ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ศาสตราคู่กู้แผ่นดิน

    ลำดับตอนที่ #243 : เล่ม 8 - ตอนที่ 111 - สองเรา (3)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.56K
      2
      10 ธ.ค. 51

    /> /> />

    ณ อุทยานออร์บอร์น สถานที่ที่เงียบสงบและร่มรื่นที่สุดใจกลางกรุงเดว่า

                    สวนหินอ่อนแห่งนี้เป็นสมบัติของราชวงศ์เดวารอสแห่งลาเวนดิส องค์ราชินีและเชื้อพระวงศ์หลายต่อหลายรุ่นทรงร่วมกันพระราชทานทุนทรัพย์ส่วนพระองค์สร้างอุทยานออร์บอร์นแห่งนี้ขึ้น จนกระทั่งกลายเป็นสัญลักษณ์ตัวแทนกรุงเดว่าทั้งทางด้านของความสวยงามและความยิ่งใหญ่ ส่งผลให้อุทยานออร์บอร์นมีคุณค่าทางจิตใจต่อชาวเมืองเดว่าเป็นอย่างยิ่ง หากนักท่องเที่ยวผู้ใดยังไม่มีโอกาสได้สัมผัสสถานที่แห่งนี้ ก็เทียบเท่าว่ายังมิได้มาถึงกรุงเดว่า

                    ประตูของอุทยานออร์บอร์นสร้างจากเหล็กดัดโค้งและเหล็กตรงซี่เล็กๆเชื่อมเข้าหากัน ลวดลายของเหล็กดัดถูกออกแบบโดยช่างศิลป์ฝีมือเยี่ยมแสดงให้เห็นถึงความอ่อนช้อยที่แฝงไว้ด้วยความแข็งแกร่ง บานประตูมีความกว้างประมาณยี่สิบวา เมื่อเปิดออกเผยให้เห็นถนนหินอ่อนเส้นใหญ่ เพียงพอให้รถม้านับสิบคันวิ่งคู่ขนานกันโดยมิต้องเบียดเสียด สองฟากของถนนเป็นแนวอุทยานที่มีการจัดวางต้นไม้ในแบบฉบับที่องค์ราชินีแต่ละพระองค์ทรงพอพระทัย ชื่อของสวนย่อยแต่ละแห่งล้วนเป็นชื่อพระราชทานทั้งสิ้น

    ตั้งแต่ก้าวแรกที่คนผู้หนึ่งเดินเข้าไปสัมผัสกับความยิ่งใหญ่ของอุทยานออร์บอร์น จะได้ยินเสียงน้ำไหลเอื่อยๆอยู่ตลอดเวลา ลำธารและน้ำตกถูกออกแบบให้หมุนวนด้วยพลังงานของแร่เอลไลท์ ขับดันน้ำเหล่านี้ด้วยเอลที่สองส่งให้ไหลเวียนไปทั่วอุทยาน

                    บุรุษหนุ่มหญิงสาวทั้งสองอดตะลึงตะลานกับความสวยงามของสถานที่แห่งนี้เสียมิได้ โดยเฉพาะลูทที่ตื่นตาตื่นใจกับกลไกการขับดันลำธารน้ำบนพื้นที่มหาศาล แม้ว่าจะถูกอันตรายเบื้องหน้าบดบังมิได้ครุ่นคิดในเรื่องราวของงานประดิษฐ์ไปนาน แต่เมื่อเห็นนวัตกรรมเอลเทคอันยิ่งใหญ่แล้วก็เป็นเรื่องธรรมดาที่จะอดตื่นตาตื่นใจมิได้

