คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #2 : ALLY 00 :: พี่น้องฝาแฝด
ALLY 00
“ THE TWINS ”
บางทีมนุษย์ กับ ความตายอาจจะเป็นสิ่งที่อยู่คู่กัน
ความตายนั่นคือสิ่งที่ไม่อาจเลี่ยงได้ บางคนจบชีวิตเมื่อถึงยามชรา บางคนจับชีวิตด้วยเหตุไม่คาดฝัน
บางคนจบชีวิตด้วยฝีมือของมนุษย์ด้วยกันเอง
ในขณะที่บางคนเลือกจบชีวิตตนเองเพื่อวิ่งหนีปัญหาที่ต้องเผชิญ
เสียงไซเรนดังก้องกังวานภายในจัตุรัสกลางเมืองใหญ่
เสียงฝีเท้าเดินขวักไขว่จากทุกสารทิศต่างหยุดชะงัก เสียงพูดคุยเรื่องราวในชีวิตประจำวันถูกแทนที่ด้วยเสียงคุยจอแจจนฟังไม่เป็นศัพท์ นัยน์ตาทุกคู่ต่างจับจ้องไปยังหน้าร้านขายเกมแห่งหนึ่งด้วยความอารมณ์อันแสนหลากหลาย
เคยได้ยินไหมว่าสิ่งที่ทำให้มนุษย์พร้อมใจกันมองได้นั้นมีเพียงแค่สองอย่างเท่านั้น
นั่นคือ เรื่องราวดีๆ และ เรื่องราวสุดเลวร้าย ถ้าพูดถึงเรื่องราวดีๆ
คงเป็นป้ายลดราคาสินค้ากว่าเก้าสิบเปอร์เซนต์ตรงหน้าร้าน แต่นั่นก็มีแค่คนบางกลุ่มสนใจ ในขณะบางกลุ่มแทบไม่เหลียวมอง
...ถ้าสิ่งที่ทำให้พวกเขาหยุดนิ่ง...คือเรื่องร้ายล่ะ?
เลวร้ายสุดๆ เลย
กำแพงสีขาวนวลถัดจากประตูร้านไปไม่ถึงสิบเมตรถูกย้อมไปด้วยสีแดงจากโลหิตที่ไหลรินออกมาจากร่าง
...ไม่สิ ศพของคนแปลกหน้า เรือนผมสีบลอนด์สว่างซีกหนึ่งกลายเป็นสีเลือดเนื่องจากของเหลวไหลออกจากช่องขนาดเล็กที่ไม่ได้เกิดเองตามธรรมชาติบนศีรษะ
ดวงตาสีทองคล้ายกับแมวดูเลือนลอยราวกับเจ้าของร่างกายไม่ได้มีชีวิตอีกต่อไป
ทว่าถึงกระนั้นนัยน์ตานั้นก็ยังคงจ้องมองลงไปยังหน้าตักที่มีร่างของเด็กหนุ่มผู้คล้ายกันราวกับกระจกนอนหน้าคว่ำอยู่
ตรงท้ายทอยเต็มไปด้วยเลือดไหลออกจากปากแผล
ชายหนุ่มในชุดอาสาสมัครเดินเร็วๆ เข้ามาพร้อมกับเปล พวกเขามองร่างที่นั่งนิ่งโชกเลือดตรงหน้าก่อนยกขึ้นเปลจากระมัดระวัง ถึงแบบนั้นก็เถอะ ในความคิดของพวกเขานั้นชายหนุ่มที่หน้าคว่ำกับพื้นไม่น่ารอด แต่หน้าที่ของพวกเขาคือพาร่างไปยังโรงพยาบาลให้เร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ ไม่ว่าร่างนั้นจะมีชีวิตอยู่หรือกลายเป็นศพไปแล้วก็ตาม
ทันทีที่มาถึงจุดหมายคนหนึ่งถูกแยก
และ ส่งไปยังห้องเก็บศพ เพราะเจ้าตัวเสียชีวิตในทันที ส่วนอีกคนถูกส่งเข้าห้องฉุกเฉิน
เหล่าบุคลากรของทางโรงพยาบาลใช้เวลาอยู่ในห้องนั้นไม่กี่ชั่วโมงเลย
