ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ศาสตราคู่กู้แผ่นดิน

    ลำดับตอนที่ #179 : เล่ม 6 - ตอนที่ 78 มุ่งสู่ป้อมปราการ (2)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.69K
      0
      11 ก.ค. 51

    รถม้าสองคันควบขับจากเมืองเอเวอร์เกรซไปยังป้อมวอเตอร์ดีพ หนึ่งหน้าหนึ่งหลังวิ่งไล่กวดกันด้วยความเร็วสูง
                    โดยปกติแล้วผู้คนสี่คนสามารถโดยสารรถม้าเพียงคันเดียวได้อย่างเหลือเฟือ แต่ผู้ตรวจการโลเปซต้องการให้พวกเขาไปถึงป้อมวอเตอร์ดีพโดยเร็วที่สุด จึงจัดสรรรถม้าสองคันจากกองทัพธงมังกรให้สารถีมือดีสองคนช่วยกันขับ แยกให้บลูไปกับลูทและสตีเฟ่นไปกับลาโทน่า เพื่อเป็นการลดภาระที่ต้องแบกรับของอาชาเทียมรถทั้งสองคัน
                    เสียงสนทนาดังขึ้นในรถม้าคันแรก ได้ยินบุรุษหนุ่มผมน้ำเงินกล่าวกับสหายสนิทที่นั่งอยู่ตรงข้ามว่า “บัดนี้ข้าพึ่งจะทราบว่ารสชาติการเจ็บปวดหัวใจที่เจ้าเคยได้รับเป็นเช่นไร เมื่อเห็นว่าบุคคลที่ตนเองรักและปรารถนาจะให้มาเป็นคู่ชีวิตจากที่เคยอยู่ใกล้เพียงแค่เอื้อมกลับกลายเป็นห่างไกลจนมิอาจเอื้อมถึง”
                    “ว่ากระไร!? ลูทได้ยินสหายสนิทกล่าวเช่นนั้นจึงโพล่งออกไปว่า “เจ้ามีหญิงสาวคนรักแล้วอย่างนั้นหรือ? เหตุใดจึงไม่เคยบอกข้ามาก่อน หรืออย่าบอกนะว่าเจ้ากับโรส?
                    “ไม่ใช่อย่างนั้น เจ้าอย่าคิดไปเองได้หรือไม่? โรสกับข้าเป็นเพียงสหายสนิทไม่มีอะไรมากไปกว่านั้น หญิงสาวที่ข้ากล่าวถึงเป็นอีกคนหนึ่ง” บลูตอบทันควัน
                    ลูทหัวเราะฮาๆออกมากลบเกลื่อนการด่วนสรุปของตน ถามว่า “แล้วหญิงสาวผู้โชคดีผู้นั้นเป็นใคร? เห็นท่าว่าเจ้าต้องไปพบกับนางที่เจนีสไม่ก็ลาเวนดิสเสียเป็นแน่ มิใช่ ต้องเป็นลาเวนดิสเพียงแห่งเดียว เพราะหากเจ้าพบกับนางที่เจนีสแล้วจะขออาสาออกมาทำภารกิจในสถานที่ไกลๆอย่างนี้เพื่ออะไร?
                    “มารดาเจ้าเถอะ เรื่องแบบนี้กลับต้องมาคิดวิเคราะห์เป็นขั้นเป็นตอน ทีเรื่องอื่นกลับใช้แรงเข้าก่อนสมองตามหลัง”
                    “เช่นนี้แสดงว่าข้าคาดเดาถูกต้องว่าเจ้าต้องหลงรักสตรีผมทองเสียเป็นแน่ ว่าแต่เจ้าจะบอกข้าได้หรือยังว่าสตรีในดวงใจของเจ้าเป็นใคร? มัวแต่กล่าวเฉไฉไปมาอยู่นั่น”
                    บลูเอนกายพิงเบาะรถม้าค่อยๆกล่าวออกมาว่า “เจ้านี่รู้ไปเสียทุกเรื่อง นางเป็นสตรีเชื้อสายลาเวนดิสนามว่าเจส”
                    ลูทหัวเราะขึ้นมาอีกครั้ง กล่าวว่า “คาดไว้ไม่ผิด นางเป็นชาวลาเวนดิสแท้ๆหรือว่ามีเชื้อสายอื่นเจือปนอยู่บ้าง? แล้วนางน่ารักหรือไม่หากเปรียบกับโรสแล้วเป็นอย่างไร?
