ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ศาสตราคู่กู้แผ่นดิน

    ลำดับตอนที่ #264 : เล่ม 9 - ตอนที่ 122 ก่อนออกเดินทาง (4)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.53K
      4
      28 ม.ค. 52

    /> /> />

    การแปลงโฉมเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ในการเดินทางข้ามอาณาจักรโดยมิให้เป็นที่สะดุดตา

    บุคคลทั้งหกปลอมแปลงโฉมใส่เสื้อผ้าของชาวนอร์ โดยเฉพาะโรสและรินะที่ต้องใช้ผ้าโพกศีรษะปกปิดเรือนผมสีทองและสีดำอย่างมิดชิด พวกเขาอาศัยเอลลิสแห่งมิติเดินทางข้ามประเทศมายังเมืองโอดินในชั่วพริบตา อันเป็นพื้นที่ที่อยู่ใต้การควบคุมของขุนศึกไก

    เนื่องจากการเดินทางในครั้งนี้ถูกปิดเป็นความลับสุดยอด ในบรรดาคนของเจนีสจึงมีเพียงกุนซือราเมสและแม่ทัพมอริแกนที่รับทราบเรื่องราว ทั้งสองจัดเตรียมม้าชั้นดีและเสบียงสำหรับหกคนเอาไว้ล่วงหน้า ก่อนที่จะเปิดทางให้พวกเขาออกจากประตูทิศเหนือไปอย่างลับๆ

    ขณะที่พวกเขาทั้งหกขึ้นม้าเรียบร้อยแล้วเสียงของไกดังขึ้นว่า “นับจากพื้นที่นี้ไปห้าร้อยก้าว พวกเราจะเข้าสู่เขตการควบคุมของอาณาจักรนอร์ อาจพบเห็นทหารฝ่ายตรงข้ามได้เป็นระยะ แต่ก่อนที่จะถึงจุดเปลี่ยนม้าโอดินแองเจลหูตาของฝ่ายตรงข้ามจะยังคงเบาบาง เนื่องจากพื้นที่แถบนี้เป็นถิ่นที่อยู่อาศัยของชาวบ้าน ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับจุดยุทธศาสตร์ทางการทหาร”

    ไอเวอเรียสย้ำเตือนว่า “พึงระวังเอาไว้ว่าจุดประสงค์ในการเดินทางครั้งนี้มิใช่การต่อสู้ หากพบปะเรื่องราวอันใดก็ให้หลบหลีเสียเป็นอันดับแรก หาไม่แล้วการเจรจาอาจประสบกับความล้มเหลว”

    รินะที่ไม่ทราบเรื่องราวอยู่คนเดียวจึงโพล่งขึ้นมาว่า “เจรจากับผู้ใดหรือศิษย์พี่ใหญ่?” คำถามนี้เล่นเอาบุคคลที่เหลือทั้งห้าปวดเศียรเวียนเกล้าไปตามๆกัน

    เสียงทอดถอนหายใจของไอเวอเรียสดังขึ้น กล่าวกับทุกคนว่า “การเดินทางครั้งนี้ล่าช้าไม่ได้ เอาเป็นว่าข้าจะอธิบายให้รินะทราบระหว่างการเดินทางก็แล้วกัน”

    สิ้นเสียงคำกล่าวม้าทั้งหกถูกกระตุ้นให้ห้อออกไปอย่างรวดเร็วโดยมีไกเป็นผู้นำทาง บลูเป็นผู้ระวังหลัง จัดเป็นขบวนหนึ่งหน้าสี่กลางหนึ่งหลัง จะอย่างไรพื้นที่แถบนี้ล้วนเป็นถิ่นหากินเก่าของบุคคลทั้งสอง ผู้หนึ่งเคยเป็นมือปราบชั้นหนึ่งประจำทิศตะวันตกเรียกได้ว่าเข้าใจพื้นที่ทุกตารางนิ้วเป็นอย่างดี ส่วนอีกผู้หนึ่งเคยทำงานรับจ้างเป็นผู้คุ้มกันก็มีความเข้าใจในเรื่องพื้นที่อันตรายมิได้ด้อยไปกว่ากัน บุคคลทั้งสี่ที่ควบม้าอยู่กลางขบวนจึงวางใจลงได้

