ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ศาสตราคู่กู้แผ่นดิน

    ลำดับตอนที่ #265 : เล่ม 9 - ตอนที่ 123 - วาจากลางราตรี (1-2)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.56K
      4
      1 ก.พ. 52

    /> /> />

    ภาคสักวันหนึ่ง

    ตอนที่ 123 วาจากลางราตรี

    11 เมษายน อ.ศ. 226

     

    ท่ามกลางเชื้อไฟหล่อเลี้ยงสงคราม ความรักของบุรุษหนุ่มหญิงสาวคู่หนึ่งกลับเบ่งบานขึ้นถึงขีดสุด

    ความรักเป็นสิ่งที่ประหลาด ทำหน้าที่หล่อเลี้ยงจิตใจของมนุษย์ทั้งโลก ไม่ขึ้นกับเวลา ไม่ขึ้นกับสถานที่ ไม่ยึดติดกับกฎเกณฑ์ใดๆ แม้ว่าจะเป็นห้วงเวลาแห่งสงครามท่ามกลางสนามรบ ความรักอันบริสุทธ์ใสสะอาดก็สามารถก่อตัวขึ้นมาจนมีชีวิตชีวายิ่งกว่าอัญมณีใดๆ

    จันทราผ่องส่องประกาย

    แสงพร่างพรายในรัตติกาลสีคราม

    เรียงร้อยคืนรักเราหมดจดงดงาม

    ยามคิดถึงคะนึงยามนี้

                    ไกคำนึงถึงบทกลอนที่โซเฟียเคยประพันธ์ขึ้นเมื่อสมัยยังเรียนอยู่ที่เอนเซลเลียร์ แม้เวลาจะผ่านไปสิบปีเศษเขาก็พบว่าค่ำคืนนั้นกับค่ำคืนนี้ช่างละม้ายคล้ายคลึงกันยิ่งนัก ทั้งบรรยากาศและความรู้สึกที่คุกรุ่นอยู่ในใจ  เว้นเสียแต่ความรักที่เขามีในค่ำคืนนั้นเปลี่ยนผันไปมอบให้สตรีอีกผู้หนึ่งในค่ำคืนนี้

    สตรีผมทองผู้เอนกายพิงผนังกระโจมชมจันทร์อยู่เคียงข้าง

                    จันทราในค่ำคืนนี้ส่องแสงนวลสาดลงมาที่ข้างกระโจม ท่อนไม้ในกองไฟส่งเสียงแตกดังเปรียะอยู่เป็นระยะ ควบคู่กับเสียงแมลงตามธรรมชาติที่ใช้ชีวิตส่วนใหญ่ในเวลากลางคืน ไกกับโรซาไลน์สองคนนั่งอยู่คู่เคียงกัน ในมือต่างถือนมอุ่นๆคนละถ้วยที่อาศัยกองเพลิงเบื้องหน้าอุ่นร้อน อากาศยามค่ำคืนจะอย่างไรก็หนาวเย็นกว่าตอนกลางวัน โดยเฉพาะตำแหน่งที่เป็นพื้นที่รอยต่อของเมืองโอดินและนอร์โปลิสที่เริ่มเข้าเขตหนาวเหน็บ

                    โรซาไลน์สวมชุดนวมสีแดงอ่อนขับเน้นผิวขาวของชาวลาเวนดิสให้เด่นขึ้นประจักษ์สายตา ตัดกับผมสีทองที่ปกคลุมศีรษะยาวลงมาถึงต้นแขน ขอบเสื้อนวมประดับด้วยขนสัตว์นุ่มสลวยทั้งเพื่อความสวยงามและความอบอุ่น

    ไกกวาดสายตามองมาด้านข้าง ชื่นชมกับความงามของสตรีที่เพียงพอต่อการบดบังรัศมีจันทรา พึงสงสัยว่าเพราะเหตุใดแก้มสีชมพูระเรื่อตลอดจนขนตายาวงอนที่เคยเห็นอยู่เป็นประจำ ในค่ำคืนนี้กลับดูสวยงามจนแปลกตา ถึงกับเกิดคำถามขึ้นในใจว่า โฉมสะคราญผู้นี้หรือคือคนรักของข้า?’