                    “หากนางมิได้มีเชื้อสายลาเวนดิสแท้ๆแล้วก็คงไม่มีผู้ใดมีเชื้อสายแท้ไปกว่านี้อีก อยากจะบอกว่านางกับโรซาไลน์กลับมีความเกี่ยวพันธ์กันทางสายโลหิตอยู่บ้างจะเรียกว่าเป็นญาติกันก็ไม่ผิด ทั้งใบหน้าและรูปร่างจึงมีส่วนคล้ายคลึงกันอยู่สามสี่ส่วน นางชื่อว่าเจส ... เจสสิกา เทล เดวารอส” บลูนึกถึงใบหน้าอันงดงามของเจสแล้วค่อยๆกล่าวออกมาให้เพื่อนฟัง แต่พอกล่าวถึงคำพูดประโยคสุดท้ายหัวใจพลันเจ็บแปลบขึ้นมา เพราะตามกฎมณเฑียรบาลแล้วองค์ราชินีของราชอาณาจักรลาเวนดิสมิอาจอภิเษกสมรสกับบุรุษต่างเชื้อชาติต่างเผ่าพันธุ์ได้ แม้ว่าตัวเขาเองจะเป็นชาวลาเวนดิสตามกฎหมาย แต่ด้วยเส้นผมที่มีสีน้ำเงินเช่นนี้ใครผู้ใดจะไปยอมรับ
                    “เจสสิกา เทล เดวารอส ” ลูทครุ่นคิดชื่อของหญิงสาวที่สหายตนบ่งบอกออกมา แล้วก็ต้องตกใจเมื่อฉุกคิดได้ว่าแท้จริงแล้วพระองค์เป็นผู้ใด         “มารดาเจ้าเถอะ เมื่อครู่ว่านางชื่ออะไร!?
                    บลูพยักหน้าครั้งหนึ่งด้วยสีหน้าที่เต็มฝืน กล่าวว่า “ใช่ นางเป็นสตรีที่ข้าหมายปอง”
                    คำตอบนี้เล่นเอาสหายสนิททำอะไรไม่ถูกไปตามๆกัน จึงถามว่า “แล้วเจ้าไปรู้จักนาง มิใช่ พระองค์ได้อย่างไร?”         
    “เจ้าไม่ต้องใช้คำราชาศัพท์ก็ได้ที่นี่มีเพียงข้ากับเจ้าแค่สองคน ก็อย่างว่าข้าไม่ทราบว่าทีแรกนางเป็นองค์หญิงของลาเวนดิส” บลูตอบ จากนั้นจึงค่อยๆเล่าเรื่องราวที่ตนเองเผชิญมาที่เมืองลาเวนดิสให้กับสหายฟัง ตั้งแต่การที่เขาได้รู้จักกับหญิงสาวลึกลับผมสีทอง จนถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในถ้ำไอหยกและคืนก่อนที่เขาจะถอนตัวออกมาจากลาเวนดิส ปิดท้ายด้วยเสียงถอนหายใจและประโยคที่ว่า “เรื่องนี้ข้ายังไม่มีโอกาสเล่าให้โรสฟังเลย”
                    ลูททอดถอนหายใจตามบลู กล่าวว่า “ความรักเป็นเรื่องที่ช่างสลับซับซ้อนยิ่งนัก บางครั้งในเวลาที่มีความสุขหัวใจก็พองโตราวกับว่าอยู่บนสรวงสวรรค์ แต่ในบางครั้งที่มีความทุกข์ก็เจ็บปวดราวกับว่าตกนรกทั้งเป็น ข้าไม่รู้จะแนะนำเจ้าอย่างไรนอกเสียจากว่าให้เจ้ากระทำในสิ่งที่เจ้าเห็นสมควร และถ้าหากมีเรื่องอันใดที่ข้าพอจะช่วยได้ก็ขอให้บอกมาคำเดียว ถ้าข้าทำได้รับรองว่าจะจัดการให้เจ้าหมดสิ้น”
                    ขณะที่ลูทกล่าวจิตใจก็นึกไปถึงยูกิที่ขาวปานหิมะถึงกับอยากติดปีกโบนบินไปหา แต่ความคิดเหล่านั้นก็ต้องมลายหายไปสิ้นเมื่อนึกถึงแหวนทองคำขาวที่คล้องอยู่บนสร้อยคอของนาง อย่าว่าแต่เขาจะมีปัญญาไปแก้ปัญหาให้กับสหายสนิท ในตอนนี้ปัญหาหัวใจของเขาเองก็ใช่ว่าจะคลี่คลายไปหมดสิ้น จริงอยู่ว่าครั้งที่เมืองเอนเซลยูกิมีท่าทีโอนอ่อนผ่อนตามความรักที่เขามอบให้อยู่บ้าง แต่นั่นก็มิใช่คำตอบสุดท้ายเสียทีเดียว
                    บลูเห็นหน้าสหายสนิทก็ทราบว่าสุขภาพความรักของฝ่ายตรงข้ามก็มิได้ดีกว่าตนเองสักเท่าใด จึงได้แต่พยักหน้าส่งเสียงอืมแล้วกล่าวว่า “พวกเราข้ามปัญหาอันน่าปวดเศียรเวียนเกล้านี้ไปชั่วคราวจะดีหรือไม่? ข้าอยากทราบว่าฝีมือของเจ้าที่เคยกล่าวว่ารุดหน้าขึ้นไปอีกระดับหนึ่งนั้นอยู่ในระดับใดกันแน่”
                    ลูทขมวดคิ้วกล่าวว่า “เจ้าท้าข้าต่อยตี คิดจะถล่มรถม้าคันนี้หรืออย่างไร?
