลที่มีฝีมือสูงล้ำ ข้าเกรงว่าท่านพ่อ ท่านแม่ทัพทาเรียและท่านจูเลียสมิอาจประมือ หากยอดฝีมือฝ่ายตรงข้ามบุกเข้ามาสังหารบรรดาแม่ทัพนายกองเป็นผักปลา แม้ว่ากลยุทธและชัยภูมิของพวกเราจะดีเยี่ยมอย่างไรก็มิอาจสู้รบ จึงอยากจะขอความช่วยเหลือมายังเมืองเจนีสด้วยสาเหตุประการนี้
    ซิลิเซีย วิลล์”
     
                    พอสตีเฟ่นอ่านจบจึงส่งต่อให้ทุกคนในที่ประชุมอ่านผ่านตา แล้วถามว่า “พวกท่านมีความเห็นกับเรื่องนี้ว่าอย่างไร?
                    กุนซือราเมสตอบในฐานะนักยุทธศาสตร์ว่า “ไม่ว่าอย่างไรพวกเราก็มิอาจให้ป้อมวอเตอร์ดีพหรือเมืองเอเวอร์เกรซแตกได้ หากมีการร้องขอความช่วยเหลือพวกเราจำเป็นต้องหยิบยื่นให้ หาไม่แล้วแม้ว่าพวกเราจะพาเมืองเจนีสทั้งสองรอดไปในครานี้ ก็จะไม่พ้นกับความพินาศในภายหลัง เพราะทันใดที่จักรวรรดินอร์รวมแผ่นดินฝั่งตะวันออกเป็นหนึ่ง พวกมันจะไม่ต้องเปิดศึกสองด้านอีกต่อไป โยกย้ายกำลังไปสนับสนุนเมืองเบริลให้ต้านทานราชอาณาจักรลาเวนดิสถ่วงเวลาไปเรื่อยๆ ใช้โอกาสนี้โหมกระหน่ำเมืองเจนีสทั้งสองจนกว่าจะแตก”
                    แม่ทัพมอริแกนกล่าวว่า “แต่ท่านกุนซือก็ต้องคำนึงว่าพวกเรานั้นล้วนมีภารกิจติดตัว มิอาจแบ่งร่างไปช่วยการศึกที่เอเวอร์เกรซได้ ไม่ว่าจะเป็นท่านไก ท่านชานอน ท่านโซโลมอนหรือแม้แต่ตัวท่านกุนซือเอง”
                    บุรุษหนุ่มผมน้ำเงินที่พึ่งจะก้าวเข้ามาในห้องประชุมเมื่อครู่ลุกขึ้นพลางกล่าวว่า “ใช่แล้วพวกท่านทั้งหลายล้วนมีภารกิจติดตัวกันทั้งสิ้น แต่สำหรับภารกิจการเจรจากับราชอาณาจักรลาเวนดิสของข้านั้นสำเร็จไปเรียบร้อยแล้วใช่หรือไม่? ข้ากับเจ้านี่ขออาสาไปที่เอเวอร์เกรซเสริมกำลังที่นั่นเอง” บลูชี้ไปที่ลูทในขณะที่กล่าวคำว่า “เจ้านี่” เมื่อครู่
                    “เจ้าแน่ใจแล้วหรือที่จะรนหาที่ เดินทางข้ามแผ่นดินไปสู้กับยอดฝีมือระดับนั้น?” ลูทหันไปมองบลู เมื่อสบสายตาที่เชื่อมั่นก็ทราบได้ว่าสหายของตนตั้งใจจะไปวัดฝีมือกับเหล่ายอดฝีมือทางเหล่านั้นจริงๆ จึงถอนหายใจพลางส่ายศีรษะไปมากล่าวว่า “ในเมื่อบลูเอ่ยปากข้าก็คงจะไม่อาจปฏิเสธได้ ตกลงข้าจะไปเอเวอร์เกรซกับเจ้า”
