ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Fic Black Butler | OC] The crimson roses ชะตาสีเลือด [LIAR'S FATE SERIES #2]

    ลำดับตอนที่ #8 : บทที่7 ประทับใจ

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1K
      46
      30 เม.ย. 64

    บทที่7 ประทับใจ

                แดริลกลับมาอีกครั้งพร้อมถาดใบใหญ่  ภายในถาดคือจานใส่เนื้อสดที่ถูกแล่อย่างสวยงามเรียงอยู่จนเต็ม  เขาวางมันลงตรงหน้าหญิงสาวก่อนจะหยิบขวดบนชั้นมารินน้ำสีแดงสดลงในแก้ววางคู่กัน

                หญิงสาวมองดูเนื้อที่ถูกแล่อย่างดีแล้วก็อดจะพึมพำไม่ได้

                “น่าเสียดายที่ไม่ได้กินเนื้อมนุษย์สด ๆ”

                อันเดธไม่ได้กินเลือดเนื้อเพื่ออิ่มท้อง  แต่กินไอวิญญาณในเลือดเนื้อเหล่านั้นให้อิ่มท้องต่างหาก  ดังนั้นการกัดกินมนุษย์ทั้งที่ยังเป็น ๆ อยู่จึงเป็นสิ่งที่ดีที่สุดเพื่อจะสามารถสูบไปวิญญาณได้มาก  หากตายแล้วไอวิญญาณก็จะหลุดออกจากร่าง  อันเดธอย่างพวกเธอไม่อาจกินวิญญาณทั้งดวงเข้าไปได้  ทำได้แต่เพียงสูบไอผ่านเลือดเนื้อ  จึงกล่าวได้ว่าเป็นอันเดธก็ไม่นับว่าง่ายเลย

                ชายหนุ่มเห็นอีกฝ่ายบ่นเข้าก็อดจะยิ้มอย่างเข้าอกเข้าใจไม่ได้  แม้เนื้อเหล่านี้จะใช้ของวิเศษเก็บรักษาแต่ก็ยังไม่สามารถเก็บไอวิญญาณไว้ได้ทั้งหมด  ไม่แปลกที่เจ้าหล่อนจะบ่นอุบ

                อาเคร่าไม่ได้บ่นต่อ  เธอก้มหน้าก้มตาทานเนื้อสดตรงหน้าอย่างเงียบ ๆ  แดริลมองสาวเจ้าทานอย่างเพลิดเพลิน  กิริยามารยาทของเด็กคนนี้น่ามองยิ่ง  แม้กำลังกินสิ่งที่น่าขนลุกอย่างเนื้อคนสด ๆ ก็ยังมองแล้วชวนให้รู้สึกสบายหูสบายตาอย่างที่สุด

                “ทำไมถึงเจ็บหนักขนาดนี้ได้ล่ะ?”

                เขาอดจะถามไม่ได้เมื่อพบว่ากลิ่นหอมเย้ายวนของเลือดจากร่างอันเดธสาวตรงหน้านั้นแม้จะชะล้างไปมากแล้วก็ยังตลบอบอวล  จึงค่อนข้างมั่นใจว่าครั้งนี้หล่อนคงเจ็บหนักทีเดียว

                อาเคร่าพักดื่มโลหิตเล็กน้อยจึงตอบอย่างราบเรียบ

                “ประมาทไปหน่อย  ไม่คิดว่ามันจะใช้วิธีสิงร่างผู้อื่นมาโจมตีเช่นนี้”  เธอหยุดเล็กน้อย  ดวงตาหลุบต่ำอย่างไร้อารมณ์  “น่าเสียดายที่จับไว้ไม่ได้”

                “แค่ไม่เป็นอะไรมากก็ดีแล้ว”

