คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #274 : เล่ม 9 - ตอนที่ 125 - อุดมการณ์มหาบุรุษ (1)
ภาคสักวันหนึ่ง
ตอนที่ 125 อุดมการณ์มหาบุรุษ
12 เมษายน อ.ศ. 226
“เชิญตามสบาย” เป็นคำกล่าวของวานเตสที่แตกต่างจากประโยคที่ลูทจินตนาการไว้มากหลาย
ลูทรู้สึกได้ถึงราศีที่ยากหาผู้ใดเปรียบ มหาบุรุษเบื้องหน้ากอปรด้วยบารมีแห่งความเป็นผู้นำเช่นเดียวกับยอดคนอีกหลายคนที่เขาเคยพบพาน บุคคลที่จัดเป็นชนชั้นปกครองสูงสุดจะประกอบไปด้วยคุณลักษณะที่คล้ายคลึงกันอย่างหนึ่ง นั่นคือบารมีแห่งความเป็นผู้นำ แต่ก็จะมีคุณลักษณะรองที่มาช่วยเสริมเติมแต่งให้ยอดคนเหล่านั้นแตกต่างกัน ยกตัวอย่างเช่นเอลมาสเตอร์คาเทจนอกจากจะมีบารมีแห่งความเป็นผู้นำแล้ว ยังเปี่ยมไปด้วยเมตตาจิตที่แผ่ออกมาจนผู้ที่อยู่รอบกายรู้สึกได้ ในขณะที่ภายใต้บารมีของมหาอุปราชวานเตสกลับเปล่งออกมาด้วยรังสีอำมหิตอันรุนแรงและความมุ่งมั่นอย่างแรงกล้า บ่งบอกได้ถึงนิสัยใจคอที่เด็ดเดี่ยวโหดเหี้ยม แต่เที่ยงตรงและยึดมั่นในอุดมการณ์
วานเตสถามย้ำอีกครั้งหนึ่งว่า “พวกเจ้ากระทำเช่นนี้มีจุดประสงค์เคลือบแฝงอันใด?”
ขุนศึกไกตอบคู่ปรับเบื้องหน้าว่า “ข้าต้องการคืนชีวิตและความสงบสุขให้แก่ประชาชน หรือนั่นมิใช่สิ่งที่เจ้าต้องการ?”
มหาอุปราชมองตรงมาที่ขุนศึกไก กล่าวว่า “เจ้าหมายความว่าจะกลับไปใช้ระบอบการปกครองที่ล้มเหลวฟอนเฟะ คืนอำนาจให้กับพวกสมาชิกสภาที่จ้องจะเอาเปรียบประชาชนอยู่ตลอดเวลา เรียกเก็บภาษีขูดรีดหาผลประโยชน์ส่วนตนโดยไม่สนใจชีวิตของไพร่ฟ้าอย่างนั้นหรือ?”
ไกไม่ยอมละสายตา ตอบโต้ว่า “แล้วเจ้าเรียกการก่อสงครามสร้างความปั่นป่วนวุ่นวายไปทั่วหล้าว่าเป็นสิ่งที่ดีแล้วอย่างนั้นหรือ? หากคนของตระกูลซอร์โดไม่ฝักใฝ่ในอำนาจยึดถือเทพสงครามเสมือนพระเจ้าจนก่อการปฏิวัติ เรื่องราวเหล่านี้จะเกิดขึ้นหรือไม่?”
“เกิด” วานเตสตอบอย่างหนักแน่น “จะช้าจะเร็วการปฏิวัติก็ต้องเกิด หากพวกข้าไม่ลงมือก็มีผู้คนอีกนับหมื่นที่จะลงมือ หากตระกูลซอร์โดมิใช่แกนนำก็จะเปลี่ยนเป็นตระกูลอื่นแทน แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตามการปฏิวัติจะต้องเกิด ตราบใดที่ประเทศชาติยังคงปกครองด้วยระบอบรัฐสภาที่เอื้อต่อผลประโยชน์ของคนกลุ่มน้อย ละเลยชีวิตความเป็นอยู่ของคนส่วนใหญ่ ใช้ภาษีของประชาชนมาบำเรอความสุขของตนเองเช่นนี้ สักวันหนึ่งความสงบจอมปลอมจะถูกเปิดเผยต่อสาธารณชน การปฏิวัติจะไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้”
“ความสงบจะอย่างไรก็เป็นความสงบ ไม่มีจอมปลอมหรือแท้จริง เจ้าคิดว่าปฏิวัติแล้วระบอบที่พวกปฏิวัติตั้งขึ้นนั้นจะสามารถรับรองได้ว่าไม่มีการฉ้อราษฎร์บังหลวงเกิดขึ้นอย่างนั้นหรือ? การปฏิวัติเป็นเพียงข้ออ้าง หากจะเปลี่ยนแปลงระบอบสมควรกระทำด้วยความสงบ” ไกชี้นิ้วลงไปที่เมืองโลซานในแผนที่ กล่าวว่า “ไม่ว่าตัวการก่อความไม่สงบจะเป็นผู้ใด มนุษย์หรือเทพเจ้า พวกข้าก็จะทำลายมันเสีย สาเหตุที่ข้ามาในวันนี้เป็นเพราะต้องการถามเจ้าคำถามหนึ่ง ว่ามหาอุปราชผู้อ้างว่าจะนำความสงบอย่างยั่งยื่นมาให้ประชาชนอย่างเจ้าจะเข้าร่วมด้วยหรือไม่?”
