ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ศาสตราคู่กู้แผ่นดิน

    ลำดับตอนที่ #267 : เล่ม 9 - ตอนที่ 123 - วาจากลางราตรี (4)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.54K
      7
      7 ก.พ. 52

    /> /> />

    บุรุษหนุ่มผมน้ำตาลแดงพลางหัวเราะขึ้น กล่าวว่า “ในเมื่อเจ้าไม่ทราบแน่ชัดจะบัญญัติขึ้นมาได้อย่างไร? หากต้องพึ่งพาวิชาที่ไม่แน่นอนของเจ้า ความเสี่ยงที่สูงลิบลิ่วอยู่แล้วคงจะสูงขึ้นไปอีก”

                    “เจ้าเคยกล่าวหนึ่งในพันกับหนึ่งในหมื่นก็ไม่ต่างกันเท่าใดมิใช่หรือ?” บลูย้อนคำของลูทกลับไป

                    “เจ้าควรจะเอาเวลามาอธิบายอาคมโซ่ให้ข้าฟังจะดีกว่ามาต่อล้อต่อเถียงเช่นนี้”

                    บลูยักไหล่ครั้งหนึ่ง ดวงตาจับจ้องไปที่ดวงจันทร์เหนือเมฆ ค่อยๆรำลึกถึงความรู้สึกในค่ำคืนนั้น กล่าวว่า “ในร่างกายของทายาทแห่งอาร์คาน่าอย่างข้ามีพลังขุมหนึ่งซึ่งเป็นพลังเร้นลับซ่อนอยู่ เป็นเอกลักษณ์เฉพาะสายเลือดคล้ายๆกับจุดกำเนิดเอลทั้งสี่แห่ง ขอเพียงคนผู้หนึ่งมีสายเลือดของอาร์คาน่าอยู่เป็นจำนวนมากพอไม่จำเป็นต้องเป็นสายเลือดแท้ๆ คนผู้นั้นก็จะสามารถดึงเอาพลังที่ซ่อนเร้นออกมาใช้ได้ชั่วคราว ดั่งเช่นครั้งที่ท่านอาจารย์เปิดประตูแห่งเอลบานที่สามและบานที่สี่ออกเมื่อครั้งต่อสู้กับเวอร์น่อน”

                    ลูทพยักหน้า กล่าวว่า “ข้าพอจะเข้าใจแล้ว เช่นนั้นเจ้าเองก็ต้องมีความสามารถที่จะดึงเอาพลังซ่อนเร้นนั้นออกมาได้ และทำให้เจ้าสามารถใช้บัญญัติอาคมโซ่ได้”

                    บลูส่งเสียงดังอืมตอบว่า “ถูกต้อง แต่การที่จะควบคุมพลังซ่อนเร้นในร่างกายมิใช่เรื่องง่ายดายสำหรับข้า แม้แต่ดึงออกมาใช้ยังไม่แน่ใจว่าจะกระทำได้ตามใจปรารถนาหรือไม่ ยังไม่ต้องกังวลถึงคำถามที่ว่าจะสามารถดึงออกมาใช้ได้นานเท่าใด”

                    ลูทถามต่อไปว่า “มีสาเหตุอันใดหรือไม่ที่ทำให้ทายาทแห่งอาร์คาน่าดึงเอาพลังเหล่านี้ออกมาได้?

                    บลูอธิบายว่า “จากที่ข้าเคยสนทนากับท่านอาจารย์ ส่วนใหญ่พลังที่ซ่อนเร้นจะถูกดึงออกมาเป็นครั้งแรกเมื่อทายาทแห่งอาร์คาน่าตกอยู่ในสภาวะคับขัน จิตวิญญาณที่ถูกถ่ายทอดกันมาทางสายเลือดจะดึงเอาพลังขุมนี้ออกมาใช้อย่างอัตโนมัติ หากทายาทผู้นั้นสามารถรอดชีวิตจากห้วงคับขันนั้นได้ ประตูสู่พลังซ่อนเร้นก็จะเปิดออก แต่นั่นมิได้หมายความว่าทายาทแห่งอาร์คาน่าผู้นั้นจะสามารถบังคับพลังขุมนั้นได้ทันที หากจะควบคุมพลังซ่อนเร้นให้ได้จริงจะต้องผ่านการฝึกฝนอย่างหนักทั้งด้านร่างกายและจิตใจ เพื่อที่จะรองรับขุมพลังมหาศาลได้โดยที่ตนเองไม่ได้รับบาดเจ็บ”

                    “แสดงว่าส่วนหนึ่งของจิตวิญญาณพวกเจ้าปิดกั้นพลังขุมนั้นไว้ เพราะเกรงว่ากายเนื้อจะมิอาจรองรับความรุนแรงได้ หากข้าคาดเดาไม่ผิดอาคมโซ่คงจะเป็นทุนรอนที่เจ้าใช้ยันปากประตูป้อมปราการสุดท้ายของกรุงเดว่าด้วยตัวผู้เดียว” ลูทร้องออครั้งหนึ่งเมื่อเข้าใจว่าเหตุการณ์เป็นไปเป็นมาอย่างไร