                    “ตั้งแต่ที่การปฏิวัติของเวอร์น่อนได้เริ่มขึ้น ข้าไม่มีโอกาสแม้สักนาทีหนึ่งที่จะออกมาแสวงหาความรื่นรมย์ส่วนตัว ทุกนาทีต้องคอยกังวลอยู่กับการต่อสู้และการศึก หาทางเอาตัวรอดในจุดอับอย่างต่อเนื่อง พึ่งจะมีเวลาวันนี้ที่ข้าได้มีโอกาสพาเจ้ามาเที่ยวชมอุทยานออร์บอร์น และเป็นวันสุดท้ายที่ข้าจะได้อยู่ในเมืองลาเวนดิสก่อนที่จะต้องจากไปปฏิบัติภารกิจอีกเช่นเคย” เสียงของบุรุษหนุ่มดังขึ้นหลังจากที่ละสายตาออกจากเครื่องควบคุมระดับน้ำที่ริมธาร

                    ยูกิแต่งชุดสีฟ้าอ่อนสดใสแทบจะบดบังความงดงามของอุทยานแห่งนี้ไปสิ้น กล่าวตอบว่า “นี่ก็เป็นวันสุดท้ายของข้าเช่นกัน ท่านมู่ซิ่วหลันส่งจดหมายมาถึงข้าระบุว่าในตอนนี้ลาเวนดิสอาจไม่ปลอดภัยสำหรับบุคคลที่ไร้วรยุทธ์อย่างข้า ตั้งแต่วันพรุ่งนี้เป็นต้นไปข้าจะย้ายไปอยู่กับท่านอาซิ่วหลันที่เมืองโอเบรอน”

                    “ในปัจจุบันนับว่าหมู่ตึกตระกูลมู่เป็นสถานที่ที่ปลอดภัยที่สุดในแผ่นดินจริงๆ เมื่อมีทั้งท่านมู่จื้อและท่านมู่ซิ่วหลันคอยคุ้มครองเจ้า ข้าย่อมไม่มีข้อสงสัยใดๆเกี่ยวกับความปลอดภัยอีก แต่เมื่อครู่หูของข้าได้ยินผิดไปหรือไม่? ว่าเจ้ากลายเป็นบุคคลที่ไร้วรยุทธ์ตั้งแต่เมื่อใด เอลของท่านคาโรลที่ถ่ายทอดผ่านมาสู่เจ้าย่อมทำให้ฝีมือของเจ้าในตอนนี้จัดอยู่ในระดับแนวหน้าของบรรดายอดฝีมือด้วยซ้ำไป” บุรุษหนุ่มถาม

                    “ก่อนที่ข้าจะสูญเสียความทรงจำนั้นอาจจะใช่” ยูกิตอบด้วยสีหน้าที่ไม่เป็นเดือดเป็นร้อนใดๆทั้งสิ้น “แต่ปัจจุบันการโคจรเอลในร่างของข้าถูกทำลายไปสิ้น ที่อยู่ต่อหน้าเจ้าเป็นเพียงสตรีธรรมดาไร้วรยุทธ์ผู้หนึ่ง นอกเสียจากการจับกระบี่อ่อนป้องกันตัวเล็กน้อยที่ยังพอกระทำได้ มิใช่การใช้ศาสตร์แห่งเอล”

                    ลูทรับฟังแล้วกล่าวว่า “ที่แท้เรื่องราวเป็นเช่นนี้ ... แล้วเจ้าไม่เสียดายหรือ? ศาสตร์แห่งเอลที่เคยฝึกฝนมาเป็นเวลาหลายปี”

                    ยูกิส่ายศีรษะครั้งหนึ่ง กล่าวว่า “ข้าลองนึกดูอีกครั้งหนึ่ง หากไม่จำเป็นต้องเข้าแข่งขันการประลองอาร์คาน่าเพื่อชิงตำแหน่งยอดหญิง หรือไม่รู้ตัวมาก่อนว่าสายเลือดในร่างของข้าสามารถใช้เอลธาตุไม้ได้ ข้าคงจะไม่มีโอกาสได้ฝึกศาสตร์แห่งเอล ขอเพียงสามารถท่องไปทั่วหล้า ชมสถานที่ใหม่ๆที่น่าสนใจ เรียนรู้เกี่ยวกับหลักการการใช้ชีวิต เปลี่ยนแปลงหลักการพวกนั้นให้เป็นภูมิความรู้ และก็มีโอกาสที่จะเล่นดนตรีอยู่อย่างสม่ำเสมอ เพียงเท่านี้ก็นับว่าข้าได้บรรลุจุดประสงค์ของการมีชีวิตอยู่แล้ว”

                    บุรุษหนุ่มถามต่อไปว่า “ถ้าเช่นนั้นก็แสดงว่าเอลธาตุไม้ของเจ้าก็หายไปด้วยอย่างนั้นหรือ? สัญลักษณ์ของธาตุไม้บนหลังของเจ้าก็จะไม่ปรากฏขึ้นมาอีกใช่หรือไม่?

