ลำดับตอนที่ #180
คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #180 : เล่ม 6 - ตอนที่ 78 มุ่งสู่ป้อมปราการ (3-4)
ภายในรถอีกคันหนึ่งที่แล่นตามหลังก็มีเสียงสนทนาดังขึ้นเช่นกัน
ลาโทน่านั่งอยู่ตรงข้ามสตีเฟ่น องครักษ์สตรีผมสีน้ำทะเลผู้นี้ดูเหมือนว่าจะไม่ปรากฏร่องรอยของบาดแผลใดๆตามร่างแม้แต่น้อย ผ่านไปเพียงไม่กี่วันบาดแผลฉกรรจ์ที่เคยถูกอัศวินดำหมายเลขหกฝากเอาไว้บริเวณข้อแขนปลาศนาการไปสิ้น ไม่ทิ้งเอาไว้แม้แต่รอยแมวข่วน อันเป็นผลของอัตราการฟื้นตัวที่น่าพิศวง
“แผลที่แขนของเจ้าหายดีเร็วเกินคาดจริงๆ ข้าไม่เคยเห็นผู้ใดมีอัตราการฟื้นตัวรวดเร็วเท่าเจ้ามาก่อน นี่ไม่ต้องใช้แม้แต่เอลลิสที่ห้า เพียงกินยาสี่ห้าวันก็ไม่เหลือแม้แต่สะเก็ด” สตีเฟ่นกล่าว
ลาโทน่าพยักหน้าครั้งหนึ่ง กล่าวว่า “นี่เป็นผลจากพันธะแห่งวิญญาณระหว่างท่านกับข้า ตราบใดที่ท่านยังคงมีชีวิตอยู่ อัตราการฟื้นตัวของข้าจะเพิ่มพูนขึ้นเป็นเท่าตัว”
สตีเฟ่นถอนหายใจครั้งหนึ่ง กล่าวว่า “ข้าต้องขอบใจเจ้ามากที่ช่วยชีวิตข้าเอาไว้ในครั้งนั้น ข้ายังไม่ทราบเลยว่าเจ้าเปลี่ยนตำแหน่งข้าได้อย่างไร ทั้งๆที่กระบี่ไนทาลั่มเล่มนั้นกำลังจะแทงทะลุอกของข้าไปอยู่แล้ว”
“ท่านสตีเฟ่นจำได้หรือไม่ว่าพวกเราทั้งสองมีชีวิตความเป็นอยู่แบบนี้มานานเท่าใด?” ลาโทน่าเอ่ยปากถาม
“มีหรือว่าข้าจะลืมเหตุการณ์ในครั้งนั้น? จวบจนวันนี้ก็ราวสิบสี่ปีแล้วสินะ ที่เจ้ายินยอมติดตามอารักขาข้าตั้งแต่ยังเป็นบุรุษหนุ่มช่างเพ้อฝัน จนสามารถสร้างสำนักข่าวพิราบรายวันให้ใหญ่โตได้จนถึงทุกวันนี้ หากจะกล่าวกันตามตรงข้าก็ติดหนี้ชีวิตเจ้าอยู่อย่างน้อยสิบครั้งขึ้นไป” สตีเฟ่นตอบอย่างไม่ลังเล
ลาโทน่าทอดสายตาสีน้ำทะเลทั้งสองมองทะลุหน้าต่างรถม้าไปยังท้องฟ้าสีครามเบื้องบน ทราบได้ถึงความผิดปกติที่ก่อตัวขึ้น อะไรบางอย่างที่มีเพียงนางรู้สึกได้กำลังเคลื่อนไหวใกล้เข้ามา ชะตากรรมที่นางและสตีเฟ่นแบกรับไว้อาจจะมาถึงในเร็วๆนี้
ยินเสียงลาโทน่ากล่าวว่า “เวลาของพันธะแห่งวิญญาณกำลังใกล้เข้ามาเรื่อยๆ หากเวลานั้นมาถึงข้าและท่านอาจจะต้องจากกันไป”