                    อันความรักทำให้สตรีผู้หนึ่งงดงามขึ้นราวกับเป็นคนละคน

                    “พี่ไกคิดอะไรอยู่หรือ?” เสียงของโรซาไลน์ทำลายความเงียบสงบขึ้น

                    ไกที่กำลังเหม่อมองความงามของโรซาไลน์อย่างลืมตัวนั้นถึงกับกระอักกระอ่วน กิริยาเช่นนี้ของขุนศึกไกหาดูชมมิได้ง่ายนัก ก่อนที่จะดึงความคิดก่อนหน้านั้นมาตอบว่า “เมื่อครู่ข้าคิดอยู่ว่า หากสงครามนี้สิ้นสุดลงในเร็ววันเรื่องราวต่อไปจะเป็นอย่างไร?

                    โรซาไลน์เป่าลมหายใจอ่อนๆใส่ผิวนมในแก้วที่ยังร้อนอยู่ ปรากฏควันบางเบาของไอเย็นออกมาตรงหน้า “สำหรับข้าหรือ? ... คงจะไม่พ้นการกลับไปใช้ชีวิตอยู่ในลาเวนดิส ทำหน้าที่มาร์คีสแห่งกริฟฟอนแทนท่านพ่อและท่านแม่ ในขณะเดียวกันก็ต้องหาทางที่จะทำให้พวกท่านหายกลับมาจากการเป็นหิน”

                    ไกส่งเสียงรับคำดังอืม กล่าวว่า “ข้าเห็นด้วยกับการตัดสินใจของเจ้า จะอย่างไรลาโทน่าก็เป็นสหายร่วมรบที่ฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆนานามาด้วยกัน หากข้าเป็นเจ้าแล้วต่อให้บีบบังคับข้าอย่างไรก็คงจะไม่มีทางเอาชีวิตนางเพื่อแลกกับบุคคลที่ข้ารัก เพราะข้าเชื่อว่าบุคคลที่ข้ารักคงจะไม่ต้องการเช่นนั้นเหมือนกัน จริงหรือไม่?

                    น้ำเสียงของไกในประโยคสุดท้ายเน้นคำว่า “บุคคลที่ข้ารัก” ระหว่างที่หันหน้ามามองสตรีข้างเคียง สร้างความเขินอายให้กับโรซาไลน์จนใบหน้าที่เป็นสีชมพูอยู่แล้วพลันเข้มขึ้นไปอีก

                    รอยยิ้มปรากฏบนใบหน้าของบุรุษผู้อาจหาญ เป็นรอยยิ้มที่อบอุ่นแฝงไปด้วยไอรักของชายชาตรีที่เติบใหญ่ เขาวางมือซ้ายลงบนศีรษะของหญิงสาวอย่างแผ่วเบา สัมผัสเรือนผมสีทองด้วยความทนุถนอม “อนาคตจะอย่างไรก็เป็นเรื่องของอนาคต ชะตามนุษย์ส่วนหนึ่งกำหนดขึ้นโดยลิขิตของฟ้า อีกส่วนหนึ่งเป็นคนเราที่กำหนดเอง หากจะกล่าวว่าชะตาฟ้าลิขิตเสียสิบส่วนก็ไม่ถูกต้อง สวรรค์เพียงส่งให้พวกเรามาเกิดในสถานที่ต่างๆกัน มีชีวิตเริ่มต้นเป็นทารกที่มีฐานะแตกต่างกัน อย่างไรก็ตามทารกที่มีฐานะสูงส่งก็มิใช่จะเป็นเติบโตขึ้นมาเป็นมนุษย์ที่ดีเสมอไป มิได้มีความสุขตลอดไป บางครั้งชาวบ้านชาวสวนที่อยู่ห่างไกลความเจริญยังจะมีความสุขเสียมากกว่า เมื่อเปรียบกับราชนิกูลที่อยู่ที่จำต้องฝ่าฟันกับความตายตลอดเวลา ฟ้าส่งเรามาเกิดในฐานะทารกผู้หนึ่งแต่ในขณะเดียวกันก็ส่งเส้นทางหลากหลายสายมาให้เราเลือกเดิน สิ่งที่เหลือขึ้นอยู่กับจิตใจของเราเองที่จะตัดสินใจเลือกเส้นทางสายใดทางหนึ่ง”

