ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ศาสตราคู่กู้แผ่นดิน

    ลำดับตอนที่ #71 : เล่ม 3 - ตอนที่ 32 - ตำนานกระบี่เกล็ดน้ำค้าง (2)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 880
      0
      22 พ.ย. 50

    ณ ตึกแห่งหนึ่งในสำนักข่าวพิราบรายวัน สิ่งก่อสร้างอันเป็นสถานที่พำนักของสตาร์ตั้งแต่อดีตจวบจนปัจจุบัน เว้นเสียแต่ว่าร่างที่อยู่ในตึกตอนนี้เป็นเพียงร่างไร้วิญญาณ
                    สำนักข่าวพิราบรายวันเปรียบเสมือนเมืองย่อมๆเมืองหนึ่งในอาณาบริเวณของเมืองออรอน ครอบคลุมพื้นที่ประมาณหนึ่งในสี่ของเมืองจนทางการต้องประกาศเป็นเขตปกครองพิเศษขึ้น พื้นที่ทั้งหมดภายในเขตนี้ล้วนอยู่ภายใต้การปกครองของตระกูลการ์เซียซึ่งนำโดยสตีเฟ่น โดยรัฐบาลส่วนกลางเมืองออรอนทำหน้าที่เก็บภาษีจากสำนักข่าวพิราบรายวันและดูแลความสงบเรียบร้อยเท่านั้น เรื่องอื่นๆทั้งหมดที่เกิดขึ้นภายในเขตสำนักข่าวพิราบรายวันทางการจะไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยว นับเป็นสิทธิพิเศษอย่างหนึ่งของพนักงานผู้พำนักอาศัยอยู่ภายในเขตนี้เมื่อสตีเฟ่น การ์เซียจัดการภาระภาษีและค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวกับรัฐทุกประการให้ทั้งสิ้น ไม่เคยบิดพลิ้วค่าตอบแทนรัฐแม้แต่เหรียญหนึ่ง ด้วยเหตุนี้ทางการเมืองออรอนจึงออกมาตรการพิเศษมอบอำนาจและสิทธิพิเศษหลายประการให้กับผู้คนในพื้นที่ของสำนักข่าวพิราบรายวัน เพื่อเป็นการผูกมิตรในระยะยาว นับว่าเป็นการเอื้อประโยชน์ให้กันและกัน ซึ่งเห็นได้อยู่บ่อยครั้งในวงการทำมาค้าขาย
                    สตีเฟ่นสั่งซื้อโลงศพที่พัฒนาจากเอลเทคมาโลงหนึ่ง ตราบใดที่มีก้อนเอลไลท์หล่อเลี้ยงอยู่ศพที่บรรจุลงไปในโลงนี้จะยังคงสภาพดีดังเดิมไม่เน่าเปื่อยตามกาลเวลา ส่วนราคานั้นย่อมต้องแพงตามไปด้วย แต่นั่นมิใช่ปัจจัยสำคัญเนื่องจากโลงใบนี้มีไว้สำหรับบรรจุร่างของสตาร์โดยเฉพาะ จากนั้นสตีเฟ่นได้สั่งปิดตึกนี้ให้เป็นสถานที่พักผ่อนตลอดกาลของสตาร์มิให้ใครเข้ามาอยู่อาศัยต่อ เขาอยากจะให้น้องชายผู้นี้หลับอย่างสงบอยู่ในบ้านแห่งเดิมโดยไม่มีผู้ใดรบกวน
                    หลังรับประทานอาหารทุกมื้อสตีเฟ่นจะต้องเดินมาเยี่ยมน้องชายเสมอ ไม่ว่าจะเป็นเวลาที่น้องชายเขามีชีวิตอยู่หรือจากไป นี่เป็นหนึ่งในพฤติกรรมที่เปลี่ยนไม่ได้ซึ่งทุกคนในสำนักข่าวพิราบรายวันล่วงรู้เป็นอย่างดี สตีเฟ่นทราบว่าการกระทำเช่นนี้อาจจะเป็นอันตรายต่อชีวิต