                    ใบหน้าของยูกิพลันเปลี่ยนเป็นสีแดงสดใส ยกมือข้างหนึ่งปิดตำแหน่งที่เป็นสัญลักษณ์ธาตุไม้ กล่าวอย่างตะกุกตะกักว่า “จ ... เจ้า เคยเห็นสัญลักษณ์บน ผ ... แผ่นหลังของข้าด้วยหรือ?

                    คำกล่าวของยูกิพลอยทำให้ลูทหน้าแดงตามไปด้วย กล่าวปฏิเสธอย่างรวดเร็วว่า “ไม่ใช่อย่างนั้น เจ้าเข้าใจผิดแล้ว ข้าเพียงแต่เห็นแสงสีน้ำตาลแผ่ออกมาจากเสื้อของเจ้าเมื่อเจ้าร่ายเอลธาตุไม้”

                    สีหน้าของยูกิเปลี่ยนไปทันที ชักชวนบุรุษหนุ่มให้เดินไปชมสวนเบื้องหน้า กลบเกลื่อนความอับอายจากการเสียกิริยาเมื่อครู่ กล่าวว่า “หลังจากที่พวกเราเดินกันสักรอบหนึ่งก็ถึงเวลาที่เจ้าจะสอนวิธีเป่าขลุ่ยให้ข้าแล้วใช่หรือไม่?

                    ลูทเดินตามนางไปพร้อมกับกล่าวด้วยน้ำเสียงของผู้น้อยเคารพผู้อาวุโสว่า “ท่านอาจารย์ต้องสอนวิชาดีดพิณให้กับศิษย์ก่อนหน้านั้น”

                    “ไปของเจ้า” ยูกิหันกลับมาหัวเราะอย่างสดใสพลางเดินทอดสายตาชมอุทยานออร์บอร์นอย่างมีความสุข

     

    บุรุษหนุ่มหยุดยืนอยู่ที่ริมระเบียง ก่อนที่จะถอนหายใจครั้งหนึ่ง เคาะเบาๆที่หน้าต่างสองสามครั้งแล้วเปิดออก

                    “ขออภัยที่มาโดยมิได้บอกกล่าว” บลูก้าวเท้าพลิกร่างผ่านหน้าต่างระเบียงหลบเข้าไปในห้องๆหนึ่ง โดยที่สายตาเวรยามรอบตำหนักใหญ่นับสิบคนมิอาจพบเห็น เขาตั้งใจว่าจะอย่างไรวันนี้ก็จะต้องบอกความจริงทั้งหมดให้เจสได้รับทราบ ตราบใดที่พวกเขาทั้งสองสวมแหวนคู่ชะตา หนทางที่จะได้อยู่เคียงข้างกันก็มืดดับลง

                    หญิงสาวที่อยู่ภายในห้องอุทานเบาๆครั้งหนึ่งเมื่อได้ยินเสียงนั้น กล่าวตะกุกตะกักว่า “ท่าน ... ท่านบลู!?