                    โรซาไลน์จิบผิวนมที่เย็นลงคำหนึ่ง รับฟังต่อไปอย่างตั้งอกตั้งใจ

    “ข้าเคยคิดเอาไว้ว่าหากสงครามสิ้นสุดลงและสามารถรอดชีวิตไปได้ ก็อยากจะปลูกบ้านสักหลังหนึ่งในพื้นที่ๆมีแต่ความสงบสุขใช้ชีวิตที่เหลืออย่างคุ้มค่า แต่ดูเหมือนว่าความฝันนั้นคงจะเป็นไปไม่ได้เสียแล้ว เนื่องจากข้าได้เลือกเส้นทางที่มิอาจเปลี่ยนแปลงได้อีก หนทางที่ข้ามุ่งไปได้เปลี่ยนการใช้ชีวิตที่เคยมีไปอย่างสิ้นเชิง ด้วยฐานะที่สวรรค์กำหนดทำให้ข้าไม่อาจละทิ้งประชาชนชาวเจนีสไปได้ ไม่อาจละทิ้งความหวังของการฟื้นฟูตระกูลคาร์เดลไปได้ มีเรื่องราวอีกมากหลายที่รอให้ข้ากระทำหลังจากที่สงครามนี้สิ้นสุด”

    ดวงตาแข็งกร้าวของบุรุษเหล็กเปี่ยมไปด้วยพลังมหาศาลขุมหนึ่ง ที่เพียงพอให้บุคคลทั้งแผ่นดินพึ่งพา

    “นั่นคงเป็นความในใจของพี่ไกกระมัง?” โรซาไลน์กล่าวด้วยวาจาอันนิ่มนวลว่า “ขอเพียงเป็นเรื่องที่พี่ตั้งใจกระทำและมุ่งไปสู่เป้าหมายที่ตั้งไว้ ข้ามั่นใจว่าสักวันหนึ่งพี่จะมุ่งไปถึงเป้าหมายนั้นได้แน่ ... ราชันย์ส่วนใหญ่เกิดมาในฐานะของบุตรแห่งสวรรค์ ขอเพียงยกมือชี้นิ้วก็จะได้ทุกสิ่งทุกอย่างตามต้องการ แต่พี่ไกมิใช่คนประเภทนั้น เกือบสามสิบปีที่ผ่านมาพี่ใช้ชีวิตอย่างสามัญชนทั่วไปมาโดยตลอด รู้จักความยากจน ความอดอยาก ความหิวโหย ความผิดหวัง ความท้อแท้ การเผชิญเรื่องราวยากลำบากนานัปการได้หล่อหลอมให้พี่กลายเป็นคนที่แข็งแกร่งขึ้น ทั่วแผ่นดินเมื่อได้ยินชื่อว่าขุนศึกไกจะมีใครบ้างที่ไม่ยำเกรง? แม้แต่อริราชที่ร้ายกาจที่สุดยังไม่กล้าสบประมาทพี่สักครึ่งคำ ขนาดตอนนี้ยังมิได้ขึ้นครองบัลลังก์ดำรงตำแหน่งราชันย์เต็มตัว ชื่อเสียงของพี่สามารถกล่าวได้อย่างไม่อายปากว่าทัดเทียมกับราชันย์องค์หนึ่ง โดยส่วนตัวแล้วข้าเห็นว่าการเป็นราชันย์มิใช่เรื่องที่ยากเกินไปกว่าความสามารถของพี่ ไม่เพียงที่พี่จะเป็นราชันย์ได้เท่านั้น ทั้งยังจะเป็นราชันย์ผู้ยิ่งใหญ่อีกด้วย อย่างน้อยต้องไม่ด้อยไปกว่าชื่อเสียงที่ท่านพ่อของพี่เคยกระทำเอาไว้ในอดีต และอาจบางทีจะทัดเทียมกับบุรพกษัตริย์อาเรสที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์”

