ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ศาสตราคู่กู้แผ่นดิน

    ลำดับตอนที่ #233 : เล่ม 8 - ตอนที่ 109 - แผนตอบโต้จักรวรรดิ (3)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.55K
      11
      22 พ.ย. 51

    /> /> />

    นอกจากโรซาไลน์ที่มีสีหน้าตกใจแล้ว บุคคลทั้งเจ็ดที่นั่งอยู่รอบโต๊ะประชุมก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปต่างๆกัน

    แมกซิมิเลี่ยน กอร์ดอน มาร์ควิสลูเชียสและขุนศึกไกทั้งสี่ต่างมองไปที่นครมิสต์บนแผนที่ ทำสีหน้าครุ่นคิดพยายามจะวิเคราะห์ลึกเข้าไปในคำว่า “เผานครมิสต์ทิ้งเสีย” ของไอเวอเรียส ในขณะที่ผู้ตรวจการโลเปซและเจ้าเมืองจูเลียสหันไปสบตากันเล็กน้อยด้วยแววตาที่ตื่นตระหนก มองไปที่ร่างของไอเวอเรียสรอคอยรับฟังคำอธิบายต่อไป ส่วนสตีเฟ่นนั้นแตกต่างไปจากผู้อื่น มองไปที่ลาโทน่าที่ยืนอยู่รอบนอกด้วยแววตาที่ไม่เหมือนผู้ใด

                    ไอเวอเรียสเว้นวรรคช่วงใหญ่ให้บุคคลระดับแกนนำได้ใช้สมองขบคิดสักพัก ก่อนที่เขาจะอธิบายอันใดเกี่ยวกับแผนการที่ครุ่นคิดขึ้น เมื่อเวลาผ่านไปพักหนึ่งกวาดสายตามองบุคคลรอบที่ประชุม เห็นว่าทุกคนพร้อมที่จะรับฟังแล้วไอเวอเรียสจึงเริ่มอธิบายว่า “ขอยอมรับตามตรงว่าแผนการนี้อาจฟังดูบ้าบิ่น แต่แผนการที่เหนือความคาดหมายจะสร้างความเสียหายให้กับฝ่ายจักรวรรดิอย่างมาก และจะช่วยให้พวกเราสามารถรักษาชีวิตทหารและประชาชนเช่นกัน การเผาเมืองที่มีประวัติศาสตร์ยาวนานอย่างนครมิสต์ทิ้งเสียเป็นที่น่าเสียดายอย่างยิ่งก็จริงอยู่ แต่เมื่อเทียบกับชีวิตคนหลายหมื่นหลายแสนที่อาจต้องสูญเสียจากคมดาบคมกระบี่ไปโดยใช่เหตุแล้ว โดยส่วนตัวข้ามีความเห็นว่าเป็นการแลกเปลี่ยนที่คุ้มค่า เมืองๆหนึ่งเมื่อพังทลายลงสามารถสร้างใหม่ได้ ส่วนชีวิตที่ตกตายไปแล้วนั้นมิอาจสร้างขึ้นมาใหม่ได้”

                    แทนที่จะมีเสียงตอบจากในวงที่ประชุม กลับมีเสียงของบุคคลหนึ่งดังขึ้นจากรอบนอกว่า “ตัวนครมิสต์มีสิ่งปลูกสร้างหลายแห่งที่เป็นตกทอดมาตั้งแต่สมัยบุรพกษัตริย์อาเรส รวมไปถึงคัมภีร์ที่สำคัญทางศาสนาอีกหลายร้อยหลายพันเล่ม หากถูกเผาทำลายไปแล้วท่านเสนาธิการจะรับผิดชอบอย่างไร?

                    แมกซิมิเลี่ยนผู้เป็นตัวแทนของนครมิสต์หันกลับไปมองพบว่าบุคคลที่กล่าวมิใช่ใครอื่น แต่เป็นหนึ่งในสี่ผู้พิทักษ์ผู้มีอาวุโสสูงสุดนามว่าเกรย์เมน ญาติห่างๆของกอร์ดอนผู้นี้ทำงานรับใช้นครมิสต์มาหลายสิบปีย่อมมีความผูกพันกับสถานที่เป็นอย่างมาก การเผาทำลายนครมิสต์จึงเป็นสิ่งที่เขามิอาจยินยอมรับได้ หากมิใช่วิธีสุดท้ายที่จะนำไปสู่ความสำเร็จอย่างหลีกเลี่ยงมิได้

