ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ศาสตราคู่กู้แผ่นดิน

    ลำดับตอนที่ #4 : ดอกไม้ที่สาบสูญ

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.5K
      3
      10 ก.ค. 50

    ภาคแผนครองพิภพ

    ตอนที่ 4 ดอกไม้ที่สาบสูญ

    2 กุมภาพันธ์ อศ. 226

    บลูลืมตาตื่นขึ้นมาพบว่าตัวเองนอนอยู่บนเตียงไม้ ความรู้สึกเหนื่อยอ่อนของเขายังคงมีอยู่บ้าง แต่เขาก็รู้สึกถึงเอลภายในที่ก่อกำเนิดอย่างสมบูรณ์ เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน

    ชายหนุ่มผมสีทองนั่งอยู่ที่โต๊ะด้านข้างเตียงของบลู เขากำลังศึกษาตำรับตำราวิชาแพทยศาสตร์ซึ่งถือว่าเป็นศาสตร์ที่ล้ำค่าในทุกยุคทุกสมัย แพทย์ในยุคนี้ต่างได้รับเกียรติและการคุ้มครองจากประมุขทั้งสามอาณาจักร ถ้าเป็นแพทย์ผู้ชำนาญในการรักษาอย่างท่านหมอวีแล้วละก็ ขนาดชนชั้นผู้ปกครองรัฐก็ยังต้องให้เกียรติ

    "ตื่นแล้วหรือ ใจเย็นๆค่อยๆลุกขึ้น ร่างกายของเจ้าพึ่งฟื้นฟูจากการสูญเสียเอลอย่างใหญ่หลวง" เสียงชายหนุ่มผมทองดังขึ้นที่ด้านข้างของบลู เขาเดินตรงเข้าไปประคองเขาให้ลุกขึ้นนั่ง

    บลูพยายามลุกขึ้นนั่งจากนั้นจึงกล่าวถามว่า "เจ้าเป็นคนช่วยข้าไว้หรือ ที่นี่ที่ไหน"

    ชายหนุ่มผมทองคนนั้นส่ายศีรษะกล่าวว่า "เปล่าหรอกข้ามิใช่คนที่ช่วยเจ้าไว้ ที่นี่คือหมู่บ้านเงาจันทร์อันเป็นหมู่บ้านของครอบครัวข้า"

    บลูรู้สึกมึนงงจากการนอนหลับเป็นเวลานานอยู่บ้าง เขาพยายามตั้งสติแล้วถามต่อไปว่า "เจ้าชื่ออะไร แล้วถ้าอย่างนั้นใครเป็นคนช่วยข้าเอาไว้"

    ชายหนุ่มผมทองตอบว่า "ข้าชื่อบีทเป็นเพียงคนดูแลอาการเจ้าเท่านั้น คนที่ช่วยเจ้าจริงๆ คืออาจารย์ของข้าท่านหมอวี พี่สาวของข้าโรซาไลน์และเพื่อนของเจ้าที่ชื่อลูท เจ้าน่ะสลบไปเกือบสองวันเต็มแต่อาจารย์สั่งให้เจ้านอนพักอีกหนึ่งวัน ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาที่เจ้าควรจะลุกขึ้นใช้กำลัง"

    บลูกล่าวขอบคุณบีท เขาก้าวลงจากเตียงกล่าวว่า "ข้าอยากจะไปพบท่านหมอวีสักครั้งเพื่อกล่าวขอบคุณด้วยตนเอง ขอให้น้องเราช่วยนำทางด้วย"

    บีทอับจนปัญญานึกในใจว่ามันก็เป็นการสมควรที่จะไปกล่าวขอบคุณผู้ช่วยชีวิตเมื่อรู้สึกตัว ดังนั้นจึงตอบตกลงแล้วค่อยๆ ประคองบลูนำทางเข้าไปยังตึกหัวหน้าหมู่บ้าน

    ระหว่างทางบีทเล่าเรื่องต่างๆที่เกิดขึ้นให้บลูฟัง จนถึงบัดนี้บลูจึงค่อยๆเรียบเรียงปะติดปะต่อเรื่องราวที่ผ่านมาในช่วงสามสี่วันนี้ พบว่าเกิดเรื่องขึ้นกับตนเองมากมายจริงๆ ถ้าไม่ใช่สวรรค์ช่วยเขาให้พบลูทโดยบังเอิญในป่าแล้วล่ะก็ บัดนี้ตนเองจะขึ้นสวรรค์หรือลงนรกยังไม่ทราบได้

    ห้องที่บลูนอนพักอยู่ในบ้านด้านข้างของตึกหัวหน้าหมู่บ้านห่างกันไม่ไกลนัก พวกเขาใช้เวลาไม่นานก็เดินมาถึงตึกหัวหน้าหมู่บ้าน บีทเปิดประตูเข้าไปเห็นทุกคนยืนคุยกันอยู่ที่ห้องรับแขกด้านใน ดังนั้นจึงแนะนำชื่อของแต่ละคนให้บลูรู้จักก่อนที่จะพาเข้าไปยังห้องรับแขก

    "บลู! เจ้าฟื้นแล้ว!" เสียงของลูทดังขึ้นด้วยความดีใจเมื่อเขาเหลือบเห็นบลูที่อยู่ด้านนอกกำลังเดินตรงเข้ามา ลูทรีบวิ่งออกไปรับบลูจากประตูด้วยความยินดี บลูเห็นเพื่อนสนิทของเขายังอยู่รอดปลอดภัยไม่เป็นอันตรายจึงรีบเดินเข้าไปหาด้วยความปรีดา เขากล่าวคำทักทายและขอบคุณทุกคนที่มีส่วนช่วยเหลือเขา จากนั้นจึงไปโอบไหล่ลูทด้วยความปลื้มปิติคราหนึ่ง

    บลูและลูทรู้จักกันเมื่อราวสองสามปีก่อน พวกเขาเป็นศิษย์ของอาจารย์ดาธที่เข้าเรียนพร้อมกันในหมู่บ้านสวนเชอร์รี่ ทั้งหมู่บ้านมีเพียงพวกเขาสองคนที่เด็กรุ่นราวคราวเดียวกัน พวกเขาสองคนจึงไปไหนมาไหนด้วยกันตลอดปี กินนอนเที่ยวเล่นปฏิบัติภารกิจพร้อมกันเสมอ ด้วยเหตุนี้จึงทำให้พวกเขาสนิทกันมาก ดุจดั่งพี่น้องคลานตามกันมา จนกระทั่งวันหนึ่งอาจารย์จากไป บลูตัดสินใจออกไปหาประสบการณ์เบื้องนอก พวกเขาจึงไม่ได้พบหน้ากันบ่อยเหมือนเคย

    บลูกล่าวย้ำว่า "ข้าขอบคุณพวกท่านเป็นอย่างมาก"

    กอร์ดอนกล่าวว่า "ไม่เป็นไรหรอกพ่อหนุ่ม ถ้าไม่ได้ลูทผู้เป็นเพื่อนของเจ้า หมู่บ้านแห่งนี้ก็คงได้รับอันตรายจากน้ำพิษไม่มากก็น้อย ข้าขอเป็นตัวแทนผู้คนทั้งหมู่บ้านแสดงความขอบคุณต่อพวกเจ้าทั้งหลายเช่นกัน"

    ลูทกล่าวตอบว่า "เรื่องนี้ต้องยกความดีความชอบให้กับท่านหมอวีและโรส ถ้าไม่มีพวกเขาทั้งสองข้าคงจะไปไม่ถึงต้นตอน้ำพิษนั่น"

    กอร์ดอนพยักหน้ากล่าวขอบคุณโรสและหมอวีอีกครั้ง จากนั้นจึงหันไปกล่าวกับบลูว่า "เจ้าเรียกว่าบลูใช่ไหม ข้าทราบจากลูทและโรสหลานของข้าว่าเจ้าถูกอัศวินดำคนหนึ่งตามล่ามาจากป่าฝั่งอาณาจักรนอร์ เจ้าพอจะบอกรายละเอียดเกี่ยวกับอัศวินดำคนนั้นได้ไหม ทำไมถึงเกิดการต่อสู้กันขึ้น"