สตีเฟ่นพยักหน้า กล่าวว่า “ข้าทราบดี ตลอดสิบสี่ปีที่ผ่านมานอกจากโรเมโร่และสตาร์แล้วก็มีเพียงเจ้าเท่านั้นที่เปรียบเสมือนญาติสนิทมิตรสหายของข้า แม้ว่าเจ้าจะมิใช่บุคคลที่ช่างเจรจาเข้ากับผู้อื่นได้ง่าย แต่ข้าก็ทราบดีว่าเจ้ามีความจริงใจขนาดใด ขอเพียงเจ้าเอ่ยปากมาคำเดียวว่าต้องการอะไรข้าสตีเฟ่นก็จะไม่บ่ายเบี่ยง ว่าแต่จนแล้วจนรอดข้าก็ยังไม่เข้าใจว่า ‘พันธะแห่งวิญญาณ’ ที่เจ้าหมายถึงคือเรื่องอันใด”
“หากเวลานั้นมาถึงแล้วท่านสตีเฟ่นก็จะทราบได้เอง ยิ่งไปกว่านั้นข้ารู้สึกได้ว่าเวลานั้นใกล้จะมาถึงในเร็ววันเสียแล้ว” ลาโทน่ากล่าวตอบด้วยสีหน้าและน้ำเสียงเรียบๆ
สตีเฟ่นฝืนยิ้มเมื่อได้รับคำตอบเดิมๆซ้ำไปซ้ำมาเป็นเวลาสิบสี่ปี จะดีกว่าครั้งอื่นก็ตรงที่นางบอกว่าเวลานั้นจะมาถึงในเร็ววัน จึงกล่าวเชิงล้อเล่นกลับไปว่า “นั่นต้องตั้งอยู่บนเงื่อนไขที่ว่าข้าสามารถเอาชีวิตรอดได้จากประมุขแห่งตระกูลสายฟ้าทาลอสได้ก่อนใช่หรือไม่?”
ลาโทน่าส่ายศีรษะครั้งหนึ่ง กล่าวว่า “คู่ต่อสู้ของท่านสตีเฟ่นอาจมิใช่ทาลอสผู้นั้น”
“เจ้าหมายความว่าอย่างไร?”
ลาโทน่ากล่าวต่อไปว่า “ข้ารู้สึกได้ถึงสหายเก่าที่กำลังจะมาเยือนป้อมวอเตอร์ดีพ หากเขามาจริงๆ พวกเราคงต้องปล่อยภาระการรับมือกับจ้าวสายฟ้าทาลอสเอาไว้กับบุรุษหนุ่มทั้งสองคนนั้น หาไม่แล้วพวกเราอาจต้องสูญเสียเมืองวอเตอร์ดีพไป”
“สหายเก่าที่เจ้าหมายถึงนั้นเป็นผู้ใด?”
“ขออภัยที่ข้ามิอาจบอกท่านได้ในตอนนี้ ขอเพียงเวลานั้นมาถึงแล้วท่านจะทราบเอง” ลาโทน่ากล่าวจบก็ปิดตาลงพักผ่อน ทำให้สตีเฟ่นไม่สะดวกที่จะกล่าวถามต่อไป เหลือเพียงความกังวลในใจที่ว่า ‘เขา’ ที่ลาโทน่าหมายถึงนั้นคือผู้ใด ถึงขนาดที่นางให้ความสำคัญมากกว่าจอมพลทาลอสแห่งตระกูลชไวน์
“ท่าจู่โจมผีสางอันใดเกิดมาข้ายังไม่เคยเห็นมาก่อน” บลูโวยวายขึ้นในห้วงแห่งนิมิต
ลูทพุ่งเข้ามาประชิดตัวบลูในระยะเวลาเพียงเสี้ยววินาที มือขวาที่ถือเขี้ยวราชสีห์ส่งเสียงคำรามดังลั่นด้วยท่าราชสีห์คำรณ จากนั้นก็จู่โจมต่อเนื่องด้วยศาสตราไร้สภาพในมือซ้าย ทั้งสองศาสตราจู่โจมสลับซ้ายขวากันเป็นพัลวัน บีบบังคับให้บลูต้องถอยร่นไปตั้งรับอย่างต่อเนื่อง