    ในเมื่อทุกคนในสำนักข่าวรู้ศัตรูก็ต้องรู้ แต่นั่นเป็นสิ่งที่เขากำลังต้องการอยู่พอดี
                    ไม่มีเหตุการณ์ใดผิดปกติมาเป็นเวลาหนึ่งวันหนึ่งคืนจนถึงมื้ออาหารเย็น สตีเฟ่นได้แต่กระทำเช่นเดิมสะกดใจรอคอยต่อไป เขารู้ว่าซิฟเฟอร์ต้องมา ต่อให้รู้ว่าเป็นกับดักซิฟเฟอร์ก็ต้องมา นั่นเป็นเพราะสายตาอันหยิ่งทระนงและความมั่นใจในฝีมือของตนเองยิ่งกว่าผู้ใด คนอย่างซิฟเฟอร์ไม่ควรเห็นพวกสตีเฟ่นอยู่ในสายตา
                    บริเวณตึกมีเพียงสตีเฟ่นที่อยู่ด้านใน ส่วนชานอน ลาโทน่าและโรเมโร่ทั้งสามต่างก็เฝ้าระวังภัยอยู่เบื้องนอก แผนการนี้เป็นชานอนและสตีเฟ่นช่วยกันคิดขึ้น สตีเฟ่นทำหน้าที่เป็นเหยื่อล่อกระทำการเช่นเดิมซ้ำๆกันทุกวันหลังอาหาร มาเฝ้าร่างของน้องชายเพียงคนเดียวเปิดโอกาสให้ซิฟเฟอร์ลงมือเต็มที่ ส่วนชานอน ลาโทน่าและโรเมโร่จะทำการเฝ้าอยู่ที่ทางเข้าออกสามสาย ทางหนึ่งคือหน้าประตูใหญ่ ทางที่สองคือประตูเล็กด้านหลังตึก ทางที่สามคือบริเวณหน้าต่างรอบตึก ทั้งสี่คนห้อยกระดิ่งชนิดพิเศษเอาไว้ในตัว หากเกิดเรื่องขึ้นกระดิ่งทั้งสี่จะสั่นตอบรับซึ่งกันและกัน พวกเขาทั้งหมดจะถาโถมเข้าไปหาจุดที่ผิดปกติในทันที
                    แผนการเช่นนี้มีจุดอ่อนอยู่สองจุด หนึ่งก็คือที่ตัวสตีเฟ่นเอง หากสตีเฟ่นถูกลอบทำร้ายจนถึงแก่ชีวิตก่อนที่พวกชานอนจะเข้าไปช่วยเหลือได้แผนการนี้ถือว่าล้มเหลวโดยสิ้นเชิง และสองก็คือถ้าพวกเขาคนใดคนหนึ่งถูกสังหารโดยคนร้ายไม่เปิดโอกาสให้สั่นกระดิ่งได้แผนการนี้ก็ถือว่าล้มเหลวโดยสิ้นเชิงเช่นกัน
                    สิ่งที่พวกเขาทำได้ตอนนี้คือรอคอย รอคอยให้ศัตรูมาติดกับ จะอย่างไรซิฟเฟอร์ก็ต้องมา เพียงแต่เป็นเวลาเมื่อไร และดำเนินการอย่างไรเท่านั้น
                    ชานอนคิดเอาไว้ก่อนว่าซิฟเฟอร์สมควรจะลงมืออย่างไร หากนางเป็นซิฟเฟอร์สมควรจะลงมือจากสถานที่ที่เหมาะแก่การจู่โจมที่สุด ลงมือแล้วมีโอกาสประสบผลที่สุด และสามารถล่าถอยไปได้ง่ายที่สุด ในเมื่อทางเข้าออกรอบตึกทั้งหมดถูกพวกนางคุมเอาไว้หมดแล้ว ทางเดียวที่เหลือเว้นว่างเอาไว้ให้มันคือบนหลังคา หากทะลุหลังคาลงมาจะสามารถเข้าถึงจุดที่สตีเฟ่นยืนอยู่ได้ง่ายที่สุด
