ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ศาสตราคู่กู้แผ่นดิน

    ลำดับตอนที่ #21 : คมกระบี่ใต้เงามืด (2)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.02K
      2
      10 ก.ค. 50

    เมืองโอดินเป็นศูนย์กลางการศึกษาศาสตร์แห่งเอลในอาณาจักรนอร์ โรงเรียนเซนต์เอลลิสที่เป็นสิ่งปลูกสร้างขนาดใหญ่ที่สุดตั้งอยู่ใจกลางเมืองโอดินกินพื้นที่ไปกว่าหนึ่งในสี่

    โรงเรียนแห่งนี้มีตึกใหญ่น้อยเรียงรายกันอยู่ภายในรั้วกั้น แต่ตึกที่ใหญ่ที่สุดมีอยู่สี่ตึกตั้งขวางทั้งสี่ทิศ ล้อมเป็นกำแพงใหญ่รูปสี่เหลี่ยมรูปหนึ่ง

    ตรงข้ามโรงเรียนเซนต์เอลลิสเป็นหอประชุมรูปโดมขนาดใหญ่ หอประชุมนี้นับเป็นพื้นที่ของโรงเรียนเซนต์เอลลิสเช่นกัน มีการจัดสร้างขึ้นเพื่อการใช้งานของโรงเรียนโดยเฉพาะ แต่ในพักหลังมีการเปลี่ยนนโยบายโดยอนุญาตให้บุคคลอื่นเช่าสถานที่ไปใช้งาน เช่นในครานี้ยอดหญิงยูกิก็จัดแสดงการดนตรีที่สถานที่แห่งนี้

    ทั้งสามเข้าพักในโรงแรมที่ใหญ่โตโอฬาร โรงแรมแห่งนี้ถือว่าเป็นโรงแรมที่ดีที่สุดในเมืองนี้ มีตึกอยู่ทั้งหมดสามตึกตั้งอยู่ชิดกันเป็นแนวยาว สามารถรับรองลูกค้าได้หลายร้อยคน

    แต่เนื่องจากห้องพักถูกจองเต็มเสียเก้าส่วน เถ้าแก่จึงไม่สามารถจัดห้องที่ติดกันให้กับทั้งสามได้ ห้องของลูทจึงอยู่ไกลออกไปอีกฝั่งขวาของโรงแรม ส่วนห้องของบลูกับโรสนั้นอยู่อีกฝั่งหนึ่ง พอทั้งสามเก็บของในห้องพักเสร็จก็ลงมาพบกันที่ห้องโถงโรงแรมที่ตั้งอยู่ตรงกลาง

    ทั้งสามสั่งอาหารง่ายๆมารับประทานด้วยกัน หลังจากนั้นจึงเริ่มปฏิบัติภารกิจ

    พอได้พักสักครู่ กินอิ่มก็มีแรงทำงานต่อ บลูจึงกล่าวว่า "พวกเรามาแบ่งงานกันทำเถิด ข้าจะไปหาไกเอง ลูทเจ้าไปตรวจดูในเมืองว่าพบร่องรอยของอัศวินดำหรือไม่ ถ้าพบให้สืบดูว่าพวกมันจะทำอะไร ส่วนโรสให้ใช้พิราบสื่อสารส่งข่าวบอกการาดอสว่าพวกเราสามารถเข้าเมืองโอดินได้โดยปลอดภัย"

    โรสกล่าวว่า "ตกลง ว่าแต่อัศวินดำมีอะไรต้องสืบด้วยหรือ"

    บลูตอบว่า "เจ้าจำได้ไหมอัศวินดำสองคนนั่น ข้าหมายถึงโทมัสกับลีโซลมียอมปล่อยพวกเราไปในครั้งก่อน อาจจะต้องมีจุดประสงค์อะไรแอบแฝง ในเมื่อเครือข่ายของแม่ทัพมอริแกนไม่พบเห็นร่องรอยพวกมันที่เจนีสเหนือ แสดงว่าพวกมันเดินทางเข้าเมืองโอดินแทนที่จะเข้าเมืองเจนีสเหนือ เหตุที่เป็นเช่นนี้จะต้องมีจุดประสงค์อะไรที่เมืองโอดินสักอย่างแน่"