สุดท้ายผลออกมาว่าเสียชีวิตไปแล้วเหมือนกันทำให้ต้องย้ายศพไปห้องเก็บศพ
หลังจากนี้มาฟังเรื่องราวจากผู้เสียชีวิตทั้งสองกันเถอะ
ย้อนไปหกชั่วโมงก่อนหน้านี้
ห้องสี่เหลี่ยมจัตุรัสขนาดกลางถูกตกแต่งด้วยโทนสีสว่าง หากแต่กลับถูกปิดทับเอาไว้เพื่อป้องกันแสงจากดวงอาทิตย์ ร่างของชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของห้องนอนฟุบหน้าบนโต๊ะ เสียงนาฬิกาปลุกจากโทรศัพท์ดังก้องกังวานหลายนาทีทำให้เขาชายหนุ่มค่อยๆ ลืมตาขึ้นมองภาพตรงหน้าด้วยความรำคาญ มือสีซีดยกขึ้นขยี้ผมเบาๆ
ยิ่งทำให้เรือนผมสีบลอนด์ยุ่งเหยิงมากกว่าเดิม
ดวงตาสีทองจ้องหน้าจอมือถือเครื่องสีขาวพร้อมข้างหรี่ลงเล็กน้อยหลังจากรู้สึกว่าไม่ค่อยชินกับแสงจ้าบนหน้าจอ ทันทีที่เห็นตัวเลขเวลาบนหน้าจอเขาขมวดคิ้วเข้าหากันด้วยความหงุดหงิดพลางวางโทรศัพท์ไว้ที่เดิม
เฟลิกซ์ มอสเพียร์ ชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของห้องขยับตัวเบาๆ เพื่อคลายความล้าของร่างกายอยู่นาน จากนั้นตรงไปทำธุระส่วนตัวในยามเช้า ไม่สิ...ตอนนี้มันเกือบเที่ยงแล้วนี่
ใช้คำว่าสายดูจะเหมาะกว่าหรือเปล่านะ
อืม...ช่างเถอะ
หลังจากจัดการธุระทุกอย่างเสร็จ เฟลิกซ์สวมเสื้อยืดสีขาวกับกางเกงยีนส์ธรรมดาเดินออกจากห้องนอนตรงไปยังส่วนของจุดนั่งเล่น ที่นี่ไม่ใช่บ้านหลังใหญ่หรือหรูเลิศอะไร เป็นแค่คอนโดทั่วๆ ไป
เฟลิกซ์ยกมือขึ้นป้องปากหาวหวอดเล็กน้อย จังหวะที่กำลังเดินไปส่วนครัวนัยน์ตาสีทองเหลือบเห็นร่างชายหนุ่มอีกคนนอนหลับบนโซฟาทำให้เขาชะงักฝีเท้าพลางหันมองอีกรอบ คนที่นอนอยู่บนโซฟา คือ ไอแซค มอสเฟียร์ บุคคลที่มีใบหน้าเหมือนกับเฟลิกซ์อย่างกับแกะ อันที่จริงคงไม่แปลกเท่าไรที่ไอแซคมีหน้าตาเหมือนเขา...ก็หมอนี้เป็นน้องชายฝาแฝดนี้ ส่วนแตกต่างคงมีแค่การแบ่งผมคนละทิศกัน แต่นั่นแหละทำให้เวลายืนมองหน้ากันแล้วรู้สึกคล้ายกำลังส่องกระจก
ทว่าถึงหน้าตาจะเหมือนก็ตาม ใช่ว่าเสียงของพวกเขาจะเหมือนกันไปเสียทุกเรื่อง สิ่งที่ชัดที่สุดน่าจะเป็นเสียงของพวกเขา มันแตกต่างกันทั้งน้ำเสียง แล้วก็โทนด้วย...แต่ถ้าให้ดัดหรือเปลี่ยนโทนเสียงให้เหมือนฝาแฝดก็ไม่ยากเท่าไร
ชายหนุ่มผู้เป็นพี่ชายยืนนิ่งมองน้องชายตนเองนานก่อนใช้เท้าเตะต้นขาอีกคน
เพื่อเป็นการปลุกพร้อมกล่าวด้วยน้ำเสียงเมินเฉย
“เฮ้ ตื่นเดี๋ยวนี้”
“หา?”