    เจสสิกาพึ่งจะออกมาจากห้องน้ำบนร่างกายมีเพียงผ้าเช็ดตัวผืนหนึ่งปกคลุม ผิวกายขาวผ่องมีละอองน้ำเกาะอยู่จนเห็นได้ทั่วไป ผมยาวสีทองสะท้อนแสงอาทิตย์ยามสายยังคงเปียกปอน ท่อนขาเรียวยาวเรียบเนียนเผยให้เห็นแก่สายตาของบุรุษหนุ่ม จนกระทั่งใบหน้าของหญิงสาวเปลี่ยนเป็นสีชมพูระเรื่อ รีบหันกายวิ่งกลับเข้าไปในห้องน้ำโผล่ออกมาเพียงศีรษะ แต่ยังพอจะควบคุมสติไว้ได้ไม่กรีดร้องออกมา

    ตั้งแต่เกิดมาบลูไม่เคยอยู่ในเหตุการณ์ที่กระอักกระอ่วนเช่นคราวนี้มาก่อน เสียงหัวใจเต้นโครมครามทำอะไรไม่ถูก จึงคิดหาทางถอนตัวคลี่คลายสถานการณ์เบื้องหน้าเสีย คิดได้เช่นนั้นก็รีบหันหลังกลับออกไปทางหน้าต่าง กล่าวว่า “ขอโทษ ... ไว้ข้าจะมาหาเจ้าใหม่”

    “อย่าพึ่งไป” เสียงของสตรีสาวดังออกมาจากห้องน้ำ “ท่านนั่งหันหน้าออกไปทางนั้นก่อนจะได้หรือไม่? ขอเวลาข้าครู่หนึ่งแต่งตัวให้เรียบร้อยเสียก่อน จากนั้นพวกเราค่อยสนทนากัน”

    บลูได้ยินเช่นนั้นจึงตอบรับ นั่งลงที่ริมหน้าต่างทอดสายตาผ่านเงาม่านโปร่งสีขาวออกไปเบื้องนอก กล่าวว่า “ขออภัยอีกครั้ง  ข้า ... ข้าไม่คิดว่าเจ้าจะพึ่งอาบน้ำเสร็จ”

    “ไม่เป็นไร” หญิงสาวกล่าวเสียงราบเรียบปกปิดความเขินอายที่อยู่ภายใน ค่อยๆก้าวเดินออกจากห้องน้ำเข้ามาในห้องนอน หยิบชุดเสื้อผ้าเข้าไปสวมใส่ในห้องน้ำอีกครั้ง เวลาผ่านไปครู่หนึ่งอย่างเงียบสนิท นอกจากเสียงผัดเปลี่ยนชุดของเจสสิกาแล้วไม่ว่าบุรุษหนุ่มหรือหญิงสาวก็มิกล้าเอ่ยวาจาอันใด อาจเป็นเพราะทั้งคู่เกิดความกระดากขึ้นจึงไม่สะดวกที่จะกล่าววาจา

    “เรียบร้อยแล้ว” เสียงของเจสดังขึ้นจากด้านหลัง

    บลูค่อยๆหันกายไปเห็นโฉมสะคราญในชุดกระโปรงยาวสีเขียวอ่อน หัวไหล่ทั้งสองคลุมไว้ด้วยผ้าขนหนูผืนหนึ่งป้องกันมิให้เสื้อเปียกน้ำจากเส้นผมที่ยังไม่แห้ง ริมฝีปากสีแดงอ่อนเกิดจากการแต้มชาดบางๆ นั่งหันหน้าเข้าหากระจกอยู่บนโต๊ะเครื่องแป้ง ประทินโฉมด้วยแป้งฝุ่นเล็กน้อยก่อนที่จะหันมายิ้มให้กับเขา ยินเสียงนางกล่าวว่า “ข้าไม่รู้จะกล่าวอย่างไร ... ข้าดีใจที่ท่านมาในวันนี้”

    บุรุษหนุ่มเห็นว่าสถานการณ์กลับคืนสู่สภาพปกติจึงโล่งใจไปเปลาะหนึ่ง กล่าวตอบว่า “หลายวันมานี้เหตุการณ์ต่างๆวุ่นวายยิ่งนัก ข้ามีเรื่องราวหลายประการจำเป็นต้องชำระสะสาง ประกอบกับสุขภาพของเจ้าที่ย่ำแย่ลงเรื่อยๆ จึงคิดว่าหากปลีกตัวออกมาพักหนึ่งให้เจ้าได้พักผ่อนอย่างเต็มที่อาการของเจ้าน่าจะดีขึ้น ซึ่งก็เป็นอย่างที่ข้าคาดเดา วันนี้เจ้าดูสดใสขึ้นกว่าเดิมอย่างผิดหูผิดตา”