แม้ว่าบลูเองจะกล่าวโวยวายเมื่อครู่แต่การตั้งรับของเขาก็มิได้มีช่องโหว่ให้ลูทฉกฉวย กำแพงพสุธาที่ผุดขึ้นมาทุกสองสามวินาทีช่วยยับยั้งการเคลื่อนไหวของลูทได้เป็นอย่างดี ไม่นับรวมกับประกายเพลิง กระสุนวารีและดาบสุญญากาศที่คอยยิงออกมาเป็นระยะๆ
“เอลของเจ้าไม่มีวันจบสิ้นหรืออย่างไร เหตุใดจึงปลดปล่อยออกมาอย่างต่อเนื่องเช่นนี้?” ลูทกล่าวพร้อมผละออกมาจากการโหมกระหน่ำจู่โจม
บลูยักไหล่ครั้งหนึ่ง กล่าวว่า “นี่เป็นเพียงเคล็ดวิชาเบื้องต้นที่ข้าศึกษาได้จากถ้ำไอหยก ในกายข้ามีจุดกำเนิดของเอลทั้งสี่แห่งก็เปรียบเสมือนว่ามีบุคคลสี่คนอยู่ในร่างเดียว สมัยก่อนนั้นข้ามุ่งมั่นแต่จะรวมพลังจากประตูทั้งสี่บานเป็นหนึ่ง ผลสุดท้ายก็ไม่เห็นว่ามันจะดีตรงไหน แต่ถ้าหากนำเอลจากจุดกำเนิดทั้งสี่แห่งนั้นมาใช้ตามสภาวะการณ์ ดึงเอาศักยภาพของจุดกำเนิดแต่ละแห่งออกมาใช้ให้ได้สมบูรณ์ที่สุด ย่อมดีกว่าการฝืนนำเอลทั้งหลายมารวมกันอย่างเห็นได้ชัด และทีนี้ก็ถึงทีข้าเป็นฝ่ายบุกบ้างแล้ว”
บลูกล่าวจบก็ใช้ประตูบานที่หนึ่งบังคับกระบองวิสุทธิ์ศาสตราซัดเข้าใส่ฝ่ายตรงข้าม ในขณะที่ตัวเขาใช้ประตูบานที่สองและสามร่ายเอลประกายเพลิงต่อเนื่องโจมตีเข้าไปในจุดบอดของลูท
“ฝันไปเถอะ” ลูทกล่าวพร้อมกับเร่งเร้าซันในร่างออกมาไว้ที่กระบี่เขี้ยวราชสีห์ บิดข้อมือใช้ด้ามจับกระทุ้งเข้าใส่กระบองวิสุทธิ์ศาสตราที่ลอยเข้ามาเบื้องหน้า พลันเปลี่ยนเป็นแนวทางการโคจรของเอลใช้กระบี่เหล็กในมือซ้ายฟันเข้าใส่ประกายเพลิงทั้งสองสาย กล่าวว่า “ขาด!”
ฉัวะ! ประกายเพลิงสองสายขาดออกเป็นสี่ส่วนในพริบตา ศาสตราไร้สภาพของบุรุษหนุ่มผู้นี้ก้าวหน้าไปถึงขั้นที่สามารถฟันสิ่งที่จับต้องมิได้ขาดครึ่ง
“ยอดเยี่ยม แต่เจ้าลืมอะไรไปอย่างหรือไม่ว่าเอลในกายข้านั้นไม่มีวันหมดสิ้น?” ทันใดที่บลูกล่าวประตูบานที่สี่ก็ส่งดาบสุญญากาศพุ่งทะลวงออกไปหาลูท ในขณะเดียวกันประตูบานที่หนึ่งสองและสามก็กลับมาใช้งานได้อีกครั้ง จึงใช้ประตูบานที่หนึ่งยิงกระสุนวารีออกไปอีกลูก ดวงตาเสมือนเหยี่ยวเวหาจ้องไปที่การเคลื่อนไหวของฝ่ายตรงข้าม สะบัดมือยิงกระสุนวารีตามการเคลื่อนไหวที่ทำนาย ประตูทั้งสี่บานสลับสับเปลี่ยนกันรวมรวมและปลดปล่อยเอลอย่างไม่มีวันหยุด ยินเสียงบลูตวาดว่า “อยู่!”