    ไกหัวเราะขึ้นมาเบาๆอยู่พักหนึ่ง กล่าวว่า “มีใครว่าจ้างเจ้าให้มากล่าวคำเยินยอข้าหรือ? รู้หรือไม่ว่าทุกครั้งที่ข้าชะโงกใบหน้าลงลำธารทีไรก็เห็นแต่บุรุษโง่งมที่มีเพียงกระบี่ติดตัวเล่มหนึ่ง หาเค้าความยิ่งใหญ่ที่เจ้ากล่าวถึงมิได้แม้แต่น้อย สิ่งที่ทำให้ข้ามายืนในจุดนี้ได้เป็นเพราะการเสียสละของคนอีกนับร้อยนับพัน รวมไปถึงคนที่ข้ารักอีกหลายต่อหลายคน ทั้งท่านแม่บุญธรรม โซเฟียและชานอน”

    “แต่พวกเขาล้วนกระทำเช่นนั้นด้วยความเต็มใจมิใช่หรือ?” หญิงสาวสอดคำขึ้นในทันที

    ดวงตาของโรซาไลน์พริ้มลงพร้อมกับวางมือข้างหนึ่งตรงตำแหน่งที่เป็นดวงใจของนาง กล่าววาจาจากจิตใจว่า “ข้าเข้าใจในความรู้สึกของพวกนางเป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นทหารหรือลูกน้องใต้บังคับบัญชาของพี่ พวกเขาล้วนต้องการเห็นประเทศเจนีสกลับมายืนหยัดอย่างอิสระอีกครั้ง ต้องการเห็นพี่เป็นราชันย์ผู้เที่ยงธรรมปกครองอาณาจักรที่เต็มไปด้วยความสงบสุข และพร้อมที่จะเสียสละทุกสิ่งทุกอย่างแม้ว่าสิ่งนั้นจะเป็นชีวิต”

    ไกนิ่งเงียบมิได้ตอบคำพักหนึ่ง เลื่อนมือซ้ายที่ลูบไล้ศีรษะของสตรีเป็นการโอบไปที่หัวไหล่ น้าวร่างของโรซาไลน์มาแนบชิดตน ใช้ปรางค์แก้มสัมผัสกับศีรษะที่ใช้มือลูบเมื่อครู่ ส่งผ่านความอบอุ่นท่ามกลางรัตติกาลอันเย็นยะเยือก “ต้องเรียกว่าข้าโชคดีถึงจะถูก ที่มีผู้รู้ใจอย่างเจ้าอยู่เคียงข้าง”

    โรซาไลน์ปล่อยให้บุรุษเคียงข้างโอบกอด แนบศีรษะตลอดจนกายาลงบนร่างกายที่แข็งแรงประดุจขุนเขา ตอบรับการถ่ายทอดสัมผัสที่อุ่นกายอุ่นใจ สำหรับนางหากบุรุษผู้นี้พึ่งพามิได้แล้วคงจะไม่มีบุรุษใดในโลกพึ่งพาได้อีก

    วินาทีนี้เองเป็นช่วงเวลาที่ทั้งสองมีความคิดอ่านตรงกัน ว่าหากสามารถหยุดเวลาไว้ได้ จะต้องการหยุดเวลาให้อยู่ที่วินาทีนี้ตลอดไป

    เสียงอันแผ่วเบาราวกับขาแมลงแตะผิวน้ำดังขึ้นว่า “ข้าต่างหากที่ต้องกล่าวประโยคเมื่อครู่ ว่าเป็นสตรีที่โชคดีอย่างยิ่งเมื่อได้พี่ไกอยู่เคียงข้างเช่นนี้”

    ท่อนไม้ในกองไฟส่งเสียงแตกดังเปรียะอยู่เช่นเดิม ไม่แตกต่างไปจากเสียงของแมลงตามธรรมชาติที่ได้เวลาออกหากิน แต่ความรักนำพาให้ความเข้าใจของคนทั้งสองพัฒนาขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง ริมฝีปากสองคู่ประกบกันอย่างแผ่วเบา อันเป็นจุมพิตที่แฝงไว้ด้วยความเอ็นดูอย่างนุ่มนวล ขับเน้นให้จันทรากลางหาวงามตระการตาไปอีกระดับ โรซาไลน์ไม่เคยทราบเลยว่าราตรีที่มีเพียงนมอุ่นๆถ้วยหนึ่งกลางป่าเขาจะเป็นราตรีที่มีความสุขเช่นนี้