    ไอเวอเรียสบังคับม้าของตนให้มาวิ่งเคียงคู่กับหญิงสาวชาวเอนเซล ก่อนที่จะอธิบายว่า “ครั้งนี้พวกเราเดินทางขึ้นเหนือมาเพื่อเจรจากับตัวแทนของฝ่ายจักรวรรดิ”

    “เหตุใดครั้งนี้จึงได้คุยกันรู้เรื่อง? ทั้งๆที่เมื่อสามสี่วันก่อนยังรบพุ่งกันอย่างไม่ลืมหูลืมตา” วาจาของสตรีสาวเปี่ยมไปด้วยความสงสัย

    จะอย่างไรนางก็ยังเป็นเด็กสาวอายุสิบเจ็ดปีคนหนึ่ง คงไม่มีทางเข้าใจเรื่องราวและเหตุผลมากมายของวงการการเมือง ไอเวอเรียสครุ่นคิดแล้วจึงอธิบายว่า “โบราณกล่าวไว้ว่าศัตรูในวันนี้อาจเป็นสหายในวันหน้า การช่วงชิงผลประโยชน์ไม่มีมิตรแท้ศัตรูเทียม ในเมื่อโรฮันหรือเทพสงครามตั้งใจจะก่อกวนให้แผ่นดินวุ่นวาย มุ่งหวังที่จะให้พวกเราทั้งหมดรบพุ่งกันจนตกตายไปข้างหนึ่ง พวกเราจักไม่กระทำตามแผนที่มันวางไว้ เป้าหมายสูงสุดที่พวกเราจับอาวุธรบพุ่งกันอยู่ในทุกวันนี้ก็เพื่อล้มล้างต้นตอของสงคราม มิได้เพื่อทำลายล้างฝ่ายจักรวรรดิ”

    รินะได้ยินเช่นนี้จึงร้องออ กล่าวว่า “รินะคิดอยู่เสมอว่าการรบราฆ่าฟันจะอย่างไรก็ไม่มีทางนำมาซึ่งสันติภาพได้ เมื่อคนผู้หนึ่งตายอีกคนผู้หนึ่งย่อมต้องล้างแค้น การเจรจาเช่นนี้จึงเป็นทางออกที่ดีที่สุด”

    คำกล่าวของรินะแม้ว่าจะไม่เกี่ยวข้องกับประเด็นทางการเมืองหรือกลยุทธ์ทางสงครามใดๆ แต่กลับเป็นความจริงที่ไอเวอเรียสมิอาจปฏิเสธได้ นึกไม่ถึงว่าคำพูดของสตรีสาววัยสิบเจ็ดนางหนึ่งจะกระตุ้นให้เสนาธิการหนุ่มได้คิดในมุมกลับ มองปัญหาจากอีกมุมหนึ่งที่ไม่เคยคิดถึงมาก่อน

    รอยยิ้มของไอเวอเรียสปรากฏขึ้นเต็มฝืน พลางเอื้อมมือไปลูบศีรษะรินะอย่างทนุถนอม กล่าวว่า “โชคดีที่ครั้งนี้มีเจ้ามาด้วย ขอบใจเจ้ามาก”

    คำกล่าวขอบศิษย์พี่ใหญ่ยิ่งทำให้รินะงุนงงหนักไปกว่าเดิม แต่ด้วยสีหน้าและดวงตาเช่นนั้นของฝ่ายตรงข้ามทำให้ทราบว่าเขากำลังใช้ความคิดอย่างจริงจัง นางจึงไม่รบกวนถามรายละเอียด ปล่อยให้ศิษย์พี่ใหญ่ใช้ความคิดอยู่กับตนเองตลอดการเดินทางที่เหลือ