หยาดเหงื่อพร่างพรายผุดขึ้นแถบไรผมของบุรุษหนุ่มผมน้ำตาลแดง แม้ว่าเขาทราบว่าฝ่ายตรงข้ามเพียงใช้เอลระดับเบื้องต้น แต่การที่ถูกคุกคามไม่มีวันจบสิ้นทำให้เขาแทบมิอาจดักทางได้ถูก กระบี่ในมือทั้งสองสลับกันใช้ซันและเอลฟันกระสุนวารีหลายต่อหลายลูกแต่ดูเหมือนว่าจำนวนกระสุนวารีเหล่านั้นจะมิได้ลดน้อยถอยลงไปเลย พวกมันกลับพุ่งมาด้วยความเร็วที่มากขึ้นแม่นยำขึ้น อันเป็นผลมาจากการวิเคราะห์การเคลื่อนไหวคู่ต่อสู้ของสหายสนิท ที่ยิ่งจะแม่นยำมากขึ้นเรื่อยๆเมื่อเวลาผ่านไป
ลูทเห็นว่าหากจะตั้งรับต่อไปก็คงไม่พ้นกับคำว่าพ่ายแพ้ ซึ่งในขณะนั้นเองความคิดก็ผุดขึ้นมาในห้วงสมอง กระบี่ในมือขวาพลันหายไปเปลี่ยนกลายเป็นไฮดรารุ่นที่สอง ลูทบรรจุเอลลงในหน้าไม้อัตโนมัติแทนศาสตราไร้สภาพที่ปรากฏอยู่บนกระบี่ เหนี่ยวไกยิงลูกดอกออกไปติดต่อกันห้าลูก แต่ละดอกบรรจุเอลเพียงพอที่จะชนให้กระสุนวารีแตกออก จากนั้นจึงเล็งไปที่บลูพร้อมกับเหนี่ยวไกอีกครั้งหนึ่ง ลดความได้เปรียบเรื่องระยะการจู่โจมของบลูด้วยการตอบโต้จากระยะไกลด้วยไฮดรา พลางกล่าวว่า “ทีข้าบ้างแล้วสินะ”
“มีอะไรก็หยิบขึ้นมาใช้ให้หมด” บลูกล่าวตอบโต้ ตัวของเขาเคลื่อนออกไปด้านข้างด้วยแรงดีดสะท้อนจากเอลวายุพัดพา กำแพงพสุธาบานหนึ่งผุดออกมาจากตำแหน่งที่เขายืนอยู่ป้องกันลูกดอกเหล่านั้นไปสิ้น แต่การทำเช่นนี้ทำให้สูญเสียความต่อเนื่องของกระสุนวารีไปเล็กน้อย ส่งผลให้ลูทพบช่องว่างสามารถพักผ่อนหอบหายใจ และใช้ช่องว่างนั้นตีโต้คืนมาด้วยกระบี่เขี้ยวราชสีห์
บลูถูกกระบี่เขี้ยวราชสีห์บุกเข้าประชิดตัวจึงไม่มีทางเลือกอื่น ทดลองงัดทักษะ ‘อาคมแปรผัน’ ที่ตนเองพึ่งคิดค้นได้หลังจากการไปเยือนถ้ำไอหยกนามว่า ‘ร่ายฉับพลัน’ ขึ้นมาใช้งานเป็นครั้งแรก สลายความต้องการระยะเวลาในการร่ายเอลที่ปกติต้องใช้เวลาหนึ่งอึดใจไปสิ้น กระบี่สุญญากาศอยู่ๆก็พุ่งทะลวงออกมาจากมือขวาของบลูทั้งๆที่ยังไม่ผ่านขั้นตอนรวบรวม
อาคมแปรผันแบบร่ายฉับพลันเป็นการเชื่อมเอลจากนิ้วมือเข้าสู่แหล่งกำเนิดเอลโดยตรง ส่งผลให้สามารถปลดปล่อยเอลชั้นต้นที่ไม่ต้องการอนุภาคของเอลมากมายออกไปได้ในทันที
“มารดาเจ้าเถอะ” ลูทสบถเมื่อการจู่โจมของตนเองมิได้ดั่งใจหวัง จากที่เคยคิดว่าเป็นเวลาที่บลูไม่อาจร่ายเอลได้จึงแทงกระบี่เขี้ยวราชสีห์เมื่อครู่ออกไป แต่กลับเผชิญกับการต่อต้านอย่างคาดไม่ถึง ต้องถอยหลังกลับไปตั้งหลักที่ระยะห้าก้าวยกหนึ่งกระบี่หนึ่งหน้าไม้ออกมาจ้องคุมเชิง ถามว่า “เมื่อครู่นี่มันอะไรกัน? เหตุใดความเร็วในการร่ายเอลของเจ้าถึงได้เพิ่นขึ้นอย่างนี้?”
บลูหัวเราะฮาๆ กล่ววว่า “อาคมแปรผันเมื่อครู่เรียกว่าร่ายฉับพลันที่บิดาค้นพบในถ้ำไอหยก เจ้าเห็นเป็นอย่างไรกระบี่สุญญากาศเมื่อครู่รวดเร็วดีหรือไม่?”
