ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    UNagain ขอเกิดใหม่,พระเจ้า(ไม่)ให้

    ลำดับตอนที่ #64 : Ep.64 - Silly

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.84K
      84
      19 ก.พ. 60

    UNagain.64 – Silly

    แต่เด็กคนนั้นยังสวมปลอกคออยู่! ยังไงก็ไม่กลาย

    แกมันจะไปรู้อะไร!?”

    ชายตรงหน้าบันดาลโทสะกระชากคอเสื้อเกล แล้วตวาดลั่น

    เพราะพวกมันครอบครัวชั้นถึงต้องตาย! เพื่อนชั้นและคนในเมืองที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ต้องมาตายเพราะไอ้สัตว์ประหลาดพวกนี้!”

    ใช่! ใช่! เราต้องกำจัดมันซะ!”

    อย่าให้มันมีที่ยืนอยู่ในเมืองนี้!”

    เสียงสนับสนุนดังกระหึ่มไปทั่วบริเวณ เขาขบเขี้ยวฟันแน่น

    ใช้สติหน่อยสิโว้ย! นี่พวกแกเป็นบ้ากันไปแล้วรึไง!? ไอ้คนที่ฆ่าครอบครัวแกเพื่อนแกมันใช่ไอ้เด็กนี่เหรอ!”

    ฆ่า! ฆ่า! ฆ่า!

    ———แม่งเอ๊ย! คนพวกนี้เสียสติไปแล้ว! ถ้าฝืนคุยต่อก็คงไม่ได้อะไรขึ้นมา เกลนึกพลางหลั่งเหงื่อกาฬไปทั่วหน้า ขณะเดียวกันก็ลอบมองไปยังเด็กน้อยซึ่งกำลังหายใจรวยริน

    จะทำยังไงดี..?

    ถ้าเราช่วยเด็กคนนั้น บางทีคงได้แผลซักนิดหน่อย

    ———แต่ขืนทำแบบนั้นเราก็จะโดนหางเลขไปด้วย

    จะถูกคนพวกนี้ตัดสินในฐานะศาลเตี้ย ต่อให้พวกมันรู้รึไม่ว่าเราเป็นอสุภะ

    แต่ที่ยืนในเมืองนี้ก็จะต้องหายไปอยู่ดี

    ———บ้าเอ๊ย!

    .

    .

    -ช่วย...”

    “.........”

    “...ด้วย

    ———ไม่สิ ไอ้ของแบบนั้นน่ะ

    ช่วย...ผม...ด้วย

    ใครมันจะไปสนเล่าาา!”

    ฟุ่บ!

    นิ้วมือทั้งห้าพลันวาดออกไปในท่ามุทรา

    ถ้าอยากฆ่าสัตว์ประหลาดนัก!”

    มุมปากเริ่มเอื้อนเอ่ยคำบริกรรม

    ก็มาฆ่าชั้นนี่..!”

    ———เกลกู่ร้องออกมาดังลั่น

    จงหายไปอสุภะ!”

    ทันใดนั้นทั่วร่างของชายหนุ่มจึงถูกปกคลุมด้วยเส้นเอ็นและโลหิต ใบหน้าซึ่งมีคมเขี้ยวดั่งอสูรและดวงตาสีดำสนิท ทำให้ผู้พบถึงกับหยุดการกระทำอันป่าเถื่อนไปชั่วขณะ หินในมือล้วนผล็อยตกลงสู่พื้น

    เปรี้ยง!

    คลื่นช็อคเวฟสีแดงดุจโลหิตสยายออกเป็นวงกว้างจนผู้คนล้มระเนระนาดไปร่วม 10 เมตร กระทั่งไอโลหิตจางลง จึงเผยให้เห็นใบหน้าของอสุภะกำลังจ้องเขม็งกับตัวพื้น เกลยกเท้าขึ้น

    ———แล้วใส่ท่าพลังจิตสุดแรง

    ตูมมมมม!