    ลูทตอบว่า "ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของข้าเอง ถ้าหากมีอะไรเกิดขึ้นให้ใช้ลูกแก้วสามสหายระบุตำแหน่ง"

    โรสถามว่า "ใช้อย่างไรล่ะ"

    ลูทตอบว่า "ถ้าหากพวกเจ้ารวบรวมเอลไว้ที่ลูกแก้วหินประจำตัวจะเปล่งแสงสว่างขึ้น เช่นนี้แปลว่าต้องการให้อีกสองคนที่เหลือรุดไปพบ"

    จากนั้นลูทก็แสดงให้เพื่อนทั้งสองดูโดยการรวบรวมเอลเอาไว้ที่ลูกแก้วสามสหาย หินสีเขียวที่เป็นสัญลักษณ์ของลูทก็เปล่งแสงเรืองรองขึ้น จากนั้นหินสีเขียวในลูกแก้วของบลูกับโรสก็ทยอยกันเปล่งแสงขึ้น

    บลูกับโรสแอบประหลาดใจมิได้ ที่ลูทสามารถรวบรวมเอลทำให้ลูกแก้วสามสหายเปล่งแสงออก แสดงว่าเอลของลูทใช้การได้แต่จำกัดอยู่ที่วัตถุที่สัมผัสเท่านั้น ถึงลูทจะยังไม่ผ่านขั้นตอนประสานและปลดปล่อย ขั้นตอนรวบรวมเขาสามารถทำได้อย่างไม่มีปัญหา

    บลูเห็นดังนั้นแล้วจึงกล่าวว่า "ข้าไม่ผิดหวังจริงๆกับความสามารถในการประดิษฐ์ของเจ้า เมื่อมีเครื่องมือส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือข้าก็หมดห่วงไปกว่าครึ่ง ถ้าหากไม่มีเรื่องผิดปกติอันใด ในเวลาไม่เกินสามชั่วโมงให้พบกันที่ห้องโถงโรงแรมแห่งนี้ แต่ถ้าหากเกินสามชั่วโมงไปแล้วก็ให้อาศัยลูกแก้วสามสหายตามตัวบุคคลที่เหลือทันที"

    บลูเดินไปตามทางในแผนที่ที่แม่ทัพมอริแกนมอบให้ ระหว่างทางเขาไม่พบกับสิ่งผิดปกติอันใด เมืองโอดินยังคงเป็นเมืองโอดินที่เขารู้จัก

    บลูใช้เวลาเดินไม่เกินยี่สิบนาทีก็มาถึงบ้านหลังหนึ่ง บ้านหลังนี้ถูกระบุไว้ในแผนที่ว่าเป็นที่พักของมือปราบไก ภายในบ้านมีแสงไฟสว่างอยู่เล็กน้อยแสดงให้เห็นว่ามีผู้คนอาศัยอยู่

    บลูเดินเข้าไปเคาะประตู ปรากฏว่าไม่มีเสียงผู้ใดตอบรับเขาจึงเปิดประตูเข้าไป

    พอเขาก้าวเข้ามาในห้องสองสามก้าวก็พบว่าในห้องนั้นว่างเปล่าปราศจากผู้คน บลูพบเห็นข้าวของเครื่องใช้ภายในบ้าน สภาพของบ้านยังอยู่เรียบร้อยแต่ไม่มีร่องรอยของผู้คน