                    สายตาของทุกผู้คนเปลี่ยนไปจับจ้องที่ไอเวอเรียสอีกครั้ง เมื่อได้ยินเสียงเสนาธิการหนุ่มตอบว่า “ขอท่านผู้พิทักษ์อย่าได้ตำหนิที่ข้ากล่าววาจาขวานผ่าซาก มหาวิหารแห่งเทพเจ้าทั้งหกอันเป็นสัญลักษณ์สำคัญที่สุดของนครมิสต์ได้พังทลายลงไปตั้งแต่การศึกครั้งก่อนแล้ว เหลือเพียงซากปรักหักพังที่มิอาจนับเป็นสิ่งก่อสร้างได้อีก ส่วนเรือนสุขาวดีที่จัดว่าสำคัญเป็นอันดับสองนั้นก็ถูกทหารจักรวรรดิทุบทำลายนำสมบัติต่างๆที่มีอยู่ขนกลับไปที่จักรวรรดินอร์สิ้น นอกจากโครงเรือนแล้วแทบไม่เหลือสภาพที่น่าดูชมอยู่เลย นอกจากสิ่งก่อสร้างทั้งสองที่มีความสำคัญเป็นพิเศษ สิ่งก่อสร้างที่เหลือไม่ว่าจะสำคัญเพียงใดก็มิใช่สิ่งที่ควรหยิบยกขึ้นมากล่าวถึง ไม่ว่าจะเป็นไร่นาหรือสวนผลไม้ทั้งหมดที่เคยมีอยู่ในนครมิสต์ ก็เป็นพวกเราเองที่ลงมือเผาทิ้งกับมือมิใช่หรือ? สิ่งของใดที่มีค่าและสามารถหยิบจับได้ก็ถูกขนถ่ายออกมาพร้อมกับการอพยพทั้งสิ้น หากพวกเราทั้งหมดในที่นี้ยินยอมลงทุนลงแรงรับผิดชอบสิ่งที่กระทำลงไป ร่วมกันสร้างนครมิสต์ขึ้นมาใหม่อีกครั้ง ข้าเชื่อว่านครมิสต์ที่ถูกเผาทำลายลงจะสามารถกลับมารุ่งเรืองใหม่ได้เช่นเดิม โดยข้าจะขอเป็นตัวแทนจากตระกูลอาร์มาดิเนสแห่งโอเบรอน ว่าจะเป็นแกนหลักในการบูรณะนครมิสต์ขึ้นมาใหม่จนกว่าจะเสร็จสิ้นสมบูรณ์”

                    มาร์ควิสลูเชียสพลางหันมาสบตามาร์คีสโรซาไลน์พยักหน้าซึ่งกันและกัน แล้วจึงกล่าวว่า “ทางราชอาณาจักรลาเวนดิสของเราจะรับผิดชอบในเรื่องนี้เช่นกัน”

                    “สหพันธรัฐแห่งนอร์ย่อมมิอาจปฏิเสธภาระนี้ได้” ผู้ตรวจการโลเปซเสริม

                    ขุนศึกไกต้องถอนหายใจครั้งหนึ่ง กล่าวว่า “ทางรัฐอิสระเจนีสคงมิอาจบริจาคทรัพย์สินเพื่อสร้างนครมิสต์ขึ้นมาใหม่ได้ เพียงแค่ภาระการเงินสำหรับการสร้างเมืองเจนีสเหนือใต้ขึ้นมาอีกครั้งนั้นก็เป็นภาระหนักหนาสาหัสอยู่แล้ว แต่ทางเราจะให้คำมั่นสัญญาในการแรงงานคนไปช่วยแทนที่จะบริจาคเป็นทรัพย์สิน”

                    “ส่วนต่างของเมืองเจนีส ทางสำนักข่าวพิราบรายวันจะเป็นผู้ชดเชยให้เอง” สตีเฟ่นเห็นขุนศึกไกส่งสายตาแสดงความขอบคุณ จึงลอบส่ายศีรษะครั้งหนึ่งแทนคำตอบว่าไม่เป็นไร

                    บรรดาผู้พิทักษ์ทั้งสามและตัวแทนจากนครมิสต์ได้รับคำตอบเช่นนี้จึงกล่าวว่า “ประเด็นเรื่องคัมภีร์ทางศาสนจักรพวกท่านจะว่าอย่างไร?