    ในขณะเดียวกันคำกล่าวของรินะก็มิอาจพ้นโสตประสาทของบุคคลอีกผู้หนึ่งไปได้

    หากจะกล่าวตามตรงแล้ว บุคคลที่ลำบากใจหรือมีความขัดแย้งในจิตใจมากที่สุดสำหรับการเจรจาในครั้งนี้คงจะเป็นใครเสียมิได้อีกนอกจากไก บุคคลหลายต่อหลายคนที่เกี่ยวข้องกับเขาอย่างใกล้ชิดต้องมาตกตายไปเพราะจักรวรรดินอร์ กล่าวคือโซเฟีย การาดอส แม่บุญธรรม ราชันย์กาเรียและคนของตระกูลคาร์เดลอีกเป็นจำนวนมาก

    ในอนาคตอันใกล้ไกทราบว่าเขาจะต้องกลายเป็นผู้ปกครองอาณาจักรเจนีส การกระทำของเขาไม่เพียงแต่เป็นการกระทำเพื่อตัวเขาเพียงผู้เดียว ยังมีชีวิตอีกนับหมื่นนับแสนที่เขาจะต้องรับผิดชอบ เมื่อคำพูดของรินะกล่าวขึ้นมาไกที่จมปลักอยู่ในห้วงสงครามจึงมีโอกาสได้คิด สังหารคนของนอร์ให้สิ้นซากแล้วจะมีประโยชน์อันใด? หากการสังหารนั้นรังแต่จะย้อนกลับมาทำร้ายตนเองในภายภาคหน้า เมื่อมนุษย์ต้องการอยู่อย่างสงบสุขสิ่งแรกที่ต้องกระทำร่วมกันคือการวางอาวุธ โซเฟีย ท่านแม่บุญธรรม ท่านการาดอส ... พวกท่านเห็นด้วยใช่หรือไม่?’

    แน่นอนว่าไม่มีคำตอบจากบุคคลเหล่านั้น สิ่งที่พวกเขาหลงเหลือไว้ให้ไกมีเพียงจินตภาพและความทรงจำ ต่อให้ไกถามอีกหมื่นครั้งแสนครั้งก็ไม่มีผู้ใดคืนชีวิตขึ้นมาให้คำตอบเขา

    สัจธรรมที่การสังหารจะนำมาซึ่งการสังหารช่วยทำให้ไกได้คิด ว่าแท้จริงแล้วคงจะไม่มีผู้ใดต้องการสังหารและเป็นฝ่ายถูกสังหาร การอยู่ร่วมกันอย่างสันติเป็นทางออกที่ดีที่สุดในการใช้ชีวิตร่วมกันของมนุษยชาติ หน้าที่ของราชาในหมู่ไพร่ฟ้าก็คือการมอบสันติสุขอันเป็นสิ่งที่ทุกคนปรารถนาคืนกลับให้แก่พวกเขา

    ท่ามกลางป่าเขาลำเนาไพรและทุ่งหญ้าอันคุ้นตานี้เอง ไกลาเดีย เดอ เจนีสได้ลอบตัดสินใจกับตัวเองในฐานะราชันย์แห่งรัฐอิสระเจนีสเป็นครั้งแรก ว่าเขาจะยึดถือส่วนรวมเป็นสำคัญส่วนตัวเป็นรอง และจะเสียสละด้วยการหยุดการล้างแค้นที่ใช้โลหิตล้างโลหิตลงที่ตรงนี้

    ข้าทราบว่าพวกท่านต้องเข้าใจ บุรุษหนุ่มวัยย่างสามสิบปีแหงนหน้าขึ้นมองท้องฟ้า ด้วยความหวังลึกๆว่าบุคคลที่อยู่บนสรวจสวรรค์เหล่านั้นจะทราบถึงความในใจ

    ภายใต้การนำทางและระวังหลังของผู้ชำนาญทางทั้งสอง ส่งผลให้บุคคลทั้งหกห้อม้าไปทางเหนือติดต่อกันเป็นเวลาสามชั่วโมงกว่าอย่างปลอดภัย พวกเขาเปลี่ยนม้าครั้งหนึ่งที่จุดเปลี่ยนม้าโอดินแองเจล จากนั้นจึงมุ่งหน้าไปทางทิศตะวันออกเฉียงเหนือจนกระทั่งดึกสงัด เมื่อเลือกชัยภูมิที่เหมาะสมได้ พวกเขาจึงตั้งกระโจมพักผ่อน

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×