ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ศาสตราคู่กู้แผ่นดิน

    ลำดับตอนที่ #279 : เล่ม 9 - ตอนที่ 126 - พานพบ (2)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.47K
      11
      9 มี.ค. 52

    /> /> />

    “ท่านบลู!?” เสียงของหญิงสาวดังขึ้นพร้อมๆกับเสียงร่วงหล่นของกระบี่ “ท่านมาอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?

                    “นั่นควรจะเป็นคำถามของข้ามิใช่หรือ?” บลูปล่อยมือออกจากข้อมือของฝ่ายตรงข้าม กล่าวว่า “ขออภัย”

                    “ไม่เป็นไร ข้ามาอยู่ที่นี่ก็เพื่อจับตามองสถานการณ์ในนครหลวงแล้วรายงานกลับไปให้ท่านพ่อ” หญิงสาวผมสั้นส่ายศีรษะตอบ จากนั้นจึงถามต่อไปว่า “ตามรายงานจากพิราบรายวันท่านบลูสมควรจะอยู่ที่ลาเวนดิสมิใช่หรือ? มีเรื่องเร่งด่วนอันใดที่ทำให้ท่านต้องเดินทางขึ้นเหนือมาถึงใจกลางนครหลวงของจักรวรรดิ?

                    บลูเห็นว่าคงจะยากที่จะหลีกเลี่ยงการตอบคำถามนี้ ยิ่งไปกว่านั้นสตรีเบื้องหน้าเป็นบุคคลที่เคยร่วมรบเคียงบ่าเคียงไหล่ด้วยกันมาก่อนจึงมิอาจกล่าวถ้อยคำโป้ปดหลอกลวง บุรุษหนุ่มจึงตัดสินใจเลี่ยงประเด็นที่เกี่ยวข้องกับจุดประสงค์ของตน ตอบว่า “พบพานเจ้าในที่นี้แสดงว่าโชคยังเข้าข้างพวกเราอยู่บ้าง สองวันก่อนข้าทราบข่าวว่าบิดาของเจ้ากับท่านคาร์ลกำลังจะยกกองทัพบุกเข้าสู่นอร์โปลิส และข้าก็สืบทราบได้อีกว่าสถานที่แห่งนี้เป็นกับดักแห่งหนึ่ง”

                    ขนคิ้วสีเดียวกับผมขมวดเข้าหากันเล็กน้อย กล่าวว่า “กับดัก?

                    “ทันใดที่กองกำลังตึกธงดาบและตึกธงมังกรยกเข้ามาประชิดชายแดนปะทะกับกองกำลังรักษานครหลวง กองกำลังของโรฮันที่เฝ้าอยู่ที่เมืองโลซานทางใต้จะยกเข้าตีกระหนาบสองด้าน” บลูกล่าวอย่างจริงจัง

                    คราบปลอมแปลงโฉมมิอาจปกปิดความงามของซิลิเซียได้ สตรีผมแดงนางนี้กล่าวตอบว่า “ขอบคุณท่านที่เป็นห่วง แต่สำหรับการเดินทัพครั้งนี้พวกเราได้ตระเตรียมพร้อมสรรพในทุกด้าน รวมไปถึงความเป็นไปได้ที่ว่าทางฝ่ายโรฮันจะสอดมือเข้ามายุ่งเกี่ยว ดังนั้นสิ่งที่ท่านบลูตักเตือนเมื่อครู่มิอาจเรียกว่ากับดัก แต่เป็นอันตรายที่พวกเราพร้อมที่จะรับมือและตอบโต้กลับไป”

                    เสียงทอดถอนหายใจของบลูพลันดังขึ้นครั้งหนึ่ง กล่าวว่า “นี่จึงเป็นเหตุผลที่ข้ากล่าวว่าครั้งนี้ศัตรูวางกับดักเอาไว้อย่างแยบยล ขออภัยที่ข้าจำเป็นต้องกล่าววาจาขวานผ่าซากฟังแล้วไม่รื่นหู ความมั่นใจของพวกเจ้าจะเป็นดาบสองคมสังหารพวกเจ้าเอง ศัตรูจงใจแสดงให้พวกเจ้าเห็นว่ายังอยู่ในสภาพอ่อนแอไม่เพียบพร้อม แต่แท้จริงแล้วกำลังรอให้เหยื่อก้าวเข้ามาติดกับ บอกตามตรงว่ายอดฝีมืออย่างโรฮันต่อให้ข้า ลูทและพี่ไกสามคนร่วมมือกันยังไม่แน่ว่าจะสู้เสมอได้หรือไม่ ไม่นับรวมซิงเควด้าและพริมที่ปัจจุบันมีความสามารถไม่เป็นรองกันเท่าใด ทางด้านกองทัพของพวกเจ้าอาจเรียกได้ว่าสมบูรณ์เต็มร้อย ยิ่งได้พันธมิตรใหม่อย่างสาธารณรัฐเอนเซลเข้ามาร่วมด้วยแล้วยิ่งเปรียบเสมือนพยัคฆ์ติดปีกไม่เกรงกลัวอันใด แต่ข้าขอบอกตามตรงว่าทุกสิ่งที่พวกเจ้าวางแผนเอาไว้ ล้วนอยู่ในการคาดการณ์ของพวกมัน ข้ามิได้จงใจสร้างความสั่นคลอนให้กับกองทัพของพวกเจ้า วาจาทั้งหมดล้วนตั้งอยู่บนความปรารถนาดี”