                    ขณะที่ไอเวอเรียสกำลังจะกล่าววาจา ประตูของที่ประชุมพลันเปิดขึ้นมา ปรากฏเป็นร่างของบุคคลสองคนนั่งอยู่บนรถเข็นโดยมีลูทและบลูเป็นผู้เข็นเข้ามา ผู้หนึ่งคือหัวหน้าคณะปกครองคาเทจและอีกผู้หนึ่งคืออัครผู้พิทักษ์ดูแรนดัล คาเทจกล่าวขึ้นว่า “อย่าได้กังวลไปเลยเกรย์เมน ข้าเองก็มีความรักในนครมิสต์ไม่ต่างจากเจ้า เพียงแต่เรื่องของคัมภีร์ทั้งหลายนั้นมิใช่ปัญหาใหญ่โต บรรดาสาวกสำคัญๆล้วนอพยพลี้ภัยมายังราชอาณาจักรครบถ้วน หากจัดการประชุมธรรมขึ้นครั้งหนึ่งข้าเชื่อมั่นว่าพวกเขาจะช่วยกันเรียบเรียงคัมภีร์ทั้งหมดขึ้นมาได้ใหม่อีกครั้ง และเป็นการดีเหมือนกันที่พวกเราจะได้ยึดถือโอกาสนี้กระทำการสังคายนาครั้งใหญ่ในรอบร้อยกว่าปี”

                    “ท่านคาเทจ ท่านดูแรนดัล” เสียงของบรรดาผู้พิทักษ์และตัวแทนแห่งนครมิสต์ดังขึ้น พร้อมกับการลุกขึ้นยืนให้เกียรติของบรรดาแกนนำทั้งแปดที่นั่งอยู่รอบที่ประชุม

                    คาเทจเห็นเช่นนั้นจึงกล่าวว่า “ท่านทั้งหลายโปรดนั่งลงเถิด ที่ข้าและดูแรนดัลขอร้องให้บุรุษหนุ่มทั้งสองพาเข้ามา เพียงต้องการเป็นผู้สังเกตการณ์อยู่ห่างๆเท่านั้น นครมิสต์ยังขอให้แมกซิมิเลี่ยนเป็นตัวแทนตัดสินใจทุกเรื่องราว”

                    มาร์ควิสลูเชียสเชื้อเชิญให้คาเทจและดูแรนดัลนั่งในตำแหน่งด้านหลังของเขา เสมือนว่ายกย่องบุคคลทั้งสองให้เป็นประธานกิตติมศักดิ์ แล้วจึงหันไปมองไอเวอเรียส กล่าวว่า “ในเมื่อเหตุเบื้องต้นของแผนการนี้ไม่มีผู้ใดคัดค้านอีก ก็เชิญท่านเสนาธิการอธิบายแผนการดังกล่าวต่อไป”

                    ไอเวอเรียสใช้ปลอกกระบี่ตวัดเจ็ดดาวแทนนิ้วมือ ลากเส้นที่แม่น้ำฝั่งตะวันตกของนครมิสต์ กล่าวว่า “แม่น้ำลาเมนท์สายตะวันตกเป็นเส้นแบ่งแยกเขตการควบคุมของกองทัพฝ่ายสหพันธ์และกองทัพฝ่ายจักรวรรดิ ทิศตะวันออกของแม่น้ำลาเมนท์ทั้งหมดเป็นพื้นที่ที่ฝ่ายจักรวรรดิมีอิทธิพลเหนือฝ่ายเรา ในขณะที่ทิศตะวันตกยังคงตกอยู่ภายใต้อิทธิพลของกองทัพเมืองออรอน หากมองดูดีๆพวกเราจะเห็นว่านครมิสต์มีสภาพเป็นเกาะๆหนึ่ง ล้อมรอบทั้งสี่ด้านด้วยแม่น้ำลาเมนท์สายตะวันตกและตะวันออก ก่อนที่จะบรรจบรวมกันเป็นแม่น้ำโลซานทางตอนเหนือ โดยที่มีธารน้ำเล็กแยกจากแม่น้ำลาเมนท์ทางทิศใต้ตัดผ่านใจกลางเมือง พวกเราจึงมีเส้นทางรุกสองเส้นทาง หนึ่งคือการใช้กองทัพเรือจากเมืองออรอนหรือแคว้นโอเบรอนล่องไปตามแม่น้ำลาเมนท์สายตะวันตกเข้าจู่โจม สองก็คือใช้กองทัพบกสร้างสะพานข้ามแม่น้ำลาเมนท์สายตะวันตกบุกเข้าตีนครมิสต์โดยตรง”

