คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #99 : Ep.17 - Adjure
UNagain.17 - Adjure
“ออกหมัดให้หนักแน่นกว่านี้!”
“ค่ะ!”
ฉึบ! เสียงแหวกอากาศดังขึ้นวูบหนึ่ง
ก่อนที่กำปั้นนั้นจะถูกสันมือของพาชอนฟาดใส่ดังเพี๊ยะจนตกฮวบ
เห็นดังนั้นชายฉกรรจ์จึงสบถว่า “บัดซบ! ข้าสอนเจ้าแล้วมิใช่เรอะ? ว่าให้เกร็งกำลังแขนไว้ด้วย!”
“ศ-ศิษย์ขออภัยค่ะ”
“ไม่ต้องแก้ตัว! ปล่อยหมัดอีกหนึ่งพันครั้ง”
“ค่ะ..!”
“ศิษย์น้องนี่ฝึกหนักซะจริงนะ”
ข้างๆลานฝึกนั้นเผยให้เห็นพวกไวโอเล็ตกำลังนั่งชมอยู่ห่างๆ
จากนั้นบัทเตอร์ฟรายจึงเอ่ยสำทับ “ถึงขนาด...ฝึกนอกรอบ” โดยมีคริซซี่พยักหน้า “ดูเหมือนศิษย์น้องจะมีเป้าหมายเป็นของตัวเองแล้วสินะ”
กระนั้นซีซี่กลับถอนหายใจ
“แต่ก็ยังอดเป็นห่วงไม่ได้อยู่ดีสินะฮ้าาา”
เฮ้อออ..!
ทั้งหมดถอนหายใจร่วมกัน
ก่อนจะจ้องมองการฝึกนอกรอบของสองศิษย์อาจารย์ต่อไป ตุบ! กระทั่งตอนนั้นเองที่แพทตี้ออกหมัดอันแผ่วเบาออกมา “แฮ่ก!...แฮ่ก!...แฮ่ก!” โดยไม่ทันตั้งตัว อาจารย์วิชายุทธ์นามว่าพาชอนก็ร่ำร้องว่า “ใครให้เจ้าหยุดมือ!?” พร้อมกับฟาดสันดาบเข้าข้อมือของเธอดัง
เพี๊ยะ! จนร่างบางทรุดลงไปกองกับพื้น
ด้านไวโอเล็ตเห็นดังนั้นจึงตื่นตระหนกคิดจะลุกเข้าไปช่วย
“ไม่เป็นไรศิษย์พี่!”
กระนั้นหญิงสาวกลับเอ่ยขัดขึ้นเสียงก่อน
———แพทตี้ค่อยๆยันตัวขึ้นจากพื้น
“นี่เป็นความผิดของศิษย์ ขออาจารย์โปรดให้อภัย”
“เฮอะ! ไม่อาจใช้อาคมได้! แถมยังไร้วิชายุทธ์อีก!
เจ้าน่ะมันสอนยากยิ่งกว่าหมูหมาเสียด้วยซ้ำ”
“อ-อึก! เป็นศิษย์ที่ไร้ความสามารถ”
“.....วาจาสุนัข! ชกลมอีกพันครั้ง!”
“อาจารย์!? แต่ศิษย์น้องเขาไม่ไหวแล้วนะคะ!” ในที่สุดไวโอเล็ตก็ทนไม่ได้ กระนั้นพาชอนกลับไม่เหลือบแล
กลับกันมันก็ตะโกนกลับไปว่า “อย่ามายุ่ง!” จนพวกเธอได้แต่สะอึกไปตามๆกัน พาชอนสบถ
“เจ้าไม่ได้ยินที่ข้าสั่งเรอะ!?”
“อึก! ศิษย์น้อมรับคำสอน”
ฟุ่บ! ฟุ่บ!
ฟุ่บ!
เสียงกำปั้นแหวกอากาศกับหยาดเหงื่อที่พุ่งออกไปตามแรงเฉื่อย
พวกไวโอเล็ตได้แต่มองการกระทำของแพทตี้อย่างกระอักกระอ่วน นี่มันอะไรกัน? ทำไมเจ้าต้องฝืนขนาดนี้ด้วย!?
พวกเธอคิดในใจอย่างนั้น ทว่าพอเห็นความตั้งใจของอีกฝ่ายทางนี้ก็เลยไม่ได้พูดออกไป
กระทั่งตอนนั้นพาชอนระเบิดโทสะออกมา
“บัดซบ! บัดดซบ! บัดซบ! ข้าสอนเจ้าไปหลายครั้งแล้วมิใช่เรอะ!?