                    “ใครว่าข้าจะท้าเจ้าต่อยตีในรถม้า? ยื่นมือออกมา ข้าจะพาเจ้าไปยังที่ๆพวกเราสามารถต่อยตีกันได้ทั้งวันทั้งคืนโดยไม่รู้สึกเหน็ดเหนื่อย”
                    บลูประกบฝ่ามือตนเองเข้ากับสหายสนิทที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม กล่าวว่า “ต่อจากนี้ให้เจ้าดำเนินเคล็ดวิชาของตราสัญลักษณ์พระอาทิตย์ พุ่งเป้าหมายมาที่ตราสัญลักษณ์ของข้า จับคลื่นจิตใจของข้าให้ได้ว่ามีลักษณะเป็นอย่างไรแล้วปรับคลื่นของตนให้ตรงกับข้ามากที่สุด”
                    ลูทไม่เข้าใจว่าฝ่ายตรงข้ามต้องการทำอะไร แต่เมื่อเป็นสิ่งที่สหายของเขาบอกเห็นว่าทดลองทำตามไปก็คงไม่เสียหาย ในขณะที่บลูที่เชี่ยวชาญความสามารถเหล่านี้อยู่ก่อนจึงเป็นเรื่องไม่ยากที่จะปรับคลื่นแห่งความคิดของตนให้เข้ากับลูท เมื่อฝ่ามือประสานกันการใช้จิตใจควานหาตัวตนที่แท้จริงของฝ่ายตรงข้ามจึงไม่ยากอย่างที่คิด การติดต่อกันด้วยสัมผัสที่หกจึงสามารถกระทำสำเร็จไปได้ด้วยดี
                    แสงตะวันที่สาดส่องผ่านเข้ามาทางหน้าต่างรถม้าในยามเย็นค่อยๆเลือนหาย กลายเป็นความมืดมิดไร้ที่สิ้นสุดประดุจรัตติกาลไร้จันทรา ลูทพบว่ามีเพียงเขากับสหายสนิทสองคนเท่านั้นที่หลุดเข้ามาในโลกแห่งนี้ โดยพื้นที่รอบบริเวณนั้นมีเพียงความว่างเปล่า
                    “ที่นี่ที่ใด?
                    “ห้วงแห่งนิมิต สถานที่ที่เกิดขึ้นจากความฝันของเจ้ากับข้าซ้อนทับกัน ในขณะที่ฝ่ามือทั้งสองของเราประสานกัน เคล็ดวิชาของอาจารย์ดาธได้ช่วยให้ความคิดหรือสัมผัสที่หกของเราเชื่อมประสานกัน คลื่นความคิดของพวกเราจึงรวมประสานเป็นหนึ่งเดียว และเมื่อพวกเราทั้งสองตัดขาดจากประสาทสัมผัสทางกายทั้งห้า สิ่งที่เหลือก็คือห้วงแห่งนิมิตหรือโลกแห่งความฝันที่เกิดจากสัมผัสที่หก” บลูค่อยๆอธิบาย
                    ลูทตื่นเต้นยินดีเมื่อค้นพบสถานที่เยี่ยงนี้ กล่าวต่อไปว่า “เจ้าค้นพบสถานที่แห่งนี้ได้อย่างไร? ไม่น่าเชื่อจริงๆ”
                    “เจ้าจะเชื่อหรือไม่นั้นเก็บไว้ทีหลัง แต่ในเวลานี้เจ้าก็รู้มิใช่หรือว่าข้านำพาเจ้ามาสถานที่แห่งนี้ด้วยเหตุผลประการใด?” บลูกล่าวจบก็ใช้ความคิดจินตนาการกระบองวิสุทธิ์ศาสตราขึ้นมาถือไว้ กล่าวต่อไปว่า “เมื่อโลกนี้เป็นโลกแห่งความฝันขอเพียงเจ้าคิดถึงสิ่งใดก็จะได้สิ่งนั้น จงเรียกกระบี่ของเจ้าออกมาได้แล้ว”
                    กระบี่เหล็กและเขี้ยวราชสีห์ทั้งสองเล่มพลันปรากฏขึ้นมาในใจกลางฝ่ามือของลูท กล่าวว่า “เยี่ยมไปเลย ในเมื่อเป็นห้วงแห่งนิมิตข้าจะได้ไม่ต้องออมรั้งเพราะกลัวว่าเจ้าจะบาดเจ็บ”
                    “มารดาเจ้าเถอะ นั่นเป็นประโยคของข้าต่างหาก”
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×