    บลูเห็นว่าบุคคลในที่นี้ล้วนเป็นผู้ช่วยชีวิตตนไม่ทางตรงก็ทางอ้อมจึงไม่มีเจตนาปิดบังรายละเอียด เขาเริ่มเล่าเรื่องให้ทุกคนในที่นั้นฟังว่า "เมื่อปีก่อนตัวข้านั้นเริ่มทำงานเป็นผู้คุ้มกันภัยอยู่ที่แถบนี้ เนื่องจากสองสามเดือนมานี้มีโจรชุกชุมรายได้จากการช่วยคุ้มกันสินค้าครั้งหนึ่งก็ดีกว่าพื้นที่อื่น ประกอบกับการที่ข้าอยากจะหาประสบการณ์เพิ่มเติม ฝึกปรือศาสตร์แห่งเอลให้เก่งขึ้นกว่านี้ ข้าจึงเลือกมาเป็นผู้รับหน้าที่คุ้มกันคนที่ทำมาหากินสุจริตจากโจรผู้ร้าย นับเป็นอาชีพที่เหมาะสมกับเอลลิสอย่างข้าที่สุด เรื่องนี้เริ่มต้นเมื่อประมาณสองอาทิตย์ก่อน เพื่อนของข้าคนหนึ่งมีชื่อว่าเนสทำงานให้กับกลุ่มประสานเจนีส เขาได้รับภารกิจลับชิ้นหนึ่งให้ไปสืบข่าวเรื่องการแยกตัวเป็นอิสระและการก่อกบฏในอาณาจักรนอร์ ข่าวนี้ยังคงเป็นข่าวลับสุดยอดเว้นเสียแต่ว่าทางกลุ่มประสานเจนีสดักฟังคำสนทนาของผู้ร่วมก่อการได้โดยบังเอิญ เนสเป็นสายสืบชั้นแนวหน้าจึงได้รับมอบหมายให้ไปสืบข่าวเรื่องนี้ที่เมืองโอดินและเจนีสเหนือ"

    ลูทถามด้วยความสงสัยว่า "กลุ่มประสานเจนีสคืออะไร"

    บลูตอบว่า "กลุ่มประสานเจนีสเป็นกลุ่มที่พยายามจะรวบรวมเมืองเจนีสเหนือใต้ให้เป็นหนึ่งเดียวอีกครั้ง แกนกลางของพวกเขาอยู่ในเมืองเจนีสใต้เข้าไปในเขตของลาเวนดิส แต่ก็ส่งกำลังแทรกซึมไปตามจุดต่างๆของเมืองเจนีสเหนืออยู่เกือบทุกหนทุกแห่ง สมาชิกของกลุ่มส่วนใหญ่จะเป็นประชากรธรรมดาอย่างเราๆแต่จะมีฐานะอีกฐานะหนึ่งคือสมาชิกของกลุ่มประสานเจนีสนี้"

    จากนั้นบลูจึงเล่าสืบต่อว่า "เนสคนนี้เป็นมือดีที่สุดในการสืบข่าวหาความลับในกลุ่มประสานเจนีส เขาใช้ร่างแหข่าวสารทั้งหมดที่เขามีอยู่ เงินก้อนโตและเวลาอีกประมาณหนึ่งอาทิตย์กว่าจะสืบเสาะและยืนยันข่าวเรื่องนี้ได้ เนสสืบได้ว่าเวอร์น่อน ซอร์โดผู้เป็นหนึ่งในสามของผู้ปกครองอาณาจักรนอร์เตรียมการที่จะยึดอำนาจโดยมีฐานอยู่ทางพื้นที่ด้านตะวันตก อีกทั้งยังมีกองกำลังสนับสนุนเป็นแม่ทัพนายกองและผู้ว่าการเมืองที่ควบคุมทหารและพลเรือนทางทิศตะวันตกหลายคน เนสได้รับการบอกเล่ามาเช่นนี้ก็เชื่อว่าเป็นจริงอยู่แปดเก้าส่วนแต่ข่าวใหญ่เช่นนี้ไม่สามารถที่จะผิดพลาดได้แม้แต่นิดเดียว เขาจำต้องเสาะหาหลักฐานเพื่อเป็นเครื่องยืนยัน เขาพยายามอยู่เป็นเวลานานด้วยเครือข่ายและความสามารถของเขาก็ยังไม่สามารถเสาะหาหลักฐานใดๆได้

    จวบจนเมื่อสามวันก่อนซึ่งตรงกับวันก่อนที่ข้าพบพวกลูทในป่าวันหนึ่ง เพื่อนของข้าเนสได้มาพบกับข้าที่เมืองเจนีสเหนือ เขากับข้ารู้จักกันมาตั้งแต่เด็กจึงเชื่อใจข้าเล่าแผนการให้ข้าฟัง จากนั้นว่าจ้างให้ข้าซึ่งทำงานเป็นผู้คุ้มกันไปช่วยเขาในการที่จะบุกเข้าไปขโมยสมุดบันทึกลับเล่มหนึ่ง สมุดบันทึกเล่มนี้เป็นหลักฐานอย่างดีว่ามีการเตรียมอาวุธยุทโธปกรณ์และการติดต่อทางทหารที่ผิดสังเกต

    ข้าเห็นว่าถ้าเกิดการกบฏจริงแล้วจะนำมาซึ่งสงครามที่จะทำลายล้างชีวิตของผู้คนอีกหลายหมื่นหลายแสนคน ดังนั้นข้าจึงตกลงรับปากคุ้มกันเนสไปขโมยสมุดบันทึกเล่มนี้ที่ตึกกองบัญชาการลับที่เนสระบุไว้

    ในเย็นวันนั้นเองพวกข้าทั้งสองลอบเข้าไปในตึกกองบัญชาการลับเมืองเจนีสเหนือซึ่งเคยเป็นที่ว่าการเมืองเก่าอยู่ก่อน พวกเราสืบเสาะอยู่สักพักก็พบสมุดบันทึกลับจริงอย่างที่เนสคาดการณ์เอาไว้ สุดท้ายจึงช่วยกันขโมยออกมา แต่ด้วยความบังเอิญร่อยรอยของพวกเราถูกเปิดเผยขณะที่กำลังล่าถอยออกจากตึกกองบัญชาการ พวกเราทั้งสองหนีออกจากเมืองโดยใช้รถม้าโดยสารหมายจะข้ามฝั่งไปยังเจนีสใต้ซึ่งเป็นเขตของอาณาจักรลาเวนดิสและกลุ่มประสานเจนีส

    จนใจที่รถม้าวิ่งช้ากว่าทหารม้าเร็วอีกทั้งกองทหารที่ตามล่าพวกข้าล้วนเป็นมือดีทั้งสิ้น ข้ากับเนสจึงจำเป็นต้องแยกย้ายกันหลบหนีไปคนละทาง ข้านำสมุดลงจากรถม้าหนีเข้าป่าตามข้างทางหมายจะข้ามมายังฝั่งอาณาจักรลาเวนดิสจากทางป่าแห่งนี้ ระหว่างทางในป่าข้าก็ปะทะกับกองกำลังที่ติดตามราวสิบกว่าคนจนในที่สุดก็หนีข้ามแดนมายังลาเวนดิสได้ ส่วนเนสก็ปลดรถทิ้งไปแล้วควบม้าหนีข้ามสะพานไปทางเจนีสใต้ซึ่งเป็นจุดที่พวกเรานัดพบกัน ข้าไม่ทราบว่าเขาเป็นตายร้ายดีเช่นไร"

    จากคำบอกเล่าของบลูทุกคนพอจะคาดเดาเหตุการณ์ในตอนนั้นได้ว่าคับขันเพียงใด และรู้สึกทึ่งในฝีมือและการเอาตัวรอดของบุรุษหนุ่มผู้นี้ การหนีทหารม้าเร็วสิบกว่าคนด้วยตัวคนเดียวในป่านั้นไม่ใช่ว่ากระทำได้โดยง่าย โดยเฉพาะกับทหารที่จัดว่าเป็นมือดีใต้สังกัดอัศวินดำ