    ทันใดนั้นเขาก็รู้สึกถึงความผิดปกติ

    คมกระบี่ในเงามืดพลันพุ่งใส่ใบหน้าของเขาโดยฉับพลัน

    ในเมื่อบลูไหวตัวได้ก่อนที่กระบี่จะแทงเข้ามา เขาใช้ไหวพริบและประสบการณ์ที่สะสมมา คำนวณทิศทางการจู่โจมของกระบี่ออก เขาจึงถลันหลบไปด้านข้างได้ทันเวลา คมกระบี่เฉียดใบหน้าเขาไปเพียงสองนิ้ว บลูใช้เวลาอันน้อยนิดที่มีอยู่กวาดตาไปมองว่าใครเป็นคนลอบทำร้ายเขา อาจจะเป็นมือปราบไกที่คิดว่าเขาเป็นคนร้ายก็ย่อมได้

    แต่สิ่งที่บลูพบเห็นกลับไม่สนับสนุนความคิดเบื้องต้นของเขา คนที่ลอบทำร้ายเป็นคนชุดดำปิดหน้าปิดตา เขาจึงมั่นใจได้ว่ามิใช่มือปราบไก เพราะมือปราบไกไม่มีความจำเป็นต้องทำเช่นนี้ในบ้านของตนเอง

    ในขณะนั้นเดียวกันที่เขาเห็นคนร้าย เขาก็ฉุกคิดขึ้นได้อย่างเดียวว่า นี่เป็นกับดัก ต้องมีไส้ศึกอยู่ในกองกำลังปลดปล่อยเจนีส เมื่อเขาใช้ความคิดต่อไปว่าผู้ใดเป็นคนล่อเขามาติดกับก็ต้องสั่นสะท้าน เมื่อแผนที่นี้เขาได้รับมาจากแม่ทัพมอริแกนดังนั้นแม่ทัพมอริแกนเป็นบุคคลต้องสงสัยอันดับหนึ่ง

    หรือว่าการาดอสจะตกอยู่ในอันตราย

    ไม่มีเวลาให้บลูนึกคิดอีกต่อไปเมื่อกระบี่เร็วตวัดจู่โจมมาอีกครั้ง บลูสลัดความคิดฟุ้งซ่านที่มีออกไป ถ้าหากเขายังไม่ตั้งสติให้ดี โอกาสที่จะรอดชีวิตไปก็ไม่มี วันนี้ของปีหน้าจะเป็นวันครบรอบวันตายของเขา

    พอคิดได้บลูจึงใช้เอลร่ายออกไปเป็นอาคมประกายเพลิงพุ่งเข้าใส่ใบหน้าของคนชุดดำ คนชุดดำมิอาจไม่บังคับกระบี่หลบ มิฉะนั้นถึงเขาจะทำร้ายบลูบาดเจ็บได้แต่ก็จะถูกเพลิงแผดเผามอดไหม้อาจจะถึงแก่ชีวิต ประกายเพลิงเมื่อกระเด็นออกไปนอกหน้าต่างบ้านก็หมดพลังมอดดับไป มิได้เผาผลาญต้นไม้ใบหญ้ารอบบ้านให้เสียหาย นี่เป็นหนึ่งในความชำนาญของบลูที่บังคับเอลได้ตามใจปรารถนา

    คมกระบี่ของชายชุดดำไวยิ่งนัก ถึงแม้พลังของกระบี่จะไม่เทียบเท่าเพลงกระบี่นายพรานของลูทแต่ความเร็วของมันน่ากลัวยิ่งกว่าเป็นสองเท่าตัว บลูไม่เคยเผชิญกับกระบี่เร็วขนาดนี้มาก่อนจึงมีสภาพทุลักทุเลเป็นอย่างมาก เขาไม่มีเวลาแม้กระทั่งหยิบลูกแก้วสามสหายออกมาส่งสัญญาณขอความช่วยเหลือ เขาคิดว่าถึงแม้จะเสี่ยงต่อการถูกทำร้ายแต่การขอความช่วยเหลือไปก็ต้องใช้เวลากว่ายี่สิบนาทีเป็นอย่างน้อยที่ลูทและโรสจะมาช่วยเขาได้ทัน ป่านนั้นเขาคงนอนสังเวยชีวิตใต้คมกระบี่ของชายชุดดำ