เฟลิกซ์แน่ใจว่าไอแซคไม่ได้ตื่นเพราะเสียงเรียกหรอก
แต่เป็นเพราะแรงเตะต่างหาก
ชายหนุ่มผู้เป็นน้องยันตัวขึ้นนั่งบนโซฟาโดยที่ไม่ได้แม้แต่มองคนที่ปลุกตนเอง นัยน์ตาสีทองกวาดไปมองรอบห้องหลายรอบจนในที่สุดยอมเลื่อนขึ้นมองชายหนุ่มผู้มีใบหน้าพิมพ์เดียวกัน
ที่ตอนนี้กำลังยืนเท้าสะเอวมองอยู่
“...อรุณสวัสดิ์...”
ไอแซคพึมพำอย่างแผ่วเบาพร้อมล้มตัวลงนอนอีกรอบทำให้แฝดพี่เผลอทำหน้าเบื่อพลางบ่นเสียงห้วน
“จะนอนไปถึงเมื่อไร”
“เฮียเองวันนี้ท่าทางหลับยาวใช่เล่น เพิ่งเห็นย้ายก้นออกจากห้องได้”
อันนี้ไม่ขอเถียงแล้วกัน...
“วันนี้โดดซ้อม?”
เฟลิกซ์ถามต่อด้วยน้ำเสียงเอื่อยเฉื่อยเป็นผลให้น้องชายฝาแฝดเงยหน้าขึ้นมองเขาอีกครั้ง
สีหน้าไอแซคไม่มีแม้แต่ความกังวล หรือ รู้สึกผิดแม้แต่น้อยที่ตนเองโดดซ้อม
นอกจากไม่มีสีหน้ารู้สึกผิดใดๆ แล้ว
ชายหนุ่มที่นั่งบนโซฟายังแถมยังไหล่ราวกับบอกว่าไม่สนอะไรทั้งสิ้นอีก
ทำเอาพี่ชายอย่างเฟลิกซ์อดเอือมกับนิสัยไม่แคร์โลกของน้องตนเองไม่ได้
“ใช่ วันนี้ขี้เกียจเกินไป ขอผ่านแล้วกัน”
“หวังว่าคงไม่โดนไล่ออกนะ”
“ช่างสิ ใครสน”
ไอแซคตอบกลับพลางเอนตัวลงนอนอีกรอบ
ทางด้านเฟลิกซ์ถอนหายใจเบาๆ อย่างช่วยไม่ได้ นัยน์ตาสีทองกวาดมองภายในตู้เย็นที่เริ่มว่างเปล่าลงเรื่อยๆ
สบถอย่างแผ่วเบา
“ชิ”
“เป็นอะไรอีก?”
