คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #286 : สุริยันตัดจันทรา องก์ที่ 1 - ฉากที่ 4 - ขนนกโลหิต
ภาคแสงสว่างและความมืด
ฉากที่ 4 ขนนกโลหิต
16 มีนาคม อ.ศ. 199
ขนนกสีขาวบางเบาเมื่อถูกย้อมด้วยสีแดงกลับกลายเป็นเครื่องแพร่สะพัดความกลัวที่อื้อฉาว
ขนนกโลหิต (Bloody Plume) เป็นทั้งชื่อและสัญลักษณ์ของกองโจรนอกรีตที่ดักปล้นช่วงชิงนครมิสต์อย่างหนักหน่วงที่สุด จากการเตรียมการที่มั่นคงรัดกุมราวกับเป็นกองทัพหนึ่งในสนามรบ ทำให้เก้าในสิบครั้งพวกมันจะลงมือสำเร็จ สังหารเหล่ามือดีที่รับหน้าที่ป้องกันหรือคุ้มกันสินค้าจนหมดสิ้น แม้กระทั่งคนขององค์กรดาบนักบุญที่มีชื่อเสียงยังต้องพลีชีพใต้ชื่อของขนนกโลหิตนี้
เปลวไฟย้อมท้องฟ้าในยามราตรีเป็นสีแดงฉาน รถขนเสบียงที่จะนำไปช่วยเหลือผู้ยากไร้ที่ถูกอุทกภัยจากแม่น้ำลาเมนท์ (Lament River) ถูกดักปล้นชิงระหว่างทาง คำถามที่ว่าผู้ใดเป็นผู้ลงมือเป็นคำถามที่ไร้สาระ เนื่องจากทุกคนต่างทราบตรงกันว่ามีเพียงกองโจรกลุ่มเดียวที่มีศักยภาพเพียงพอถึงระดับนั้น นั่นก็คือกลุ่มโจรขนนกโลหิต
เสียงดังของศัสตราวุธกระทบกันยังคงก้องโสตประสาท รถเสบียงสามจากสิบคันถูกดักซุ่มโจมตีจนล้มระเนระนาด กวาดหน่วยผู้คุ้มกันที่ร่วมเดินทางให้อยู่ใต้ซากรถไปถึงหนึ่งในสี่ ศรเพลิงยิงออกมาจากทุกทิศทาง เข้าถล่มรถเสบียงปลอมที่แฝงอยู่ในขบวน เผาผลาญอาวุธยุทโธปกรณ์ของผู้คุ้มกันไปอีกมากโข อาชาสีดำปลอดพร้อมกับคนขับที่โพกผ้าดำปกปิดหน้าตาผาดโผนเข้าสู่สมรภูมิเป็นตัวแรก หอกสั้นในมือจ้วงแทงผู้คุ้มกันคนแล้วคนเล่าฝ่าแนวป้องกันเข้าไปราวกับว่าเดินเล่นในสวนหลังบ้าน
กองโจรบนหลังม้าห้าสิบกว่านายวิ่งตามหลังอาชาสีดำมาเป็นรูปลิ่ม ทันทีที่เข้าสู่สมรภูมิพวกมันได้กระจายขบวนออกเป็นรูปพัด น้าวธนูสั้นยิงออกหลายสิบดอกสังหารผู้คุ้มกันไปอีกสิบกว่าราย ขณะเดียวกันผู้ขับขี่อาชาสีดำคนหน้าสุดทะลวงไปถึงแนวหลังของกองเสบียง เพียงไม่ถึงห้านาทีรถเสบียงอีกสามคันก็ล้มลง กองผู้คุ้มกันสองที่สองแตกพ่าย หลงเหลือเพียงอาณาบริเวณเล็กๆรอบรัศมีของดาบนักบุญสามสี่คนที่ยังคงยืนหยัดไว้อย่างเหนียวแน่น
ความหวาดหวั่นขวัญผวากระจายออกไปทั่ว เสียงแผดร้องดังขึ้นพร้อมกับอาวุธที่กระทบกันไม่หยุดยั้ง ตลอดจนเสียงตะโกนที่แฝงความกลัวจากเบื้องลึกในจิตใจดังขึ้นถี่ๆว่า “กองโจรขนนกโลหิตบุก!”