    พื้นที่แถบนั้นพลันเกิดแผ่นดินไหวขนาดย่อม แผ่นหินและพื้นดินล้วนแตกออกเป็นเสี่ยงๆกระจัดกระจายไปทั่วท้องถนน ขณะเดียวกันเชือกที่มัดเด็กชายไว้ก็คลายออก เกลมุ่งไปรับอีกฝ่ายอย่างแผ่วเบา พร้อมกันนั้นก็ร่ายอาคมรักษาให้พอเป็นพิธี

    ———จากนั้นจึงคำรามลั่น

    ฮู่มมมมมมมมมมมมมม..!

    ก่อนจะอุ้มเด็กหนุ่มทะยานหายไปทั้งอย่างนั้น

     

    .....นั่นคือสิ่งที่เกลคิด

    ในชีวิตจริง ณ เวลานี้ เด็กหนุ่มได้ตายลงอย่างน่าอนาถ ตาเหลือก กรามหลุด แขนขาด ไร้อวัยวะเพศ ไส้ทะลัก ทั้งหมดที่กล่าวมาคือสภาพของเด็กหนุ่มในตอนนี้

    ทั้งอย่างนั้นแล้ว เขากลับเฉยเมยไม่คิดเข้าไปยุ่ง

    ———เด็กคนนี้มีคาร์ม่า15 จุด

    เพราะอย่างนั้นเขาเลยถูกประชาทัณฑ์ด้วยกลุ่มศาลเตี้ย ในความคิดของเกลมีคำว่า <ไร้สาระ> กับ <ปัญญาอ่อน> แปะไว้บนหน้าผากของคนเหล่านี้ แม้ชายหนุ่มจะสงสาร แต่เขาก็ไม่โง่พอจะเอาตัวเองไปเสี่ยง ถ้าจะแค้นก็แค้นคนที่ปาหินใส่เถอะ เกลนึกอย่างนั้นแล้วมุ่งหน้าออกไปยังประตูทิศเหนือซึ่งนัดกับไอริส

    โอ๊ะ! มากันเร็วนี่

    พอมาถึง เขาก็พบกับทั้งสามอยู่ก่อนแล้ว ข้างๆกันก็มีทีมอื่นเกาะกลุ่มอยู่ หลินที่ยามนี้กลับสวมแว่นกอกเกิลทัก นายไม่ใส่ชุดเกราะหรือเครื่องป้องกันเหรอ?” ทำให้ทางนี้ได้แต่ฉงนตอบกลับ

    อ้าว? แล้วปกติพวกเธอใส่กันเหรอ?”

    แหงสิฟะ ขืนไม่ใส่ป้องกันไว้ก็ตายพอดีสิ เล็บอสุภะน่ะผ่าเหล็กได้สบายเลยนะโว้ย! อย่าบอกนะว่าเรื่องแค่นี้ก็ไม่รู้?” มาคัสซึ่งเป็นฝ่ายตอบแสดงสีหน้าดูแคลนออกมา

    ———แค่ดูก็รู้แล้วว่ามันไม่ชอบเขา

    เกลเอ่ยเสียงยียวนว่า ไอ้รู้น่ะมันของตายอยู่แล้ว แต่ประเด็นที่พูดคือชั้นไม่จำเป็นต้องสวมเครื่องป้องกันอะไรทั้งนั้น ส่วนหนึ่งจะว่าเป็นเพราะแข็งแกร่งก็ได้ล่ะนะ

    .....เหอะ!”

    เอาน่าๆ ทั้งสองคนก็อย่าทะเลาะกันสิ

    หลินเข้าปรามด้วยท่าสุมาเตอะ กระทั่งเห็นชายทั้งสองไม่ว่าอะไร เธอจึงว่า ชื่อเกลสินะ ชั้นว่าอย่างน้อยนายก็ควรใส่เกราะอ่อนแบบไลท์อาร์มไม่ก็สนับแขนสนับขาเผื่อไว้ก่อนจะดีกว่านะ หลินเบนสายตาให้มองไอริสซึ่งสวมเชนท์เมล์เกราะอ่อน ซึ่งหากสังเกตดีๆก็จะพบว่าทุกคนรวมถึงทีมอื่นล้วนมีเครื่องป้องกันและอาวุธพิเศษเป็นของตัวเองกันทั้งสิ้น ทั้งที่สองปีก่อนรุ่นพวกเขายังไม่มีของแบบนี้ให้ใช้เลยแท้ๆ

