ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ศาสตราคู่กู้แผ่นดิน

    ลำดับตอนที่ #181 : เล่ม 6 - ตอนที่ 79 - ศึกชิมลาง (1-2)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.71K
      2
      17 ก.ค. 51

    /> /> />

    ภาคสะบัดดาบอาบแสงจันทร์

    ตอนที่ 79 ศึกชิมลาง

    4 มีนาคม อ.ศ. 226

     

    “ยิง!” เสียงของบุรุษผมสีแดงปานโลหิตดังขึ้น คำกล่าวที่เปล่งเสียงออกมาจากท้องดังไปทั่วบริเวณข่มขวัญเหล่าทหารตึกธงมังกรที่เฝ้าอยู่บนกำแพงเมืองไปสิ้น

                    ธนูเพลิงถูกระดมยิงมาจากหน่วยยิงธนูที่แต่งกายเป็นชุดพรางสีกลมกลืนกับป่าไม้ ทหารนอร์ภายใต้การควบคุมของอัศวินดำหมายเลขสี่ซิฟเฟอร์จำนวนสองพันคนเศษดำเนินการบุกตีเป็นแบบแผนในครั้งแรก เพียงไม่กี่วินาทีกำแพงไม้ที่กั้นอยู่รอบนอกป้อมวอเตอร์ดีพก็ลุกเป็นไฟ ปรากฏควันสีดำพวยพุ่งออกมาจากจุดตกของธนู

                    ป้อมวอเตอร์ดีพแท้จริงแล้วก็คือเขื่อนขนาดใหญ่ที่เก็บกักน้ำจากแม่น้ำนอร์ริชสายตะวันออกไว้บนภูเขา เพื่อหล่อเลี้ยงการเกษตรและป้องกันอุทกภัย เกือบร้อยปีก่อนพอเริ่มมีการชลประทานในระยะไกลบ้านเมืองก็ขยับขยายตัวออกไปยังชนบทมากขึ้น ชาวบ้านที่ทำการเกษตรเพิ่มจำนวนตามไปด้วยจำนวนของโจรผู้ร้ายที่มากขึ้นเป็นเรื่องธรรมดา พวกโจรบางรายอาศัยเส้นทางน้ำทำการปล้นสดมภ์ผู้คนที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ริมฝั่งแม่น้ำ ดักปล้นเรือสินค้าที่แล่นไปมาระหว่างนครหลวงนอร์โปลิสและเมืองเอเวอร์เกรซในอดีต เขื่อนแห่งนี้จึงถูกต่อเติมแนวป้องกันสร้างป้อมขนาดใหญ่ขึ้นโดยภาครัฐ ใช้เป็นจุดตรวจตราส่งกองมือปราบกำราบโจรผู้ร้ายที่อยู่ในพื้นที่แถบนี้ไปสิ้น จึงไม่แปลกที่แนวป้องกันของป้อมวอเตอร์ดีพจะยาวเป็นพิเศษ

    แนวกำแพงของเดิมถูกสร้างด้วยท่อนซุงสูงสองวาเศษคร่อมพื้นที่ที่เป็นอ่างเก็บน้ำในแนวขวาง พอมีการต่อเติมเปลี่ยนแปลงจากเขื่อมเป็นป้อมก็มีการใช้กำแพงที่สร้างจากหินลากล้อมกรอบพื้นที่ที่ขนานกับแม่น้ำนอร์ริช เป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าในส่วนที่สูงชันที่สุดของภูเขาเอเวอร์เกรซ ตั้งหอคอยขึ้นมาทั้งหมดแปดแห่งป้องกันการจู่โจมทั้งแปดทิศ รอบนอกกำแพงหินมีการทดน้ำจากเขื่อนขุดเป็นคูน้ำล้อมรอบกำแพงอีกชั้นหนึ่ง เชื่อมต่อเส้นทางทั้งทางบกและทางน้ำจากภาคตะวันตกสู่ตะวันออก สร้างประตูน้ำขนาดยักษ์ที่สามารถปิดเปิดได้กั้นขวางลำน้ำ ส่วนตัวป้อมที่เป็นที่พักของเหล่ามือปราบจริงๆแล้วมิได้สร้างด้วยฝีมือมนุษย์ แต่เกิดจากการเจาะเข้าไปในภูเขาหินธรรมชาติแล้วค่อยๆต่อเติมสร้างสิ่งปลูกสร้างออกมาอีกคำรบหนึ่ง พื้นที่ในแนวกำแพงทั้งหมดกินอาณาบริเวณว้างขวางมีทั้งเขตป่าไม้ขนาดย่อมๆ แปลงเกษตร และหมู่บ้านขนาดกลางที่เกิดจากการที่บรรดาพ่อค้ามาลงทุนตั้งรกรากทำธุรกิจขนส่งสินค้าระหว่างเมือง พอเกิดสงครามกับจักรวรรดินอร์ขึ้นทายาทตึกธงดาบโจนาธานในฐานะแม่ทัพก็ได้สั่งให้สร้างกำแพงหินขึ้นมาทดแทนกำแพงไม้ที่มีอยู่ตั้งแต่แรก ซึ่งเป็นแนวกำแพงด้านตะวันตกที่หันไปหาทางนครหลวงนอร์โปลิส