ดูเหมือนไอแซคจะหูดีเกินไป หรือไม่ก็
ตั้งใจฟังว่าพี่ชายกำลังจะบ่นอะไรไหม เฟลิกซ์ไม่รู้ว่าเพราะเหตุผลไหน
เอาเป็นว่าหมอนี้ได้ยินเสียงไม่พอใจของเขาจนต้องเอ่ยถาม
ชายหนุ่มผู้เป็นพี่ปิดตู้เย็นด้วยแรงระดับกลางจากนั้นหันไปคุยกับฝาแฝดตนเองต่อ
“ต้องออกไปซื้อของมาเพิ่มอีกแล้ว”
“นานๆ ทีออกไปรับแสงแดดบ้าง ตอนนี้ซีดจนจะเป็นศพแล้ว”
ยังมิวายหาเรื่องแขวะกันได้อีก ถึงตั้งใจแขวะพี่ชายก็เถอะ แต่ถามจริงไม่รู้สึกจุกบ้างรึไง เฟลิกซ์กลอกตาไปมาอย่างเอือมระอาพร้อมตอบกลับด้วยน้ำเสียงห้วนๆ
“ฉันออกไปเกือบทุกวันแหละ ยังกับไม่มีงานทำ แต่วันนี้วันหยุด ขออยู่บ้านหน่อยไม่ได้หรือไง แล้วก็ถ้าฉันซีดเหมือนคนตายนายก็พอๆ กันแหละ
คุณน้องชาย”
--- อีกอย่างนี่มันสีผิวธรรมชาติ แถมไม่ได้ซีดถึงขั้นคนตายสักหน่อย
ไอแซคหัวเราะในลำคอเบาๆ เมื่อถูกพี่ชายฝาแฝดตนเองตอบกลับแบบนั้น
ฝ่ายทันทีที่เห็นท่าทีที่ไม่มีอะไรจะพูดต่อนอกจากหัวเราะ เฟลิกซ์ยกนิ้วขึ้นชี้ไปยังตู้เสื้อผ้าราวกับเป็นคำสั่ง
“ไปแต่งตัวซะ”
“แล้วทำไมผมต้องไปด้วย?”
“พวกเราเป็นฝาแฝดกันไง”
...เหตุผลโลกไหนของพี่แกเนี่ย...
สาบานได้ว่าทันทีที่ได้ยินคำตอบนี้
ไอแซคถามหลุดอุทานอย่างงุนงงออกมา ถึงจะเป็นแฝดกันใช่ว่าจะเข้าใจกันทุกเรื่อง...แล้วก็เหตุผลแบบนี้มองยังพี่แกก็ขี้เกียจสรรหาคำพูดเสียมากกว่า
แต่ถึงกระนั้นคนน้องก็ยังทำตามที่พี่ชายบอกอยู่ดี
ไอแซคลุกพรวดขึ้นจากโซฟาพลางยกมือขึ้นหนึ่งขึ้นเหนือศีรษะพร้อมตอบกลับเสียงร่า
“รับทราบครับ คุณพี่ชาย!”
ไอแซคทำท่าคล้ายกับนายทหารรับคำสั่งจากผู้ที่มีตำแหน่งสูงกว่าตนเอง จากนั้นเดินผิวปากไปเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างสบายใจจนน่าหมั่นไส้
หลังจากเปลี่ยนชุดเรียบร้อยพวกเขาตรงไปห้างสรรพสินค้าโดยใช้รถไฟ
ความจริงมีรถยนต์อยู่นะ แต่ไอแซคเพิ่งทำพังจนต้องเข้าอู่ซ่อมไปเมื่อไม่กี่วันก่อน
ดังนั้นเลยต้องใช้รถไฟกัน พูดตามตรงพี่ชายฝาแฝดไม่ค่อยถูกกับรถไฟเท่าไร
ส่วนหนึ่งเพราะนิสัยขี้รำคาญของเจ้าตัวทำให้ไม่ถูกกับที่คนแออัด
ยังโชคดีที่วันนี้เป็นวันหยุด แถมยังช่วงบ่ายคนเลยไม่เยอะเหมือนวันปกติ
ทันทีที่รถไฟเทียบชาลาทั้งสองรีบก้าวลงพร้อมเดินเข้าไปภายในห้างขนาดกลางที่อยู่ห่างจากสถานีไม่ถึงห้าร้อยเมตร
ของที่ต้องซื้อก็มีแค่พวกวัตถุดิบสำหรับทำอาหาร เห็นแบบนี้เขาพอทำอาหารเป็นอยู่
ทางด้านไอแซคเดินหยิบพวกขนม แล้วก็เครื่องดื่มมาใส่ตะกร้าอย่างสบายอารมณ์ ไม่สนใจว่าใครเป็นคนออกเงินด้วย แน่นอนว่าเพราะมีเครื่องดื่มขวดใหญ่อยู่ในตะกร้าทำให้มันค่อนข้างหนักสำหรับเฟลิกซ์
หนักแล้วยังไงต่อเหรอ...?