                    ใบหน้าของซิลิเซียแปรเปลี่ยนเล็กน้อยเมื่อบลูกล่าวถึงเอนเซล ในเมื่อความลับไม่เป็นความลับอีกก็คาดว่าฝ่ายศัตรูคงจะทราบแล้วเช่นกัน จึงถามตามตรงว่า “ท่านบลูกำลังจะบอกว่าหากพวกเราจู่โจมในตอนนี้จะต้องพ่ายแพ้ยับเยิบอย่างนั้นหรือ?

                    บลูพยักหน้าครั้งหนึ่ง กล่าวยืนยันว่า “ไม่ผิด”

                    ...

                    สายตาของบุรุษหนุ่มประสานสบกับหญิงสาว พลางทำความเข้าใจสตรีเบื้องหน้า กล่าวด้วยวาจาอันนิ่มนวลว่า “หากใช้ความแค้นเป็นที่ตั้งมุ่งแต่จะล้างแค้นเพียงอย่างเดียว ไม่เพียงแต่เจ้าจะพลาดโอกาสที่จะพบเห็นสิ่งดีๆรอบกาย ยังจะเป็นการพาตัวเองเข้าสู่การดับสูญ มิอาจกระทำการได้สำเร็จ”

                    “ท่านจะเข้าใจได้อย่างไร?” เสียงสั่นเครือของซิลิเซียดังขึ้น

                    มือขวาของบลูจึงค่อยๆเอื้อมไปวางบนบ่าของสตรีตรงหน้า ในสมองของเขาครุ่นคิดถึงวาจาร้อยแปดพันประการแต่กลับมิอาจกล่าวออกมาแม้แต่หนึ่งถ้อยคำ

                    ขณะนั้นเองน้ำตาหยดหนึ่งของซิลิเซียพลันไหลลงอาบแก้ม

                    !?!

                   

    หอน้อยกลางน้ำตั้งตระหง่านกลางนครหลวงนอร์โปลิส เห็นเด่นเป็นสัญลักษณ์จากระยะไกล

                    สถานที่แห่งนี้ฝังไว้ด้วยความประทับใจของบุรุษหนุ่มตั้งแต่ครั้งแรกที่ได้เหยียบย่างจนกระทั่งถึงครั้งสุดท้ายที่ก้าวเท้าออกไป ซึ่งความประทับใจทั้งสองครั้งแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง ก้าวแรกที่บุรุษหนุ่มได้ย่างเท้าเข้าสู่ชั้นบนสุดของหอน้อยกลางน้ำ เสียงไวโอลินที่บรรเลงโดยโฉมสะคราญประดุจเสียงทิพย์จากสรวงสวรรค์สร้างความทรงจำไม่รู้เลือนฝังลึกลงไปในจิตใจ แต่ความทรงจำของก้าวสุดท้ายที่ย่างออกมากลับกรีดลึกเป็นแผลร้าวบาดหัวใจปรากฏเป็นสายธารโลหิต ความโหดร้ายของสงคราม เสียงกรีดร้องจากผู้คนที่กำลังหนีความตาย และสตรีคนรักที่เหลือเพียงลมหายใจรวยริน

                    ลูทไม่คิดเลยว่าจะได้กลับมาเหยียบสถานที่นี้อีก อย่างน้อยก็ไม่คาดคิดจนกว่าสงครามจะสิ้นสุด

                    ฤดูกาลที่เปลี่ยนผันทำให้สถานที่แห่งหนึ่งเปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ กลางเดือนเมษายนหอน้อยกลางน้ำถูกดอกไม้รอบทะเลสาบกลบความสง่าด้วยสีสันอันสดใส ฤดูใบไม้ผลิของต้นไม้ใบหญ้าล้อมรอบหอน้อยที่เป็นตัวแทนของฤดูใบไม้ร่วงทำให้เกิดความขัดแย้งของทิวทัศน์ที่ปรากฏขึ้นสู่สายตา แต่ในความขัดแย้งนั้นกลับแฝงไว้ด้วยความกลมกลืนอย่างหนึ่ง