    จนกระทั่งเวลาผ่านไปอีกครู่ใหญ่ ขุนศึกไกได้เอ่ยปากบอกความคิดที่ถูกปิดบังอยู่ภายในว่า “ข้าเคยทดลองคิดเล่นๆว่าในเมื่อทุกสิ่งทุกอย่างล้วนมีทั้งข้อดีและข้อเสียใยสงครามไม่เป็นเช่นกัน? หากมองด้านเสียของสงครามเพียงด้านเดียวคงจะไม่มีทางทราบได้ว่าในสิ่งที่เลวร้ายนั้นยังมีสิ่งที่ดีแฝงอยู่บ้าง เฉกเช่นกองไฟที่อยู่ตรงหน้าพวกเราทั้งสองนี้ ทางหนึ่งก็ให้ความอบอุ่นแต่อีกทางหนึ่งก็สามารถเผาผลาญจนวอดวาย อย่างน้อยสงครามได้ทำให้ข้าทราบว่าชาติกำเนิดที่แท้จริงคืออะไรและมอบโอกาสให้ข้าได้กอบกู้สิ่งที่สูญเสียไปกลับคืนมา ... เจ้าว่าอย่างไรโรซาไลน์?

    โรสพริ้มตาลงนึกถึงเรื่องราวในอดีต กล่าวว่า “หากสามารถย้อนเวลากลับไปแก้ไขอดีต ข้าไม่ต้องการที่จะให้สงครามนี้เกิดขึ้น อาจเป็นไปได้ว่ามุมมองต่อเรื่องราวต่างๆของข้ากับพี่ไกคงจะไม่เหมือนกันเสียทีเดียว เมื่อครั้งที่ยังเป็นเด็กข้าเคยหลงเข้าไปในหมู่บ้านที่ถูกโจรผู้ร้ายปล้นชิง พวกมันสังหารผู้คนเป็นผักปลาทั้งๆที่ไม่เคยมีความโกรธแค้นใดๆ เพียงเพื่อต้องการทรัพย์สินเงินทอง อาจารย์ดาธเป็นผู้ที่ช่วยข้าออกมาในครั้งนั้นพร้อมกับกำราบพวกโจรร้ายจนหมดสิ้น เหตุการณ์นั้นทำให้ข้ารำลึกอยู่เสมอว่าหากต้องการจะอยู่อย่างสงบสุขแล้ว อย่างน้อยต้องคนเราก็มีกำลังคอยปกป้องตนเอง แต่ในขณะเดียวกันผู้ที่มีกำลังในการปกป้องตนเองก็สามารถใช้กำลังนั้นทำร้ายผู้อื่นได้เช่นกัน ... ทุกครั้งที่ข้าย้อนกลับมาคิดหรือฝันถึงเรื่องนี้ความหวาดกลัวก็แผ่ซ่านเข้ามาในจิตใจ กลัวที่จะต้องสูญเสียหมู่บ้านไป กลัวที่จะต้องเห็นผู้คนในหมู่บ้านล้มตาย เสียงกรีดร้องขอชีวิต เปลวไอร้อนของประกายไฟ ภาพคมดาบกระบี่ที่สังหารชาวบ้านเหล่านั้นยังคงตรึงตรา ข้ากลัวว่าเหตุการณ์นั้นจะเกิดขึ้นกับหมู่บ้านของข้าเอง ข้าไม่ต้องการเห็นสิ่งเหล่านั้นอีก แต่ที่ไหนได้ สงครามที่จำต้องเผชิญกลับโหดร้ายกว่าเหตุการณ์โจรปล้นครั้งนั้นอย่างเทียบกันมิได้ โบราณกล่าวไว้ว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้า แต่ข้าเชื่ออีกอย่างหนึ่งว่า ใต้นรกยังมีนรกเช่นกัน”