ยัดใส่มือน้องชายฝาแฝดสิ
ผู้เป็นพี่ชายยื่นตะกร้าพลาสติกให้ฝาแฝดด้วยสีหน้าเรียบนิ่งทำเอาไอแซคเผลอเลิกคิ้วนิดๆ
ก่อนรับตะกร้ามาถือไว้ ถ้าเทียบกันแล้ว คนที่ออกกำลังกายประจำอย่างไอแซค
กับ คนที่ไม่ค่อยออกแรงทำอะไรเลยอย่างเฟลิกซ์ น้องชายฝาแฝดต้องแข็งแรงกว่าเขาอยู่แล้ว
เพียงแต่มองจากภายนอกมันดูไม่ค่อยออกเท่านั้นเอง
เมื่อซื้อของทุกอย่างเสร็จทั้งสองตัดสินใจกลับห้องของตนเองในทันที
หากแต่ระหว่างทางผู้เป็นน้องชายกลับเหลือบไปเห็นป้ายบางอย่างเข้าทำให้เขาฉุดพี่ชายตนเองไว้
เฟลิกซ์ชะงักฝีเท้าทันทีที่อีกคนดึงตนเองไม่ให้เดินต่อ คิ้วขมวดเข้าหากันนิดๆ และ
หันมองชายหนุ่มที่มีใบหน้าพิมพ์เดียวกัน
“จู่ๆ
จะฉุดไว้ทำไมเนี่ย”
“โปรโมชั่นลดราคาสินค้า”
“หืม?”
คำตอบของไอแซคทำให้เฟลิกซ์มองตาม
นัยน์ตาสีทองจ้องมองป้ายขนาดใหญ่ที่ติดอยู่ตรงหน้าร้านเกมใกล้ๆ กับห้างสรรพสินค้า
ลดเกือบครึ่งเลยล่ะ แถมวันนี้วันสุดท้ายด้วย จังหวะที่เขาเหลือบมองน้องชายฝาแฝดนั้นบังเอิญเป็นจังหวะเดียวกับไอแซคมองมาทางนี้พอดีทำให้กลายเป็นการจ้องตากันอยู่พักใหญ่
ทั้งสองก้าวเข้าประตูร้านโดยที่ไม่มีใครกล่าวชวน
หรือ ออกปากว่าไปกันเถอะเลยแม้แต่คนเดียว พูดง่ายๆ
ก็เข้าใจสิ่งที่แฝดตนเองต้องการสื่อแหละ แถมหลายๆ ครั้งพวกเขามักคิดเหมือนกัน
เลยกลายเป็นว่าทำอะไรแบบเดียวกันเป๊ะๆ หลังจากเดินในร้านพักใหญ่
เฟลิกซ์ปรายตามองไอแซคที่เดินตามหลังโดยอัตโนมัติ
...แต่หมอนั้นหายหัวไปไหนแล้วไม่รู้
เอาเถอะ
พอได้เกมที่ต้องการแล้วยังไงหมอนั้นก็ต้องตามหาเขาอยู่ดี ดังนั้นเดินดูไปเรื่อยๆ
จนกว่าไอแซคจะมาหา หรือ โทรตามก็ไม่เห็นเป็นอะไร
ชายหนุ่มผมบลอนด์มองชั้นวางแผ่นเกมโดยไม่ได้ใส่ใจมากนักว่าตนเองอยู่ตรงไหนของร้าน
จนกระทั่งเริ่มเห็นการตกแต่งชั้นวาง รวมทั้งปกเกมเกือบทั้งหมดเป็นโทนสว่างสดใส
อย่างเช่น สีขาว ชมพู ฟ้า จะมีโทนมืดบ้างแต่ไม่เยอะ แถมปกโทนมืดยังให้ความรู้สึกเซ็กซี่แปลกๆ เมื่อเห็นดังนั้นนัยน์ตาสีทองเหลือบขึ้นมองป้ายที่อยู่เหนือศีรษะตนเองเล็กน้อย
....Otome Game…