    พื้นที่บริเวณที่ซิฟเฟอร์เลือกจู่โจมนี้เป็นแนวกำแพงไม้ที่เชื่อมกับหอคอยทิศตะวันตกเฉียงเหนือ พวกมันจอดกองเรืออยู่นอกระยะสายตาแล้วให้เหล่ามือธนูเร้นกายเข้าป่าเดินเท้ามาจนถึงแนวป้อม ในขณะที่กำแพงหินยังคงก่อสร้างไม่เสร็จสิ้นมันก็ชิงถล่มกำแพงไม้ที่มีการป้องกันอ่อนแอเสียก่อน โดยทำทีเป็นแสร้งจู่โจมเหล่าทหารตึกธงมังกรที่ลาดตระเวณอยู่รอบนอกป้อมติดต่อกันเป็นเวลาหลายวัน หลอกลวงและเรียกร้องความสนใจของฝ่ายตรงข้ามให้หันเหไปเข้มงวดกับการลาดตระเวณพื้นที่รอบนอก พอได้จังหวะโอกาสจึงปฏิบัติการเผาแนวกำแพงไปแถบหนึ่ง ทหารตึกธงมังกรถูกหันเหความสนใจทุ่มกำลังไปที่อื่นจึงไม่สามารถกลับมาป้องกันได้ทันเวลา กว่าแม่ทัพทาเรียและโจนาธานจะรุดมาถึงกำแพงไม้ก็ไหม้ไปแถบหนึ่งแล้ว ซึ่งทั้งหมดนี้เป็นแผนการจากมันสมองของบุรุษหนุ่มวัยยี่สิบสี่ปีเพียงผู้เดียว

    เสียงไม้ปริแตกเพราะเปลวเพลิงดังขึ้นเป็นระยะๆ ความโกลาหลวุ่นวายบังเกิดขึ้นภายในป้อมวอเตอร์ดีพ ทหารบางส่วนที่พยายามจะดับไฟด้วยน้ำจากเขื่อนกลับต้องตกเป็นเหยื่อผู้เคราะห์ร้าย บางคนถูกเหล่านักฉมังธนูยิงปลิดชีพจากระยะไกลทิ้งซากศพไว้ที่กำแพงเมืองอย่างช่วยมิได้ ทหารพวกที่เหลือเห็นว่าฝ่ายศัตรูจู่โจมอย่างจริงจังจึงแตกฮือกันออกไปปล่อยให้แนวป้องกันรอบนอกว่างเปล่า รองแม่ทัพใต้สังกัดของแม่ทัพทาเรียที่ยังพอมีฝีมือก็สั่งการให้ลูกน้องหลบเข้าไปในหอคอยชิงความได้เปรียบจากพื้นที่เสียก่อน พร้อมกับยิงพลุสัญญาณสีแดงสดขึ้นบนฟากฟ้าบ่งบอกว่าถูกโจมตีสถานหนัก ขอความช่วยเหลือจากส่วนกลางให้รุดมาสมทบโดยด่วน ส่วนทหารช่างที่ไม่มีเครื่องมือสู้รบจึงได้แต่ทิ้งงานก่อสร้างกำแพงหินหนีลงใต้ออกไปจากสมรภูมิ

    ทันใดที่ซิฟเฟอร์เห็นว่าเส้นทางเปิดก็ชูกระบี่เงินขึ้นฟ้า สั่งการว่า “หน่วยที่สองลงมือ!

