ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ศาสตราคู่กู้แผ่นดิน

    ลำดับตอนที่ #79 : เล่ม 3 - ตอนที่ 34 - ปฏิบัติการระทึกขวัญ (2)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 850
      2
      10 ธ.ค. 50

    โรส บลูและไกหลังจากเดินทางอย่างระมัดระวังตลอดหนึ่งวันก็หลุดพ้นจากวงล้อมของพวกมิดาส
    ทหารพวกนั้นจงใจขีดวงล้อมเพียงทิศตะวันออกกับทิศใต้ที่เป็นเส้นทางไปยังนครหลวง หารู้ไม่ว่าพวกเขาตัดสินใจเดินทางขึ้นตะวันออกเฉียงเหนือตามหาร่องรอยของหมู่บ้านแห่งหนึ่ง ด้วยนิสัยของโรสก็อดไม่ได้ที่จะต้องปีนต้นไม้ขึ้นไปสำรวจสภาพรอบข้างเป็นระยะๆ ถึงแม้ว่าจะทราบว่าหลุดพ้นจากวงล้อมมาแล้วก็ตาม
                    ไกเริ่มสังเกตเห็นอะไรบางอย่างจึงกล่าวว่า “พวกเราน่าจะเข้าเขตหมู่บ้านมาบ้างแล้ว สังเกตตามพื้นดินแทบนี้จะพบรอยเท้ามนุษย์ปรากฏจางๆ”
                    บลูจึงลองสังเกตดูตามคำบอกกล่าว เห็นเส้นทางด้านหน้ามีการแหวกหญ้าถางพงอยู่บ้างจริงๆ คาดเดาว่าเป็นเส้นทางที่พรานในหมู่บ้านใช้กัน ซึ่งโดยปกติแล้วนายพรานที่หาเช้ากินค่ำจะออกล่าสัตว์ในระยะไม่เกินหนึ่งวันไปกลับ เป็นข้อสรุปได้อย่างดีว่าหมู่บ้านอยู่ใกล้มากแล้ว
                    โรซาไลน์ที่เดินอยู่ด้านหน้าสังเกตเรื่องนี้ออกก่อนมือปราบไกเสียอีกแต่มิได้พูดออกมา ด้วยเหตุที่คิดว่าคนอื่นก็น่าจะรู้สึกถึงร่องรอยเหล่านี้เช่นกัน ชีวิตในหมู่บ้านเงาจันทร์มอบความรู้เรื่องการเดินป่าให้กับนางไว้มากมาย พลางชวนบลูสนทนาพร้อมกับเดินหน้าต่อไปว่า “เจ้าเป็นคนที่ไหนหรือบลู ตั้งแต่ข้ารู้จักเจ้าก็ยังไม่เคยเล่าเรื่องพวกนี้ให้ได้ฟัง”
                    “ก็เพราะว่ามันไม่มีอันใดน่าสนใจข้าถึงไม่ได้เล่าให้เจ้าฟัง เพราะว่าข้าเป็นเด็กกำพร้าที่ถูกคนใจบุญชุบเลี้ยงมาจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าในหมู่บ้านใกล้กับเมืองเจนีสใต้”
                    “ขอโทษ ข้ามิได้ตั้งใจที่กล่าวกระทบกระเทือนอดีตของเจ้า”
                    บลูส่ายหน้ากล่าวว่า “ไม่เป็นไร ข้าไม่เคยเสียใจกับเรื่องนี้เลยสักนิด แต่กลับภูมิใจในความโชคดีของตัวเองเสียด้วย ที่มีผู้อุปถัมภ์จนมีชีวิตรอดมาถึงทุกวันนี้ เนรอสเองก็เช่นกัน เขากับข้าเติบโตมาด้วยกันจากสถานที่เลี้ยงเด็กนั่น”