                    ชานอนรู้ว่าฝ่ายตนถือไพ่เหนือกว่าใบหนึ่ง นั่นคือเรื่องของเวลา จากเรื่องที่สตาร์ถูกสังหารส่งผลให้ทางนครมิสต์อนุมัติให้นำกองกำลังอารักขาชุดหนึ่งเข้ามาคุ้มครองบริเวณสำนักข่าวพิราบรายวันโดยรอบ ผลัดเปลี่ยนกันคุ้มกันตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง ซึ่งกองกำลังชุดนี้มีจำนวนทั้งหมดห้าร้อยนายจัดเป็นทหารองครักษ์ฝีมือดี สตีเฟ่นเตรียมให้ที่พักพิงและสินน้ำใจจากการช่วยงานอย่างเต็มที่ หากซิฟเฟอร์ปล่อยเวลาให้ล่วงเลยเกินสองวันกองกำลังชุดนี้ที่กำลังเดินทางจากนครมิสต์จะมาถึงสำนักข่าว ไม่ว่าฝ่ายตรงข้ามเป็นผู้ใดหากจำต้องฝ่าแนวรักษาการณ์ของกองกำลังห้าร้อยนายเข้ามาลอบสังหาร โอกาสกระทำการสำเร็จก็ต้องลดน้อยลงไปเกินกว่าครึ่ง เมื่อมีกองกำลังเช่นนี้คุ้มครองชานอนก็ไม่ต้องห่วงความปลอดภัยของสตีเฟ่นอีก นางสามารถปลีกตัวเดินทางไปนครหลวงนอร์โปลิสช่วยเหลือพวกไกได้ทันที
                    ระหว่างที่ชานอนคิดอยู่นั้นก็ได้ยินเสียงผิดปกติดังโครมครามจากประตูหน้า กระดิ่งที่ข้อมือสั่นเป็นเสียงดัง  นางตระเตรียมจะวิ่งไปยังประตูหน้าแต่ก็ได้ยินเสียงดังโครมจากทั้งทางหลังคาและประตูหลังติดๆกันอีกสองแห่ง
    ผิดท่า! ศัตรูลงมือพร้อมกันถึงสามทาง
    นางไม่ใคร่ครวญอันใดถาโถมเข้าไปในตัวตึกทันที ในตอนนี้ชีวิตของสตีเฟ่นสำคัญที่สุด!
     
    ในถ้ำซ่อนตัวของพวกบลูกลับกลายเป็นฐานที่มั่นลับแห่งหนึ่ง ข้างในซ่อนไว้ด้วยผู้คนสามคนและเสบียงอาหารน้ำดื่มอีกจำนวนมาก เพียงพอให้ทั้งหมดอยู่กินไปได้ถึงสามวันเจ็ดวัน
                    พวกบลูทั้งสามต่างรับประทานผลไม้เป็นอาหารเย็นกันอย่างเอร็ดอร่อย ไม่ว่าใครต่างก็ไม่ได้กินอะไรมาวันหนึ่งเต็มๆ ผลไม้พวกนี้จึงมีรสชาติดีเป็นพิเศษ
                    โรสชวนสนทนาขึ้นก่อนว่า “เมื่อครู่นี้พี่ไกยังเล่าเรื่องตำนานกระบี่เกล็ดน้ำค้างไม่จบ ช่วยเล่าให้พวกเราฟังต่อได้ไหม?
                    บลูฟังแล้วไม่เข้าใจจึงถามว่า “ตำนานกระบี่เกล็ดน้ำค้างอันใด?
                    โรซาไลน์กล่าวตอบไปว่า “ก่อนที่เจ้าจะผ่านมาครู่หนึ่งข้าได้คุยกับพี่ไกเรื่องกระบี่เกล็ดน้ำค้างว่ามีที่มาที่ไปอย่างไร จึงตั้งชื่อเรื่องนี้ว่าตำนานกระบี่เกล็ดน้ำค้าง เจ้าอยากฟังหรือไม่?