    บลูเล่าต่อไปว่า "วันรุ่งขึ้นพวกมันส่งมือดีชั้นนายทหารสวมชุดสีดำมาตามล่าข้า คาดว่าน่าจะเป็นหนึ่งในเก้าอัศวินดำของอาณาจักรนอร์ หลังจากที่ข้าสู้พลางถอยพลางข้าก็สำนึกตัวว่าฝีมือยังเป็นรองฝ่ายตรงข้ามอยู่ขั้นหนึ่ง พอข้าหนีมาถึงปากทางเข้าหมู่บ้านแห่งนี้ก็หมดเรี่ยวแรงจะสู้ต่อไป โชคดีที่สวรรค์บันดาลให้ข้าพบกับลูทและโรสโดยบังเอิญ เรื่องราวต่อจากนั้นพวกท่านคงจะทราบกันหมดแล้ว"

    กอร์ดอนกล่าวว่า "เรื่องราวเป็นอย่างนี้นี่เอง แล้วสมุดบันทึกของเจ้ายังปลอดภัยดีกระมัง"

    บลูพยักหน้าพร้อมกับหยิบสมุดบันทึกออกมาตอบว่า "ใช่แล้ว"

    ลูทถามสืบต่อว่า "ข้ายังไม่เข้าใจเท่าไรว่าทำไมพวกเวอร์น่อน ซอร์โดอะไรนี่ต้องแยกตัวออกจากอาณาจักรนอร์ด้วย"

    กอร์ดอนตอบด้วยสีหน้าเคร่งเครียดว่า "ข้าคิดว่ามันไม่น่าจะใช่เพียงแค่การแยกตัวออกเป็นอิสระ แต่ข้าคิดว่ามันจะเป็นการก่อกบฏเตรียมการยึดอาณาจักรนอร์ให้อยู่ภายใต้การควบคุมของคนเพียงคนเดียวนั่นคือเวอร์น่อน จากนั้นมันคงจะเปิดสงครามกับอาณาจักรลาเวนดิส อาณาจักรเอนเซลและนครมิสต์เพื่อที่จะรวมแผ่นดินทั้งหมดให้เป็นหนึ่ง โดยที่มันเป็นผู้ที่มีอำนาจสูงสุดอยู่เพียงผู้เดียว"

    บลูตกใจโพล่งขึ้นว่า "นี่เป็นไปได้อย่างไร"

    กอร์ดอนแทนที่จะตอบข้อสงสัยของบลู กลับเล่าว่า "เมื่อยี่สิบห้าปีก่อนนับเป็นช่วงเวลาก่อนที่พวกเจ้าทั้งสี่จะเกิด ตอนนั้นดินแดนเจนีสยังไม่เป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรนอร์เรียกว่ารัฐปกครองอิสระเจนีส ได้เกิดสงครามครั้งใหญ่ระหว่างอาณาจักรนอร์และรัฐปกครองอิสระเจนีสขึ้น มีต้นเหตุหลักมาจากที่รัฐปกครองอิสระเจนีสขุดพบเหมืองแร่เอลไลท์แห่งใหม่ถึงสามเหมือง อย่างที่พวกเจ้ารู้กันดีเหมืองแร่เอลไลท์มีมูลค่ามหาศาลต่อการพัฒนาประเทศ ทั้งในด้านการปกครอง เศรษฐกิจ การพัฒนาความเป็นอยู่ของราษฎรหรือแม้กระทั่งการสงคราม ข่าวเรื่องนี้เป็นที่ดังกระเดื่องไปทุกสารทิศ ทำให้รัฐเล็กๆอย่างเจนีสจึงกลายเป็นขุมทองที่มีอำนาจในการต่อรองขึ้นมาทันที

    ในช่วงเวลานั้นเวน ซอร์โดผู้เป็นพ่อของเวอร์น่อน เขาดำรงตำแหน่งมหาอุปราชทิศตะวันตกของอาณาจักรนอร์ ตำแหน่งนี้เป็นตำแหน่งเก่าซึ่งภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็นสามผู้ปกครองอาณาจักรนอร์ เปรียบจากตัวบทกฎหมายเห็นว่ามีอำนาจเทียบเท่ากันทุกประการ เขาเสนอให้ทำสงครามแย่งชิงรัฐปกครองอิสระเจนีสมาเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรนอร์ ด้วยอำนาจและนโยบายขยายอาณาจักรของเวนที่โดดเด่นที่สุดในขณะนั้น ทำให้บรรดาสมาชิกสภาปกครองต่างก็เห็นชอบตามเวนเป็นจำนวนมาก รัฐเจนีสจึงตกอยู่ในอันตรายภายในเวลาเพียงชั่วข้ามคืน

                    พอถึงวันรุ่งขึ้นสงครามก็เริ่มต้น เป็นที่แน่นอนว่ารัฐเจนีสซึ่งเป็นรัฐขนาดเล็กย่อมไม่สามารถต่อต้านใดๆกับอาณาจักรนอร์ที่มีทหารเก่งกาจ กองทัพม้านับหมื่นและกองทัพมังกรบินนับร้อยได้ รัฐปกครองอิสระเจนีสมีทางเลือกเพียงสองหนทางคือหนึ่งยอมแพ้และยอมรับว่าเป็นส่วนหนึ่งภายใต้การปกครองของอาณาจักรนอร์ หรือสองขอความช่วยเหลือจากพันธมิตรและทำสงครามกับอาณาจักรนอร์ กษัตริย์กาเรียแห่งเจนีสผู้สืบเชื้อสายราชวงศ์โดยตรงจากผู้กล้าอาเรสทรงไม่สามารถตัดสินพระทัยได้ พระองค์ทรงเบิกขุนนางชั้นสูงที่ดำรงตำแหน่งที่ปรึกษาลาวิชมาเข้าเฝ้า

    ลาวิชเป็นทั้งที่ปรึกษาของกษัตริย์กาเรียและเอกอัคราชทูตของเจนีสในสมัยนั้น เขาเป็นผู้ที่มีการคบหากันอย่างกว้างขวางในระดับผู้นำประเทศ นับว่าเป็นนักการทูตที่มีน้ำหนักสูงมากคนหนึ่ง เขากราบทูลต่อกษัตริย์กาเรียอาสาเป็นทูตเจรจาไปขอความช่วยเหลือจากอาณาจักรลาเวนดิสทางทิศใต้และนครมิสต์ทางทิศตะวันออกเพื่อที่จะต้านรับทัพใหญ่ของเวน กษัตริย์กาเรียพระราชทานป้ายอาญาสิทธิ์ให้กับลาวิชเพื่อนำไปใช้ในการเจรจา บุคคลที่ได้รับพระราชาทานป้ายนี้เปรียบเสมือนตัวแทนของพระองค์เอง ครั้งนั้นลาวิชเดินทางไปโน้มน้าวทั้งราชินีแห่งลาเวนดิสและคณะผู้ปกครองของมิสต์ได้สำเร็จ รัฐทั้งสามจับมือเป็นพันธมิตรสามฝ่ายต่อต้านกับกองทัพอันเกรียงไกรของอาณาจักรนอร์ โดยมีข้อกำหนดแลกเปลี่ยนว่าลาเวนดิสและมิสต์สามารถใช้งานเหมืองแร่เอลไลท์เหมืองหนึ่งจากสามเหมืองที่ขุดพบในเจนีสเป็นเวลายี่สิบปี ผลการเจรจาทำให้กษัตริย์กาเรียทรงพอพระทัยเป็นอย่างยิ่งและทรงนำทัพออกศึกต่อต้านกองทัพของอาณาจักรนอร์ด้วยตนเอง

    กองทัพของอาณาจักรนอร์มีจำนวนเกือบสองแสนคนบุกลงใต้มาทางเมืองเจนีสฝั่งเหนือของแม่น้ำ ในปัจจุบันเรียกว่าเมืองเจนีสเหนือ กษัตริย์กาเรียทรงนำทหารชาวเจนีสจำนวนห้าหมื่นเศษป้องกันเมืองอย่างเข้มแข็ง เอลมาสเตอร์คาเทจหัวหน้าคณะปกครองของมิสต์และผู้สำเร็จราชการทหารสั่งการให้ทหารห้าหมื่นบุกไปสมทบที่เมืองเจนีสเหนือโดยตีกระหนาบกองทัพของอาณาจักรนอร์จากทางทิศตะวันออก ส่วนองค์ราชินีมากาเร็ตแห่งลาเวนดิสสั่งให้ผู้บัญชาการทหารนำกองทัพจำนวนหนึ่งแสนนายแบ่งออกเป็นสองกอง กองหนึ่งมาป้องกันนครเจนีสใต้ อีกกองหนึ่งช่วยคลายวงล้อมให้กับเจนีสเหนือ