    ลูกน้องฝีมือดีราวหนึ่งพันนายที่สวมชุดกันน้ำบุกเข้าไปประชิดป้อมวอเตอร์ดีพพร้อมกับซิฟเฟอร์ เหล่าทหารว่ายข้ามคูโดยมีเหล่ามือธนูคอยยิงคุ้มกัน ในขณะที่ซิฟเฟอร์ไม่ลดตัวลงเช่นนั้นมันเพียงกระโดดเหยียบแผ่นไม้ที่ลอยอยู่กลางน้ำสองสามครั้งก็สามารถข้ามไปประชิดแนวอัคคีก่อนหน้าผู้อื่น สะบัดกระบี่เงินสังหารทหารที่พบเห็นสังเวยเป็นเหยื่อรายแรกเพิ่มพูนกำลังใจให้หน่วยบุกตี หลังจากนั้นเพียงสิบนาทีส่วนปลายสุดของกำแพงป้อมวอเตอร์ดีพที่มีการป้องกันอ่อนแอที่สุดจึงแตกเป็นช่อง ทหารฝ่ายตรงข้ามสามารถกรูกันเข้ามาได้สำเร็จในการจู่โจมเพียงครั้งเดียว แต่ก็มิใช่ว่ามาหนึ่งพันคนจะสามารถข้ามคูน้ำมาได้ทั้งพันคน ทหารหลายสิบคนถูกลูกศรจากหอคอยสูงตระหง่านต้องทอดร่างเป็นซากศพอยู่กลางคูน้ำ แต่ถ้าหากปราศจากแผนอันแยบคายของซิฟเฟอร์แล้วผู้ที่มีชีวิตรอดจากคูน้ำคงจะมีไม่เกินหนึ่งในห้า ตัวเลขไม่กี่สิบคนนี้จึงเป็นการสูญเสียจำนวนน้อยยิ่ง

    นายกองผู้หนึ่งที่เฝ้าอยู่แถบนั้นรวมทหารได้ห้าร้อยกว่านายจึงพาเข้าประจัญบาน ร่ายเอลประกายเพลิงเข้าใส่ซิฟเฟอร์ ผ้าคลุมเอรูไดท์สะบัดสองสามครั้งปัดเป่าประกายเพลิงเหล่านั้นหายไปสิ้น กระบี่เงินส่องประกายสีส้มเป็นครั้งแรก สายฟ้าผ่าลงมาจากท้องนภาเป็นเอลอัสนีบาตฟาดทำลาย เผาร่างนายกองผู้นั้นเป็นเถ้าถ่านสีดำ ที่ทิ้งไว้เพียงสีหน้าอันหวาดกลัวถึงขีดสุด ดวงตาที่เบิกโพลงและคำกล่าวก่อนตายที่ว่า “สายวิชชุสีโลหิต!

    หากนายกองผู้นี้ทราบว่าตนเองกำลังเผชิญหน้ากับผู้ใด การจู่โจมที่ต้องนำชีวิตไปทิ้งอย่างโง่เขลาคงจะไม่เกิดขึ้น

    “สายวิชชุสีโลหิต!?” ทหารใต้บังคับบัญชาเห็นนายกองของตนตกตายไปในระยะเวลาไม่ถึงนาทีหนึ่งก็หวาดผวาแตกกระเจิงไปรอบข้าง หนีไปยังหอคอยที่เป็นสถานที่มั่นเพียงแห่งเดียวในละแวกนั้น คำว่าสายวิชชุสีโลหิตเปรียบเสมือนเชื้อแห่งความกลัวที่แพร่สะพัดออกไป หากอยู่ต่อไปคงไม่พ้นกับความตาย

    ซิฟเฟอร์กวาดสายตาที่เย็นชามองเปลวอัคคีที่ลุกลามไปทั่วเห็นว่าแนวป้องกันรอบกำแพงไม้แตกโดยสิ้นเชิง จึงชี้กระบี่เงินไปยังหอคอยสูง สั่งการว่า “หน่วยที่หนึ่งเข้าประชิดคูน้ำยิงคุ้มกันและควบคุมเส้นทางหลบหนี ส่วนหน่วยที่สองติดตามข้าบุกถล่มหอคอยให้พินาศ”