                    กุนซือราเมสกล่าวว่า “ข้าเห็นด้วยกับการตัดสินใจเช่นนี้ ปัจจุบันพวกเจ้าทั้งสองเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด”
                    ลูทจึงลุกขึ้นยืนตามบลูสหายสนิท กล่าวว่า “ความช่วยเหลือมิอาจรอช้า พวกเราไปกันเร็วเท่าไรยิ่งดี”
                    “ว่ากระไร เจ้าพึ่งจะมาถึงก็จะไปแล้วหรือ!?” โรซาไลน์กล่าวเช่นนี้เพราะรู้ว่าตนเองมิอาจตามบุรุษทั้งสองไปได้ ภาระของการเป็นมาร์คีสแห่งกริฟฟอนผูกพันกับกองทัพที่นี่และความอยู่รอดของเมืองเจนีส
                    “ขอโทษทีนะโรส เอาไว้ผ่านวันคืนที่เลวร้ายเหล่านี้ไปแล้วเราสามคนค่อยมานั่งสนทนากันให้ชุ่มปอดอีกครั้ง” ลูทถามต่อไปว่า “ว่าแต่พวกเราจะไปกันอย่างไร?
                    “พวกเจ้าทั้งสองอย่าพึ่งรีบร้อนไป ข้ากับลาโทน่าจะไปกับพวกเจ้าด้วย” สตีเฟ่นลุกขึ้นพลางหันไปกล่าวกับเนรอสว่า “อนึ่งนั้นหน้าที่ของการข่าวในพื้นที่แถบนี้สามารถให้มือดีอย่างเนรอสเป็นผู้จัดการ ต่อไปนี้น้องชายจะเป็นผู้จัดการสำนักข่าวพิราบรายวันคนใหม่ ข้าจะอนุญาตให้เจ้าเข้าถึงข้อมูลทุกส่วนของสำนักข่าวพิราบรายวัน ทำหน้าที่ประสานงานกับโรเมโร่ที่ประจำการอยู่ที่สำนักข่าวในเมืองออรอน ส่วนตัวข้ากับลาโทน่านั้นจะดำเนินการเป็นศูนย์ข่าวอยู่ที่เอเวอร์เกรซ ทั้งสองเมืองจะได้มีข่าวล่าสุดเชื่อมต่อกันเร็วยิ่งขึ้น และอย่างน้อยทั้งข้าและลาโทน่าก็นับเป็นอีกสองแรงในสภาวะสงครามเช่นนี้”
                    สายสืบหนุ่มเนรอสลุกขึ้นโค้งคำนับครั้งหนึ่งกล่าวว่า “ท่านสตีเฟ่นไม่ต้องเป็นห่วงเรื่องนี้ ข้าจะทำหน้าที่นี้ให้ดีที่สุด สมกับที่ท่านสตีเฟ่นไว้วางใจ”
                    ขุนศึกไกกล่าวว่า “เมื่อมีท่านสตีเฟ่นไปกับน้องทั้งสองด้วยข้าก็วางใจมากขึ้นอีกระดับ อย่างน้อยก็จะมีคนคอยทัดทานความคึกคะนองของสองคนนี้ได้”
                    ทั้งห้องประชุมส่งเสียงหัวเราะออกมาคลายความเครียดที่มีอยู่ไประดับหนึ่ง เว้นเสียแต่บุรุษหนุ่มสองคนที่ทำหน้าเจื่อน ทั้งครู่สำนึกตัวได้ว่าในช่วงเวลาที่ผ่านมาไม่กี่เดือนก่อเรื่องไว้มากมายจริงๆ
                    ลูทเอ่ยปากแก้ความกระอักกระอ่วนว่า “ตกลงพวกเราทั้งสี่จะไปกันอย่างไร? ให้ครูชานอนช่วยเหลือสักครั้งได้หรือไม่?