                    สมองของบลูในตอนนี้จดจำภาพในเวลานั้นได้อย่างเลอะเลือน เสียงของอาวุธปะทะกันดังเข้ามาจากทุกทิศทุกทาง กลิ่นคาวโลหิตและความหวาดกลัวของเหล่าทหารฝ่ายตรงข้ามแพร่กระจายเต็มสมรภูมิ เขาที่เหลือสติอยู่เพียงกึ่งหนึ่งหรืออาจจะไม่ถึงต่อสู้ไปตามสัญชาติญาณ “หากมิได้บัญญัติอาคมโซ่ช่วยเอาไว้ชีวิตข้าคงจะจบอยู่กับหมัดไร้วายุของมิดาสเสียแล้ว”

                    “คุยกับเจ้าไปมาตั้งครึ่งค่อนคืนข้าก็ยังมืดแปดด้านไม่รู้ว่าอาคมโซ่ของเจ้าทำอะไรได้บ้าง” ลูทกล่าวต่อไปว่า “จงสาธยายออกมาให้หมดว่ามันมีคุณสมบัติอย่างไร”

                    บลูตอบว่า “อาคมโซ่นั้นคือการที่นำประตูเอลของเจ้าไปเชื่อมต่อกับแหล่งพลังงานขนาดใหญ่ ที่ไม่มีวันหมด ไม่มีวันหยุดนิ่ง ไม่มีวันเหน็ดเหนื่อย เฉกเช่นเอาถังน้ำที่ใส่เอลของเจ้าต่อท่อเข้ากับมหาสมุทรกว้างใหญ่ หากต้องการใช้น้ำเท่าใดก็จะสามารถใช้ได้ตลอดเวลา เปรียบเสมือนลูกโซ่ที่เชื่อมต่อกันไม่มีวันสิ้นสุด เสร็จสิ้นเอลหนึ่งเอลต่อไปจะยิงออกอย่างต่อเนื่อง เพียงชั่วพริบตาข้าสามารถใช้กระสุนวารีได้ติดต่อกันเกือบสามสิบนัด เจ้าคิดว่าบัญญัติที่เก้านี้ร้ายกาจสมคำร่ำลือแล้วหรือยัง?

                    “ยอดเยี่ยม” ลูทตอบว่า “หากคำพูดนี้ไม่ได้หลุดมาจากปากของเจ้า ทายาทแห่งอาร์คาน่าที่เหลือเพียงผู้เดียวในโลก ข้าจะถือว่าเป็นวาจาโป้ปดมดเท็จที่ใกล้เคียงความจริงที่สุดในรอบศตวรรษ”

                    เสียงหัวเราะของบลูดังขึ้น ตอบว่า “เหมือนกับเจ้า หากข้าไม่เห็นว่าสองมือของเจ้าจับกุญแจทั้งสองดอกร่ายรำออกพร้อมกันได้ ข้าก็จะไม่มีทางเชื่อเด็ดขาดว่าศาสตราคู่กู้แผ่นดินสามารถใช้ออกได้พร้อมเพรียงกัน”

                    บุรุษหนุ่มทั้งสองหัวเราะขึ้นมาพร้อมกัน ดวงตาของทั้งคู่ทอดออกไปบนท้องฟ้ายามราตรี ต่างคนต่างใช้ความคิดอยู่กับตนเองปล่อยให้ความมืดมิดและความเงียบสงบเข้าครอบงำ

                    ผ่านไปกว่าครึ่งชั่วโมงเสียงของลูทจึงทำลายความเงียบขึ้นว่า “ในการต่อสู้ที่จะถึง ช่วงสามสิบกระบวนท่าแรกเราทั้งสองจะตกเป็นฝ่ายเสียเปรียบ โดยเฉพาะสิบกระบวนท่าแรกที่อาจทุลักทุเลมากกว่าปกติ ข้าคงจะต้องขอให้เจ้าช่วยเร่งเร้าเอลให้ถึงขีดสุดตั้งแต่การต่อสู้เริ่มขึ้น ใช้จุดแข็งของเจ้าเสริมจุดอ่อนของข้า ประคับประคองมิได้เพลี่ยงพล้ำจนกระทั่งศาสตราคู่กู้แผ่นดินสำแดงฤทธิ์เดช”

                    บลูส่งเสียงดังอืม กล่าวว่า “ดูท่าพวกเราจะเหลือเพียงแผนเดียวเสียแล้ว”

                    “พวกเรามิได้มีแผนเดียวตั้งแต่เริ่มแรกหรอกหรือ?