มุมปากของลูทปรากฏรอยยิ้มขึ้นมา กล่าวว่า “รวดเร็วดีนักใช่หรือไม่ ทดลองดาบของข้าดูบ้าง”
บุรุษหนุ่มตั้งเขี้ยวราชสีห์ในทวงท่าของดาบ เขยิบก้าวเท้าออกมาด้วยความเร็วแต่ฟันดาบลงมาด้วยความเชื่องช้าหาที่ใดเปรียบ อันเป็นดาบที่เขาจดจำมาจากอัศวินดำหมายเลขห้า ปัจจุบันลูทสามารถเข้าใจในการเรียงร้อยและบรรจุซันมากขึ้นไปอีกขั้นหนึ่ง จึงทำให้กระบวนท่าดาบเชื่องช้านี้มีอานุภาพร้ายกาจสามารถยกขึ้นเปรียบได้กับต้นฉบับ รัศมีของดาบครอบคลุมการเคลื่อนไหวของบลูไว้สิ้น หากฝ่ายตรงข้ามตัดสินใจหลบหลีกจะทำให้สูญเสียความได้เปรียบในเรื่องของตำแหน่ง จนถูกดาบต่อไปจ่อคุกคามได้อย่างง่ายดาย
“ร้ายกาจ” บลูที่เฝ้าวิเคราะห์ความเคลื่อนไหวของลูทมาตั้งแต่เมื่อครู่ก็ทราบอยู่ว่ามิอาจหลบดาบนี้ คาดเดาได้ว่าดาบต่อเนื่องจะต้องเป็นกระบวนท่าตามติดที่ร้ายกาจยิ่งกว่านี้
ฝ่ามือทั้งสองของบลูพลันประกบเข้าหากัน มือหนึ่งปรากฏสีเขียวอีกมือหนึ่งปรากฏสีฟ้า พอแบออกมามือทั้งสองข้างกลับกลายเป็นสีน้ำเงินร่ายเอลหัตถ์หิมะเข้าจับกระบองวิสุทธิ์ศาสตรา อาศัยผลึกเอลไลท์ที่แฝงเอาไว้บริเวณปลายกระบองทั้งสองข้างเพิ่มพูนความรุนแรงของเอลน้ำแข็ง ปรากฏน้ำแข็งหนาเตอะจับกระบองวิสุทธิ์ศาสตราจนเป็นก้อนน้ำแข็งขนาดใหญ่ เข้าขวางกระบวนท่าดาบเชื่องช้าของลูท
เคร้ง!
น้ำแข็งทั้งหลายแตกกระจายออกไปรอบข้าง ชักนำซันที่แฝงมาในกระบี่เขี้ยวราชสีห์กระจายออกไปโดยที่บลูไม่ได้รับผลกระทบแม้แต่น้อย บุรุษหนุ่มผมน้ำเงินเปลี่ยนทักษะการร่ายฉับพลันเป็นอาคมแปรผันแบบที่สองในทันที อันมีนามว่า ‘อาคมลวง’ มือของบลูเปล่งแสงสีเขียวผายมือไปทางลูท
ลูทได้แต่ร่ำร้องในใจเมื่อกระบวนท่าก้นหีบของตนถูกแก้ได้อย่างหมดจด จึงใช้กระบวนท่าต่อเนื่องอันเป็นกระบวนท่าตรงข้ามกับดาบเชื่องช้าเมื่อครู่ เพิ่มความเร็วในการฟันดาบของตนเองโหมกระหน่ำเขี้ยวราชสีห์ออกไปพร้อมกันถึงหกดาบ หมายจะดวลกับดาบสุญญากาศของฝ่ายตรงข้าม
บลูยิ้มที่มุมปากกล่าวว่า “หลงกลแล้ว!” แสงสีเขียวของเอลที่สามปรากฏขึ้นก็จริงอยู่ แต่เอลที่บลูใช้กลับเป็นกำแพงพสุธาจากเอลที่หนึ่ง ตามติดด้วยพสุธากัมปนาทเล็งไปที่พื้นดินที่ลูทเหยียบอยู่ เกิดเสียงระเบิดดังสนั่นหวั่นไหวโดยที่กำแพงพสุธานั้นต้านรับดาบทั้งหกไปสิ้น
ลูทอาศัยปฏิกิริยาอันว่องไวชักเท้าถอยหลังมาสามสี่ก้าวทันทีแต่ตนเองก็ถูกสะเก็ดพลังของพสุธากัมปนาทระเบิดใส่ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย จึงใช้สมองเค้นหาหนทางตอบโต้จนนึกขั้นได้ทางหนึ่ง