สองสามนาทีต่อมาหัวหน้ากองโจรบังคับม้าถึงแนวหลังในที่สุด พุ่งเข้าใส่กองเสบียงหลักที่อยู่ด้านหลัง สิ่งที่มันหมายปองคือวัตถุล้ำค่าในรถม้าคันนี้ ข้าหน้าของอาชาทั้งสองทะยานขึ้นฟ้า กระโดดข้ามแคร่ไม้สูงเกือบวาที่จัดเตรียมไว้กีดขวางม้าได้อย่างเหลือเชื่อ หอกสั้นทะลวงออกเบื้องหน้าหมายจะสังหารบุคคลที่กล้ายืนประจันกับมันทิ้งเสีย
เคร้ง! เสียงกระบี่สองมือกับหอกสั้นปะทะกันดังก้อง สะท้านแก้วหูยิ่งกว่าการปะทะกันของศัสตราวุธคู่ใดในสมรภูมิ
เจ้าของกระบี่สองมือที่มีลายกางเขนสลักไว้ตรงกลางคือซิริอุส โซล รีวิเอร่า (Sirius Sol Reviera) ดาบนักบุญมือดีที่ได้รับมอบหมายให้คุ้มกันกองเสบียงหลัก ผมสีน้ำตาลอ่อนเกือบจะกลายเป็นสีทองยาวเลยใบหูไปเพียงเล็กน้อย ปกปิดตุ้มหูกลมสีเปลวเพลิงข้างซ้ายไว้ภายใน
“หยุดเพียงเท่านี้!” กระบี่ยาววาเศษของซิริอุสแทงตรงเข้าใส่หอกสั้น ซันทะลวงถูกบรรจุเข้าที่ตัวกระบี่ ส่งผ่านปลายแหลมคมกระเทาะใส่ปลายหอกสั้นจนบิ่นออกเล็กน้อย น้อยครั้งที่ดาบนักบุญวัยยี่สิบแปดปีผู้นี้จะทำงานพลาด และการประมือระหว่างเขากับหัวหน้ากลุ่มโจรก็แสดงให้เห็นว่าการให้เขาเป็นผู้คุ้มกันรถคันนี้เป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง
ดวงตาสีน้ำตาลเข้มของหัวหน้ากลุ่มโจรเลิกขึ้นเล็กน้อย จากความประหลาดใจที่หอกสั้นในมือถูกหยุดยั้งเอาไว้ได้ เหนือผ้าคาดปากสีดำเผยให้เห็นถึงดวงตาและหว่างคิ้วอันเข้มแข็งดุดัน หากคาดเดาอายุจากสิ่งที่เห็นก็คงจะอยู่ราวสามสิบปีเศษ ซึ่งทันใดนั้นเองหัวหน้ากลุ่มโจรกระตุ้นม้าออกด้านข้าง ตวัดปลายหอกเขี่ยกระบี่ยาวในมือของซิริอุสให้พ้นการพัวพัน ใช้การบังคับอาชาที่เหนือคนกลับหน้าเป็นหลังในช่วงระยะเวลาอันสั้น ตีหักออกไปทางซ้ายเร่งความเร็วหนีซิริอุสที่ปราศจากพาหนะเสีย
คำสั่งการของหนึ่งในแกนนำกลุ่มโจรนอกรีตดังขึ้นว่า “กวาดทุกสิ่งที่นำไปได้แล้วถอยทันที”
การรุกเร็วถอยเร็วเป็นเอกลักษณ์ประจำของโจรกลุ่มนี้ ทุกคนล้วนมีอาชาเป็นของตนเองไม่มีการเดินเท้า ทุกครั้งที่ปฏิบัติการจะมีอาชาสำรองอีกราวสิบตัวเผื่อว่าบางคนโชคร้ายอาชาคู่ขาถูกสังหาร แต่ทว่าการตัดสินใจจะรุกหรือถือล้วนขึ้นกับการแปรเปลี่ยนเฉพาะหน้า หากพวกมันเผชิญเหล่าองครักษ์ผู้คุ้มกันภัยที่อ่อนแอ พวกมันจะสังหารให้สิ้นจากนั้นกวาดทรัพย์สินไปทั้งหมด แต่ถ้าพบกับการตั้งรับอย่างเป็นระบบ ถึงแม้ว่าพวกมันจะสามารถเอาชัยก็จะไม่พาตัวเข้าแลก ต่างคนจะช่วงชิงสิ่งของที่พอจะบรรทุกขึ้นอาชาคู่ขาได้แล้วถอยกลับไป แม้ว่าจะไม่ได้ทรัพย์สินทั้งหมดแต่สิ่งที่ช่วงชิงไปก็เพียงพอที่จะทำให้พวกมันพึงพอใจ
ดาบนักบุญซิริอุสขบกรามดังกรอด รถขนเสบียงห้าจากสิบคันถูกทำลายเสียหายมิอาจแล่นสืบเนื่อง ผู้คุ้มกันภัยกว่าหนึ่งในสามบาดเจ็บล้มตาย ข้าวของถูกช่วงชิงไปส่วนหนึ่งต่อหน้าต่อตา แต่ยังดีที่รถขนเงินตราที่เขาคุ้มกันนั้นมิได้รับความเสียหายแม้แต่น้อย เมื่อเห็นฝูงโจรเริ่มถอยซิริอุสพลันสั่งการว่า “ไม่ต้องติดตาม ช่วยเหลือคนเจ็บสำคัญเป็นอันดับแรก”
แต่ทว่าตนเองสั่งการเช่นนั้นกลับไม่กระทำตาม ซิริอุสตวัดกระบี่ยักษ์แทงใส่สมุนโจรผู้หนึ่งจนตกจากหลังม้า ช่วงชิงอาชาควบขับเข้าหาผู้นำชุดดำของฝ่ายตรงข้าม ร่ำร้องว่า “จงทิ้งชีวิตไว้ที่นี่!”