                    ไกนึกออกว่าบลูพูดถึงสถานที่อันใด บ้านเด็กกำพร้าที่เกิดจากไฟสงครามเจนีสเมื่อยี่สิบห้าปีก่อน ผู้คนล้มตายเกลื่อนกลาดบุตรธิดามากหลายต้องประสบชะตากรรมบ้านแตกสาแหรกขาด หลังสงครามสงบได้มีสามีภรรยาใจบุญคู่หนึ่งผู้เป็นเศรษฐีชาวลาเวนดิสรับอุปการะเด็กพวกนี้ สร้างหมู่บ้านแห่งหนึ่งแถบเมืองเจนีสใต้เพื่อเป็นสถานรับเลี้ยงเด็กโดยเฉพาะ บลูที่เติบโตมากับสภาพแวดล้อมพวกนั้นสามารถถีบตนเองจนเป็นหนึ่งในนักเรียนของโรงเรียนเซนต์เอลลิสได้นับว่ามีความพยายามและความสามารถที่โดดเด่น
                    การที่คนผู้หนึ่งจะเข้าใจคนอีกผู้หนึ่งอย่างถ่องแท้นั้นมีความเป็นไปได้เพียงหนึ่งเดียว นั่นคือการประสบชะตากรรมเช่นเดียวกัน
    เพียงแต่ชะตากรรมของไกแตกต่างจากบลูเล็กน้อย ที่ถูกชาวนาใจบุญคู่หนึ่งเก็บมาเลี้ยงให้เติบโตในอาณาจักรนอร์ จึงถามว่า “เจ้าเข้าโรงเรียนเซนต์เอลลิสได้อย่างไร?
                    บลูยักไหล่ครั้งหนึ่งตอบว่า “ช่วงนั้นข้าอายุสิบสองปีกำลังอยู่ในวัยที่จะต้องเริ่มเรียนหนังสือ ด้วยแรงบันดาลใจจากไหนมิอาจทราบได้ข้าถึงได้อยากเข้าโรงเรียนที่ดีที่สุดในแผ่นดิน แม้ว่ามันจะอยู่ไกลถึงเมืองโอดินข้าก็ดั้นด้นเดินทางไปสอบ ผลสุดท้ายผู้อำนวยการทอริอุสจึงรับข้าเป็นศิษย์”
                    โรซาไลน์เบิ่งตากลมกว้างกล่าวว่า “เจ้าที่อายุสิบสองปีเดินทางจากเมืองเจนีสใต้ข้ามไปโอดินคนเดียวนี่นะหรือ!?
                    บลูส่ายศีรษะกล่าวว่า “ข้าไปคนเดียวไม่ถูกหรอก เป็นเนรอสอาสาพาข้าไปต่างหาก พวกเราจึงเดินทางด้วยกันสองคนเรียกว่าเป็นการเดินทางครั้งแรกในชีวิตก็ว่าได้ ในตอนนั้นเนรอสอายุมากกว่าข้าสามสี่ปีคาดว่าน่าจะประมาณสิบห้าสิบหกจึงพอรู้จักหนทางอยู่บ้าง”
                    ไกพยักหน้าส่งเสียงอืมในลำคอถามว่า “เจ้ามีปณิธานใดในชีวิตว่างอย่างไร?
                    บลูยิ้มพร้อมตอบว่า “พี่ไกถามเหมือนโรสครั้งก่อนไม่มีผิด ข้ายังคงยืนยันความปรารถนาเดิมมิได้เปลี่ยนแปลง ข้าอยากเป็นผู้หยั่งรู้ฟ้าดิน
                    ไกรับฟังเช่นนั้นแล้วจึงกล่าวเพิ่มเติมว่า “ผู้หยั่งรู้ฟ้าดินเป็นแล้วได้อะไร? อย่างมากเจ้าก็เป็นเอลลิสที่เก่งที่สุดในแผ่นดิน ไม่มีจุดประสงค์สนับสนุนหรอกหรือว่าเพราะเหตุใดถึงอยากเป็นผู้หยั่งรู้ฟ้าดิน? หรือจะเป็นผู้หยั่งรู้ฟ้าดินแล้วจะทำอะไรต่อไป?