                    “นี่ข้าฝันไปหรือไม่?” บุรุษหนุ่มเอ่ยปากกับตัวเองในขณะที่อยู่ในวังวนแห่งความคิด ย้อนลึกไปสู่ห้วงของความทรงจำในอดีต ทุกสิ่งทุกอย่างที่เขาเคยเผชิญล้วนกลับกลายเป็นเพียงความฝันตื่นหนึ่ง ความรักความทรงจำที่เป็นเครื่องผูกผันระหว่างจิตใจสองดวงนั้นหายไปสิ้น คงเหลือเพียงหมอกจางๆที่เป็นตัวแทนอันไม่สมบูรณ์ของความทรงจำเพียงข้างเดียว เมื่อสิ่งที่คงอยู่ด้วยความทรงจำของคนสองคนเหลือเพียงคนหนึ่ง สิ่งนั้นจะเรียกว่าฝันหรือไม่? รอยยิ้มอย่างเต็มฝืนกลับปรากฏขึ้นที่ริมฝีปากของลูท “ใช่ ข้าฝันไปจริงๆ”

                    แต่เมื่อบุรุษหนุ่มเบือนหน้าไปเห็นสตรีในชุดขาว ความฝันที่เขากำลังคิดอยู่ในขณะนี้กลับกลายเป็นความจริงขึ้นมาชั่วคราว เนื่องจากสตรีผู้นั้นคือยอดหญิงผู้สะคราญโฉม ยูกิ อาเมดะ

                    “ไม่น่าเชื่อ

                    ยูกิเดินจากปากทางเข้าอุทยานมายังริมทะเลสาบตรงเข้ามาหาบุรุษหนุ่ม กล่าวด้วยน้ำเสียงอันเรียบสนิทว่า “ยินดีที่ได้พบพาน”

                    “เจ้ามาที่นี่ได้อย่างไร?” ลูทถาม

                    ยูกิในชุดขาวถอนหายใจครั้งหนึ่ง กล่าวว่า “ข้ามาเพื่อเคารพเสี่ยวชิง

                    “เสี่ยวชิงคือผู้ใด?

                    “นางเป็นหญิงรับใช้ของข้า ผู้หลับอย่างเป็นสุขอยู่ที่หอน้อยกลางน้ำแห่งนี้ ตั้งแต่ที่ข้าสูญเสียความทรงจำก็ตั้งใจไว้ว่าจะต้องมาเยี่ยมสุสานของนางสักครั้งหนึ่ง”

                    เสี่ยวชิงในความทรงจำของบุรุษหนุ่มเคยเป็นยอดหญิงยูกิมาแล้วครั้งหนึ่ง สตรีผู้ที่เขาเคยพบพานและเข้าใจผิดที่ทะเลสาบมรกต นางเป็นหญิงสาวชาวบ้านผู้น่ารักและมีอนาคตอีกยาวนาน แต่กลับต้องสังเวยชีวิตเป็นเหยื่อของสงครามรายแรกๆของเหตุการณ์ปฏิวัติที่นางไม่มีส่วนเกี่ยวข้องแม้แต่น้อย

                    ยอดหญิงยูกิกล่าวด้วยความเศร้าสร้อยต่อไปว่า “แม้ว่าข้าจะจำไม่ได้ว่าที่แห่งนี้เกิดอะไรขึ้น แต่ถ้าหากข้าจากไปก่อนที่เรื่องราวจะเกิดขึ้น เสี่ยวชิงคงจะไม่ต้องมาตายอย่างงมงาย”

                    ลูทส่ายศีรษะครั้งหนึ่ง กล่าวว่า “ไม่มีผู้ใดรู้ล่วงหน้าว่าเหตุการณ์ใดจะเกิดขึ้น อย่าได้โทษตัวเองเลย”

                    “ต่อให้ข้าโทษตัวเองก็ไม่รู้ว่าจะโทษอย่างไรจริงหรือไม่?” ยูกิฝืนยิ้มตอบ ก้าวเข้ามาเคียงข้างบุรุษหนุ่มแล้วชี้นิ้วไปที่สิ่งก่อสร้างงามวิจิตรตรงหน้า กล่าวว่า “หอน้อยกลางน้ำตรงหน้านี้เสมือนเป็นสถานที่ใหม่ที่พึ่งจะเคยมาเยือนเป็นครั้งแรก ต่อให้ขบคิดอย่างไรก็ไม่มีแม้แต่ภาพที่คุ้นเคยสักเสี้ยวหนึ่งผ่านเข้ามาในห้วงสมอง ไปกันเถิด ข้าอยากจะไปกล่าววาจากับเสี่ยวชิงสักครู่หนึ่ง”