    ถึงแม้ว่าประกายเพลิงจะมีพลังทำลายล้างที่สูงแต่เนื่องจากเอลประกายเพลิงไม่สามารถร่ายติดต่อกันได้ทุกขณะ บลูจำเป็นต้องพักสักครู่ถึงจะใช้ประกายเพลิงครั้งใหม่ออกได้ เขาเปลี่ยนจากเอลที่สี่มาเป็นเอลที่สามใช้ออกด้วยดาบสุญญากาศ ใช้ความรวดเร็วปะทะความรวดเร็ว คมดาบสุญญากาศฉวัดเฉวียนพุ่งออกไปใส่นักฆ่าชุดดำปะทะกับกระบี่ของมัน

    เมื่อเวลาผ่านไปสักครู่ กระบี่ของชายชุดดำเริ่มสังเกตุแนวทางการตั้งรับของดาบสุญญากาศออก กระบี่ของมันสามารถฝ่าคมดาบสุญญากาศเข้าใกล้บลูมากขึ้นเรื่อยๆ แสดงให้เห็นว่าดาบสุญญากาศยังเป็นรองกระบี่อยู่ขั้นหนึ่ง

    บลูจึงเปลี่ยนมาเป็นใช้พลังจากประตูเอลบานที่สองเข้าเสริมเพิ่มอัตราการกำเนิดของดาบสุญญากาศเป็นสองเท่า

    เมื่อเอลจากประตูบานที่หนึ่งหมดสิ้น เอลจากประตูบานที่สองก็ก่อกำเนิดขึ้นมาทันที นับว่าเป็นเคล็ดวิชาในห้วงเวลาคับขันที่บลูบัญญัติขึ้นได้ด้วยตนเอง ไม่ว่าใครก็ไม่สามารถสอนวิธีเช่นนี้กับเขาได้ เนื่องจากมีเพียงเขาคนเดียวที่มีประตูก่อกำเนิดเอลมากกว่าหนึ่งแห่ง

    ครานี้นักฆ่าชุดดำแทงออกได้กระบี่หนึ่งแต่ต้องต้านรับกับดาบสุญญากาศถึงสองดาบจึงทนทานมิได้ เพลงกระบี่อ่อนโทรมลงต้องอาศัยการหลบเข้าช่วย ทำให้การรุกไม่ต่อเนื่องดั่งเช่นเคย ไม่สามารถคุกคามเข้าใกล้บลูได้อีก

    เมื่อบลูพลิกจากฝ่ายเสียเปรียบมาเป็นฝ่ายมีเปรียบได้ เขาจึงคิดเผด็จศึก เขาไม่ต้องการต่อสู้ศึกยืดเยื้อมากไปกว่านี้ อยู่ในกับดักนานหนึ่งส่วน อันตรายก็จะเพิ่มขึ้นหนึ่งส่วน เขาจึงใช้พลังจากประตูเอลบานที่หนึ่งร่ายดาบสุญญากาศเพื่อตรึงคนชุดดำไว้ ส่วนพลังจากประตูบานที่สองร่ายเอลที่สองออกเป็นเอลม่านสายชล

    เมื่อม่านสายชลรวมตัวกับดาบสุญญากาศที่เป็นอาคมลมจึงเปลี่ยนเป็นเอลขั้นที่สองสายน้ำแข็งที่เรียกว่าเขตแดนความเย็น เขตแดนความเย็นมีคุณสมบัติทำให้เป้าหมายตกอยู่ในความเย็นจัด ร่ายกายของเป้าหมายจะค่อยๆชาทีละน้อยๆทำให้เคลื่อนไว้ช้าลง

    กระบี่ของคนชุดดำมิได้รวดเร็วเท่าแต่ก่อนอีกแล้ว เท้าทั้งสองของคนชุดดำเย็นจัดจนไม่สามารถเคลือนไหวได้สะดวกดังเดิม ข้อมือทั้งสองชาไปด้วยความเย็นแต่ก็ยังฝืนใจสะบัดกระบี่เพื่อต้านรับคมดาบสุญญากาศ เห็นว่าอีกไม่นานก็จะทนทานไม่ไหวต้องรั้งกระบี่ยอมจำนน

    บลูที่เป็นฝ่ายมีเปรียบกลับต้องสะดุ้งเฮือกหนึ่งเมื่อเขาพบกับความผิดปกติซ้ำซ้อน

    เหตุเปลี่ยนแปลงพลันอุบัติขึ้นอีกคราฝ่ามืออันแข็งแกร่งทะลวงออกมาจากตู้ด้านข้าง กระแทกเข้าที่ลำตัวบลูอย่างถนัดถนี่ เสียงโครมดังขึ้นคราหนึ่งเมื่อบลูกระเด็นเข้าไปกระทบกับผนังห้องพลิกตกออกไปนอกหน้าต่าง

    บลูที่บาดเจ็บจนอวัยวะภายในปั่นป่วนแทบจะกระอักโลหิตออกมา คิดไม่ถึงว่าจะมีคนลอบทำร้ายเขาถึงสองคน ยิ่งไปกว่านั้นคนที่สองยังรอจังหวะที่บลูไม่สามารถวกกลับมาป้องกันตนเอง มุ่งจะพิชิตชัย พอได้จังหวะจึงเผยตนลอบทำร้ายบลูฝ่ามือหนึ่ง

    บลูอยู่ในสภาพกึ่งสลบไสล ตัวเขาเองเป็นผู้ใช้เอลดังนั้นเรื่องความอึดเขาจึงเทียบกับลูทหรือแม้แต่โรซาไลน์ไม่ได้ การโจมตีครั้งนี้เกือบคร่าชีวิตของเขาไป

    ที่จริงแล้วฝ่ามือนี้สมควรจะคร่าชีวิตเขา โชคดีที่เทพยดาแห่งชีวิตยังเข้าข้างเขาอยู่บ้าง เขตแดนความเย็นของเขาทำให้ผู้ลอบทำร้ายเชื่องช้าไปจังหวะหนึ่ง พลังฝ่ามือจึงลดทอนลงส่วนหนึ่ง บลูจึงรอดชีวิตมาได้แบบเส้นยาแดงผ่าแปด

    นักฆ่าทั้งสองคนกระโดดออกมาจากหน้าต่างเพื่อจัดการบลูเป็นขั้นสุดท้าย เขาได้ยินเสียงของนักฆ่าคนหนึ่งกล่าวว่า "นึกไม่ถึงสินะว่าเจ้าต้องมาตายอย่างเลอะเลือน"

    บลูฝืนใจลุกขึ้นมาโดยเอามือข้างหนึ่งยันพื้นพยุงตัวเอาไว้

    ในตอนนี้เขาก็เห็นใบหน้าของนักฆ่าอีกรายหนึ่งซึ่งมิได้ปกปิดหน้าตาแต่อย่างใด คนคนนั้นก็คือโดมผู้ที่เคยนำทางเขาไปพบกับการาดอส

    บลูด่าทอไปครั้งหนึ่งว่า "ไอ้สุนัขทรยศ"

    โดมหัวร่อฮาๆแล้วกล่าวว่า "ข้านั้นหรือทรยศ ... เปล่าเลย ... ข้าไม่เคยทรยศต่อท่านผู้ปกครองเวอร์น่อนแม้สักครั้งเดียว ที่ข้าอยู่ในกองกำลังประสานเจนีสก็เพื่อเป็นสายให้ท่านเวอร์น่อนเท่านั้น แต่ถึงเจ้าจะรู้ไปก็ไม่มีประโยชน์เพราะคนตายไม่สามารถพูดจาอันใดได้ สำหรับสหายของเจ้าก็ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก ข้ากำหนดให้พวกมันกับเจ้าลงนรกไปกับเจ้าพร้อมๆกัน"

    โดมกล่าวจบก็ชักกระบี่ขึ้นมาจากฝักแทงเข้าไปที่บลูหมายจะปลิดชีพในกระบี่เดียว


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×