    ปลอกกระบี่ตวัดเจ็ดดาวแตะปลายลงไปที่ตำแหน่งทางใต้ของนครมิสต์บริเวณติดกับปากแม่น้ำลาเมนท์สายใหญ่ ก่อนที่ทางน้ำจะแยกเป็นสองสายคือลาเมนท์ตะวันตกกับลาเมนท์ตะวันออก กล่าวว่า “จุดนี้เป็นตำแหน่งที่พวกเราจะใช้อัคคี เผาผลาญนครมิสต์จากทางใต้ขึ้นเหนือ บีบบังคับให้กองทัพจักรวรรดิมิอาจตั้งรับอยู่ในเมืองได้ แต่การที่จะสามารถกระทำเช่นนั้นได้พวกเราจะต้องมีปัจจัยสามปัจจัย มิฉะนั้นแล้วแผนการนี้จะไม่อาจประสบผลสำเร็จได้เลย”

    “ปัจจัยเรื่องใดบ้าง?” ออสวอลถามแทนที่ประชุมทั้งหมด

    “ปัจจัยแรกคือเรื่องของไฟ การที่จะจุดไฟเผาเมืองๆหนึ่งนั้นมิใช่เรื่องง่าย พวกเราจะต้องมีต้นเพลิงที่รุนแรงเพียงพอในการเผาผลาญเมืองทั้งเมือง การยิงธนูอัคคีหรือแผนจารชนนั้นมิอาจพึ่งพาได้ อีกทั้งวิธีทั้งสองเสี่ยงต่อการถูกเปิดโปงจากทหารลาดตระเวนตามริมน้ำ ในตัวนครมิสต์นั้นมีวานเตสเป็นผู้รับผิดชอบเรื่องการรักษาความสงบภายใน ด้วยความสุขุมรอบคอบและมันสมองของบุคคลผู้นี้ การเฝ้าระวังรอบเมืองอาจเรียกได้ว่าไร้ช่องโหว่ บุคคลที่มีความสามารถในระดับจิตวิญญาณแห่งซันสามารถรับรู้ถึงความคงอยู่ของสิ่งผิดปกติได้จากระยะไกล ดังนั้นพวกเราจะต้องใช้วิธีพิเศษในการจุดต้นเพลิงนี้ขึ้น”

                    กอร์ดอนกล่าวด้วยความสงสัยว่า “หากมิอาจใช้ธนูอัคคีหรือแผนจารชนแล้วพวกเราจะจุดไฟได้อย่างไร? ในเมื่อกลยุทธ์อัคคีนั้นก็มีเพียงสองวิธีนี้เป็นสองวิธีหลัก”

                    ลูทที่พึ่งจะเข้ามาในที่ประชุมนึกถึงเหตุการณ์ที่เขากับแจ๊คทำลายรังโจรบริเวณแม่น้ำนอร์ริชจึงกล่าวขึ้นว่า “การใช้อัคคีนั้นมีอีกวิธีหนึ่งคือการใช้อัคคีทางอ้อม แทนที่จะมุ่งจุดอัคคีขึ้นก็ให้เปลี่ยนเป็นการนำเชื้อเพลิงไปวางไว้ในตำแหน่งที่ต้องการให้เปลวเพลิงลุกไหม้ หลังจากนั้นขอเพียงแค่จุดเชื้อไฟพวกเราก็จะได้อัคคีตามต้องการ หากพวกเราใช้เรือที่บรรทุกเชื้อไฟลอยไปตามกระแสน้ำให้เข้าประชิดนครมิสต์จากทิศใต้ แล้วยิงธนูอัคคีจุดให้เปลวเพลิงติดจากระยะไกล เพียงเท่านี้พวกเราก็จะได้เรืออัคคีหลายสิบลำเพียงพอที่จะเผาผลาญอ่าวๆหนึ่ง”