    ไกรู้สึกได้ถึงร่างกายที่สั่นสะท้านของหญิงสาว ความกลัวเป็นสิ่งที่หลอกหลอนสตรีผู้นี้อยู่เรื่อยมา ไม่เว้นแม้กระทั่งเวลาที่นางจับดาบออกรบในฐานะของแม่ทัพ บุรุษเหล็กถอนหายใจครั้งหนึ่ง ปรากฏไอเย็นพวยพุ่งจากริมฝีปากลอยขึ้นสู่ท้องฟ้าสีดำสนิท แขนที่โอบไหล่ของโรซาไลน์กระชับร่างดึงนางเข้ามาใกล้ชิดยิ่งขึ้น ถ่ายทอดความใส่ใจเข้าดับความกลัวนั้นเสีย จนกระทั่งร่างกายที่สั่นเทิ้มสงบนิ่งลงในระยะเวลาถัดมา

    โรซาไลน์ยิ้มให้กับบุรุษผู้นี้อย่างอ่อนหวาน แขนของนางโอบรอบกายของบุรุษหนุ่มได้เพียงครึ่งเดียว จึงวางนมร้อนแก้วนั้นลงข้างกาย เปลี่ยนเป็นเอี้ยวคอขึ้นสูงโน้มกายใช้ริมฝีปากประกบจูบเขาครั้งหนึ่ง พร้อมกล่าวด้วยใบหน้าที่แฝงเลือดสตรีแดงก่ำว่า “ขอบคุณ”

    เสียงที่เปี่ยมด้วยความสุขของโรซาไลน์กล่าวว่า “นอกเสียจากลุงกอร์ดอนแล้วข้าไม่เคยจดจำความรักจากผู้ใดได้อีก พี่คงไม่มีทางทราบได้หรอกว่าเมื่อเด็กคนหนึ่งไม่มีโอกาสได้อยู่กับพ่อแม่จะรู้สึกโหยหาต่อความรักมากเพียงใด ยิ่งเมื่อเห็นครอบครัวอื่นอยู่พร้อมหน้ากันยิ่งรู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจ ว่าเพราะเหตุใดครอบครัวของเราจึงมิได้อยู่กันพร้อมหน้าพ่อแม่ลูกบ้าง ข้าที่เป็นพี่สาวโชคดีที่ยังพอจำไออุ่นของท่านพ่อและท่านแม่ได้อยู่บ้างแม้ว่าจะจำเค้าหน้ามิได้แล้วก็ตาม ในขณะที่เทโอน้องชายของข้ากลับมิอาจจำอะไรได้เป็นชิ้นเป็นอัน ทันใดที่สงครามสงบลงข้าจะนำเขาเข้าไปพำนักในพระราชวังฟ้าประทาน ให้เสพสุขสำราญสมชาติกำเนิด ... ตัวข้านั้นโชคดีกว่าเขามากนัก ที่อย่างน้อยก็ทราบว่ามีคนผู้หนึ่งรักข้าด้วยใจจริง และคนผู้นั้นจะเป็นใครมิได้อีกนอกจากพี่”

    เมื่อแก้วนมถูกวางลงข้างกาย ว่าที่ราชันย์แห่งเจนีสเปลี่ยนจากการใช้มือข้างเดียวโอบกอดหญิงสาวเป็นสองมือ อุ้มร่างของนางขึ้นมาวางไว้บนตักหันหน้าเข้าหาเขาขณะที่หลังยังคงพิงกระโจม ได้ยินเสียงร้องอุทานเบาๆของโรสจากความตกใจเล็กน้อย แต่เมื่อสายตาทั้งสองคู่ประสานสบความประหม่าและเขินอายที่เกิดขึ้นนั้นพลันหายไป

    คงเหลือแต่เพียงเสียงเต้นของหัวใจที่เต้นดังจนแทบจะกระดอนออกมา

    ไกโน้มหน้าผากไปสัมผัสกับปลายผมสีทองบนหน้าผากของหญิงสาว ปลายจมูกของทั้งสองสัมผัสกันด้วยความรักบริสุทธิ์ บุรุษหนุ่มสบสายตาส่งผ่านความรักอันอบอุ่นพร้อมกล่าวว่า “ช่วงเวลานี้เป็นเวลาที่เหมาะสมที่สุดแล้ว ข้าต้องการจะบอกเรื่องๆหนึ่งที่สำคัญมากกับเจ้า ก่อนที่จะไม่มีโอกาสกล่าวกับเจ้าเช่นนี้อีก”

    “ไม่มีโอกาส? เพราะเหตุใดพี่ไกถึงกล่าวเช่นนั้น?