    บลูส่ายหน้าพลางกล่าวว่า “เอลแห่งมิติมิใช่ว่าจะใช้กันได้พร่ำเพรื่อขนาดนั้น ไม่อย่างนั้นแล้วพวกเราคงไม่ต้องการสำนักข่าวพิราบรายวัน ปล่อยให้เอลลิสที่ใช้เอลที่เจ็ดได้เคลื่อนย้ายไปมาระหว่างจุดเคลื่อนย้ายทำการส่งข่าวระหว่างเมือง หรือไม่ก็ย้ายกองทัพไปช่วยเหลือป้อมวอเตอร์ดีพซักหมื่นสองหมื่นนาย การใช้เอลที่เจ็ดเคลื่อนย้ายในระยะไกลเช่นนี้สิ้นเปลืองเอลมหาศาล จำกัดเพียงใช้ได้แค่วันละครั้งเป็นอย่างมาก หรือถ้าฝืนร่างกายจริงๆก็อาจใช้ได้สองครั้งแต่คงต้องพักฟื้นยาวไม่อาจทำอะไรได้นานโข ครูชานอนต้องประจำการอยู่ที่นี่เตรียมพร้อมกับการรับมือข้าศึกตลอดเวลา ไม่อาจเสียเวลาครึ่งค่อนวันในการรอเอลใหม่ก่อกำเนิดเข้าใจหรือไม่”
    “ออ ... ข้าเข้าใจแล้ว” ลูทพยักหน้าครั้งหนึ่ง
                    กระบี่ที่หนึ่งโซโลมอนกล่าวว่า “ไม่ต้องเป็นห่วงไปหรอกน้องชาย เอลลิสในลาเวนดิสที่มีความสามารถของเอลที่เจ็ดมีอยู่มากหลาย ในกองกำลังกริฟฟอนของเราก็มีเอลลิสที่แปดนี้อยู่หลายคนด้วยกัน หากจะไหว้วานสักคนหนึ่งให้ช่วยไปส่งพวกเจ้าที่จุดเคลื่อนย้ายเมืองเอเวอร์เกรซ รับรองว่าไม่มีปัญหา”
                    “ไม่ได้ๆ พวกเจ้ายังไปไม่ได้! อย่างน้อยพวกเจ้าทั้งสองก็ต้องอยู่ทานข้าวกลางวันกับข้ามื้อหนึ่งก่อน ไม่เช่นนั้นในฐานะของมาร์คีสแห่งกริฟฟอนจะไม่อนุญาตให้ผู้ใดส่งเจ้าไปยังเอเวอร์เกรซ” โรซาไลน์กล่าวด้วยความเอาแต่ใจครึ่งหนึ่งความคิดถึงอีกครึ่งหนึ่ง หลายวันมานี้ตนเองประสบกับเรื่องราวมากหลาย จะอย่างไรก็ต้องหาที่ระบายก่อนที่เรื่องราวเหล่านั้นจะระเบิดออกมา
                    ทั้งบลูกับลูทต่างหันไปมองหน้ากัน จากนั้นจึงมองไปยังขุนศึกไกที่นั่งอยู่ตรงหัวโต๊ะขอความช่วยเหลือ ได้ยินเสียงของไกกล่าวว่า “พวกเจ้าทั้งสองอย่าได้มองมาทางนี้ แม้ว่าข้าเป็นผู้ปกครองเมืงอเจนีสแต่ก็มิอาจช่วยเหลือพวกเจ้าจากการตัดสินใจของมาร์คีสของลาเวนดิสได้”
                    จอมแพทย์วีพลันหัวเราะขึ้นมา กล่าวว่า “เช่นนั้นพวกเราทั้งสี่ไปทานข้าวกันก่อนสักมื้อหนึ่งจะดีไหม? ข้ามีอะไรอยากจะกล่าวกับพวกเจ้าสองคนเหมือนกัน หลานโรสจะว่าอะไรหรือไม่หากแพทย์ชราผู้นี้จะขอร่วมโต๊ะรับประทานอาหารด้วยสักคนหนึ่ง”