    ตัวข้าเอง แมกซ์พ่อของลูทและดาธอาจารย์ของพวกเจ้าได้เข้าร่วมในการต่อสู้ครั้งนี้ โดยเป็นหน่วยรบพิเศษจากนครมิสต์"

    พอฟังถึงจุดนี้ทั้งบลู ลูทและโรสต่างก็ตาเป็นประกาย พวกเขาไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าบุคคลใกล้ชิดของเขาเป็นหน่วยรบพิเศษจากนครมิสต์

    กอร์ดอนเล่าต่อไปว่า "พวกเราได้ผ่านศึกใหญ่น้อยหลายหลายครั้งหลายหนจนในที่สุดก็คลายวงล้อมให้กับเจนีสเหนือเป็นผลสำเร็จ ขับไล่กองทัพของอาณาจักรนอร์กลับถิ่นฐานไปในที่สุด

    จากการพ่ายแพ้ในครั้งนั้น เวอร์น่อนผู้เป็นลูกชายของเวนได้รับการแต่งตั้งเป็นแม่ทัพดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการอัศวินดำแทนแม่ทัพคนก่อน ราวสามเดือนต่อมาอาณาจักรนอร์รวบรวมกองทัพใหม่จำนวนสองแสนห้าหมื่นนายให้เวอร์น่อนนำอัศวินดำทั้งเก้าคนบุกเข้ามาตีเมืองเจนีสเหนืออีกครั้ง การต่อสู้ในครั้งนี้ดุเดือดกว่าครั้งก่อน การบุกตีเมืองดำเนินไปอย่างยืดเยื้อและยาวนาน ทหารหลายหมื่นชีวิตจบสิ้นไปกับสงครามครั้งนี้

    เป็นเวลาเกือบหนึ่งปีการต่อสู้มีท่าทีจะดำเนินไปอย่างไม่มีที่สิ้นสุด จนกระทั่งวันหนึ่งเวอร์น่อนยกกองกำลังบุกโหมกระหน่ำยิ่งกว่าครั้งใด กษัตริย์กาเรียแห่งเจนีสทรงนำทัพออกต้านจนสิ้นพระชนม์ในสมรภูมิ เมืองเจนีสเหนือที่กำลังใจตกต่ำเมื่อขาดผู้น้ำก็แตกพ่ายในที่สุด พวกข้ารับหน้าที่คุ้มกันประชากรออกจากเจนีสเหนือเพื่อที่จะลี้ภัยสงครามไปยังเจนีสใต้ ลูกชายของกษัตริย์กาเรียที่ยังเล็กอยู่กลับสูญหายไปในการหลบหนีครั้งนั้น เจนีสเหนือตกเป็นเมืองของอาณาจักรนอร์นับแต่นั้นมา

    สงครามสงบลงเป็นระยะเวลาสั้นๆ เพียงสิบวันให้หลังก็เกิดสงครามข้ามแม่น้ำเจนีสกันไม่เว้นแต่ละวัน ฝั่งกองทัพพันธมิตรซึ่งนำโดยการาดอสพระอนุชาของกษัตริย์กาเรียหมายจะตียึดเจนีสเหนือคืนกลับให้จงได้ ส่วนทางฝ่ายนอร์ซึ่งนำโดยเวอร์น่อนก็หมายจะยึดเจนีสใต้ให้ได้เช่นกัน การต่อสู้ยืดเยื้อต่อไปอีกเดือนเศษจวบจนกระทั่งเวนซึ่งทำหน้าที่เป็นมหาอุปราชฝั่งตะวันตกในสมัยนั้นเสียชีวิต ทางการนอร์ปิดข่าวว่าเวนป่วยตายอย่างกะทันหันแต่ความจริงแล้วเป็นเพราะถูกลอบสังหาร มหาอุปราชฝั่งตะวันตกคนใหม่ซีริลจึงขึ้นมาครองอำนาจทดแทนเวนที่เสียชีวิตไป

    นโยบายของซีริลต่างจากเวนจากหน้ามือเป็นหลังมือ เขาเน้นไปทางสันติวิธีมุ่งพัฒนาอาณาจักรจากภายใน จึงมีการเจรจาสงบศึกกันระหว่างทั้งสองฝ่ายคือนอร์และกลุ่มพันธมิตร ผลการเจรจาสิ้นสุดลงที่การแบ่งเจนีสออกเป็นสองฝั่งคือเหนือและใต้โดยใช้แม่น้ำเจนีสเป็นเส้นแบ่งเขตแดน เจนีสฝั่งเหนืออยู่ภายใต้การปกครองของอาณาจักรนอร์และเจนีสฝั่งใต้จะได้รับการคุ้มครองเป็นส่วนหนึ่งของอาณาจักรลาเวนดิส นับตั้งแต่นั้นมารัฐปกครองอิสระเจนีสก็ถูกลบชื่อไปจากแผ่นดิน"

    โรสพึ่งเคยรับรู้ประวัติศาสตร์เช่นนี้ เกิดความสงสัยจึงถามว่า "ลุงกอร์ดอน แล้วพวกชาวเมืองเจนีสที่หลงเหลือมีความเป็นอยู่อย่างไร"

    กอร์ดอนตอบว่า "ทหารเจนีสและเชื้อพระวงศ์ที่รอดชีวิตจากศึกที่เจนีสเหนือนำกำลังมาซ่องสุมอยู่ที่เจนีสใต้เป็นเวลากว่ายี่สิบห้าปี นำโดยการาดอสผู้เป็นพระอนุชาของกษัตริย์กาเรียเมื่อกาลก่อน พวกเขายังคงดำเนินการสานต่ออุดมการณ์รวมประเทศให้เป็นหนึ่งอีกครั้ง นี่คงเป็นที่มาของกลุ่มประสานเจนีสซึ่งเนสเพื่อนของเจ้าเป็นสมาชิกอยู่"

                    บลูรับฟังอย่างตั้งอกตั้งใจ กล่าวว่า "ด้วยเหตุนี้เองจึงทำให้ท่านหัวหน้าหมู่บ้านคาดว่า เวอร์น่อนต้องไม่หยุดอยู่กับการแยกตัวเป็นอิสระเท่านั้น"

    กอร์ดอนพยักหน้าคราหนึ่งตอบว่า "ใช่ เวอร์น่อนเป็นคนเช่นนั้น ข้าเองรู้จักเขาดีเสียกว่ารู้จักตัวเองเสียอีก ในสนามรบถ้าหากเจ้าไม่รู้จักศัตรูดีกว่าตัวเจ้าเองแล้ว ชีวิตของเจ้าก็เหมือนกับแขวนอยู่บนเส้นด้าย รอให้คนมาปลิดลงไปทุกเมื่อ"

    ลูทกลับโพล่งออกมาด้วยความประหลาดใจว่า "พ่อของข้านี่นะหรือ ที่เป็นหนึ่งในสมาชิกของหน่วยรบพิเศษที่ต่อกรกับอัศวินดำทั้งเก้า ข้าไม่อยากจะเชื่อเลย ตั้งแต่เกิดมาไม่เห็นพ่อเคยพูดถึงเลยสักครั้ง"

    กอร์ดอนกล่าวตอบว่า "ไม่เพียงแต่พ่อของเจ้า แม่ของเจ้าจูเลียก็เป็นส่วนหนึ่งเช่นกัน แต่ไม่มีผู้ใดอยากจะนึกถึงความหลังอันโหดร้ายนั่นอีกแมกซ์เองที่เสียจูเลียไปคงไม่อยากเอ่ยปากเล่าให้เจ้าฟัง"

    ลูทถึงกับนิ่งไปกับคำตอบของกอร์ดอน เขาไม่นึกเลยว่าทั้งบิดามารดาผู้ให้กำเนิดเขาจะเป็นนักรบชั้นยอดมาก่อน

    บลูฟังดังนั้นจึงผุดลุกขึ้น กล่าวว่า "ถ้าเป็นเช่นนั้นข่าวสารนี้คงต้องสำคัญมาก ข้าควรจะไปส่งข่าวให้กับเพื่อนที่เจนีสใต้แต่เนิ่นๆ"