    ไม่จำเป็น

    เกลตอบห้วนๆ จากนั้นหน้าพวกเขาจึงปรากฏเอแคลร์ยืนถือโทรโข่งจ่อปาก มีเสียงนอยด์ดัง ซ่า! ซ่า! เล็กน้อย จากนั้นเธอจึงประกาศ

    จงฟัง..! วันนี้งานลาดตระเวนของพวกเรากองร้อย 03 เพราะงั้นจะขอชี้แจงสั้นๆ

    ———เธอชูนิ้วขึ้น

    กฎมีเพียงข้อเดียว คือห้ามตาย! ถ้าเข้าใจแล้วก็แยกย้ายได้!”

    ปรี๊ดดดดดดด!

    เสียงไซเรนจากโทรโข่งดังขึ้นแทนสัญญาณ ราวกับตอบสนองต่อเสียงนั้น กลุ่มคนนับร้อยต่างทะยานออกไปทั่วทุกสารทิศโดยมีทีมตามหลัง แน่นอนว่าพวกเขาเองก็เช่นกัน ไอริสซึ่งถือแผนที่ไว้ชูมือขึ้น

    ตามมา!”

    หล่อนเอ่ยเสร็จมาคัสและหลินต่างก็โผวิถีตามหลังไปโดยไม่สนใจเกลอีก ชายหนุ่มได้แต่เกาหัวแกรกๆก่อนเดินตามหลังไป ด้วยเหตุนี้รูปขบวนของทีมจึงเป็นทรงข้าวหลามตัดตามแบบมาตรฐาน

    นี่ ภารกิจลาดตระเวนเนี่ยต้องทำอะไรบ้าง?”

    นายไม่รู้เหรอ?” หลินขมวดคิ้วต่อคำถาม โดยมีเกลส่ายพั่บๆแทนคำตอบ เธอว่า

    ภารกิจของเราคือค้นหาตัวมนุษย์ ค้นหาทรัพยากร ถ้าเจออสุภะก็กำจัดซะ

    อย่างนี้นี่เอง ถึงว่าในรัศมี 1 กิโลฯนี้ไม่มีพวกอสุภะอยู่เลยซักตัว

    ฮะฮะ ก็เพราะมันถูกหน่วยลาดตระเวนเก็บไปแล้วน่ะนะ จากนั้นมาคัสซึ่งฟังบทสนทนาอยู่ก็แทรกขึ้น ทั้งนี้คงต้องขอบคุณชั้นล่ะนะ ที่เป็นคนจัดการพวกอสุภะซะส่วนใหญ่เกลเลิกคิ้วขึ้นว่า

    ใคร..?”

    หา? ก็ชั้นไงเล่า!”

    ใครถาม?”

    เฮ้ย! นี่แก..!?” พอได้ยินคำถามกวนเบื้องล่าง มาคัสก็ถึงกับชะงักกึกหันขวับมามองเขาอย่างเอาเรื่อง ทว่าก่อนที่ทั้งสองจะได้เริ่มเปิดฉากทะเลาะกันนั้น สาวหมวยอย่างหลินก็หัวเราะออกมาดังลั่น

    ฮะฮะฮะ ไม่มีอะไรหรอก แค่เห็นพวกนายทะเลาะกันแล้วมันตลกดีน่ะ อุ้บ! ฮะฮะฮะ

    “..........”

    ชายหนุ่มทั้งสองได้แต่งงงวยไปชั่วขณะ จากนั้นมาคัสจึงเริ่มยีผมตัวเองปริปากออกมาว่า เฮ้อ~ ช่างมันแล้วกัน ก่อนจะก้าวตามหลังไอริสไป ปล่อยให้เกลและหลินรั้งท้ายแถวเอาไว้

    ———งงแฮะ แต่ถ้าให้เดาดูเหมือนว่ามาคัสจะใจเย็นลงเพราะเห็นหลินหัวเราะสินะ?

    เกลลอบขบคิด กระทั่งพวกเขาเดินทางมาไกลร่วม 5 กิโลเมตร ไอริสจึงหยุดพักพลางมองเข็มทิศกับนาฬิกาในมือ จากนั้นจึงหันซ้ายแลขวาอย่างใจเย็น

    ดูเหมือนแถวนี้จะปลอดภัยนะ ทุกคน! พักได้!”