--- โซนนี้เกมสำหรับสาวๆ สินะ
เขาถอยหายใจเบาๆ ก่อนถอยห่างจากชั้นวางสินค้า หากแต่เพราะเฟลิกซ์ไม่ได้มองทางบวกกับใครบางคนเดินสวนมาอย่างเร่งรีบทำให้ไหล่ชายหนุ่มเผลอชนแขนคนๆ
นั้น ชายหนุ่มเจ้าของดวงตาสีทองหันมองคนที่ตนเองเผลอชนอย่างรวดเร็ว
ทว่าก่อนที่จะมองใบหน้าของคนๆ นั้นเสียงกล่องสินค้าหล่นลงพื้นกลับดังขึ้นมาเสียงก่อนทำให้เฟลิกซ์เลื่อนสายตามองทางนั้นแทน
“ขอโทษ...” ชายหนุ่มผมบลอนด์กล่าวพลางก้มลงหยิบกล่องสินค้าที่หล่นใกล้ๆ
เท้าตนเองยื่นให้เด็กสาวแปลกหน้า
“ไม่เป็นไรค่ะ ฉันเองก็ไม่ทันระวัง”
เธอก้มศีรษะนิดๆ ราวกับเป็นการขอโทษตนเองเดินชนก่อนเดินก้มๆ
ออกจากร้านไปอย่างรวดเร็ว ทางด้านเฟลิกซ์ หลังจากยื่นกล่องสินค้าให้เด็กสาว
ชายหนุ่มผมบลอดน์ชายตามองป้ายโปรโมทที่ตั้งอยู่ด้านหลัง
กล่องสินค้าเมื่อกี้คือเกมเดียวกับป้ายนี่สินะ
ชายหนุ่มก้าวเข้าไปหยุดหน้าชั้นวางสินค้าก่อนหยิบแผ่นเกมที่วางโชว์ออกมาดู
ทว่าระหว่างกำลังยืนอ่านปกหลังอยู่นั้น
ชายหนุ่มรู้สึกเหมือนกำลังถูกมองทำให้นัยน์ตาสีทองเริ่มกวาดมองรอบๆ
ก่อนหยุดลงเมื่อเห็นเด็กสาวกลุ่มหนึ่งยืนอยู่ห่างๆ ความจริงมันก็ไม่อะไรมากหรอก
ถ้าพวกเธอไม่มองเขาเป็นระยะๆ แบบนี้น่ะ หากแต่ถึงกระนั้นเฟลิกซ์ก็เลือกไม่ใส่ใจ
ชายหนุ่มยืนเท้าสะเอวอ่านปกหลังด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง จนกระทั่งมีเสียงอันคุ้นเคยดังขึ้นมาภายในโสตประสาท
“ทำอะไรอยู่น่ะ”
เสียงทักของน้องชายฝาแฝดดังขึ้นมาข้างหูทำให้เขาหันมองพลางชูแผ่นเกมขึ้นให้อีกคนดูแทนคำตอบ
ไอแซคยักมือขึ้นลูบคางก่อนทำหน้าประหลาดใจสุดขีด
จากนั้นกล่าวต่อด้วยน้ำเสียงร่าเริง
“หายากนะที่เฮียจะสนใจ”
“เปล่า ก็ไม่ได้สนใจนี่”
เฟลิกซ์ตอบกลับเสียงเรียบๆ
พร้อมวางแผ่นเกมทีเดียว
ทางด้านไอแซคเชิดหน้าขึ้นนิดหน่ออยก่อนทำเสียงคล้ายกับกำลังสงสัยออกมา
“แล้วทำไมถึงมาอยู่ตรงนี้ได้”
“แค่เดินเรื่อยๆ แล้วบังเอิญมาถึงเองน่ะ”
ผู้เป็นพี่ชายตอบพลางหันไปจ้องตาน้องชายฝาแฝดตนเองนานก่อนถามต่อด้วยน้ำเสียงห้วนๆ
“นายคิดว่าหน้าตาฉันดูแย่ไหม?”