                เขาพูดปลอบด้วยรอยยิ้ม  แม้ลึก ๆ แล้วเขาเองจะแอบเสียดายไม่ต่างกันก็ตาม

                เจ้าวิญญาณร้ายนั่นเป็นตัวอันตรายโดยแท้  การที่สามารถจัดการมันได้เร็วเท่าไหร่ก็ยิ่งดีเท่านั้น  เพราะการที่ปล่อยให้มันลอยนวลนานเท่าไหร่  ความเสียหายก็จะมากขึ้นตามไปด้วย

                หลังจากที่คิดอะไรเพลิน ๆ ได้ครู่หนึ่ง  เมื่อรู้สึกตัวก็พบว่าหญิงสาวนั้นทานอาหารเสร็จเรียบร้อยแล้ว  เธอใช้ผ้าซับมุมปากของตนอย่างเบามือ  กล่าวไม่ช้าไม่เร็ว

                “ขอบคุณสำหรับอาหาร”

                “ด้วยความยินดีครับ”

                เขากล่าวตอบกลั้วหัวเราะ

                หญิงสาวไม่ได้ลุกไปไหน  เธอหลุบดวงตาลงต่ำ  มือลูบเบา ๆ ไปที่จุดซึ่งเคยถูกแทงเมื่อก่อนหน้านี้  ไม่รู้ว่ากำลังครุ่นคิดสิ่งใด

                “...เจ้านั่นตอนมีชีวิตคงแข็งแกร่งมาก”

                คำพูดอันไม่มีปี่มีขลุ่ยทำชายหนุ่มชะงักมือที่กำลังเอื้อมไปหยิบจาน  ก่อนที่เขาจะหัวเราะออกมาเบา ๆ  ยกจานไปเก็บ  เมื่อกลับมาก็พูดด้วยน้ำเสียงคล้ายไม่ใส่ใจ

                “สุด ๆ เลยล่ะ”

                อาเคร่ามองใบหน้าด้านข้างของหมาป่าหนุ่มนิ่ง

                “ขนาดนายยังพูดแบบนี้  คงแข็งแกร่งมากจริง ๆ”  เธอกล่าว  “วิญญาณที่เคยไปเยือนนรกโดยปกติถึงจะยังคงมีความรู้สึกนึกคิด  แต่ก็ถูกดึงดูดได้ง่าย  การที่มันสัมผัสได้ถึงพลังของฉัน  ปกติก็ควรพุ่งเข้าใส่อย่างหิวกระหาย  แต่มันกลับระแวงราวกับพวกที่ยังคงมีร่างเนื้อ”

                แดริลส่งเสียงในลำคออย่างเห็นด้วย

                “ถึงจะดูโง่เง่าไปบ้าง  แต่ในฐานะของวิญญาณที่เคยไปเหยียบนรกมาแล้ว  เจ้านั่นถือว่าแข็งแกร่งและฉลาดจนผิดปกติเลยล่ะ”

                ที่เป็นเช่นนี้ก็เพราะไฟในนรกนั้นสามารถสลายดวงวิญญาณของพวกมันได้  เจ้าพวกนี้จึงอ่อนไหวต่อพลังวิญญาณที่แข็งแกร่งอย่างมาก  เพราะพออ่อนแอ  สัญชาตญาณในการอยากมีชีวิตรอดก็จะทำงาน  พวกมันจึงมักพุ่งไปหาพลังวิญญาณที่เข้มข้นกว่าหมายจะกลืนกินอย่างไร้สติ

                ทว่าเจ้านั่นกลับต่างออกไป  เมื่อมันสัมผัสได้ถึงอาเคร่าที่ไม่เพียงมีดีเฉพาะพลังวิญญาณอันแข็งแกร่ง  แต่ทั้งเลือดที่หอมหวาน  เวทมนตร์อันเข้มข้นและบริสุทธิ์จากการที่เป็นแม่มด  ซึ่งล้วนเป็นสิ่งที่ดึงดูดวิญญาณหลบหนีเหล่านี้ได้เป็นอย่างดี  ไม่เว้นแม้แต่พวกปีศาจที่ยังคงมีลมหายใจก็ล้วนไม่อาจหักห้ามใจที่จะเสี่ยงเพื่อลิ้มรสอาหารอันโอชะนี้สักคำสองคำ  แม้ว่านั่นจะต้องแลกด้วยชีวิตก็ตาม