ว่าให้เกร็งกำลังภายในไว้ แล้วนี่อะไร!? หมัดอ่อนปวกเปียกเช่นนี้เจ้าคิดจะเอาไปต่อยมดเรอะ?
หาาา..!?”
“ป-เป็นความผิดของศิษย์.....”
“เจ้าพูดเป็นอยู่คำเดียวรึไง!? เจ้าตัวโง่งม!
ไฉนเจ้าถึงได้สอนยากเย็นนัก”
“เป็นเพราะศิษย์โง่เขลาไม่เข้าใจในสิ่งที่อาจารย์สอนสั่ง
ศิษย์...ศิษย์...”
เปรี้ยง!
เสียงกัมปนาทดังก้อง พาชอนในตอนนี้กำลังหน้าแดงก่ำด้วยความโกรธ มันฟาดฝ่าจนถุงนวมแตกเผยให้เม็ดทรายพวยพุ่งออกมาดุจน้ำสายหนึ่ง
มันสะบัดชายผ้าคลุมแล้วคำรามว่า
“สิ้นสุดการสอน!”
มันเอ่ยอย่างมีน้ำโหก่อนจะปิดประตูดัง ปึง! ปล่อยให้ทั้งห้องปกคลุมไว้ด้วยความเงียบงัน
พวกศิษย์พี่ทั้งสี่พอเห็นอาจารย์จากไปแล้วจึงคิดที่จะเข้าไปช่วยพยุง
กระนั้นแพทตี้กลับบอกปัด
“ไม่เป็นไรศิษย์พี่ ชั้นยังไหว
ขอแค่ได้นั่งพักซักเดี๋ยวก็พอ”
“เจ้า! เฮ้อ...ช่วยไม่ได้สิน้า” ไวโอเล็ตถอนใจเบาๆ
ความดื้อด้านนี้พวกเธอได้รู้จักมันมาซักพักแล้ว จากนั้นซีซี่จึงว่า “เช่นนั้นพวกเจ๊ไปหาไรทานก่อนนะ ศิษย์น้องจะเอาอะไรไหม?” ซึ่งหญิงสาวก็ส่ายหน้า
“เอาเลยค่ะ ตอนนี้ชั้นยังไม่หิวเท่าไหร่”
“อืม ถ้าอย่างนั้นก็ดูแลตัวเองด้วย อย่าฝืนเด็ดขาดนะ”
คริซซี่ว่าเสร็จบัทเตอร์ฟรายผงกศีรษะหงึกๆราวกับจะบอกว่า ‘ใช่ๆ’
อยู่ยังไงอย่างนั้น พอเห็นท่าทีเป็นห่วงนี้แพทตี้จึงลอบอมยิ้มออกมาเบาๆ
จากนั้นจึงทั้งสี่ก้าวออกจากห้องฝึก
ปล่อยให้หญิงสาวนอนเหงื่อชโลมร่างกับพื้นทั้งอย่างนั้น เธอชูมือขึ้นฟ้า
แล้วมองลอดผ่านนิ้วมือทั้งห้าซึ่งมีแสงไฟนีออนสาดส่อง
เราจะต้องแข็งแกร่งให้มากกว่านี้
.....เราจะยอมแพ้ไม่ได้เด็ดขาด!
กึด!
.
.
“แหมๆ เข้มงวดจังเลยนะ”
เลยออกไปนอกห้อง หลังจากพาชอนจบการสอนแก่แพทตี้ ณ
จุดๆนั้นก็ปรากฏเค้าร่างของผู้อาวุโสหมู่ตึกบูรพาขึ้น เป็นจิวซือเมี่ยว
เมื่อเห็นดังนั้นมันจึงเบิกตากว้างเล็กน้อย ก่อนจะประสานมือคารวะ
“มิได้ๆ เป็นเพราะศิษย์คนนี้เป็นตัวโง่งมคนหนึ่ง
ดังนั้นข้าจึงต้องสอนสั่งผิดไปจากทุกที”
“ฮ่าฮ่าฮ่า! เจ้าที่ขึ้นชื่อว่าเป็นครูโฉดแห่งสำนัก
คงไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนวิธีสอนหรอกกระมั้ง?”