บุคคลด้านหน้าเสมือนว่ามีดวงตาที่สามอยู่กลางหลัง ตวัดหอกสั้นเข้าปะทะกระบี่ยักษ์อย่างถนัดถนี่ ตอบว่า “มั่นใจเกินไปหรือไม่?”
“ซันชิน!?”
ซิริอุสรู้สึกได้ทันทีว่าเมื่อครู่แบลร์จงใจออมรั้งฝีมือไว้ส่วนหนึ่ง มิได้แสดงอานุภาพของซันดั่งเช่นการใช้หอกนี้ ซันกระแทกที่บรรจุผ่านปลายหอกผลักทั้งคนทั้งอาชาจนเซถลาล้มลง แม้ว่าซิริอุสจะสามารถกระโดดลงมาก่อนมิได้รับบาดเจ็บ ก็มิอาจไม่ยอมรับว่าตนเองเป็นฝ่ายพลาดท่าเสียที
แท้จริงแล้วเป็นความประมาทของทั้งคู่ต่างหาก ฝ่ายหนึ่งไม่คิดว่าคู่ต่อสู้จะมีฝีมือขนาดตั้งรับปลายหอกได้จึงถูกกระเทาะจนอาวุธเสียหาย ส่วนอีกผู้หนึ่งได้ใจจากการประมือครั้งแรก หลงคิดว่าฝีมือของตนเหนือกว่าฝ่ายตรงข้าม เมื่อติดตามไปจึงถูกเล่นงานเที่ยวหนึ่ง
“ท่านซิริอุส!” ดาบนักบุญรุ่นน้องนามว่าไมเคิล เกียร์ (Michael Gear) ควบขับอาชาตามหลังมา เมื่อเห็นสภาพที่ปลอดโปร่งไร้บาดแผลของรุ่นพี่จึงถอนหายใจอย่างโล่งอกครั้งหนึ่ง กล่าวว่า “โชคดีที่ท่านไม่เป็นอะไร มันผู้นั้นเป็นหนึ่งในแกนนำของขนนกโลหิต ดาบนักบุญพี่น้องของพวกเราตกเป็นเหยื่อของหอกสั้นเล่มนั้นหลายต่อหลายคนแล้ว”
จากคำกล่าวประโยคสุดท้ายทำให้ซิริอุสสังเกตพบการสั่นคลอนในดวงตาของไมเคิล เห็นได้ชัดว่าหนึ่งในผู้ตายเหล่านั้นต้องเป็นบุคคลที่มีความสำคัญต่อเขา แต่จะอย่างไรก็ตามหากจะขุดคุ้ยต่อไปก็ไร้ประโยชน์ จึงเปลี่ยนประเด็นว่า “เจ้าทราบหรือไม่ว่าบุคคลคลุมหน้าผู้นั้นคือใคร?”