    ทั้ง ๆ ที่เป็นเช่นนั้น  มันกลับหวาดกลัวอาหารจานนี้และหนีหายไปจนไกลลิบด้วยความหวาดระแวง  คาดว่าหากอาเคร่าไม่ได้ได้รับเข็มกลัดล่ะก็  ภารกิจที่ได้รับมาคงไม่มีทางคืบหน้าเป็นแน่

                “ดูท่า...พวกเราคงได้อยู่ที่นี่อีกยาวเลยล่ะ”

                แดริลกล่าวขึ้น  หญิงสาวได้ยินเช่นนั้นจึงพยักหน้าเห็นด้วย

                เธอลุกขึ้นยืน  แต่ก่อนที่จะได้ขยับไปไหนลมหอบหนึ่งก็พลันเข้าปะทะร่างเบา ๆ  ก่อนที่แขนข้างหนึ่งจะถูกคว้าไว้โดนแดริลที่โผล่มาอยู่ด้านหลังของเธอในชั่วพริบตา

                เขามองเธอด้วยสีหน้าที่เหมือนจะบ้าคลั่งอยู่เล็กน้อย  แต่เขาก็ไม่ได้ทำอะไรไปมากกว่าคว้าแขนของเธอเอาไว้จากด้านหลัง

                ชายหนุ่มเลียริมฝีปากที่แห้งผากของตน  ยิ่งอยู่ใกล้กลิ่นหอมหวานเย้ายวนจากร่างอรชรก็ยิ่งรุนแรง  เขารู้สึกเหมือนตัวเองจะขาดสติได้ทุกเวลา  และความต้องการเพียงหนึ่งเดียวก็คือการเข้าขย้ำเรือนร่างของหญิงสาวผู้นี้ให้แหลกเละแล้วสูบเลือดเนื้ออันหอมหวานให้หมดไม่มีเหลือ

                อาเคร่าไม่ได้สนใจเลยสักนิดว่าชายหนุ่มจะกำลังมองตนด้วยสายตาคมปราดเพียงใด  เธอคิดเพียงว่า  หากเขากล้ากัด  เธอก็กล้าตัดคอของเขาเช่นเดียวกัน

                “หึ ๆ”

                แดริลหัวเราะออกมา  ก้มหน้าลงไปกระซิบข้างหูของหญิงสาวเสียงสั่นคล้ายกำลังหัวร่อไปด้วย

                “น่ากินจังน้า”

                หล่อนเอียงหัวมองด้วยหางตา

                “แล้วกล้ากินไหมล่ะ?”

                คำถามราบเรียบไร้อารมณ์  แต่เขามั่นใจว่ามันได้แฝงแววท้าทายเอาไว้อย่างเต็มเปี่ยมเพียงใด  และเขาก็มั่นใจอย่างมากว่าการสังหารเขานั้น  เด็กคนนี้กล้าทำอย่างไม่ต้องสงสัย
                เขายกมือยอมแพ้  เดินกลับไปอยู่หลังเคาน์เตอร์บาร์ดังเดิม

                เธอมองดูเขาอยู่ครูหนึ่งก่อนจะเดินออกจากร้านไปอย่างเงียบงัน

                แดริลมองเหม่ออยู่ที่ประตูที่ปิดลง  เขาถอนหายใจ  เมื่อสักครู่เขาหลงหน้ามืดไปวูบหนึ่งจึงได้พุ่งตัวเข้าไปหาอีกฝ่าย  แล้วก็ต้องตระหนกจนได้สติ  เมื่อทันทีที่เขาถึงตัวเด็กคนนั้น  พลังที่มองไม่เห็นทว่าสามารถปลิดชีพเขาได้ง่าย ๆ ก็บีบรัดลำคอของเขาไว้แน่น

                เขาอดจะหัวเราะออกมาไม่ได้

                “เป็นเด็กที่ดุจังน้า...”