“..ไม่นี่ หล่อออก”
ไอแซคยืดอกอย่างมั่นใจ สาบานว่าแวบแรกแอบสงสัยว่าจะมั่นอกมั่นใจไปเพื่ออะไร ทั้งๆ
ที่พี่ชายถามถึงหน้าตาของเขา แต่พอมานึกอีกที...
... สาบานคำชมว่านั่นไม่ได้ตั้งใจชมเฟลิกซ์หรอก
แต่เนียนยอตัวเองล้วนๆ
ความจริงไม่ควรถามคำถามแบบนี้กับฝาแฝดตัวเองเลยด้วยซ้ำ...
ชายหนุ่มผมบลอนด์กลอกตาไปมาอย่างเบื่อหน่าย
ในขณะที่น้องชายมองรอบๆ อย่างกระตือรือร้น
จนกระทั่งเห็นป้ายโปรโมทขนาดใหญ่ที่อยู่ไม่ห่างทำให้เขาบ่นพึมพำออกมา
“ป้ายใหญ่ชะมัด”
“เพราะกำลังดังล่ะมั้ง”
ตอบกลับโดยไม่แม้แต่หันดู มองยังไงก็กำลังพูดส่งเดชชัดๆ แต่คนน้องดันถามต่อไปได้อีก
แม้พี่ชายจะตอบมั่วๆ ก็ตาม
“วางขายครั้งแรกตอนไหนนะ?”
“จะรู้ไหม”
คำตอบของเฟลิกซ์ทำให้ไอแซคหัวเราะในลำคอเบาๆ พลางหยิบแผ่นเกมออกมาจากชั้นวาง
เขานิ่งไปพักใหญ่ก่อนพึมพำอย่างแผ่วเบา...แต่ยังไงคนที่ยืนอยู่ใกล้สุดๆ
อย่างเฟลิกซ์ก็ได้ยินอยู่ดี
“เซียนน่า ฟีโอเร่”
“ใครล่ะ นั่น” ผู้เป็นพี่ถามในขณะที่คิ้วข้างหนึ่งยักนิดๆ
“นางเอกไง”
ไอแซคตอบเป็นผลให้ชายหนุ่มข้างตัวผงกศีรษะเบาๆ
เขายืนรอน้องชายฝาแฝดอ่านปกหลังของแผ่นนานพอสมควร นัยน์ตาสีทองมองตัวเลขเวลาในโทรศัพท์ก่อนตัดสินใจสะกิดฝาแฝดตนเอง และ
กล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง
“กลับบ้านได้แล้วมั้ง”
“อ่า โทษที เฮีย”
ชายหนุ่มผู้มีใบหน้าพิมพ์เดียวกันตอบกลับพร้อมหยิบวางแผ่นเกมลง
และ หยิบแผ่นที่อยู่ด้านหลังออกมาแทนทำให้เฟลิกซ์ถามอย่างงุนงง
“ซื้อด้วยเหรอ?”