                    โรซาไลน์จะเป็นมาร์คีสหรืออะไรก็ช่างแต่เมื่อเจอคำขอร้องของหมอวีไปก็ต้องโอนอ่อนผ่อนตามอยู่วันยังค่ำ จึงลุกขึ้นพลางกล่าวว่า “ตกลงท่านหมอ”
                    ลูทกับบลูทั้งสองผลัดกันอมยิ้มเมื่อเห็นท่าทางของ มาร์คีสแห่งกริฟฟอนเมื่อครู่เชื่องราวกับลูกแมวน้อยตัวหนึ่ง เมื่อพบพานบุคคลเช่นจอมแพทย์วี
                    ก่อนที่ทั้งสี่จะเดินออกจากที่ประชุมนั้น บลูพลันหันไปถามสตีเฟ่นว่า “ข้ามีเรื่องจะรบกวนท่านสตีเฟ่นอย่างหนึ่ง ไม่ทราบท่านสตีเฟ่นจะพอช่วยเหลือได้หรือไม่?
                    “เชิญน้องชายกล่าวตามสบาย หากข้าสามารถกระทำได้ก็ยินดีที่จะช่วยเหลือ”
                    “ช่วงสามสี่วันที่ผ่านมานี้ข้าได้ศึกษาสภาพของป้อมวอเตอร์ดีพ ตลอดจนวิธีการป้องกันตัวป้อมที่น่าจะได้ประสิทธิภาพ แต่ทุกอย่างล้วนเป็นจินตนาการที่มีแต่เพียงภาคทฤษฎีไม่น่าว่าจะนำไปใช้จริงได้หรือไม่ ข้าจึงอยากจะได้แผนที่อย่างละเอียดของป้อมวอเตอร์ดีพสักฉบับหนึ่ง นำมากำหนดกลยุทธ์โดยละเอียด เผื่อว่าจะช่วยให้ป้อมวอเตอร์ดีพมีการป้องกันที่แข็งแกร่งขึ้นได้” บลูกล่าว
                    “เรื่องนี้ข้าเต็มใจสนับสนุนอยู่แล้ว ระหว่างที่พวกเจ้าทั้งสี่ออกไปรับประทานอาหารกันนั้นข้าจะให้ลาโทน่าช่วยจัดหาแผนที่โดยละเอียดให้สักฉบับหนึ่ง รับรองว่าจะต้องมีคุณภาพไม่แตกต่างกับแผนที่ทหารที่พวกแม่ทัพทาเรียใช้กันอยู่” สตีเฟ่นหันไปพยักหน้ากับองครักษ์ลาโทน่าครั้งหนึ่ง
                    “ขอบคุณมากท่านสตีเฟ่น”
                    ส่วนลูทเองก็เช่นกันมีเรื่องที่จะสนทนากับกุนซือราเมสเล็กน้อย จึงเดินไปใกล้ยื่นซองกระดาษให้กับกุนซือราเมสสิ่งหนึ่ง พร้อมกล่าวว่า “ไม่รู้ว่าสิ่งนี้จะมีประโยชน์ต่อเมืองเจนีสหรือไม่ แต่ข้าคงไม่จำเป็นต้องใช้มันอีก อยากขอให้ท่านกุนซือราเมสเก็บไว้แทน”
                    “สิ่งนี้คืออะไรหรือน้องชาย?” กุนซือราเมสถามพร้อมกับเปิดซองนั้นออก ทันใดนั้นเองตาทั้งสองของกุนซือราเมสพลันลุกวาว กล่าวด้วยความยินดีว่า “โอกาสอยู่รอดของเมืองเจนีสมากขึ้นอีกส่วนหนึ่งแล้ว”
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×