     

     

                อาเคร่ากลับมายังคฤหาสน์  และได้ทราบข่าวว่าหลังจากวอแวอยู่นาน  ในที่สุดชิเอลก็ยอมแพ้และให้คนทั้งสองอยู่ค้างคืนในคฤหาสน์จนได้

                เธอไม่ได้ไปปรากฏตัวให้ใครเห็นเป็นพิเศษ  เพียงฝากคำพูดผ่านทานากะเพื่อให้อีกฝ่ายช่วยแจ้งว่าตนกลับมาแล้วแก่นายน้อยให้แล้วเตรียมที่จะกลับห้อง  ไม่คาดว่าพอชายชราตัวเล็กเดินเข้าห้องไปได้ไม่นาน  โซมาก็พุ่งพรวดออกมาแล้วกระโดดมาหยุดอยู่ตรงหน้าเธอ

                “เจ้ากลับมาแล้ว”

                เขาพูดอย่างออกจะตื่นเต้นอยู่...มากทีเดียว

                อาเคร่า  “...”

                อืม...เจ้าชายผู้นี้ช่างเป็นคนที่...สดใสร่าเริงซะจริง?

                อัคนีที่ก้าวตามผู้เป็นเจ้าชายออกมาส่งยิ้มขอโทษขอโพยให้แก่หญิงสาว  เขาเองก็จนใจที่จะห้ามปรามผู้เป็นนายของตนได้เช่นกัน

                “มีอะไรให้ดิฉันรับใช้รึเปล่าคะ?”

                เธอถามออกไปอย่างสุภาพ  สีหน้าเรียบเฉยดุจเดิมไม่แปรเปลี่ยน

                เจ้าชายโซมาชะงักไปเล็กน้อย  แน่นอนว่าเขาก็แค่สนใจอีกฝ่ายเท่านั้นจึงอยากลองสนทนาด้วยดู  แต่พอเห็นว่าอีกฝ่ายหน้าตาไร้อารมณ์เพียงใดก็เกิดพูดไม่ออกขึ้นมา

                เอ่อ...คงไม่ใช่ว่าเขาถูกเกลียดหรอกนะ

                คล้ายว่าจะรับรู้ได้ถึงความกังวลใจของชายหนุ่ม  อาเคร่ายกมือขึ้นแตะใบหน้าของตน  กล่าวไม่ดังไม่เบาเป็นเชิงขออภัย

                “ที่เห็นเป็นเช่นนี้เป็นเพราะดิฉันไม่สามารถแสดงอารมณ์ออกมาทางสีหน้าได้  หากว่ามันทำให้ท่านรู้สึกว่ามันน่ารังเกียจ  ดิฉันก็ต้องขออภัยจริง ๆ ค่ะ”

                “จะเป็นแบบนั้นได้ยังไง!”

                เขารีบร้องปฏิเสธทันที  น่ารังเกียจ?  เขามีแต่รู้สึกว่าผู้หญิงคนนี้น่าสนใจมาก  จึงนึกกังวลว่าที่อีกฝ่ายเอาแต่ตีสีหน้าเรียบเฉยแท้จริงแล้วเป็นเพราะรังเกียจตนที่พูดมาก  ไม่เคยมีความคิดไม่พอใจหรือรังเกียจเดียดฉันท์ใด ๆ ต่อหญิงสาวผู้นี้เลยสักนิด

                โซมาโบกมือไปมาอย่างร้อนรนครู่หนึ่งจึงรีบพูด

                “ขะ ข้าแค่เห็นว่าเจ้าเอาแต่ทำหน้านิ่งจึงกังวลว่าข้าได้เผลอไปทำให้เจ้าไม่พอใจหรือไม่เท่านั้น  ข้าไม่ได้รังเกียจเจ้าเลยสักนิดจริง ๆ นะ!        