“แน่นอน”
ไอแซคตอบอย่างร่าเริงพร้อมเดินไปยังเคาน์เตอร์โดยที่มีเฟลิกซ์ตามหลังมาติดๆ
หลังจากที่ชำระเงินเสร็จทั้งสองเดินก้าวออกจากร้านเพื่อตรงไปยังสถานีรถไฟ...หากแต่จู่ๆ
ไอแซคกลับสะกิดเบาๆ ทำให้เฟลิกซ์หยุดเดินพร้อมหันมอง
นัยน์ตาสีทองฉายแววความงุนงงในตัวนิดหน่อยก่อนน้องชายฝาแฝดจะกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงปกติของเจ้าตัว
“เฮียช่วยยื่นมือออกมาที”
“เพื่ออะไร?”
“เอาเถอะน่า”
แม้จะงุนงงในระดับหนึ่ง แต่สุดท้ายเฟลิกซ์ก็ยื่นมือออกมา
น้องชายฝาแฝดยกมือข้างหนึ่งขึ้นจับมือเขาก่อนยิ้มกว้างจนเห็นเขี้ยวแหลม ไอแซคจ้องมือของพี่ชายตนเองครู่หนึ่งก่อนเงยขึ้นมองใบหน้าเฟลิกซ์
และ อ้าปากพูดสิ่งที่ตนเองต้องการบอกกับพี่ชายออกมา
“จะว่าไป----”
ยังไม่ทันที่ผู้เป็นน้องชายจะกล่าวสิ่งที่ตนเองต้องการบอกออกมาจบเลยด้วยซ้ำ
ไม่สิ เพิ่งเริ่มอ้าปากแค่คำเดียวเสียมากกว่า ร่างของไอแซคทำท่าคล้ายจะล้มลง
หากแต่เพราะเจ้าตัวจับมือพี่ชายฝาแฝดอยู่ทำให้เฟลิกซ์สามารถพยุงร่างของเขาให้ยืนต่อไปได้
ใช่ มันควรเป็นแบบนั้นแหละ
ภาพที่ไอแซคกำลังล้มลงนั้นช่างเหมือนภาพสโลว์ชั่วขณะ
หากแต่ยังไม่ทันได้เห็นร่างล้มพับลงกับพื้นเลยด้วยซ้ำความรู้สึกเหมือนบางอย่างกระแทกเข้าที่ศีรษะเกิดขึ้น ขาทั้งสองข้างอ่อนแรงอย่างฉับพลันบวกกับน้ำหนักของน้องชายฝาแฝดที่จับมือตนเองไว้ทำให้ร่วงลงนั่งกับพื้นอย่างง่ายดาย
ทัศนวิสัยที่เคยแจ่มชัดเริ่มพร่ามัวผสมกับของเหลวสีแดงปนดำไหลลงมายังดวงตาทั้งสองข้าง
อวัยวะที่ใช้สำหรับเคลื่อนไหวเกิดอาการชาจนขยับตัวไม่ได้ โลหิตไหลรินออกจากช่องว่างขนาดเล็กบนศีรษะ
เฟลิกซ์แยกไม่ออกว่าความร้อนที่รู้สึกถึงมันมาจากโลหิตหรืออะไรกันแน่
แต่ในตอนนี้ความเจ็บปวดกลับน้อยนิดผิดกับแผลฉกรรจ์ ความรู้สึกมากมายเหล่านั้นเกิดขึ้นไม่ถึงนาทีเลยด้วยซ้ำก่อนทุกอย่างจะวูบดับไป
ราวกำลังเคลิ้มหลับไปเสียมากกว่า
ยังไม่ทันได้ตั้งตัว ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
แถมยังไม่ทันได้คิดอะไรเลย
...
......
“นี่เธอ ยังมีชีวิตอยู่รึเปล่า...ได้ยินไหม เฮ้?”
ความคิดเห็น