                    ขุนศึกไกได้คิดวิธีเช่นนี้อยู่ในใจแล้วเช่นกัน จึงกล่าวทัดทานว่า “ข้าเองมีความเห็นตรงกับเจ้า วิธีนี้อาจกระทำได้จริงอยู่แต่มิอาจสร้างความเสียหายที่พวกเราต้องการ อันเนื่องจากตัวเมืองหลักของนครมิสต์นั้นมิได้อยู่ติดกับริมแม่น้ำเสียทีเดียว มีเพียงบ้านเรือนตามชายฝั่งบางส่วนเท่านั้นที่ติดริมน้ำ ซึ่งอัคคีคงจะจำกัดอยู่ในวงแคบๆลุกลามไปไม่ถึงตัวเมืองใหญ่ อีกทั้งการใช้ธนูอัคคีเพื่อจุดให้เรือติดไฟมีระยะจำกัด มิอาจส่งให้เรือที่บรรทุกเชื้อไฟลอยเข้าไปถึงบริเวณใจกลางนครได้ อย่างมากอาจจะล้ำน่านน้ำเข้าไปได้อีกราวสองสามร้อยก้าว ทหารข้าศึกที่ประจำอยู่บริเวณนั้นจะรู้ตัวและสามารถดับอัคคีก่อนที่จะสร้างความเสียหายเท่าที่ควรจะเป็น”

                    “หากพวกเราเปลี่ยนจากการใช้ธนูอัคคีมาเป็นการใช้เอลแห่งเพลิงในการจุดไฟจะดีกว่าหรือไม่? กระทำเช่นนี้จะให้ระยะที่ไกลกว่าเดิม” มาร์คีสโรซาไลน์เสนอความเห็น

                    “ไกลกว่าเดิมร้อยก้าวก็จริงอยู่ แต่การร่ายเอลก็มิได้ไกลเพียงพอที่จะทำให้ผลลัพธ์นั้นแตกต่างจากการใช้ธนูอัคคีสักเท่าใด” ขุนศึกไกกล่าวตอบ

                    ไอเวอเรียสหันไปมองที่สตีเฟ่นแล้วกล่าวว่า “ปัญหาเรื่องการจุดไฟนั้นข้าได้คิดหาวิธีแก้เอาไว้แล้ว ขอเพียงท่านสตีเฟ่นและลาโทน่ารับปากช่วยเหลือ”

                    “นั่นจะได้อย่างไร?” สตีเฟ่นยังไม่ทันกล่าวจบก็ได้ยินเสียงลาโทน่าดังขึ้นว่า “เรื่องนี้ปล่อยเป็นหน้าที่ของข้าเอง”

                    หลายคนที่อยู่ในห้องประชุมที่ไม่เคยรู้เรื่องว่าลาโทน่านั้นมิใช่มนุษย์ธรรมดาแต่เป็นมังกรเพลิงกลายร่างมาเป็นมนุษย์นั้นก็มีสีหน้างุนงงชนิดจับต้นชนปลายไม่ถูก ต่างรอฟังคำอธิบายของสตีเฟ่นและไอเวอเรียสให้กระจ่าง

                    ลาโทน่าเห็นเช่นนั้นจึงกล่าวกับสตีเฟ่นว่า “เล่าความจริงไปเถิด จะอย่างไรสักวันหนึ่งทุกคนก็ต้องรู้ และข้าก็พร้อมที่จะยอมรับความจริงเช่นกัน”

                    สตีเฟ่นถอนหายใจคราหนึ่ง จากนั้นจึงเล่าเรื่องคร่าวๆต่อที่ประชุมว่าความจริงแล้วลาโทน่าเป็นมังกรกลายร่างมาเป็นมนุษย์ พวกเขาทั้งสองได้ทำพันธะแห่งวิญญาณกันเอาไว้ ลาโทน่าจึงกลายมาเป็นองครักษ์ส่วนตัวของเขา การต่อสู้กับอัศวินมังกรเบลโทริน่าและมังกรดำฟาฟเนอร์ที่ป้อมวอเตอร์ดีพก็เป็นเพราะลาโทน่าช่วยเหลือ หาไม่แล้วป้อมวอเตอร์ดีพอาจแตกพ่ายไปตั้งแต่ศึกคราวก่อน แต่สตีเฟ่นก็มิได้เล่าที่มาที่ไปของลาโทน่าอย่างชัดเจน ไม่มีการโยงความไปถึงเรื่องราวเมื่อสิบสี่ปีก่อน