วงจรซันเมื่อครู่เคลื่อนไหวถึงขีดสุดลูทจึงต้องเปลี่ยนมาเป็นวงจรเอล พลันสลับเปลี่ยนหน้าไม้ไฮดราเป็นกระบี่เหล็กอีกครั้ง วกร่างอ้อมไปทางซ้ายใช้ศาสตราไร้สภาพระดับห้าหกส่วนกรีดเข้าใส่อากาศ ส่งเอลไปตามสภาวะกระบี่ที่วาดออก จากนั้นจึงปล่อยมือจากกระบี่เหล็กใช้สองมือจับเขี้ยวราชสีห์ ฟันออกด้วยกระบวนท่าสุดท้ายที่แจ๊คเหลือทิ้งไว้ให้ก่อนที่จะยินยอมถูกกระบี่ของเขาฟันใส่ก่อนออกจากนครหลวงนอร์โปลิส ลูทไม่ทราบว่ากระบี่นี้มีนามว่าอะไร กระบี่นี้เพียบพร้อมไปด้วยพลัง จังหวะและความเร็ว แต่ขณะที่ฟันกระบี่นี้ออกก็พบว่าความเป็นซันชินของเขาก้าวขึ้นมาอยู่ในระดับกึ่งไร้รูปโดยสมบูรณ์แบบแล้ว
บลูทราบในความอึดของลูทเป็นอย่างดี หากเป็นศัตรูธรรมดาแรงระเบิดของพสุธากัมปนาทเมื่อครู่สมควรจะทำให้มันบาดเจ็บได้มากกว่านี้ แต่ในทางกลับกันสหายของเขากลับไม่มีทีท่าว่าจะบาดเจ็บแม้แต่น้อย ทั้งยังตอบโต้มาด้วยกระบี่ที่ร้ายกาจที่สุดตั้งแต่การประลองเริ่มขึ้น
บลูไม่คิดว่าเขาจะต้องงัดทักษะถัดไปขึ้นมาใช้เร็วขนาดนี้ อาคมแปรผันอันมีนามว่า ‘ภาพซ้อน’
แต่ในขณะนั้นเองทั้งคู่ก็ได้ยินเสียงอาชาทั้งสองตัวร้อง รถม้าที่เคลื่อนไหวพลันหยุดลง สารถีหน้ารถตะโกนมาด้วยความแตกตื่นและตกใจว่า “นายท่านทั้งสอง ป้อมวอเตอร์ดีพเบื้องหน้ากำลังถูกจู่โจม!”
บุรุษหนุ่มทั้งคู่หยุดมือลงโดยฉับพลัน อุทานเป็นเสียงเดียวกันว่า “ว่ากระไร!?”
ห้วงแห่งนิมิตที่สร้างขึ้นพลันหายไปสิ้น ทั้งคู่ผละออกจากท่าทางที่ประสานมือเข้าหากันและกันก้าวลงมาจากรถม้าอย่างรวดเร็ว มองไปเบื้องหน้าเห็นป้อมปราการที่ตั้งอยู่บนเขื่อนขนาดยักษ์ถูกลูกธนูระดมยิงจนกำแพงไม้ที่อยู่ชั้นนอกสุดลุกเป็นไฟไปแถบหนึ่ง เสียงโห่ร้องดังขึ้นพร้อมกับเปลวควันสีดำที่พวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า
ยินเสียงของสตีเฟ่นกล่าวขึ้นจากรถม้าอีกคันหนึ่งว่า “เร่งม้าไปให้ถึงป้อมวอเตอร์ดีพโดยด่วนที่สุด ยิ่งเร็วเท่าไรยิ่งดี”
“ขอรับนายท่าน” สารถีมือดีของตึกธงมังกรรับคำดังลั่น ลงแส้หวดม้าเร่งไปยังป้อมวอเตอร์ดีพด้วยความเร็วสูงสุด
บุรุษหนุ่มทั้งสองต่างไม่เป็นอันนั่งอยู่ในตัวรถทั้งคู่จับเกาะประตูด้านข้าง ชะเง้อหน้าออกไปมองสมรภูมิเบื้องหน้า หมายจะใช้ฝีมือที่รุดหน้าขับไล่พวกข้าศึกให้แตกกระเจิง
เก็บเข้าคอลเล็กชัน
ความคิดเห็น