มันกระตุกคิ้ววูบหนึ่ง ก่อนจะเผยอยิ้มตอบกลับไป “อาจเป็นเช่นนั้นก็ได้” จากนั้นซื่อเมี่ยวจึงถาม “เหตุใดจึงต้องโกรธนางถึงเพียงนั้น?” คำถามนี้มีจุดประสงค์เพื่อปกป้องแพทตี้โดยเฉพาะ ชายฉกรรจ์มองเลยออกไป
“ข้าโกรธ เพราะมันชอบทำตัวต่ำต้อย อ้างว่าตนอ่อนแอมั่งล่ะ? อ้างว่าตัวเองไร้ความสามารถมั่งล่ะ? อ้างว่าตนโง่งมบ้างล่ะ? สุดท้ายก็ยังตอกย้ำตัวเองว่าใช้อาคมไม่ได้อีก คนที่คิดด้านลบเช่นนี้ไม่เหมาะแก่การฝึกวิชาที่จำต้องใช้ความทะเยอทะยานสูง”
“โฮ่? เจ้ากำลังจะบอกว่านางไร้ความรู้สึกที่อยากจะแข็งแกร่งงั้นเหรอ?”
“มิได้ ที่ข้ากำลังจะบอกคือนางใจอ่อนเกินไป”
“หืม?” ซือเมี่ยวปรากฎแววงุนงง
จากนั้นพาชอนจึงเสริมคำพูด “นางเป็นคนที่ขาดการเตรียมใจ
มีอุดมคติแต่ไร้อุดมการณ์ เป็นเช่นนี้ก็เท่ากับมีน้ำแต่ไร้ปากที่จะดื่ม
ศิษย์คนนี้ยังขาดความเชื่อมั่นและความเด็ดเดี่ยวอยู่”
“มันจะใช่อย่างที่เจ้าคิดจริงๆเรอะ?”
“ท่านหมายความว่า..?”
แทนคำตอบหญิงชราก็เบนศีรษะไปทางห้องฝึก
เมื่อเห็นดังนั้นพาชอนจึงหันมองตาม
ระหว่างทางเดินของเส้นขอบประตูธรณีนั้นเผยปรากฏประตูบานเลื่อนที่ปิดไม่มิดอยู่ตรงหน้า
เพราะอย่างนั้นก็เลยมองทะลุเข้าไปในห้องฝึกได้
ป่ง!
เสียงแหวกอากาศดังขึ้นพร้อมกับหยาดเหงื่อที่กระเซ็นออก
เสียงหอบหายใจดังกระชั้นชิดแทบขาดใจ ป่ง! หมัดที่สองดังขึ้นตามติด
ป่ง! ป่ง! ป่ง! จากนั้นกำปั้นที่สั่นสะท้านจึงถูกปล่อยออกไปนับครั้งไม่ถ้วน
ป่ง!!
“แฮ่ก...แฮ่ก...แฮ่ก...”
แม้อาจารย์จะจบการสอน ทว่าคำสั่งที่ทิ้งท้ายให้ทำยังคงอยู่
———คำสั่งที่ให้ชกลมหนึ่งพันครั้ง
ยามนี้หญิงสาวกำลังปฏิบัติตามอยู่ แม้จะล้า
แม้จะเหนื่อยจนแทบขาดใจ ทว่าเธอกลับไม่ลดละความพยายามนั้นเลยแม้แต่น้อย
เสียงลมหายใจและลมหมัดยังคงดังต่อเนื่อง ทางด้านพาชอนยามนี้กลับกลายเป็นอื้ออึ้ง
ส่วนซือเมี่ยวเองก็ยิ้มอย่างพึงพอใจ “เด็กคนนี้นับว่าใช้ได้” มันเช่นนี้
ก่อนจะเดินจากไปอย่างแช่มช้า
ด้านชายฉกรรจ์เมื่อเห็นการกระทำของศิษย์
ตนจึงได้แต่ถอนหายใจ
“เจ้านี่มันช่างดื้อรั้นเสียจริง
ให้ตายสิ”
.
.
“ศิษย์โง่..! อักษรตัวนี้ห้ามกดน้ำหนักเยอะเด็ดขาด!”