    หมอวีเพิ่งจะเอ่ยปากเป็นครั้งแรก กล่าวว่า "ใจเย็นไว้ก่อนบลู เจ้ายังไม่แข็งแรงพอ ร่างกายของเจ้าพึ่งจะย่อยสลายหญ้าสะท้อนจันทร์ลงไปจึงต้องใช้เวลาอย่างน้อยอีกหนึ่งวันในการดูดซับ ก่อนที่จะดูดซับพลังของหญ้าสะท้อนจันทร์ได้ทั้งหมดจะเป็นช่วงเวลาที่เจ้าไม่ควรจะใช้เอลใดๆทั้งสิ้น มิฉะนั้นจะทำให้ผลของหญ้าสะท้อนจันทร์ที่ทั้งลูทและโรสเสี่ยงอันตรายไปหามาให้ด้อยค่าลงไป อีกอย่างถ้าท่านหัวหน้าหมู่บ้านสามารถวิเคราะห์เรื่องราวเหล่านี้ได้ ทำไมผู้บัญชาการกองกำลังประสานเจนีสอย่างการาดอสจะคาดเดาไม่ได้ เขาเป็นทั้งแม่ทัพเก่าที่ต่อสู้ในสงครามครั้งก่อนและเป็นถึงพระอนุชาของกษัตริย์ในครั้งนั้น ทอดตาทั้งแผ่นดินคงจะไม่มีบุคคลใดกล้าบอกว่ารู้จักเวอร์น่อนดีเท่าการาดอสอีก เวอร์น่อนคิดอะไรก็คงไม่รอดพ้นไปจากหูตาของการาดอสเป็นแน่แท้"

    หมอวีหยุดเล่าพักหนึ่งเพื่อให้บลูได้ใช้ความคิดจากนั้นจึงบรรยายถึงเรื่องเอลภายในและหญ้าสะท้อนจันทร์ที่ตรวจสอบได้ให้บลูรับรู้ การบรรยายเช่นนี้เป็นการแยกแยะผลได้ผลเสียให้รับรู้โดยถ่องแท้ เป็นการโน้มน้าวในทางอ้อมที่ได้ผลดีที่สุดสำหรับบุคคลที่ใช้ปัญญาตัดสินเหตุการณ์

    หมอวีอธิบายว่า "เจ้ารู้หรือไม่ว่าแหล่งกำเนิดเอลภายในของเจ้ามีอยู่ถึงสี่แห่ง ตัวเจ้าเองสามารถทำให้แหล่งกำเนิดเอลสองแห่งทำงานพร้อมกันได้ก็ถือว่าพิเศษกว่าคนอื่นๆแล้ว แต่ผลของหญ้าสะท้อนจันทร์สามารถทำให้ได้มากกว่านั้น ข้าไม่ทราบว่าเจ้าไปฝึกวิชาอะไรมาแต่เป็นที่แน่นอนว่าอาจารย์ของเจ้าจะต้องกระตุ้นแหล่งกำเนิดเอลแห่งที่สองของเจ้าให้ทำงานเสริมกับแหล่งกำเนิดเอลแห่งแรก หญ้าสะท้อนจันทร์มีคุณสมบัติในการชักนำพลังที่ถูกปิดกั้นให้เปิดออกมา เจ้าจะต้องฝึกดั่งเช่นที่เจ้าเคยฝึกเมื่อคราวเปิดประตูแหล่งกำเนิดเอลแห่งที่สอง ข้าผู้เป็นแพทย์แนะนำได้เพียงเท่านี้ ส่วนที่เหลือก็ขึ้นอยู่กับวาสนาและความความสามารถของเจ้าว่าจะไขประตูที่สามออกได้อย่างไร"

    บลูรับฟังเหตุผลของท่านหมอวีคิดไตร่ตรองทั้งผลได้และผลเสียอย่างละเอียดถี่ถ้วนนับว่าสอดคล้องกับสิ่งที่อาจารย์ดาธพร่ำสอน เขาจึงพยักหน้ากล่าวรับคำคราหนึ่ง เขาตัดสินใจพักผ่อนอีกหนึ่งวันจนสามารถเปิดประตูเอลบานที่สามได้แล้วถึงจะจากไป

    เมื่อการประชุมสิ้นสุดลงลูทชวนบลูและโรสออกมาเดินเล่นที่ลานบ่อน้ำหน้าตึก ส่วนบีทขอตัวแยกออกไปเรียนวิชาแพทย์กับท่านหมอวีต่อ

    ทั้งสามเดินออกมาจนถึงบ่อน้ำ นั่งลงที่เก้าอี้ยาวสี่ตัวที่วางเรียงรายรอบบ่อน้ำทั้งสี่ทิศ บ่อน้ำนี้จุดประสงค์หลักมิได้มีเพื่อตักน้ำขึ้นมาใช้ แต่เป็นสถานที่ตกแต่งเพิ่มความสวยงามให้กับตึกหัวหน้าหมู่บ้านด้านหลัง ชาวบ้านในหมู่บ้านสามารถใช้น้ำจากคลองส่งน้ำที่ล้อมรอบหมู่บ้านราวกับเกาะแห่งหนึ่ง

    โรสหันไปถามกับบลูว่า "เจ้าก็เป็นศิษย์ของอาจารย์ดาธเช่นเดียวกันหรือ"

    บลูยกข้อมือขวาขึ้นมาให้โรสดู ที่ด้านล่างของข้อมือมีตราสัญลักษณ์พระอาทิตย์ห้อยอยู่ ลักษณะของตราสัญลักษณ์เหมือนกันทุกประการกับที่เข็มขัดของลูทและที่คอของโรส ตราสัญลักษณ์ของคนทั้งสามเพียงมีส่วนเดียวที่ต่างกันคือตัวอักษรยึกยือตรงกลางซึ่งไม่มีคนใดในพวกเขาที่อ่านมันออก

    บลูรำลึกย้อนไปยังความหลังที่ผ่านมาแล้วกล่าวว่า "ช่วงแรกที่ท่านอาจารย์ฝึกข้านั้น ท่านให้ข้าฝึกแต่การกระตุ้นเอลภายในให้ต่อเนื่องซึ่งเป็นหลักการฝึกขั้นตอนก่อกำเนิดเอล ข้าเองก็ไม่ทราบว่าจะต้องเรียนเคล็ดก่อกำเนิดอะไรมากมายปานนั้น ทั้งๆที่ข้าก็สามารถทำได้อยู่แล้วแต่อาจารย์ก็ยังยัดเยียดให้ข้าฝึกอยู่ตลอดเวลา พอข้าจะขอให้ท่านสอนวิธีร่ายเอลใหม่ๆท่านก็ไม่เคยสอนข้าเลยรังแต่จะให้ข้าฝึกเคล็ดนี้ มีอยู่ช่วงหนึ่งข้าถึงกับรู้สึกไม่ค่อยจะนับถืออาจารย์คนนี้สักเท่าไร แต่แล้วพอเห็นวิชาของอาจารย์ที่ท่านแสดงให้ดูข้าก็ถึงกับทึ่งในความสามารถยอมรับในความเก่งกาจของท่าน จึงก้มหน้าก้มตาฝึกต่อไปเผื่อจะได้ผลอะไรที่คาดไม่ถึง"

    โรสถามว่า "แล้วภายหลังเป็นอย่างไร"

    บลูเล่าต่อไปว่า "ต่อจากนั้นอีกสามเดือนเมื่อข้าเปิดประตูเอลก่อกำเนิดบานที่สองสำเร็จข้าถึงได้เข้าใจในสิ่งที่อาจารย์พร่ำสอน ข้ารู้สึกได้ถึงเอลที่เพิ่มขึ้นไหลเวียนในร่างกายเป็นผลให้ความสามารถในการใช้เอลของข้าก็รุดหน้าขึ้นราวติดปีก หลังจากนั้นอาจารย์ถึงจะเริ่มสอนการร่ายเอลชนิดอื่นให้กับข้า จนบัดนี้เมื่อมาได้ยินท่านหมอวีกล่าวอีกครั้งว่าข้ายังเหลือประตูก่อกำเนิดเอลอีกสองบานซึ่งยังปิดอยู่ ข้าถึงได้เข้าใจว่าท่านอาจารย์ช่างเป็นอัจฉริยะในการสอนอย่างแท้จริง"