วานเตส ซอร์โดมองทะลุเข้าไปในดวงตาของไก กล่าวว่า “ตอบคำถามของข้ามา หากกระทำการสำเร็จกำจัดโรฮันได้แล้วเรื่องราวที่เหลือจะเป็นอย่างไร? จะทำอย่างไรกับสงครามกลางเมือง การแย่งชิงอำนาจระหว่างตระกูลชไวน์และคาร์ลแห่งเอเวอร์เกรซ หากคำตอบของเจ้ามิอาจทำให้ข้าพึงพอใจได้ก็ขอเชิญกลับไปยังเจนีสของเจ้า อย่าได้ยุ่งเกี่ยวกับกิจการภายในของชาวนอร์อีก ข้าจะขอรับรองความปลอดภัยของพวกเจ้าทั้งสาม จนกว่าจะถึงวันที่พวกเราพบกันในสมรภูมิครั้งต่อไป”
“ยิ่งไปกว่านั้น” ทานาทอสเสริมขึ้นว่า “หากประชาชนชาวเจนีส มิสต์หรือลาเวนดิสทราบว่าแกนนำของพวกเขาตกลงร่วมมือกับฝ่ายศัตรู เรื่องราวความแค้นที่สงครามได้เพาะสร้างเอาไว้จะทำอย่างไร? รับรองว่าชาวเมืองคงจะไม่ดีใจที่เห็นพวกเจ้าตัดสินใจเช่นนี้ ดีไม่ดีอาจก่อความวุ่นวายตราหน้าว่าพวกเจ้าเป็นบุคคลทรยศขายชาติไม่ให้ความร่วมมืออีก หากเป็นเช่นนั้นพวกเจ้าจะจัดการได้หรอกหรือ?”
ลูทถึงกับตะลึงเมื่อได้ยินคำกล่าวที่เปี่ยมด้วยเหตุผลของฝ่ายตรงข้าม สงครามมิใช่การเมืองธรรมดาที่จะบอกมาเป็นมาบอกไปเป็นไป การจับมือเป็นพันธมิตรหรือการประกาศตัวเป็นอริราชย่อมต้องได้รับความชอบธรรม ซึ่งความชอบธรรมนั้นมิอาจได้มาจากอย่างอื่นนอกจากประชาชน เมื่อสองฝ่ายรบทัพจับศึกย่อมมีการบาดเจ็บล้มตาย การทำสงครามกับแว่นแคว้นหนึ่งๆเทียบเท่ากับเป็นการเพาะสร้างความแค้นของคนหมู่มากต่อแว่นแคว้นนั้นๆ หากชนชั้นปกครองตัดสินใจอะไรผิดพลาดไปจากอุดมการณ์ที่เคยมีร่วมกัน ทหารหรือปวงประชาที่เคยสนับสนุนก็จะเอาใจออกห่างจนอาจถึงขั้นลุกฮือขึ้นต่อต้าน
น้ำที่พยุงเรือก็สามารถจมเรือจมได้เช่นกัน
“เป้าหมายสูงสุดของข้ามิใช่การโค่นล้มยึดอำนาจการปกครองนอร์จากผู้ใดผู้หนึ่ง” ขุนศึกไกกล่าวอย่างหนักแน่นมั่นคง “แต่จะเป็นการคืนอำนาจนั้นให้กับบุคคลที่สมควรจะได้รับ ไม่เว้นแม้แต่เจ้า ตระกูลชไวน์ หรือคาร์ลแห่งเอเวอร์เกรซ รวบรวมอาณาจักรนอร์ที่แตกแยกขึ้นมาเป็นปึกแผ่น สร้างระบอบการปกครองที่ยุติธรรมต่อทุกคนด้วยวิธีสันติ มิใช่การจับดาบจับกระบี่สร้างความเดือดร้อน ข้าไม่เห็นด้วยกับวิธีการก่อการปฏิวัติแล้วให้บุคคลผู้หนึ่งมีอำนาจทำการทุกอย่าง จริงอยู่ว่าหากบุคคลผู้นั้นเป็นผู้ที่ปราชญ์เปรื่องด้วยความสามารถ ในขณะที่เขาปกครองอาจทำให้บ้านเมืองรุ่งเรืองขึ้นถึงขีดสุด แต่ทั้งหมดก็เป็นเพียงภาพลวงตาเมื่อเวลาผ่านไป วันหนึ่งเมื่อผู้ที่กุมอำนาจตายหรือมิอาจปกครองด้วยสภาพร่างกายที่เสื่อมโทรมลง อนาคตของอาณาจักรจะตกอยู่ในความวุ่นวาย รับรองว่าการแก่งแย่งอำนาจจะเกิดขึ้น ตามด้วยสงครามกลางเมืองไม่ต่างจากสภาพที่เป็นอยู่ในทุกวันนี้”
ไอเวอเรียสสนับสนุนคำกล่าวของไกว่า “ดังนั้นอนาคตของนอร์จะต้องสร้างระบอบการปกครองที่ยั่งยืน กำจัดการใช้อำนาจในทางที่ผิดของสมาชิกสภาในระบอบก่อนทิ้ง ในขณะเดียวกันก็ต้องยกเลิกระบอบจักรพรรดิกุมอำนาจสูงสุด แต่พวกเราที่เป็นคนนอกรับรองว่าจะไม่ก้าวก่าย พวกท่านที่เป็นชาวนอร์จะต้องเป็นผู้ลงมือกระทำ ทั้งฝ่ายจักรวรรดิ ตระกูลชไวน์ ตระกูลวิลล์ คาร์ลแห่งเอเวอร์เกรซและผู้ตรวจการณ์ทั้งสามจะต้องหาบทสรุปที่ดีที่สุดให้กับการเมืองการปกครอง โดยพวกเราจะให้การสนับสนุนในทุกด้าน”
“ให้นอร์ทุกฝ่ายร่วมมือสร้างระบอบการปกครองที่ยั่งยืนอย่างนั้นหรือ?” วานเตสชี้จุดอ่อนในข้อเสนอของฝ่ายตรงข้ามว่า “เจ้าไม่คิดว่าวาจาเหล่านี้เพ้อฝันไปหน่อยหรือ? บอกตามตรงว่าจะให้บุคคลที่ถูกเอ่ยชื่อมานั่งร่วมโต๊ะสนทนากันยังแทบจะเป็นไปมิได้ นับประสาอะไรจะให้จับมือกัน”
“อีกทั้งคำอธิบายของพวกท่านยังไม่ครอบคลุมถึงประเด็นเรื่องการสนับสนุนของประชาชนที่ข้าได้ถามไปเมื่อครู่” ทานาทอสกล่าว
ไอเวอเรียสแบมือออกสองข้างกล่าวว่า “รับรองว่าลำพังข้ามิอาจแก้ปัญหาทั้งสองประการได้ แต่มีบุคคลผู้หนึ่งกับเรื่องราวเรื่องหนึ่งสามารถกระทำได้”
“หมายความว่าอย่างไร?” คอร์เนเลียเอ่ยปากถาม
ไอเวอเรียสยิ้มรับแล้วตอบว่า “มีตำนานอยู่เรื่องหนึ่งที่ทุกผู้คนต่างรู้จักเป็นอย่างดี หากพวกเรานำตำนานเรื่องนั้นมาใช้อย่างถูกวิธี เรื่องราวที่ไม่มีทางเป็นไปได้หรือปาฏิหาริย์อาจถือกำเนิด”
ทานาทอสรับฟังไม่กี่ประโยคพลันเข้าใจในทันที กล่าวว่า “คำกล่าวที่ว่า ‘หากผู้ใดครองสองศาสตราผู้นั้นจะมีอำนาจครองแผ่นดิน’ ใช่หรือไม่?”
มหาอุปราชวานเตสชี้นิ้วไปเบื้องหน้า กล่าวว่า “เจ้าหมายความว่าจะให้เด็กหนุ่มผู้นี้กุมอำนาจปกครองอย่างนั้นหรือ?”
ดวงตาทั้งสองของลูทเบิกกว้าง เมื่อเห็นนิ้วของฝ่ายตรงข้ามชี้มาที่ตน จึงอุทานขึ้นว่า “ว่ากระไร!?”
ความคิดเห็น