    ในขณะที่ปลายจมูกของไกยังคงแตะอยู่ที่ปลายจมูกของฝั่งตรงข้าม ดวงตาของทั้งคู่มิได้ละสายตาจากกันและกันแม้เพียงเสี้ยววินาที “หากสงครามนี้สิ้นสุดลงแล้วข้าจำเป็นต้องรับตำแหน่งของราชันย์ และอาจมีผู้ตั้งข้อสงสัยได้ว่าคำพูดที่จะกล่าวกับเจ้านั้นมิได้มาจากใจจริง”

    “คำพูดอันใดหรือ?

    “ข้าอยากที่จะกล่าวกับเจ้าในฐานะของบุรุษผู้หนึ่ง ผู้ที่ไม่มีอะไรอื่นนอกจากกระบี่และตัวเขา”

    เปลือกตาของโรซาไลน์ปิดลงครู่หนึ่งแทนการตอบรับ

    “แต่งงานกับข้าเถิด”

    !?!

    “ขอเพียงเจ้ารับปาก ต่อให้ข้าต้องสละทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อเจ้า ข้าก็ไม่เสียใจ ... เรื่องนี้สำหรับสตรีที่อายุระดับเจ้าอาจยังรวดเร็วเกินไปนัก แต่ข้าจำเป็นต้องกล่าวในเวลานี้ หากปล่อยให้เวลาผ่านล่วงเลยไปจนต้องครองบัลลังก์แห่งเจนีส เหตุผลทางการเมืองอาจบิดเบือนความรักที่ข้ามีต่อเจ้า บัดนี้ฐานะของเจ้ามิได้แตกต่างไปจากองค์หญิงองค์หนึ่ง ข้ามิได้ต้องการให้คำขอแต่งงานตกเป็นเครื่องมือที่ใช้เชื่อมแผ่นทองระหว่างสองรัฐให้เป็นผืนเดียวกัน”

    ความเงียบเข้ามาปกคลุมระยะหนึ่งก่อนที่จะยินเสียงกล่าวประโยคอันซึ้งตรึงใจว่า “เจ้าเป็นความหวังขั้นสูงสุดที่ทำให้ข้ามีชีวิตอยู่ต่อไป”

    สีหน้าของว่าที่ราชันย์แห่งเจนีสบ่งบอกว่าคำพูดทุกคำเป็นความตั้งใจจริง เขาพร้อมที่จะยอมสละทุกสิ่งเพื่อสตรีตรงหน้า การสูญเสียทั้งหมดที่ผ่านมากัดกร่อนหัวใจเขาจนแหลกละเอียดไม่มีชิ้นดี นางเป็นผู้เดียวที่ทำให้เขาอดทนต่อทุกสิ่งทุกอย่างและอยู่มาได้จนถึงทุกวันนี้

    น้ำตาของโรซาไลน์เอ่อล้นมาจากเบ้า ส่ายศีรษะพลางกล่าวว่า “หากพี่ไกต้องเสียสละทุกสิ่งทุกอย่าง ข้าก็จะไม่มีทางรับปากแต่งให้กับพี่”

    ...

    “ขอเพียงมีกันและกัน ข้าเชื่อว่าเราสองเคียงคู่ในฐานะใดก็ไม่แตกต่าง ต่อให้อ้างเหตุผลทางการเมืองก็ช่างประไร ข้าต้องการให้พี่ไกสานต่อความหวังของบุคคลที่สละชีวิตเพื่อพี่ มิใช่ละทิ้งทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อข้า”

    ไกพยักหน้ารับทราบพร้อมกับหยดน้ำตาที่ซ่านกระเซ็นออกมาจากหญิงสาว

    “เข้าใจหรือไม่ว่าข้าไม่ต้องการที่จะทำลายชีวิตของพี่ แต่ต้องการที่จะเป็นอีกแรงหนึ่ง อีกกำลังใจหนึ่ง ที่ช่วยผลักดันสิ่งที่พี่กระทำอยู่ให้บรรลุจุดประสงค์ ไม่ว่าหนทางสายนั้นจะลำบากยากเข็ญเพียงใด”

    “เจ้ารู้หรือไม่ว่าคำพูดเมื่อครู่เป็นคำตอบที่ข้าต้องการรับฟังมากที่สุด”