                    “จริงอย่างที่เจ้ากล่าว” บลูครุ่นคิดพักหนึ่งแล้วพลันส่ายศีรษะอย่างเสียมิได้ กล่าวว่า “กี่ครั้งที่พวกเราถกถึงปัญหาเฟ้นหาแผนการต่อสู้ สุดท้ายกลับจบลงที่แผนการเดิม นั่นคือใช้จุดแข็งของคนผู้หนึ่งเข้าปกปิดจุดอ่อนของอีกผู้หนึ่ง ประสานเสริมกันจนได้ผลลัพธ์ที่ดีกว่าเดิม”

                    ลูทตอบทันใดว่า “แท้จริงในใจข้ายังคิดออกอีกแผนหนึ่ง นั่นคือใช้จุดแข็งประสานจุดแข็งแทนที่จะใช้ปกปิดจุดอ่อน แต่เจ้าก็ต้องทราบว่าการกระทำเช่นนี้ทั้งเสี่ยงและอันตรายยิ่ง”

                    “ใช่” ไหวพริบของบุรุษหนุ่มผมน้ำเงินแล่นทันที “ไม่เพียงจุดแข็งของพวกเราจะประสานกันเท่านั้น จุดอ่อนของพวกเราจะเปิดเผยพร้อมกันเสียด้วย เหมือนกับการดวลแลกหมัดแลกจุดเป็นจุดตายกับฝ่ายตรงข้าม หากไม่อาจกำจัดศัตรูได้ในช่วงเวลาที่ฝ่ายเรายังอยู่ในจุดแข็งก็ไม่ต้องคาดเดาเลยว่าสุดท้ายจะออกมาพ่ายแพ้ยับเยิน การดำเนินกลยุทธ์สุ่มเสี่ยงแบบนี้จำกัดไว้ในภาวะคับขันจำเป็นเท่านั้น”

                    “แต่ถ้าคิดในมุมกลับกัน หากพวกเราประสานจุดแข็งในช่วงแรก งัดเอาทุกอย่างออกมาใช้ทั้งหมดตลอดสิบกระบวนท่าแรก โอกาสสำเร็จจะมีมากขึ้นหรือไม่?

                    บลูส่ายศีรษะตอบว่า “ไม่ต่างกันเท่าใด อาจมากขึ้นเล็กน้อยแต่ไม่คุ้มกับความเสี่ยงที่จะลงทุน”

                    “เจ้าหมายความว่าจะให้ข้าพึ่งพาบัญญัติอาคมโซ่จนกว่าศาสตราคู่กู้แผ่นดินจะใช้งานได้เต็มที่อย่างนั้นหรือ?” ลูทเบือนหน้าไปมองสหายที่นอนอยู่ด้านข้าง กล่าวว่า “ทำเช่นนั้นความเสี่ยงจะตกอยู่ที่ตัวเจ้าเพียงคนเดียว”

                    “แค่ช่วงแรกเท่านั้น” บลูเว้นจังหวะพักหนึ่ง กล่าวต่อไปว่า “ความเสี่ยงของเจ้าก็มิได้ด้อยไปกว่าข้าเลย เพียงแต่สลับเวลากันเท่านั้น ข้าเสี่ยงมากกว่าในช่วงแรก เจ้าเสี่ยงมากกว่าในช่วงหลัง แต่ถ้าพวกเราเปลี่ยนไปมองโลกในแง่ดี หลายๆสิ่งหลายๆอย่างอาจจะสิ้นสุดอย่างที่พวกเราไม่คาดคิดก็เป็นได้”

                    “ยกตัวอย่างเช่น?

                    “อย่างเช่นอาคมโซ่ของข้าอาจจะเปล่งสภาพได้ถึงขีดสุด สามารถใช้ต่อเนื่องกันได้มากกว่าสามสิบกระบวน กดดันเทพสงครามไปเรื่อยๆจนกระทั่งดาบคู่กระบี่ของเจ้าเปล่งสภาพตามมา ซ้อนจุดแข็งพวกเราทั้งสองตั้งแต่ต้นจนจบการต่อสู้ จบลงด้วยพวกเราทั้งสองบีบไข่เทพศาสตราให้แหลกเหลว”

                    บุรุษหนุ่มผมน้ำตาลแดงส่ายศีรษะเมื่อได้ยินวาจาเหล่านั้น กล่าวว่า “เพ้อเจ้อไปของเจ้า หากเป็นเช่นนั้นจริงข้าคงจะไม่ต้องกังวลใจอยู่จนถึงบัดนี้”

                    “คิดเสียว่ามันจะเป็นจริงแล้วก็ลืมความกังวลไปทั้งหมด จะอย่างไรพวกเราก็ต้องสู้อยู่วันยังค่ำ ความจริงนี้ไม่มีทางเปลี่ยนแปลงและพวกเราก็ต้องชนะใช่หรือไม่?

                    เสียงลูทยังกายลุกขึ้นยืน พลางเอื้อมมือไปฉุดรั้งบลูให้ยืนขึ้นตามกัน ก่อนที่จะกล่าวว่า “ก็ดีเหมือนกัน ไม่ต้องกังวลอะไร จะอย่างไรพวกเราก็ต้องชนะ”

                    “จำไม่ได้หรือว่าข้าเป็นวีรบุรุษคนหนึ่ง”

                    เสียงหัวเราะของบุรุษหนุ่มทั้งสองดังขึ้นอีกครั้ง ก่อนที่จะเดินกลับเข้าไปยังกระโจมที่พัก

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×