    พอบลูกล่าวจบก็ขอบคุณทั้งสองเป็นการใหญ่ที่ช่วยชีวิตเขาไว้อีกครั้ง อีกทั้งยังมีส่วนช่วยให้เขาพัฒนาตัวเองขึ้นไปอีกระดับหนึ่ง

    ลูทเดินไปโอบไหล่บลูกล่าวว่า "ถึงแม้ข้ากับเจ้าจะไม่ได้เกิดคลานตามกันมาก็มีความรู้สึกกับเจ้าเสมือนเป็นพี่น้องท้องเดียวกันกัน ถ้าหากข้าไม่ช่วยพี่น้องของข้าแล้วจะช่วยผู้ใด"

    โรสได้ยินบลูขอบคุณก็กล่าวว่า "ท่านอาจารย์ดาธมีบุญคุณกับข้ามากเช่นกัน เอลที่ท่านสอนข้าได้ช่วยชีวิตคนในหมู่บ้านมานับครั้งไม่ถ้วน เมื่อเจ้าทั้งสองเป็นศิษย์ของท่านอาจารย์ข้าก็ย่อมต้องช่วยเหลืออย่างสุดความสามารถ" โรสหยุดพักหนึ่งจึงถามว่า "แล้วเจ้าทราบไหมว่ามีศิษย์ของอาจารย์อีกกี่คน"

    บลูกล่าวตอบว่า "สามปีก่อนช่วงที่ท่านอาจารย์ดาธรับข้ากับลูทเป็นศิษย์อยู่หกเดือน ท่านบอกว่าพวกเรามีศิษย์ร่วมสำนักอยู่อีกสองคน หนึ่งในนั้นคงเป็นเจ้าแต่อีกคนหนึ่งนั้นข้าก็ไม่ทราบแน่ชัด ก่อนที่ท่านอาจารย์จะจากไปท่านฝากเครื่องหมายรูปดวงอาทิตย์นี้ไว้ให้กับพวกเราสั่งให้พกติดตัวอยู่ตลอดเวลา ถึงข้ากับลูทจะไม่รู้ว่ามันเป็นเครื่องหมายอะไรแต่ก็พกติดตัวไว้อยู่เสมอเพื่อแสดงความรำลึกถึงอาจารย์ตลอดมา"

    โรสกล่าวว่า "ข้าเองก็เช่นกัน อาจารย์มิได้อธิบายความหมายของตราสัญลักษณ์ดวงอาทิตย์ให้กับพวกเจ้าเลยหรือ"

    บลูส่ายหน้าพลางกล่าวว่า "ไม่เลย ที่ข้าสงสัยก็คงจะเป็นตัวอักษรตรงกลางตราสัญลักษณ์ ดูเหมือนมันจะมีความหมายอะไรบางอย่าง"

    โรสกล่าวว่า "ข้าเองก็ไม่ทราบ ข้าเคยลองนำตราสัญลักษณ์นี้ไปให้ทั้งลุงกอร์ดอนและท่านหมอวีช่วยตีความ แต่ทั้งสองก็ไม่ทราบเหมือนกัน"

    ลูทพอนึกอะไรขึ้นได้จึงถามว่า "โรสเจ้าเคยเห็นดอกไม้ชนิดนี้ไหม ข้าเห็นมันขึ้นแทนดอกไม้พิษแปลกดีจึงเก็บตัวอย่างมา" เขาล้วงมือลงไปในถุงสัมภาระหยิบดอกไม้สีขาวสดที่สองวันก่อนยังเป็นดอกไม้พิษในหุบเข้าไม้ดอกออกมาให้โรสดู

    โรสส่ายหน้ากล่าวว่า "ข้าไม่เคยเห็นดอกไม้ชนิดนี้มาก่อน ... อืม ... พวกเราลองไปถามลุงเซลดูก็ได้ เขาเป็นนักพฤกษศาสตร์ที่ศึกษาดอกไม้นานาพันธุ์"

    ลูทกล่าวว่า "อ๋อ คนที่เจ้าเคยบอกว่าร่วมทางกับเจ้าไปหุบเขาไม้ดอกครั้งก่อนใช่ไหม"

    โรสกล่าวตอบว่า "ใช่ เมื่อสิบปีก่อนเขาได้เข้ามายังหมู่บ้านนี้เพื่อนตั้งห้องวิจัยดอกไม้ที่หุบเขาไม้ดอก ตั้งแต่นั้นมาเขาก็ไม่ได้ไปจากที่นี่อีกเลย ข้าคิดว่าเขาอาจจะตั้งรกรากเป็นชาวหมู่บ้านเงาจันทร์ไปอีกคนหนึ่งแล้ว"

    โรสนำทางบุรุษหนุ่มทั้งสองไปยังบ้านไม้หลังหนึ่ง เมื่อนับจากทางเข้าหมู่บ้านเป็นบ้านที่สามทางฝั่งขวา ตัวบ้านทาสีเขียวสด ด้านนอกมีดอกไม้หลายสิบชนิดปลูกอยู่เต็มไปหมด แสดงให้เห็นว่าเจ้าของบ้านคงจะชอบต้นไม้มาก เมื่อโรสเคาะประตูก็มีชายวัยกลางคนรูปร่างอ้วนท้วนคนหนึ่งเดินมาเปิดประตูให้ เขาแต่งกายไม่เหมือนบัณฑิตหรือนักวิชาการใดๆแต่ดูเหมือนคนสวนเสียมากกว่า

    นักพฤกษศาสตร์เซลกล่าวว่า "ลมอะไรพัดหนูโรสมาถึงห้องวิจัยลุงได้"

    โรสยิ้มทีหนึ่งแล้วกล่าวเป็นเชิงล้อเล่นว่า "ลมบ้าหมูมั้งลุงเซล"

    เซลหัวเราะดังลั่น กล่าวว่า "จะลมบ้าหมูหรือพายุไต้ฝุ่นก็ตามที ในเมื่อเจ้ามาถึงห้องวิจัยของลุงก็เชิญเข้ามานั่งคุยกันก่อน"

    เมื่อพวกเขาก้าวเข้าไปข้างในบ้านสีเขียวหลังนั้น ลูทมองสำรวจไปรอบตัวเห็นโต๊ะเขียนหนังสือตัวหนึ่งวางอยู่กลางห้องซึ่งคาดว่าคงจะเป็นสถานที่ทำงานของเซล ผนังสี่ด้านนอกจากหน้าต่างแล้วที่เหลือเป็นชั้นวางหนังสือทั้งสิ้น ที่พื้นวางไว้ด้วยกระถางดอกไม้หลายสิบชนิดมีทั้งกระถางเปล่าและกระถางที่พึ่งจะปลูกใหม่จนแทบไม่มีที่ยืน ในบรรดาดอกไม้ทั้งหมดมีอยู่เกินครึ่งที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน

    โรสกล่าวอย่างยิ้มแย้มว่า "เพื่อนของโรสสองคนนี้พบเห็นดอกไม้ประหลาดที่หุบเขาไม้ดอก จึงสงสัยอยากจะให้ท่านลุงช่วยตรวจสอบดูดอกไม้ชนิดนี้สักครั้ง"

    เมื่อลูทหยิบดอกไม้ของเขาขึ้นมาวางไว้บนโต๊ะ เซลถึงกับตาเป็นประกาย ตื่นเต้นราวกับไม่เคยเห็นดอกไม้ชนิดนี้มาก่อนในชีวิตหรือถูกรางวัลชั้นที่หนึ่งในบ่อนพนันก็ไม่ปาน เซลหยิบดอกไม้ดอกนั้นขึ้นมาพิเคราะห์ด้วยความระมัดระวัง สายตาของเขาตรวจสอบไปทุกส่วนตั้งแต่กลีบเกสรจนถึงกิ่งก้านของมัน กิ่งของมันมีหนามแหลม กลีบสีขาวของมันซ้อนกันเป็นชั้นบานสวยงามเสมือนบุปผาไร้ตำหนิ

    เซลอ้าปากตาค้างเมื่อพิจารณาดอกไม้ดอกนั้นอย่างถี่ถ้วนกล่าวว่า "นี่มันดอกกุหลาบ ดอกไม้ชนิดนี้สูญพันธุ์ไปเมื่อพันปีก่อน"