“ข-ขออภัยค่ะ”
วันต่อมาก็เป็นการฝึกสอนของซือเมี่ยว
ในคาบมีบรรยากาศสงบล่มเย็นโปรยปรายให้เห็น รอบข้างมีศิษย์จำนวนยี่สิบกว่าคนกำลังตวัดพู่กันจีนอยู่
บนโต๊ะของทุกคนนั้นล้วนมีแผ่นยันต์
———นี่คือคาบวิชาเขียนยันต์
อักษรที่เขียนคือ <มุทรา> ในภาษาฮินดูและภาษาพุทธ
กล่าวคืออักษรนี้เป็นคำใช้ร่วมของทั้งสองศาสนะ แพทตี้ไม่รู้จักพวกมัน
ขณะเดียวกันหล่อนก็ไม่ทราบด้วยว่ายันต์เหล่านี้เอาไว้ทำอะไร
เพราะนี่เป็นคาบแรกของเธอ หนนี้ไม่มีพวกศิษย์ทั้งสี่ เนื่องจากพวกเธอเรียนอยู่อีกระดับหนึ่ง
โดยสำนักจะแบ่งลำดับชั้นการเรียน
ได้แก่ ขั้นต้น ขั้นกลาง ขั้นปลาย ตามลำดับ
———แพทตี้อยู่ในขั้นต้น
ในกรณีที่คราวก่อนไปเจอกันในคลาสขั้นต้นของวิชายุทธ์
ก็เป็นเพราะพวกเธอเพิ่งจะลงเรียน ต่างกับคริซซี่ซึ่งเรียนจบวิชายุทธ์ขั้นปลายแล้ว
กลับมา ณ ปัจจุบัน ตอนนี้จิวซือเมี่ยวกลับสะบัดผ้าคลุมแล้วแค่นลมหายใจชักพาร่างตนไปยืนอยู่หน้าห้อง
แล้วกล่าว
“หยุดมือ!”
“ฮ่ะห์..!”
เหล่าศิษย์ขานรับ จากนั้นหญิงชราจึงเอ่ยปากถาม “เจ้ารู้ไหมว่ายันต์เหล่านี้เอาไว้ทำอันใด?” จากนั้นราวๆ 5-6 วินาทีจึงปรากฏศิษย์คนหนึ่งโพล่งขึ้น “ข้ารู้ขอรับ”
“เชิญ!”
“ข้าเคยได้ยินจากศิษย์พี่ว่ายันต์เหล่านี้เอาไว้เสริมความสามารถของอาคมขอรับ”
“อืม ไม่ผิดนัก เจ้าตอบได้ดี” ซือเมี่ยวว่าเสร็จจึงชูยันต์แผ่นหนึ่งขึ้น มันคือยันต์ <มุทรา> กระนั้นลายเส้นและความละเอียดอ่อนของอักษรกลับดูประณีตชัดราวกับเป็นงานพิมพ์
“นี่คือยันต์ที่ข้าเป็นคนเขียน”
นางเอ่ยเช่นนั้นก่อนจะเดินไปชักกระบี่ยาวเล่มหนึ่งออกมาจากชั้นวาง กิ้ง!
เสียงเสียดโลหะดังขึ้นเล็กน้อย
“ข้าจักแสดงวิธีใช้ยันต์ให้พวกเจ้าชม”
ซือเมี่ยวคีบยันต์ด้วยสองนิ้วแล้ววาดมุทราออกไป
นางเปรยเสียงดังชัดราวกับต้องการให้ทุกคนได้ยิน “จงหลอมรวมดั่งวัชระ!” ทันใดนั้นอักษรบนยันต์จึงเรืองแสงขึ้นระเรื่อ
ศิษย์ทุกคนล้วนตกตะลึงมองภาพตรงหน้าอย่างตื่นเต้นใคร่กระหายในความรู้
พอเห็นดังนั้นซือเมี่ยวจึงอมยิ้ม ก่อนจะแปะยันต์ไว้บนคมกระบี่
หนนี้นางร่ายอาคมตามปกติ ก่อนจะเปล่งคำพูดสุดท้ายว่า
“จงปรากฏต่อหน้าข้า【นารากะ • พาราห์】”
เปรี้ยง!
ทันใดนั้นเสียงฟ้าผ่าก็ดังก้องไปทั่ว ยันต์ซึ่งทาบกับคมดาบพลันลุกไหม้
จากนั้นไฟสีแดงเพลิงจึงโหมกระหน่ำปกคลุมไปทั่วกระบี่
น่าแปลกที่ซือเมี่ยวกลับนิ่งเฉยโดยไม่รู้สึกร้อนหนาว กลับกันเพียงแค่วาดมันออก
พรึ่บ!
เปลวไฟก็พลันเลือนหายไปสิ้น
เบื้องหน้าปรากฏให้เห็นกระบี่แปลกเล่มหนึ่ง
มันมีขนาดใหญ่กว่าเดิมเกือบเท่าตัว
ขณะเดียวกันก็มีไฟลุกโชดช่วงตลอดโดยไม่ต้องอาศัยพลังจิต
แก่นกลางกั่นดาบล้วนกลายเป็นสีเหล็กแดงเถือกสลักด้วยอักษรคร่ำครึดูน่าเกรงขาม
ความยาวของด้ามจับยามนี้กลับเลยพ้นออกไปเกือบสองถึงสามศอกเห็นจะได้
《อาคมหอก》 + 《กระบี่เหล็ก》
ผลลัพธ์จึงกลายเป็นอาวุธรูปร่างแปลกตาตรงหน้า
“พวกเจ้าอาจสงสัยว่าแล้วมันเป็นเช่นไรเล่า? ดังนั้นข้าจึงจะแสดงให้ดูว่านอกจากรูปร่างจะเปลี่ยนไปแล้ว––” ซือเมี่ยวเว้นคำพร้อมกับทะยานร่างออกไปนอกห้องซึ่งเป็นสวนหย่อม
“พลังกำลังเองก็แปรเปลี่ยนไปด้วยเช่นกัน!”