    ผู้คนในห้องต่างมิได้ติดใจอันใด เนื่องจากสำนักข่าวพิราบรายวันสร้างผลงานเอาไว้กับกองกำลังปลดปล่อยเจนีสและสหพันธรัฐแห่งนอร์มากมาย ทุกคนในที่ประชุมต่างให้เกียรติลาโทน่าเฉกเช่นมนุษย์ผู้หนึ่ง มิได้แสดงความรังเกียจเรื่องเผ่าพันธุ์แต่อย่างใด

                    ไอเวอเรียสต้องก้มศีรษะกล่าวคำขอโทษต่อสตีเฟ่นครั้งหนึ่ง กล่าวว่า “ข้ามีความจำเป็นจริงๆที่ต้องกระทำเช่นนี้ ขอท่านสตีเฟ่นโปรดเข้าใจ การที่จะสร้างเปลวเพลิงมหาศาลในชั่วพริบตามีเพียงมังกรเพลิงเท่านั้นที่สามารถกระทำได้ และจะต้องขอความช่วยเหลือจากท่านราชหัตถเลขาในการควบคุมกองทัพเรือ หากให้ลาโทน่าบินเหนือชั้นเมฆในเวลากลางคืน ไม่ว่าจะเป็นเซเบอรอสหรือแม้แต่เวอร์น่อนเองก็ยากที่จะจับความคงอยู่ของนางได้ ในขณะเดียวกันพวกเราจะเตรียมเรือบรรทุกเชื้อเพลิงเอาไว้ ปล่อยให้ล่องไปตามกระแสน้ำในความมืด ทันใดที่เรือเชื้อเพลิงเข้าใกล้จุดนัดพบ ลาโทน่าก็จะบินโฉบลงมาจากท้องฟ้าเป่าลมหายใจเผาเมืองทางทิศใต้ไปแถบหนึ่ง ร่อนผ่านแนวแม่น้ำกลางเมืองเผาสะพานทิ้งเสีย ตัดขาดการเชื่อมต่อกันระหว่างกองทัพทางตะวันตกและตะวันออก ซึ่งกองเรือที่ล่องจากโอเบรอนขึ้นเหนือก็จะเห็นสัญญาจากเปลวเพลิง เร่งความเร็วเต็มที่ออกจู่โจมเข้าประสานเสริม ล่องไปทางแม่น้ำลาเมนท์ยิงธนูอัคคีหรือเอลที่สี่เผากองเรือเชื้อเพลิงเสีย เพียงเท่านี้พวกเราก็จะได้ต้นเพลิงที่เหมาะสมกับการเผานครมิสต์ทั้งนคร”

                    ออสวอลที่รับผิดชอบกองเรือของลาเวนดิสพยักหน้ารับรู้แผนการครั้งหนึ่ง

                    ลาโทน่ารับฟังแล้วจึงกล่าวว่า “ข้ามิอาจอยู่เหนือน่านฟ้านครมิสต์ได้นานเกินสองหรือสามนาที หาไม่แล้วจะต้องตกเป็นเป้าจู่โจมของจอมทัพมังกรทั้งสอง และเวลาเพียงสองสามนาทีนั้นก็มิอาจกระทำให้เปลวเพลิงลุกลามไปได้เกินหนึ่งในสิบของนครมิสต์ เพียงเท่านี้ท่านเสนาธิการคิดว่าเพียงพออย่างนั้นหรือ?

                    “ด้วยเหตุนี้ข้าจึงเรียกการปฏิบัติการของเจ้าว่าเป็นการสร้าง ต้นเพลิง เท่านั้น” ไอเวอเรียสหันไปมองลาโทน่าพลางกล่าวต่อไปว่า “ทันใดที่เจ้าเผาทำลายสะพานกลางเมืองแล้วขอให้รีบบินหนีโดยด่วน ไม่ต้องสนใจว่าเหตุการณ์จะเป็นอย่างไรต่อไป ข้าไม่ต้องการให้เจ้าพาตัวเข้าเสี่ยงโดยการปะทะกับจอมทัพมังกรแม้แต่คนหนึ่งคนใด ขอให้บินผ่านเข้าไปทางกองเรือของท่านราชหัตถเลขา อ้อมเข้าหากองทัพของท่านลาร์ก เพียงเท่านี้เจ้าก็จะปลอดภัย”

                    “ข้าทราบแล้ว” ลาโทน่ารับคำ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×