    "ว่ากระไร" คนทั้งสามอุทานพร้อมกันด้วยความประหลาดใจ

    เซลจึงถามสืบต่อว่า "พวกเจ้าเคยศึกษาเกี่ยวกับประวัติศาสตร์มาบ้างหรือไม่"

    บุคคลทั้งสามชายสองหญิงหนึ่งล้วนส่ายหน้าพร้อมกันว่าไม่มีความรู้ทางด้านนี้มาก่อน

    เซลกล่าวว่าก็ได้เขาจะเล่าให้อย่างคร่าวๆ "เมื่อเกือบพันปีก่อน โลกของเราเกิดภัยพิบัติครั้งใหญ่ซึ่งรายละเอียดไม่ทราบแน่ชัด ทำให้อารยธรรมของบรรพบุรุษเราสูญหายไปเกือบหมดสิ้น ในระหว่างนั้นผู้กอบกู้คนหนึ่งก็ปรากฏกายขึ้นท่านเป็นนักวิชาการชื่อว่าเอล ท่านได้ค้นพบวิธีการใช้แร่เอลไลท์สร้างเป็นเกราะคุ้มกันเมืองเอาไว้จึงทำให้มีมนุษย์รอดพ้นจากการสูญสิ้น จนมีชีวิตรอดอยู่ในโลกมาจนถึงทุกวันนี้"

    พอเล่าถึงตรงนี้บลูจึงถามว่า "นั่นไม่ใช่ตำนานการกำเนิดเอลหรอกหรือ"

    เซลกล่าวว่า "นั่นเป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ที่แท้จริง ศาสตร์แห่งเอลก็กำเนิดมาจากผู้กอบกู้ จนคนรุ่นหลังนำชื่อของท่านมาใช้เรียกศาสตร์แขนงนี้ เมืองที่ท่านปกป้องจากมหาวินาศภัยครั้งนั้นได้ถูกตั้งชื่อว่าเมืองเอลลี่ตามชื่อของผู้กอบกู้ ปัจจุบันเมืองนี้เป็นซากปรักหักพังซากหนึ่งในเขตทางตะวันออกของนครมิสต์ ถ้าพวกเจ้าอยากจะทราบรายละเอียดขอให้ไปยังนครมิสต์ ที่นั่นพี่ชายของข้าผู้เป็นศาสตราจารย์ทางด้านประวัติศาสตร์นามว่าซาร์สามารถเล่ารายละเอียดทั้งหมดให้พวกเจ้ารับรู้"

    บลูกล่าวว่า "หรือว่าดอกไม้นั่นเป็นดอกไม้ในสมัยผู้กอบกู้"

    เซลกล่าวสืบต่อว่า "ถูกต้อง ดอกกุหลาบพวกนี้ได้สูญพันธุ์ไปพร้อมกับมหาวินาศภัยในครานั้น เจ้ารู้หรือไม่ว่าดอกไม้นี้พิเศษเพียงใด ในบันทึกของบุคคลที่อยู่ในเมืองเอลลี่มีเรื่องราวบันทึกเอาไว้ว่า กุหลาบถือเป็นเครื่องหมายแห่งความรักที่ชายหนุ่มหญิงสาวทั้งสองมอบให้แก่กันเพื่อแสดงออกถึงความรัก ส่วนใหญ่ชายหนุ่มจะมอบดอกกุหลาบให้แก่หญิงสาวเมื่อเขาหลงรักหญิงสาวผู้นั้นโดยแต่ละสีก็มีความหมายแตกต่างกันออกไป นี่เรียกว่าภาษากุหลาบ ดอกกุหลาบสีขาวที่พวกเจ้าถืออยู่นี้เป็นสิ่งที่แสดงถึงความรักที่ใสบริสุทธิ์ไม่มีสิ่งใดเจือปน"

    ลูทถามอย่างเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งว่า "จะบอกว่าดอกกุหลาบนั้นอยู่ในโลกใบนี้เมื่อพันปีก่อนหรือนี่ ... แล้วกุหลาบก็เป็นภาษาชนิดหนึ่งด้วย"

    โรซาไลน์นึกในใจว่าหากมีชายหนุ่มคนหนึ่งมอบดอกกุหลาบสื่อแทนภาษารักให้เธอคงจะปลื้มไม่น้อย

    เซลกล่าวต่อไปว่า "พวกเจ้าคอยดูสิ่งนี้ละกัน มันเป็นรูปวาดที่ตกทอดกันมาจากโบราณสถานหมู่บ้านเอลลี่ ข้านำออกมาไม่ได้ให้จิตรกรคนหนึ่งวาดรูปเหล่านี้ออกมา"

    เซลหยิบภาพขึ้นมาสองรูปขนาดกว้างยาวราวหนึ่งฟุตให้ทั้งสามดู ภาพแรกเป็นภาพของดอกกุหลาบซึ่งมีรูปร่างหน้าตาเหมือนกับดอกไม้ที่ลูทเด็ดมาไม่มีผิดเพี้ยน เพียงแต่สีของมันเป็นสีส้มสดต่างจากดอกกุหลาบสีขาวในมือของเซล ทั้งสามเห็นดังนั้นจึงอุทานออกมาดังอา มีสีหน้าตื่นเต้นประหลาดใจยิ่งนัก

    เซลกล่าวบรรยายว่า "ภาพนี้พบในบ้านหลังหนึ่งที่เมืองเอลลี่ มันถูกแขวนเอาไว้บนผนังบ้านเป็นรูปดอกกุหลาบสีส้ม กุหลาบสีส้มมีความหมายว่าความหลงใหล หลงใหลในความรัก"

    ภาพที่สองยิ่งแปลกประหลาดไปใหญ่ เป็นภาพของเครื่องจักรขนาดยักษ์ลอยอยู่กลางท้องฟ้าโดยที่คนในภาพมีขนาดเล็กเพียงนิดเดียว ด้านข้างล่างมีตัวหนังสือเขียนระบุว่าปารีส เซลอธิบายว่า "ภาพนี้เป็นหนึ่งในวิทยาการล้ำสมัยในยุคก่อน ในตำรากล่าวว่าเครื่องจักรเครื่องนี้เรียกว่าเครื่องบินสามารถบรรทุกคนขึ้นไปบนฟ้าได้หลายร้อยคน บินอยู่กลางเวหาเสมือนวิหคตัวหนึ่ง มีความเร็วสูงมากขนาดที่ว่าบินจากตำแหน่งที่ห่างกันพันกิโลเมตรได้ภายในระยะเวลาชั่วโมงเดียว พวกเจ้าเห็นตัวอักษรที่เขียนว่าปารีสนี้ใช่ไหม มันเป็นชื่อของเมืองที่เคยมีความเจริญสูงที่สุดเมืองหนึ่งมีคนอาศัยอยู่หลายล้านคนในอดีต แต่ในปัจจุบันแผ่นดินแถบนั้นได้จมลงใต้ท้องทะเลไปกว่าครึ่ง โลกในยุคนี้กับยุคนั้นแตกต่างกันทางด้านภูมิศาสตร์อย่างสิ้นเชิง"

    ลูทรับภาพมามองดู เลือดลมภายในตัวของเขาที่เปี่ยมด้วยสายเลือดของนักประดิษฐ์ร้อนระอุคุกรุ่นไปหมด เขาไม่เคยเห็นสิ่งประดิษฐ์ใดๆที่ยิ่งใหญ่ขนาดนี้มาก่อน "เครื่องบิน" ในภาพถูกเขาจำจนขึ้นใจ เขานึกขึ้นในใจว่าเขาจะต้องเป็นคนแรกในยุคนี้ที่สามารถบินได้ด้วยสิ่งประดิษฐ์ของเขาเอง

    ทั้งบลูและโรสต่างก็ตะลึงงันไปกับภาพที่ได้เห็นและความรู้ที่ได้รับ ทั้งสองได้เปิดหูเปิดตากับความรู้ใหม่ๆที่เซลเล่าให้ฟัง พยายามจินตนการว่านกเหล็กนี้จะบินได้อย่างไรก็ไม่สามารถจินตนาการได้ถูก ทำให้ทั้งสองเกิดความรู้สึกขึ้นว่ามนุษย์บนโลกใบนี้ยิ่งใหญ่นัก คนในสมัยโบราณสามารถสร้างสิ่งประดิษฐ์ที่พวกเขาไม่คิดไม่ฝันมาก่อนว่าจะทำได้