ทันใดนั้นเธอจึงแทงกระบี่ออกไป
เปรี้ยง!
ไม้ใหญ่ห้าต้นพลันล้มระเนระนาดในชั่วเสี้ยววิ ทุกคนถึงกับตระหนก
ใครๆในที่นี้ก็รู้ว่าอาคม【นารากะ • พาราห์】นั้นเป็นอาคมระดับ 4 จุดเพียงเท่านั้น อย่างมากก็สามารถทำให้ผนังหินแตกเป็นหลุมเล็กๆแบบเดียวกับที่กริชเคยแสดงต่อหน้าวีด
ทว่านี่มันอะไร? ความรุนแรงนี้มันพอๆกับอาคมระดับ
7-8 จุดเลยไม่ใช่เหรอ
เหล่าศิษย์เหล่าขบคิดอย่างนั้น
“ฮ่าฮ่าฮ่า
เป็นอย่างไรเล่า? สิ่งนี้คือวิชาที่เหล่านิรยบาลคิดค้นขึ้น เราเรียกมันว่า《สภาวะยันต์สถิต》มันจะสามารถยกพลังอำนาจของวัตถุในมือเจ้าให้แข็งแกร่งขึ้นได้ด้วยอาคม
ศาสตราชิ้นนี้มีอำนาจเทียบเท่าอาคมระดับ 8 จุด
กล่าวคือหากเจ้าใช้วิชายันต์กับอาคมใดก็ตาม อาคมนั้นจะยิ่งรุนแรงขึ้นเป็นสองเท่า”
ฮือฮาฮือฮา!
พอเอ่ยเช่นนี้ทุกคนก็ถึงกับส่งเสียงดังแซ่ดไปทั่ว แพทตี้เองก็เช่นกัน
แม้เธอจะไม่สามารถใช้อาคมได้ แต่ก็สามารถเขียนยันต์ช่วยเหลือแก่กริชได้
อย่างน้อยเราก็ยังมีประโยชน์บ้างล่ะน่า อืมๆ เธอพยักหน้าให้กับตัวเองเบาๆ จากนั้นซือเมี่ยวจึงยกมือขึ้นแทนสัญญาณบอกให้เงียบ
กระทั่งซุ่มเสียงจางลง เธอก็ว่า
“กระนั้นวิชานี้ก็ยังมีจุดอ่อน”
เปรี๊ยะ!
ทันใดนั้นกระบี่ในมือเธอจึงปรากฏรอยร้าวขึ้นเป็นทางยาว
จากนั้นเปลวไฟซึ่งลุกโชดช่วงจึงดับลง ขณะเดียวกันตัวกระบี่จึงร่วงโรยกลายเป็นผงทรายกองอยู่กับพื้น
พอเป็นเช่นนี้ทุกคนจึงกลับกลายเป็นอื้ออึง
“ก็อย่างที่เห็น
การจะใช้วัตถุรองรับอาคมจำต้องเป็นของที่เปี่ยมล้นไปด้วยความบริสุทธิ์
กระบี่นี้เป็นเพียงแค่โลหะผสมเท่านั้น ความบริสุทธิ์ของแร่ธาตุนั้นช่างต่ำต้อย
ดังนั้นมันจึงคงรูปได้เพียงนาทีกว่าๆ”
นางถอนหายใจ ก่อนจะร่ายมุทราแล้วซัดฝ่ามือออกไปเป็นลมหมุนจนฝุ่นทรายโผไปจากห้อง
“การใช้วิชายันต์ มีข้อห้ามอยู่สองข้อ หนึ่งวิชานี้นับเป็นท่าไม้ตายประการหนึ่ง
อนุญาตให้ใช้ต่อเหตุจำเป็นเท่านั้น เพราะในหนึ่งการใช้จะทำให้เจ้าเสียเมอร์ริธไปหนึ่งจุด
และสองคือห้ามใช้กับร่างกายเป็นอันขาด”
ทันใดนั้นซือเมี่ยวจึงเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง
“หากเจ้ายังมิอยากตายล่ะก็นะ”
۞۞۞
ความคิดเห็น