    เธอว่าเช่นนั้น ก่อนจะเรียกพานี • เบนนีออกมา หยดน้ำบริสุทธิ์พลันก่อตัวขึ้นบนฝ่ามือ ไอริสป้องช้าๆก่อนจะยกดื่มรวดเดียวหมด มาคัสและหลินเองก็ทำตามด้วยเช่นกัน ดูเหมือนการเดินทางไกลโดยสวมเกราะหนักจะเป็นเรื่องยากไม่ใช่เล่น เกลซึ่งไม่สวมเกราะซ้ำมีร่างเป็นกึ่งอสุภะจึงได้แต่มองเผินอย่างสบายใจ

    ———ช...ช่วย...ด้วย

    ......!?”

    หืม? พลทหารเกล,มีอะไรงั้นเหรอ?”

    ชายหนุ่มไม่ตอบกลับ กลับกันเขาเอาแต่นิ่งงันพร้อมหันซ้ายแลขวาเป็นพัก เกลได้ยินเสียง เสียงของใครซักคนซึ่งห่างออกไปราวๆ 50 เมตร ด้วยหูกึ่งอสุภะนี้ทำให้เขารับรู้ได้ถึงตัวตนนั้น

    ———อยู่ไหน?

    ช่วย...ด้วย

    ———อยู่ที่ไหนกัน!?

    ช่วยข้า...ด้วย

    ตรงนั้น!”

    เกลเบิกตาโพลงทะยานร่างไปยังต้นตอของสัมผัสเสียงด้วยสัญชาตญาณ ฮ-เฮ้ย! เดี๋ยวก่อนสิ! พลทหารเกล!” ไอริสร้องเรียกพร้อมกับวิ่งตามหลังไป

    ———จากนั้นหล่อนจึงพบกับถ้ำเล็กๆแห่งหนึ่ง

    ในนั้นมีชายวัยกลางคนกำลังนอนหายใจรวยรินอยู่ เกลไม่รอช้า พุ่งเข้าไปหาอีกฝ่ายพร้อมร่ายจิวาล  กา  จอลล์เพื่อรักษาแผลทันที พอเข้ามาใกล้ถึงได้สังเกตเห็นว่าอีกฝ่ายนั้นขาขาดไปข้างหนึ่ง

    อ-อ้ากกกกก..!

    แข็งใจไว้นะลุง!”

    เขาว่าเสร็จ ข้างกายก็เผยให้เห็นไอริสเข้าช่วยเกลอีกแรงหนึ่ง จากนั้นมาคัสและหลินจึงเข้ามาสมทบ เป็นนี้อยู่ราวๆ 10 นาที แผลของชายตรงหน้าจึงปิดสนิทลง

    ฟู่ว!

    น่าเสียดายที่เขาไม่พบขาส่วนที่เหลือ ดังนั้นชายตรงหน้าจึงต้องพิกาลไปชั่วชีวิต กระนั้นการเสียขาข้างหนึ่งก็ดีกว่าเสียชีวิตทั้งๆอย่างนี้ เกลตระหนักเช่นนั้นพลางปาดเหงื่อบนหน้า เขาทัก

    เป็นไงบ้าง?”

    .....อืม อาการเจ็บข้าเริ่มทุเลาแล้วล่ะ ต้องขอบคุณเจ้าจริง

    ข้า? นี่ลุงเป็นคนยุคไหนเนี่ย?” มาคัศโพล่งถาม ส่งผลให้ไอริสและหลินเขม่นมองกลับไปจนเจ้าตัวได้แต่ถอยห่างออกไป ตอนนั้นเกลก็แทรกขึ้น

    พักก่อนเถอะ ลุง––

    ข้ามีนามว่าทองดีเช่นนั้นก็เลิกเรียกลุงๆได้แล้ว

    อย่าพูดเยอะน่า แผลยังไม่หาย...เดี๋ยวนะ––กี้ลุงบอกว่าชื่อ?”

    ทองดีอย่างไรเล่า? ทำไมเรอะ?”

    .........

    ———คงไม่ใช่สินะ?

    ۞۞۞

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×