    มือทั้งสองของบุรุษหนุ่มเอื้อมไปที่คอของตน ปลดสร้อยออกมาสวมใส่ให้กับสตรีตรงหน้าพร้อมกล่าวว่า “สร้อยคอเส้นนี้เป็นของดูต่างหน้าเพียงชิ้นเดียวที่ท่านแม่บุญธรรมหลงเหลือไว้ให้ข้า ภายในจี้ที่ห้อยอยู่นี้ประกอบไปด้วยเคล็ดวิชาที่สำคัญที่สุดของตระกูลคาร์เดลสามประการ หากไม่มีสร้อยเส้นนี้ข้าก็ไม่มีทางสำเร็จเอลน้ำแข็งระดับสูงสุดได้ และคงจะไม่มีวันมากล่าววาจากับเจ้าในวันนี้ ข้าอยากจะให้เจ้าเก็บรักษาสร้อยเส้นนี้เอาไว้เป็นสิ่งยืนยันในวาจา ว่าในวันนี้บุรุษที่ชื่อไกลาเดีย เดอ เจนีสได้ให้คำมั่นสัญญาผูกพันชั่วชีวิตไว้กับสตรีที่ชื่อโรซาไลน์ คอรันดัม ว่าจะปกป้องดูแลเอาใจใส่สตรีผู้นี้ไปจนกว่าจะสิ้นลมหายใจ”

    น้ำตาอันปลื้มปิติของโรซาไลน์ไหลลงมาอาบแก้ม แต่กลับปฏิเสธว่า “ในเมื่อของสิ่งนี้เป็นของสำคัญขนาดนี้ พี่ไกโปรดเก็บเอาไว้เถิด เพียงแค่คำสัญญาของพี่ข้าก็ดีใจแล้ว”

    ไกส่ายศีรษะครั้งหนึ่ง ใช้นิ้วมือปาดเช็ดหยาดน้ำตาประดุจไข่มุกแวววับ กล่าวว่า “เคล็ดวิชาภายในจี้เส้นนี้ข้าได้เรียนรู้จนหมดสิ้น ในแง่ของการพัฒนาวิชาฝีมือข้าไม่จำเป็นต้องครอบครองจี้เส้นนี้อีก แต่ในแง่ของความสำคัญนั้นมันเป็นหนึ่งในสมบัติสองสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิต ทัดเทียมกับกระบี่บุปผาเพลิงหิมะเล่มนี้ ในเมื่อสิ่งหนึ่งอยู่คู่กายข้าอีกสิ่งหนึ่งสมควรจะอยู่คู่กายเจ้า ไม่มีของสิ่งใดในแผ่นดินนี้ที่เหมาะสมไปกว่าสร้อยเส้นนี้อีก”

                    โรสปลดตราสัญลักษณ์พระอาทิตย์ที่ต้นคอของตนออกมาแทนคำตอบ ผูกตราสัญลักษณ์เอาไว้ที่ลำคอของฝ่ายตรงข้าม กล่าวว่า “แม้ว่าตราสัญลักษณ์เส้นนี้จะมีความเป็นมามิอาจเทียบเท่าจี้ประจำตระกูลคาร์เดลของพี่ แต่มันเป็นสิ่งเดียวที่อยู่ติดตัวข้ามาตลอด ถือว่าเป็นสิ่งแทนคำมันสัญญาของข้า ... ว่าข้ารับปากแต่งงานกับท่าน ตราบใดที่ท่านไม่ละทิ้งความหวังที่ทุกคนตั้งเอาไว้”

                    “ขอเพียงมีเทพธิดาแห่งความหวังอย่างเจ้าอยู่เคียงข้าง ต่อให้ปลิดดวงดาราลงมาจากนภากาศก็ไม่ไกลเกินเอื้อม”

    สิ้นเสียงกล่าวของไก บุรุษหนุ่มหญิงสาวทั้งสองก็โอบกอดกันอย่างมีความสุข จนกระทั่งเผลอหลับไปข้างกระโจมนั้น จวบจนกระทั่งราตรีสิ้นแสงดาว

    ลาก่อนโซเฟีย เจ้าจะเป็นความทรงจำอันงดงามของข้าตลอดไป

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×