                    บลูนึกอยู่พักหนึ่ง กล่าวตอบว่า “เดิมทีไม่เคยคิดหรอกว่าอยากเป็นผู้หยั่งรู้ฟ้าดินไปเพราะอะไร โดยส่วนลึกในจิตใจแล้วข้ารู้สึกว่าศาสตร์แห่งเอลมีความน่าหลงใหลอยู่ในตัวจนมิอาจยับยั้งความอยากรู้อยากเห็นนั้นได้ ในอดีตนอกจากความชอบโดยส่วนตัวแล้วหากได้เป็นผู้หยั่งรู้ฟ้าดินก็คงจะใช้อำนาจส่วนหนึ่งช่วยเหลือเจือจุนพวกเด็กกำพร้าอย่างข้ากระมัง แต่หลังจากที่ได้ออกเดินทางกับพวกเจ้าในครั้งนี้ก็คิดถึงโลกแห่งอุดมคติขึ้นมา ข้าอยากจะสร้างสันติสุขให้กับโลกใบนี้ ผู้หยั่งรู้ฟ้าดินมีพลังอำนาจที่สามารถปกป้องผู้บริสุทธิ์ให้รอดพ้นภัย ถึงแม้จะฟังดูว่าเป็นการกล่าวเกินจริงไปหน่อย แต่นั่นเป็นเป้าหมายสูงสุดในชีวิตของข้าจริงๆ”
                    ไกถามย้อนกลับไปว่า “อันใดเรียกว่าผู้บริสุทธิ์? อันใดเรียกว่าคนดี? อันใดเรียกว่าคนเลว? เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ข้าขบคิดมาตลอดชีวิตการเป็นมือปราบ ผู้บริสุทธิ์บางคนในความคิดของเจ้าแท้จริงอาจเป็นผู้บงการอยู่เบื้องหลังก็ได้ คนดีบางคนอาจถูกมรสุมชีวิตกดดันจนต้องกระทำความชั่วเพื่อชีวิตลูกเมียก็ได้ คนเลวบางคนอาจกลับตัวกลับใจจนเป็นคนดีที่สร้างกุศลมากกว่าคนดีทั่วไปก็ได้”
                    บลูฟังคำกล่าวของไกเข้าไปถึงกับอึ้มกิมกี่ เขาหาเหตุผลมาเถียงมิได้กับความจริงอันโหดร้ายในโลกมนุษย์
                    “ข้ามิได้จะตั้งใจโยกคลอนปณิธานส่วนบุคคลของเจ้า แต่การที่ได้เดินทางอยู่ในเส้นทางสายความยุติธรรมมาก่อนจึงพอมีประสบการณ์อยู่บ้าง บุคคลหลายคนกระทำความผิดพลาดโดยมิได้ตั้งใจก็มีมากหลาย หากเจ้าจะทำตัวเป็นผู้ผดุงความยุติธรรมก็ต้องรู้จักขอบเขตของตน อำนาจที่มีล้นมือมิได้หมายความว่าเจ้าจะฆ่าฟันผู้กระทำความผิดได้ตามอำเภอใจ หากแต่ต้องกระทำตามขั้นตอนกระบวนการยุติธรรมอย่างโปร่งใส แต่ก็จะมีปัญหาต่อมาอีก นั่นคือปัญหาจากความโปร่งใสว่าอะไรคือความโปร่งใสที่แท้จริง ในบางครั้งกระบวนการยุติธรรมก็มิอาจจะตัดสินได้ว่าผู้ใดถูกผู้ใดผิด ดั่งเช่นคดีมากหลายที่เอาผิดคนดีปกป้องคนชั่ว”
                    บลูฟังจบเกิดอาการขนลุกซู่ คำกล่าวของไกซึมลึกลงไปในจิตใต้สำนึก กล่าวว่า “ข้าขอบคุณพี่ไกมากที่ช่วยเปิดหูเปิดตา ไม่ว่าอย่างไรข้ายังคงยืนยันจุดหมายเดิมที่กำหนดไว้ สักวันหนึ่งข้าจะต้องก้าวไปถึงระดับผู้หยั่งรู้ฟ้าดิน เพื่อตัวข้าเองและเพื่อแผ่นดินที่ข้ารัก”
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×