                อาเคร่าได้ยินดังนั้นก็โค้งตัวเบา ๆ

                “เช่นนั้นก็ขอบพระคุณมากค่ะ”  เธอเงียบไปเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยออกมาเสียงเบา  “ส่วนดิฉันเองก็ไม่เคยไม่พอใจท่านเช่นกันค่ะ”

                ชายหนุ่มได้ยินแล้วก็ฉีกยิ้มออกมาอย่างโล่งอก

                โซมามองใบหน้าของอีกฝ่าย  ถูมือไปมาด้วยความตื่นเต้นระคนขัดเขิน

                “ได้ยินจากเซบาสเตียนว่าไม่เพียงเจ้าจะรักษาตัวเองได้  แต่ฝีมือต่อสู้เองก็ล้ำเลิศ...”

                หญิงสาวที่ได้รับฟังถ้อยคำของคนตรงหน้าอดจะเหลือบมองไปทางพ่อบ้านหนุ่มไม่ได้  ในใจครุ่นคิดว่าเซบาสเตียนนั้นออกจะโฆษณาเธอมากไปหน่อยแล้วกระมัง

                เขากำลังกลั่นแกล้งเธอจริง ๆ สินะ?

                ชายหนุ่มส่งยิ้มน้อย ๆ มาให้  แน่นอนว่าเขาดูดีมาก  หากเป็นสาวคนอื่นมาเห็นคงได้แข้งขาอ่อนกันไปแล้ว  ทว่าเสน่ห์เหลือร้ายเหล่านั้นก็ต้องเสียเปล่าเมื่อมาอยู่ต่อหน้าอันเดธสาวผู้ไม่มีอารมณ์ความรู้สึก

                เธอหันศีรษะกลับมา  ตอบโซมาอย่างสุภาพ

                “ดิฉันก็ถือว่าต่อสู้ได้อยู่บ้างค่ะ”

                “แค่ก ๆ!

                ชิเอลได้ยินถึงกับสำลักชาที่กำลังดื่มอย่างรุนแรง  เขาไอโขลกจนดวงหน้าแดงก่ำ  เหล่ตามองใบหน้าเรียบเฉยของอาเคร่าพร้อมกับหางตาที่กระตุกกึก ๆ

                ต่อสู้ได้อยู่บ้าง?  ได้อยู่บ้างกับผีสิหล่อนสังหารทั้งคนที่มีฝีมือทั้งปีศาจหน้าตาประหลาดตายเป็นว่าเล่น  แล้วมาบอกว่าพอได้เนี่ยนะ?  แบบนี้พวกทหารผ่านศึกก็คงกลายเป็นพวกพิการทางสมองแล้วล่ะ!

                อย่างหล่อนน่ะต้องเรียกว่าปีศาจถึงจะถูก!

                ชายหนุ่มจากต่างแดนพยักหน้าหงึกหงัก  ก่อนจะเอ่ยขอด้วยสีหน้าคาดหวัง

                “เช่นนั้น...เจ้าจะช่วยลองประมือกับอัคนีหน่อยได้ไหม?”



                 


               อู้สบู่มาอัพเรื่องนี้เนื่องจากตันมาก ไม่รู้จะเข็นสบู่ไปยังไงต่อ แง 555
               แอบรีตอนเก่า ๆ นิดหน่อย(อีกแล้ว) แต่ส่วนใหญ่ก็ไม่มีอะไรต่างหรอกค่ะ เน้นแก้คำผิดมากกว่า 555
               ยังมีคนอ่านอยู่ไหมคะเนี่ย ฮา
               Enjoy!
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×