                    เสียงรับคำของทหารทั้งสองหน่วยดังขึ้น แม้จำนวนที่บุกมาจะเป็นเพียงทหารไม่กี่พันนาย แต่ด้วยแผนการอันล้ำเลิศ ทักษะการจู่โจมที่ดี ใช้จุดแข็งบุกถล่มจุดอ่อนของฝ่ายตรงข้ามก็ทำให้แผนการประสบความสำเร็จได้ เหมือนดั่งคำกล่าวที่ว่า “ใช้ปัญญาเข้าชิงชัย”

     

    แม่ทัพทาเรียและแม่ทัพโจนาธานนำทัพม้าเคลื่อนที่เร็วจำนวนห้าพันนายรุดจากแนวป้องกันทิศตะวันตกเฉียงใต้มายังหอคอยอย่างเร่งด่วน

                    กองทัพสามหมื่นห้าพันนายของป้อมวอเตอร์ดีพจัดเป็นทัพม้าจำนวนห้าพัน ทหารราบสามหมื่น ในจำนวนนี้ทหารสองหมื่นสี่พันคนแยกย้ายเป็นกองละสามพันคนแปดกองอยู่ในการควบคุมของรองแม่ทัพทั้งแปดเฝ้าระวังพื้นที่รอบหอคอยทั้งแปดด้าน ส่วนทหารอีกหกพันนายที่เหลือและทัพม้าทั้งห้าพันนั้นเป็นทหารกองกลางที่เฝ้าประจำตัวป้อม พร้อมที่จะยกเข้าไปเสริมในจุดต่างๆหากเกิดการสู้รบขึ้น ทันใดที่แม่ทัพทาเรียและแม่ทัพโจนาธานทั้งสองเห็นพลุสีแดงสดจุดขึ้นที่แนวรบฝั่งตะวันตกเฉียงเหนือ ก็ทราบได้ว่าพวกตนหลงกลฝ่ายตรงข้าม เห็นพ้องต้องกันว่าแม่ทัพของฝ่ายตรงข้ามมาด้วยตนเองต้องยกทัพม้าไปสมทบให้เร็วที่สุด ปล่อยให้เจ้าเมืองจูเลียส ฟาเดลกำกับกองทัพเมืองโลซานสองหมื่นนายรับมือกับเหตุเปลี่ยนแปลงที่อาจเกิดขึ้น โดยให้บุตรีซิลิเซียควบคุมทหารราบหกพันนายที่เหลือเป็นผู้ช่วย

                    เสียงตูมดังขึ้นอีกครั้งพร้อมกับแสงสีส้มสาดประกายทั่วท้องฟ้า สายฟ้าสีส้มผ่าฟาดกลางกองทหารสหพันธรัฐแห่งนอร์จนแตกกระเจิงไปแถบหนึ่ง ทหารทั้งสามพันคนที่ควบคุมหอคอยทิศตะวันตกเฉียงเหนือเหลืออยู่ในหอคอยไม่ถึงพันห้าร้อย ส่วนหนึ่งถูกสังหารไปสองร้อยกว่านายนอกนั้นต่างทิ้งอาวุธหนีเอาชีวิตรอด กระบี่เงินและสายฟ้าสีส้มเปรียบได้กับกับสัญลักษณ์ของพญามัจจุราชที่จะคร่าชีวิตตน

                    เพียงห้านาทีก่อนที่พวกแม่ทัพทาเรียจะยกกำลังมาถึงทหารจักรวรรดินอร์หน่วยที่สองก็บุกเข้าประชิดหอคอยเป็นการสำเร็จ ส่วนทหารหน่วยที่หนึ่งลากแพขนาดย่อมออกมาจากแนวป่าที่เป็นจุดซุ่มซ่อนลอยไว้บนคูน้ำ ต่อกันเป็นสะพานชั่วคราวสร้างทางหนีทีไล่ให้กับพวกที่บุกเข้าไปในพื้นที่ฝั่งตรงข้าม มือธนูหน่วยหนึ่งถูกจัดให้ข้ามสะพานไปอยู่ในเขตป้อม คอยยิงธนูสนับสนุนหน่วยที่สองที่บุกเข้าประชิดหอคอย

                    แม่ทัพทาเรียเห็นเช่นนั้นจึงกล่าวกับแม่ทัพโจนาธานว่า “พวกเราต้องรักษาหอคอยไว้ก่อน”

                    แม่ทัพโจนาธานพยักหน้าครั้งหนึ่ง หวดแส้ลงม้าเร่งความเร็วพร้อมกล่าวว่า “ปล่อยเด็กน้อยนั่นให้เป็นหน้าที่ของข้า เจ้าบุกไปสกัดกองกำลังของฝั่งตรงข้ามที่ตัวหอคอย”