ไมเคิลพยักหน้าครั้งหนึ่ง ตอบว่า “แบลร์ แอคเซล (Blair Accel) หนึ่งในแกนนำกลุ่มโจรขนนกโลหิต มันผู้นี้มีอายุสามสิบเศษเป็นซันชินที่มีฝีมือเข้มแข็ง ลงมือครั้งใดย่อมต้องได้สิ่งที่ต้องการ”
“อย่างนั้นหรอกหรือ?” เสียงตอบของซิริอุสราบเรียบจริงอยู่ แต่มือที่จับกระบี่ยักษ์กลับกุมแน่นด้วยความไม่เชื่อถือ จากนั้นหันไปมองรถเพียงคันเดียวในขบวนที่มิได้รับความเสียหาย กล่าวว่า “แม้ว่ามันจะลงมือสำเร็จ แต่อย่างน้อยครั้งนี้มันก็ไม่ได้สิ่งที่หมายปอง”
“กลับกันเถิดท่านซิริอุส” ไมเคิลหันกลับไปมองความเสียหายของขบวนรถเสบียงด้วยความหดหู่ เมื่อนึกถึงภาพของชาวบ้านที่เดือดร้อนจากการถูกอุทกภัยถล่มยิ่งมีโทสะ กำหมัดแนบแน่นพร้อมคำนึงว่า ‘จะต้องมีอีกกี่ครั้งที่ลงเอยเช่นนี้?’
“เรียกข้าว่าซิริอุสเฉยๆก็พอ” ดวงตาของซิริอุสยังคงไม่ลดละจากเส้นทางที่เหล่าโจรฝ่าความมืดออกไป ค่อยๆยกมือที่เคยปะทะกับหัวหน้ากลุ่มโจรขึ้นมามอง พบว่ายังคงสั่นสะท้านจากซันของฝ่ายตรงข้ามไม่หาย คำนึงว่า ‘ครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายที่เจ้าสามารถลงมือประสบผล’
เสียงฝีเท้าม้าดังกระหึ่มกลบความเงียบสงัดของป่าไม้ไปสิ้น ทันใดที่หลุดจากการไล่ตามของฝ่ายตรงข้าม บุรุษร่างกำยำที่ควบขับอาชาสีดำจึงถอดผ้าคลุมหน้าออก หันไปด้านข้างถามลูกน้องที่ควบม้าอยู่ข้างเคียงว่า “ซารีฟ ความเสียหายเป็นอย่างไรบ้าง?”
ซารีฟ อเดลเลค (Zarif Adelec) บุรุษหนุ่มวัยยี่สิบเก้าปีทำหน้าที่กำกับการทั่วไป ในหน่วยที่สามนี้ซารีฟมีอำนาจเป็นอันดับสองรองจากแบลร์ผู้เดียว “พวกเราสูญเสียพี่น้องไปสามคนกับอาชาอีกห้าตัว”
เสียงเข่นของแบลร์ดังขึ้น กล่าวว่า “ครั้งนี้นับว่าพวกเราสูญเสียมากเกินไปจริงๆ ทั้งยังไม่สามารถกวาดล้างฝ่ายตรงข้ามให้สิ้นซาก”
ซารีฟส่ายศีรษะครั้งหนึ่ง กล่าวว่า “ทางการมิสต์ส่งดาบนักบุญมาคุ้มกันพร้อมกันถึงสี่ห้าคน โดยเฉพาะอย่างยิ่งซิริอุสผู้ที่ประมือกับท่าน”
แบลร์พยักหน้ารับคำดังอืม ก่อนที่จะหันกลับไปมองพวกพ้องทั้งห้าสิบสามคนที่ควบขับอาชาตามมา ปลอบใจตนเองว่า “อย่างน้อยทองคำที่แบกไว้บนหลังม้าก็มากเกินกว่าการปล้นชิงทั่วไป แต่น่าเสียดายตรงที่มิอาจชิงสินค้าจากรถม้าคันกลาง”
ปัง! สัญญาณพลุที่แตกเป็นรูปขนนกปรากฏขึ้นที่ปลายฟ้าก่อนที่ซารีฟจะตอบคำ
“เป็นสัญญาณจากผู้ใด?” แบลร์ถาม
ซารีฟรีบคำนวณทิศทางเทียบกับกำหนดการลงมือในค่ำคืนนี้ จากนั้นจึงกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ร้อนรนว่า “แย่แล้วท่านแบลร์ ทิศนั้นเป็นทิศของกลุ่มแองเจลีน”
“ว่ากระไร!?” เสียงอุทานของแบลร์ดังขึ้น ก่อนที่จะเบนศีรษะอาชาไปด้านข้าง กระตุ้นม้าควบตัดเข้าทางน้อยมุ่งตรงไปยังทิศที่พลุสัญญาณปรากฏอย่างไม่รอรี
ความคิดเห็น