    เซลเห็นคนหนุ่มสาวทั้งสามจมอยู่ในภวังค์ความคิดจึงถามขึ้นว่า "แล้วดอกไม้นี่เจ้าไปเด็ดมาจากส่วนใดของหุบเขาไม้ดอก ปกติข้าไปทุกเจ็ดวันจนระยะหลังนี่พบดอกไม้พิษจึงไม่ได้ไปอีกเลย"

    ลูทฟังดังนั้นจึงเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อสองคืนก่อนให้เซล บลูและโรสฟังไปพร้อมๆ กันทั้งหมด เขายังบอกเซลไปว่าต้นไม้ชนิดนี้นอกจากต้นที่ถูกสุนัขป่าขนดำกัดกินไปก็ยังเหลืออีกหนึ่งต้นที่มีสภาพสมบูรณ์

    เซลปิติยินดีเป็นอย่างยิ่งรีบกล่าวคำอำลาขอตัวไปสำรวจหุบเขาไม้ดอกในบัดดล เขาบอกพวกลูทว่าจะเป็นคนที่เพาะพันธุ์ดอกไม้โบราณชนิดนี้ขึ้นมาอีกครั้ง ก่อนที่จะจากไปเขานำดอกกุหลาบสีขาวนั้นเสียบลงไปในแจกันที่หล่อเลี้ยงด้วยของเหลวอันเป็นสารอาหารที่ปรุงขึ้นมาเป็นพิเศษ ส่วนฐานของแจกันเจาะเป็นช่องเล็กๆใส่แร่เอลไลท์เอาไว้ข้างในพร้อมกับปิดปากแจกันด้านบนด้วยฝายาง ทายางกันน้ำบุรอบข้างฝากั้นของเหลวไม่ให้ไหลออกมาจากแจกัน

    เซลมอบดอกกุหลาบพร้อมแจกันให้แก่ลูทกล่าวว่า "ดอกไม้นี้ยังสามารถอยู่ต่อไปได้อีกเป็นเวลาหลายเดือน ข้าใช้เวลาคิดค้นแจกันชนิดนี้ในฐานะนักพฤกษศาสตร์มากว่าสิบปี ส่วนประกอบของมันมีคุณสมบัติช่วยรักษาสภาพของดอกไม้ทุกชนิดที่ปักลงไปให้สมบูรณ์ดังเดิม แร่ธาตุที่จ่ายออกมาจากการทำปฏิกิริยากันระหว่างแร่เอลไลท์กับของเหลวในแจกันจะเป็นตัวแทนสารอาหารหล่อเลี้ยงดอกไม้ดั่งเช่นลำต้นของมัน แจกันนี้ไม่กลัวการพลิกคว่ำใดๆเพราะว่าข้าปิดเอาไว้ด้วยยางชนิดพิเศษกั้นของเหลวด้านในไม่ให้ไหลออก กั้นอากาศด้านนอกไม่ให้ไหลเข้า ข้าขอมอบให้เจ้าเป็นการตอบแทนกับข่าวสารการค้นพบดอกกุหลาบอันล้ำค่านี้"

    พอออกจากห้องวิจัยของเซลทั้งสามก็เดินทอดน่องตามถนนมาเรื่อยๆ จนถึงสวนแห่งหนึ่งค่อยหยุดสนทนากันอีกเที่ยวหนึ่ง

    โรสกล่าวขึ้นเป็นคนแรกว่า "ไม่น่าเชื่อเลยนะ เมื่อพันปีก่อนมนุษย์สามารถทำอะไรยิ่งใหญ่ขนาดนั้น ถ้าพวกเราสามารถบินไปไหนมาไหนด้วยความเร็วขนาดนั้นได้ก็คงจะดี"

    ลูทตอบว่า "จริงอย่างที่โรสกล่าว สักวันหนึ่งข้าจะต้องสร้างสิ่งประดิษฐ์ที่มีชื่อเสียงขนาดนั้นให้ได้ว่าแต่จุดเคลื่อนย้ายของเอลที่เจ็ดก็สามารถเดินทางไปสถานที่ไกลๆ ได้ในระยะเวลาอันสั้นนี่"

    โรสกล่าวว่า "แต่ถ้าเรานั่งอยู่บนเครื่องบินอะไรนั่น เราจะไปจุดใดๆในโลกนี้ก็ได้ ไม่เหมือนกับจุดเคลื่อนย้ายซึ่งกำหนดตำแหน่งแน่นอนอยู่ก่อน แล้วบลูล่ะมีเป้าหมายอะไรในชีวิต"

    บลูตอบโดยไม่ลังเลว่า "ข้าอยากจะเป็นผู้หยั่งรู้ฟ้าดิน"

    โรสกล่าวสืบต่อ "ผู้หยั่งรู้ฟ้าดินอย่างนั้นหรือ นั่นเป็นระดับสูงสุดในบรรดาผู้ใช้เอลทั้งหมด เทียบเท่ากับเอลมาสเตอร์คาเทจหัวหน้าคณะผู้ปกครองนครมิสต์ใช่ไหม แล้วตอนนี้เจ้าฝึกเอลได้ระดับอะไรแล้ว"

    บลูตอบว่า "ข้าเป็นเพียงปราชญ์ชั้นกลางคนหนึ่ง ถึงแม้ว่าระดับความสามารถของข้าในตอนนี้ยังห่างไกลจากผู้หยั่งรู้นัก ข้าก็จะไม่ละทิ้งความพยายามพัฒนาตนเองไต่เต้าขึ้นไปจนถึงระดับผู้หยังรู้ฟ้าดินในที่สุด แต่ข้ายังมีเป้าหมายที่สำคัญก่อนที่จะไปถึงจุดนั้น ข้าอยากจะระงับสงครามที่กำลังจะเกิดขึ้นให้จงได้ ข้าทราบว่ามีหนทางนี้จะต้องฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆมากมาย แต่อีกนัยหนึ่งหนทางที่แสนลำบากก็เป็นการฝึกฝนตนเองให้ก้าวข้ามขอบเขตของเอลชั้นปัจจุบันไปสู่เอลระดับสูงยิ่งๆขึ้น สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือหนทางสายนี้ยังสอดคล้องกับที่ท่านอาจารย์ดาธสั่งสอนมาด้วย"

    ลูทหัวเราะดังๆขึ้นคราหนึ่ง กล่าวสนับสนุนว่า  "จริงอย่างที่พี่น้องข้าว่า ข้าจะช่วยเจ้าในระงับสงครามครั้งนี้ให้จงได้ การเดินทางครั้งนี้ช่วยเพิ่มพูนประสบการณ์ให้กับข้าเช่นกัน อย่างน้อยก็จะช่วยเสริมเติมความฝันที่จะสร้างยอดสิ่งประดิษฐ์และแต่งบทเพลงอมตะของข้าให้เข้าใกล้ความเป็นจริงมากยิ่งขึ้น อีกอย่างการเดินทางครั้งนี้ข้าอาจจะได้พบกับยอดศาสตราวุธในที่พ่อข้าเขียนบันทึกไว้ก็เป็นได้"

    ชายหนุ่มทั้งสองหันไปมองหน้าซึ่งกันและกัน ตบมือกันคราหนึ่งแล้วกำไว้เป็นสัญลักษณ์แห่งคำมั่นสัญญา

    ค่ำคืนนั้นเองโรซาไลน์พกพาจิตใจที่ไม่อยู่กับเนื้อกับตัวเข้าไปยังห้องนอน เพื่อนร่วมศิษย์อาจารย์เดียวกันกับเธอตั้งใจจะสานต่อปณิธานของอาจารย์ที่ประสิทธิ์ประสาทความรู้ให้ โดยการระงับสงครามที่กำลังจะเกิดขึ้นในไม่ช้า แต่ตัวเธอเองกลับไม่สามารถทำในสิ่งที่ใจตนเองต้องการได้ ถ้าขาดเธอไปหมู่บ้านนี้จะอยู่อย่างสงบได้อย่างไร สัตว์ร้ายในป่าทั้งหลายยิ่งนานเข้ายิ่งร้ายกาจขึ้นเรื่อยๆและผู้ใดจะเป็นคนปกป้องพวกเขา โรสกังวลอยู่สักพักจนในที่สุดก็ผล็อยหลับไป


    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×