                    บุรุษหนุ่มขบคิดตามคำพูด เดินเคียงข้างยูกิเข้าไปยังเกาะตรงกลางทะเลสาบอันเป็นสถานที่ตั้งของหอน้อยกลางน้ำ จนมาหยุดยืนอยู่หน้าบานประตูใหญ่ชั้นล่างที่ปิดสนิท “เห็นทีเราทั้งสองจะขึ้นไปข้างบนไม่ได้เสียแล้ว”

                    ยูกิใช้มือข้างหนึ่งบดบังแสงพระอาทิตย์ แหงนหน้ามองชั้นบนสุดของหอน้อยจากพื้นดิน “หอน้อยแห่งนี้จัดเอาไว้สำหรับรับรองอาคันตุกะของนอร์ หากไม่มีอาคันตุกะชั้นพิเศษมาเยือนหอน้อยจะถูกปิดมิให้ผู้ใดเข้าไปข้างใน หลังจากเหตุการณ์ที่มีการต่อสู้กันที่ชั้นบนสุด คิดว่าตัวห้องบางส่วนคงจะเสียหายไปพอสมควร หากยังมิได้ซ่อมแซมให้กลับมาเป็นเหมือนเดิม คาดว่าทางนอร์คงจะไม่ใช้สถานที่แห่งนี้รองรับอาคันตุกะอีก”

                    “น่าเสียดายที่พวกเราไม่มีโอกาสได้ขึ้นไป”

                    ยูกิส่ายศีรษะครั้งหนึ่ง ตอบว่า “พวกเราไม่จำเป็นต้องขึ้นไปมิใช่หรือ จะอย่างไรเสี่ยวชิงต้องถูกกลบฝังอยู่เบื้องล่าง เพียงแต่พวกเรามิอาจหาสถานที่ที่เป็นสุสานของนางได้ เพราะคงจะไม่มีใครอยากสร้างสุสานในบริเวณหอน้อยกลางน้ำ คงจะต้องถือว่าผืนแผ่นดินและทะเลสาบแห่งนี้เป็นสุสานของเสี่ยวชิงแล้วกระมัง”

                    ยูกิเดินไปที่ริมทะเลสาบ หันหลังให้กับหอน้อยกลางน้ำ ประสานมือทั้งสองไว้กลางทรวงอก กล่าวว่า “ขอพระแม่อลิซซ่าบนสรวงสวรรค์ถ่ายทอดวาจาเหล่านี้ไปให้เสี่ยวชิงด้วยเถิด ว่าทุกวินาทีที่พวกเราได้อยู่ร่วมกันข้ามีความสุขยิ่งนัก ตลอดเวลาข้าไม่เคยเห็นนางเป็นสาวใช้สักครั้งหนึ่งแต่เป็นสหายที่แสนวิเศษ ขอให้นางหลับอย่างเป็นสุขเถิด ท่ามกลางทะเลสาบที่งดงามแห่งนี้”

                    ลูทยืนอยู่ด้านหลังเห็นยูกิกล่าวจบจึงถามว่า “เจ้ายังคงเสียใจอยู่หรือไม่?

                    ยูกิตอบว่าไม่คำหนึ่ง กล่าวว่า “วันนี้ข้าตั้งใจจะแต่งชุดสีขาว ที่เป็นสีของสวรรค์ชั้นฟ้า อันเป็นสถานที่ที่เสี่ยวชิงสิงสถิตย์ สาเหตุที่ข้ามิได้ใส่ชุดสีดำเป็นเพราะว่าข้ามิได้มาเพื่อแสดงความเศร้าโศกเสียใจของการตายจาก แต่ต้องการจะมาบอกกล่าวกับนางที่อยู่บนสวรรค์ ว่าข้าจะเป็นตัวแทนของนางว่าจะทำให้แผ่นดินผืนนี้มีความสุข เสี่ยวชิงคงไม่ต้องการให้ผู้ใดตกเป็นเหยื่อของสงครามเฉกเช่นนางอีก และข้าเองจะทำทุกวิถีทางเพื่อให้ได้มาซึ่งสิ่งนั้น”

                    ลูทยิ้มรับความตั้งใจของยูกิโดยที่มิได้กล่าวอันใด

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×