                    มือปราบไกเจ้าของศัตราวุธชิ้นนี้อมยิ้มพร้อมกล่าวว่า “ชื่อตำนานกระบี่เกล็ดน้ำค้างนั้นฟังดูแล้วแปลกๆ ราวกับว่ากระบี่เล่มนี้กลายเป็นวัตถุโบราณไปอย่างใดอย่างนั้น เอาเป็นว่าอีกครู่หนึ่งข้าเริ่มเล่าให้พวกเจ้าทั้งสองฟังตั้งแต่ต้นเลยดีไหม ว่ามันมีที่มาที่ไปอย่างใด”
    เมื่อเห็นรุ่นน้องทั้งสองต่างก็พยักหน้าอยากรับฟัง ไกจึงเล่าย้อนกลับไปถึงคราวก่อน หลังจากนั้นจึงเล่าเพิ่มเติมต่อไปว่า “หลังจากที่ข้าพึ่งได้รู้จักกับโฮแกนใหม่ๆ ข้าเองยังคงใช้กระบี่เขี้ยวราชสีห์เล่มที่กำนัลให้กับลูทไป ส่วนศาสตราของโฮแกนคือกระบี่เกล็ดน้ำค้างเล่มนี้ ข้ากับเขาทั้งสองเมื่อพบปะพบเจอกันบ่อยครั้งขึ้นเรื่อยๆก็เริ่มคุยกันถูกคอ โฮแกนจึงออกปากจะถ่ายทอดวิธีการใช้เอลน้ำแข็งให้กับข้า”
    บลูฟังถึงตรงนี้จึงอุทานดังอา กล่าวว่า “ที่แท้พี่ไกเป็นหนึ่งในผู้สืบทอดตระกูลน้ำแข็งคาร์เดล ข้านึกว่าตระกูลนี้สูญสิ้นผู้สืบทอดที่แท้จริงไปแล้วเสียอีก”
    ไกส่ายหน้ากล่าวว่า “มิใช่อย่างนั้น สายเลือดตระกูลน้ำแข็งคาร์เดลที่สูญสิ้นไปเป็นร้อยเป็นพันคนคงมิอาจกอบกู้ให้กลับคืนมาได้ อีกทั้งความจริงข้าใช้นามสกุลตามบิดามารดาบุญธรรม ส่วนคาร์เดลนั้นเป็นนามสกุลที่พึ่งจะได้รับมาหลังจากรู้จักกับโฮแกน ด้วยสัญลักษณ์แห่งเอลน้ำแข็งบนไหล่ทำให้เขาถือว่าข้าเป็นส่วนหนึ่งของตระกูลน้ำแข็งไปโดยปริยาย ทั้งที่จริงแล้วมิอาจพิสูจน์ทราบได้เลยว่าบิดามารดาที่แท้จริงของข้าเป็นผู้ใดในตระกูลน้ำแข็ง หรืออาจจะไม่มีความเกี่ยวข้องกับตระกูลนี้เลยก็ย่อมได้ หากสัญลักษณ์น้ำแข็งบนหัวไหล่ข้างขวานี้เกิดขึ้นมาอย่างผิดธรรมชาติ ซึ่งนานครั้งก็มีบุคคลประเภทนี้ปรากฏให้เห็นคนหนึ่ง อย่างไรก็ตามสุดท้ายแล้วข้าก็มิได้เปลี่ยนนามสกุลไปเป็นคาร์เดล ยังคงใช้นามสกุลรัสเซลเช่นเดิม”
    โรสเข้าใจในประเด็นสายเลือดแห่งน้ำแข็งแล้วจึงถามต่อไปในประเด็นอื่นว่า “โฮแกนเขาถ่ายทอดวิชาการใช้เอลให้กับพี่ได้อย่างไร? ในเมื่อเวลาช่วงนั้นพี่ยังคงเรียนอยู่ในโรงเรียนเซนต์เอลลิส ไม่มีเวลาว่างออกมาพบปะร่ำเรียนกับโอแกนไม่ใช่หรือ”
    ไกยิ้มพลางกล่าวว่า “ในช่วงนั้นข้าเรียนอยู่ปีสุดท้ายในโรงเรียนเซนต์เอลลิส ก็ได้ทำข้อตกลงกับโฮแกนว่าหลังสี่ทุ่มของทุกวันข้าจะหาทางออกจากโรงเรียนมาหาเขา ข้าไม่รู้เหมือนว่าทำไมตอนนั้นถึงได้ทำเช่นนั้น มันอาจจะเป็นแรงดลใจอย่างหนึ่งที่อยากค้นหาตัวตนที่แท้จริงของข้าเป็นใคร พลังแห่งน้ำแข็งที่หลับไหลอยู่ในสายเลือดนี้เป็นอย่างไร สำหรับข้านั้นโฮแกนเปรียบเสมือนครูครึ่งหนึ่งพี่ชายครึ่งหนึ่ง เขาสอนทั้งศาสตร์แห่งเอล การต่อสู้และประสบการณ์ชีวิต ในบางครั้งยังให้ข้าทดลองใช้กระบี่เกล็ดน้ำค้างเล่มนี้ดูด้วย ซึ่งในตอนนั้นข้ามิได้ใช้ศาสตร์แห่งเอลเป็นหลักดั่งเช่นทุกวันนี้”
    บลูไม่เข้าใจในประโยคสุดท้ายจึงถามว่า “เป็นเพราะเหตุใด? ข้าเองเห็นว่าพี่ใช้เอลน้ำแข็งได้ดีไม่มีที่ติ”
    ไกส่ายศีรษะกล่าวว่า “เอลน้ำแข็งของข้าในตอนนั้นยังอ่อนอยู่มาก เปรียบกับตอนนี้คงไม่ถึงส่วนเสี้ยว สาเหตุหลักประการแรกเป็นเพราะข้ายังไม่รู้จักวิธีควบคุมมัน อีกทั้งข้ามิอาจประสานธาตุในร่างกายให้เข้ากับธาตุธรรมชาติทั้งหกได้ ส่วนเหตุผลอีกประการหนึ่งที่ทำให้ข้ามิได้ยึดถือศาสตร์แห่งเอลเป็นวิชาฝีมือหลักก็คือ ข้าใช้กระบี่เขี้ยวราชสีห์ที่เอนเอียงไปทางศาสตร์แห่งซันมากกว่าศาสตร์แห่งเอล”
    โรสทำสีหน้าประหลาดใจพร้อมกล่าวว่า “สมัยก่อนพี่ไกเป็นซันชินอย่างนั้นหรือ?