                    แม่ทัพทาเรียจะอย่างไรก็มีอาวุโสน้อยกว่าบุคคลที่ผ่านร้อนผ่านหนาวอย่างโจนาธาน ทั้งประสบการณ์รบและความเจนจัดในสงครามนางต้องยอมรับว่ามิอาจยกขึ้นเปรียบ จึงพยักหน้ารับปากหยิบกระบี่ยักษ์เคลย์มอร์ยกขึ้นสูงด้วยสองมือ สั่งการออกไปว่า “พุ่งทะลวง!

                    การพุ่งทะลวงเป็นกลยุทธ์อย่างหนึ่งที่ใช้ได้เพียงทหารม้าเท่านั้น เมื่อเห็นข้าศึกชัดเจนในระยะสายตาทหารม้าจะกระชับอาวุธยาวในมือไม่ว่าจะเป็นหอก ทวน ง้าวหรือกระบี่ยักษ์ พร้อมกับตั้งโล่ขึ้นป้องกันลูกธนูของฝั่งตรงข้าม ทั้งหมดจะเร่งความเร็วของม้าต้นเองให้อยู่ในระดับสูง วิ่งห้อเข้าไปเป็นเส้นตรง อาศัยน้ำหนักและความเร็วของม้าเพิ่มอานุภาพให้กับอาวุธในมือ พุ่งเข้าทะลวงทหารราบฝั่งตรงข้ามให้แตกขบวน แม้ทหารฝ่ายตรงข้ามหลบรอดคมอาวุธได้ขอเพียงถูกม้ากระแทกร่างก็ยากที่จะมีชีวิตรอดต่อไป หากผู้ใดเสียหลักล้มลงกองทัพม้าก็จะเหยียบย่ำร่างจนแหลกเหลว หรือไม่ก็จะถูกอาวุธยาวของทหารม้าทิ่มแทงจนสิ้นใจ วิธีนี้เป็นวิธีการทำสงครามขั้นพื้นฐานด้วยทหารม้าที่มีมาตั้งแต่สมัยโบราณ และยังคงเป็นวิธีที่ได้ผลมากที่สุดในการรบกับทหารราบจนถึงปัจจุบัน

                    เสียงเฮดังขึ้นจากบนหอคอยเมื่อเห็นทหารม้าของแม่ทัพทาเรียพุ่งทะลวงเข้ามา ทหารที่ประจำหอคอยได้กำลังใจฮึกเหิมขึ้นทันตาเห็น คว้าศรปล่อยธนูระดมยิงลงไปอีกระลอกหนึ่ง

                    แม่ทัพทาเรียนำอยู่หน้าสุดพลันเห็นทหารของซิฟเฟอร์ส่วนหนึ่งผละจากการพัวพันด้วยอาวุธสั้น แปรขบวนเป็นแนวขวางก็ทราบได้ว่าฝ่ายตรงข้ามจะทำอะไร แต่ถ้าหากเปลี่ยนคำสั่งการไปในตอนนี้โอกาสที่จะสูญเสียอาจเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม จึงตะโกนออกเป็นเสียงอันดังว่า “ตั้งโล่ รับมือหน้าไม้!

                    ทหารม้าทั้งห้าพันยกโล่เหล็กขึ้นมากำบังกายเมื่อต้องเผชิญกับหน้าไม้ของฝั่งตรงข้าม หน้าไม้เป็นอาวุธที่เป็นดาวข่มของดาหน้าเข้าใส่ของทหารม้าเช่นนี้ จุดเด่นของหน้าไม้คือการที่สามารถยิงลูกดอกแรกได้ทันทีโดยไม่ต้องเสียเวลาบรรจุ ใครก็ได้สามารถใช้มันโดยที่ไม่จำเป็นต้องฝึกมากมาย ขอเพียงตั้งหน้าไม้ให้ตรงกดปุ่มกลไกลูกดอกที่พุ่งออกไปก็จะแม่นยำในระดับหนึ่ง ต่างกับคันธนูที่ต้องเสียเวลาน้าวศรและต้องฝึกการยิงธนูนับเดือนก่อนที่จะใช้ได้จริงในสมรภูมิ ทันใดที่เหนี่ยวไกตัวลูกดอกที่แฝงแรงดีดมหาศาลก็จะพุ่งทะลวงออกไปในแนวตรง ด้วยความแรงที่มากกว่าธนูเมื่อผสานกับความเร็วที่พุ่งเข้าใส่ของทหารม้าก็สามารถทะลวงแผ่นเหล็กได้อย่างสบาย การตั้งโล่เป็นเพียงการลดความเสียหายเท่านั้นมิใช่การป้องกันแต่อย่างใด