    หญิงสาวดีใจที่ได้ยินบุรุษหนุ่มกล่าวเช่นนั้น ความรู้สึกค้างคาใจที่คิดว่าตนเองถูกทอดทิ้งจึงถูกลบเลือนไปสิ้น แต่อย่างไรก็ตามนางก็ต้องแสดงออกให้เห็นว่าถึงความไม่พอใจ จึงกล่าวออกไปด้วยน้ำเสียงที่แง่งอนปนน้อยใจว่า “จะไม่ให้ข้าดีขึ้นกว่าเดิมได้อย่างไร? สิบกว่าวันที่ผ่านมานอกจากนอนพักผ่อนอยู่ในห้องแล้วก็มิได้กระทำอย่างอื่นอีก จะหาใครมาสนทนาเป็นเพื่อนก็ไม่มี ... ไม่มีผู้ใดต้องการพบข้านอกเสียจากโรสเพียงผู้เดียว” เสียงตอนช่วงท้ายประโยคแสดงให้เห็นถึงความเศร้าสลด

    บุรุษหนุ่มทราบได้ทันทีว่าสถานการณ์ปกติเมื่อครู่แปรผันกลับกลายอีกครั้ง ด้วยความรู้สึกผิดในใจทั้งจากข้อแก้ตัวที่จับเรื่องโกหกผสมเรื่องจริงกล่าวกับนางไปเมื่อครู่ กับความรู้สึกเสียใจปะปนความสงสาร จึงลุกขึ้นก้าวเดินไปหยุดยืนที่เบื้องหลังของนาง วางมือลงบนผ้าขนหนูที่เปียกหยดน้ำจากเรือนผม กล่าวด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนกึ่งขอร้องว่า “ขอเจ้าอย่าได้มีโทสะได้หรือไม่?

    เจสทราบว่าบลูกล่าวเช่นนี้แสดงว่าเขายินยอมอ่อนข้อให้มากแล้ว จึงกล่าวว่า “ขอเพียงท่านสัญญาว่าต่อไปนี้จะไม่หายหน้าไปอีก ข้าก็จะไม่มีโทสะ”

    ไม่ว่าเอลลิสหนุ่มจะเก่งกาจเพียงใดแต่ก็ต้องยอมแพ้หญิงสาวตรงหน้าอยู่วันยังค่ำ ทอดถอนหายใจครั้งหนึ่งกล่าวยอมรับในสัญญาที่ไม่มีทางเลือกใดๆว่า “ข้าให้สัญญา”

    บนใบหน้าของเจสสิกาปรากฏความสดใสเป็นครั้งแรกในรอบสิบกว่าวัน “ข้าเชื่อท่าน”

    รอยยิ้มอันตรึงตราส่งผ่านสายตาของบุรุษหนุ่มเข้าไปยังขั้วหัวใจ ก่อกำเนิดเป็นความสุขล้นจากการที่มีสตรีผู้หนึ่งเชื่อมั่นในตนเองมากถึงเพียงนี้ ในขณะที่จิตใจเกิดความขัดแย้งอย่างใหญ่หลวง เขาจำต้องตัดใจทอดทิ้งนางไปถึงสิบกว่าวัน รู้ทั้งรู้ว่าการกระทำเช่นนั้นสร้างความเจ็บปวดเสียใจให้กับนางถึงเพียงใด

    หากมองความจริงอีกด้านหนึ่ง สิบวันที่ผ่านมาอาการของบลูก็มิได้ดีกว่าเจสสักเท่าใด อาจเจ็บปวดเป็นสองเท่าเสียด้วยซ้ำเมื่อเป็นคนเดียวในโลกที่ทราบความจริงอันโหดร้าย ว่าเขาเองเป็นสาเหตุของอาการล้มป่วยทั้งหมด

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×