    บลูเองก็มีสีหน้าเดียวกับโรส กล่าวว่า “โรงเรียนเซนต์เอลลิสไม่มีสอนศาสตร์แห่งซัน พี่ไกได้ไปร่ำเรียนมาจากที่ใด?
    ไกกล่าวตอบว่า “อาจเป็นเพราะสวรรค์บันดาลก็เป็นได้ ข้ามิได้ฝึกศาสตร์แห่งซันจากผู้ใดและไม่มีผู้ใดสอนเสียด้วย เป็นเพราะกระบี่เขี้ยวราชสีห์นั่นถึงทำให้ข้าบรรลุถึงวิชาซันขั้นต้น พวกเจ้าลองดูจากลูทเป็นตัวอย่างก็ได้ เขามิเคยร่ำเรียนวิชาซันมาก่อน แต่สามารถใช้ศาสตร์แห่งซันโดยบังเอิญ บรรจุซันลงในกระบี่เขี้ยวราชสีห์จนมันคำรามออกมา นั่นจึงเป็นก้าวแรกของลูทที่เริ่มต้นในโลกของศาสตร์แห่งซัน เช่นเดียวกับข้าในอดีต”
    โรสถามต่อไปว่า “หลังจากนั้นพี่ก็ใช้ซันมาตลอดเลยหรือ?
    ไกพยักหน้าตอบว่า “ใช่ ข้าฝึกปรือแนวทางศาสตร์แห่งซันมาตลอดสองปีที่ใช้กระบี่เขี้ยวราชสีห์ หลังจากเหตุการณ์ครั้งแรกที่ทำให้กระบี่คำรามดังสนั่นข้าจึงเพียรอ่านตำราที่บันทึกศาสตร์แห่งซันจากห้องสมุด แม้ว่าโรงเรียนเซนต์เอลลิสจะไม่มีเปิดสอนในเรื่องของซันก็จริง แต่ในห้องสมุดของโรงเรียนมีหนังสืออยู่ครบถ้วน หนังสือเกี่ยวกับซันมีมากกว่าที่คิดเอาไว้เสียอีก ผลสุดท้ายข้าจึงศึกษาหลักวิชานี้ด้วยตนเองเป็นการใหญ่ จนบรรดาครูและเพื่อนร่วมชั้นเรียนทั้งหลายต่างก็ประหลาดใจไปตามๆกัน”
    บลูพอจะเข้าใจแต่ก็ยังมีเงื่อนปมสงสัยอยู่ นับเป็นปมปัญหาที่สำคัญที่สุด จึงเอ่ยปากถามว่า “พี่คิดอย่างไรถึงได้เปลี่ยนมาใช้ศาสตร์แห่งเอลกับกระบี่เกล็ดน้ำค้าง ไม่ใช้ศาสตร์แห่งซันกับกระบี่เขี้ยวราชสีห์ต่อไป? เวลาสองปีที่พี่ตั้งใจศึกษาศาสตร์แห่งซันกลับต้องมาทิ้งไปโดยสูญเปล่านั้นมันน่าเสียดายมากมิใช่หรือ?
    ไกฝืนยิ้มครั้งหนึ่งกล่าวว่า “นั่นเป็นหนึ่งในการตัดสินใจที่ยากลำบากที่สุดในชีวิตของข้า”
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×