                    จริงอยู่ว่าหน้าไม้มีข้อดีแต่ข้อเสียของหน้าไม้เองก็มีมากมาย ดังนั้นมันจึงไม่สามารถใช้ทดแทนธนูทั่วไปได้ นั่นก็คือเรื่องระยะการยิงที่สั้น ไม่สามารถยิงวิธีโค้งได้อย่างแม่นยำ เสียเวลาในการใส่ลูกดอกลูกที่สองมากกว่าการน้าวสายธนู และเสี่ยงต่อการขัดข้องของกลไก

                    ตูม!

                    ไม่มีเสียงบอกว่า “ยิงได้!” ออกมาจากปากของอัศวินดำหมายเลขสี่ สายฟ้าสีส้มที่ฟาดลงกลางกองทัพม้านั้นต่างหากที่เป็นสัญญาณบ่งบอกชั้นดี ซิฟเฟอร์ชูมือขึ้นสูงพอวาดลงมาก็ปรากฏอัสนีบาตฟาดทำลาย ข่มขวัญกองทัพม้าไปแถบหนึ่ง ซึ่งแม่ทัพทาเรียเองก็คาดไม่ถึงว่าจะเผชิญการตอบโต้เช่นนี้

                    สวบ! โครม!

    ทหารม้าจำนวนหนึ่งล้มลงระเนระนาดเมื่อถูกหน้าไม้ยิงทะลุโล่เข้าเสียบร่าง แม้ส่วนใหญ่จะไม่สิ้นใจในบัดดลแต่ก็นับว่าบาดเจ็บสาหัสไม่สามารถต่อสู้ต่อไป บ้างพอล้มลงแล้วก็ถูกม้าของสหายร่วมรบที่ตามติดมาเหยียบย่ำจนสิ้นใจ ในขณะที่ทหารหน่วยที่สองภายใต้การนำของซิฟเฟอร์ก็ถูกอาวุธแบ่งร่างเป็นสองส่วน ทหารม้าที่หลงเหลือทะลวงกองกำลังเป็นช่องแตก ประสบกับความสูญเสียมิได้ด้อยไปกว่ากัน

    ยินเสียงแม่ทัพทาเรียตะโกนไปยังหอคอยว่า “รองแม่ทัพหยุดปล่อยธนู!

    เสียงกล่าวรับทราบดังขึ้นมาจากเบื้องบน ทหารที่อยู่บนหอคอยในขณะนี้ต่างเข้าใจในภารกิจที่ได้รับมอบหมายมิได้แตกตื่นเหมือนช่วงก่อนหน้า จึงประจำการที่จุดยิงธนูสาดลูกศรคอยจับตามองกองทัพของฝ่ายตรงข้ามพันตูกับทหารม้าของฝ่ายตน เพราะถ้าหากยิงศรลงไปในบัดนี้อาจเป็นการเข่นฆ่าฝ่ายเดียวกันเองก็เป็นได้ ซึ่งรองแม่ทัพเองก็ทราบว่าคำสั่ง “หยุดปล่อยธนู” มิได้ให้หยุดปล่อยธนูเท่านั้น แต่เป็นการให้เปิดประตูชั้นล่างของหอคอยจัดทัพเข้ารบในระยะประชิด ตีกระหนาบปีกฝั่งตรงข้ามกระหนาบเข้ากับกองทัพหลักของแม่ทัพทาเรีย

    ซึ่งขณะนั้นเองก็ได้ยินเสียงของแม่ทัพโจนาธานดังขึ้นอีกผู้หนึ่งว่า “สายฟ้าสีโลหิต ชีวิตเจ้าเป็นของโจนาธานผู้นี้!” กระบี่สั้นตระกูลวิลล์สาดประกายสีครามขึ้นอีกครั้ง

    กระบี่อันดามันในมือของขุนพลวัยกลางคนท้าทายกระบี่เงินแห่งตระกูลชไวน์ในบัดดล

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×