ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ความลับในหุบเขาหมอก

    ลำดับตอนที่ #11 : ++ เสียงเพลงในสายลม++ นักบวชกับอัศวิน

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 908
      2
      18 มิ.ย. 50

    10

    นักบวชกับอัศวิน

                เมื่อยามเช้ามาถึง ฝ่ายทหารก็มีการเรียกประชุมด่วน บรรยากาศในการประชุมเป็นไปอย่างเคร่งเครียด เนื่องด้วยไม่อาจจับผู้ร้ายได้เลยแม้แต่คนเดียว

                    นายพลหนุ่มใหญ่นั่งตาโหลอยู่หัวโต๊ะด้านหนึ่ง แต่เส้นผมที่เคยยาวยุ่งถูกหวีเสยเรียบ หนวดเคราโกนเรียบร้อย ทำให้ใบหน้าคมสันดูเด็กลงสักสิบปี

                แม้จะไม่อาจจับมือใครดมได้ แต่ลักษณะการใช้อาวุธก็บ่งชัดว่าเป็นชาวอินดราเซีย ทำให้การลอบปลงพระชนม์องค์ชายอเล็กซิสครั้งนี้ถูกโยนความรับผิดชอบให้ผู้ก่อการร้ายกู้ชาติ

                "อาจจะไม่ใช่เรื่องกู้ชาติ แต่เป็นการแก้แค้น"

                ความเห็นของผู้นั่งครึ่งหลับครึ่งตื่นอยู่หัวโต๊ะทำให้ทุกคนเงียบกริบ ก่อนจะเริ่มถกเถียงกัน

                "เรื่องก็ผ่านมาสิบกว่าปีแล้ว ทำไมเขาจึงเอาความแค้นไปลงที่องค์ชาย"

                "ไม่ใช่องค์ชาย แต่เป็นประมุขแห่งศาสนจักร" เสธผู้สวมแว่นตอบแทนนาย

                "แต่ว่าคนที่สั่งให้ปลงพระชนม์องค์ชายแลนดีสตอนนั้น..."

    "พอๆๆ พวกเจ้าจะรื้อฟื้นมันขึ้นมาทำไม" นายพลอามาสทุบโต๊ะปัง "ข้าก็ประกาศไปแล้วว่าเรื่องนี้ข้าคิดเองทำเอง แล้วก็ติดคุกทหารอยู่ตั้งปี"

    "แต่พอออกมาท่านก็ขึ้นเป็นนายพัน แล้วอีกสามปีก็นายพล" โยชัวร์แย้ง จึงถูกดวงตาสีเขียวเข้มจึงตวัดฉับไปมองโดยสื่อความหมายว่า 'หุบปาก'

    "ชาวอินดราเซียหน้าไหนก็เกลียดองค์ชายทั้งนั้น"

    การถกเถียงไม่มีทีท่าว่าจะยุติ สุดท้าย การประชุมก็จบลงด้วยเรื่องการเข้มงวดด้านความปลอดภัยให้มากขึ้นกว่าเดิม และขึ้นทะเบียนทาสชาวอินดราเซียที่อาศัยอยู่ในครูเซน

    "แล้วเรื่องแต่งตั้งเด็กผู้หญิงคนนั้นเป็นอัศวิน..." ทหารระดับนายพันคนหนึ่งเอ่ยขึ้น

    "ทำไม" นายพลแห่งกองทัพครูเซนถามไปหาวปากกว้างไปด้วย

    "พวกข้าเกรงว่าพวกทหารและอัศวินคนอื่นจะยอมรับไม่ได้ นางขาดคุณสมบัติ"

    "องค์ชายทรงบัญชามาเอง ท่านกล้าขัดหรือ" อัศวินคนหนึ่งแย้ง

    "เรื่องนั้นไม่เป็นปัญหา" นายพลอามาสกล่าว "ตำแหน่งของนางเปลี่ยนไม่ได้ แต่คุณสมบัติของนางเปลี่ยนได้"

    ดวงตาสีเขียวดั่งพงไพรเหล่มองไปยังชายหนุ่มผมสีน้ำตาลเข้มที่นั่งอยู่ทางด้านขวา ดวงตาสีมรกตจ้องตอบอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ย

    "ข้าอาสาเป็นครูให้นางเองก็ได้ขอรับ เด็กคนนั้นมีพื้นฐานที่ดี ไม่นานก็คงจะมีคุณสมบัติเหมาะสมกับตำแหน่งอัศวิน"

    "แต่ฐานันดรศักดิ์ของนางต่ำต้อย ไม่มีหัวนอนปลายเท้า"

    "พวกเจ้ารู้หรือว่านางเป็นใคร" นายพลหนุ่มใหญ่เอ่ย

    "นางเป็นลูกไม่มีพ่อ เป็นเด็กสาวชาวป่า"

    "'งั้นตระกูลมาครูซจะรับรองนาง"

    สิ้นคำประกาศิตจากอามาส มาครูซ ห้องทั้งห้องก็ตกอยู่ในความเงียบ

    "หมดเรื่องแล้วใช่ไหม เลิกประชุม"

    หนุ่มใหญ่เจ้าของดวงตาสีเขียวเข้มลุกจากโต๊ะเป็นคนแรก คนอื่นจึงค่อยลุกตาม แต่ก็ไม่วายส่งสายตากันไปมา

    บาซัน บอร์ เด็กชาวป่าที่ดูไม่มีอะไร หรือจะเป็นหมากของตระกูลมาครูซ

                สายลมพัดกระทบถูกบานหน้าต่างที่ปิดสนิทจนสั่นดังกึกๆ ปลุกเด็กสาวที่นอนหลับนิ่งอยู่บนเตียงสีขาวให้ตื่นจากการหลับใหล

                แพขนตายาวกะพริบช้าๆ หล่อนถูกจับนอนคว่ำหน้าจนเมื่อยคอไปหมด แต่ครั้นจะพลิกร่างกลับ แผ่นหลังก็รู้สึกปวดตึงจนขยับไม่ไหว หล่อนจึงต้องถัดกายจากที่นอนเพื่อหยิบน้ำมาดื่ม

                แก้วที่สอง...แก้วที่สาม

                กินเท่าไหร่ก็ไม่อาจดับกระหายได้ ในคอแห้งผากแทบเป็นผง หล่อนตะกายจนตกลงมาบนพื้น แก้วน้ำหลุดจากมือแตกกระจาย หล่อนหยิบขวดน้ำมาทั้งขวดแล้วกรอกลงคอจนสำลัก น้ำเย็นๆ ไหลลงมาตามคอ

                "เจ้าต้องกินยาก่อน"

                เสียงทุ้มนุ่มนวลของคนที่เพิ่งเข้ามาในห้องเรียกดวงตาสีน้ำตาลอ่อนให้หันขวับไปมอง ชายหนุ่มคนนั้นสั่งให้ผู้ติดตามรออยู่หน้าห้อง แล้วเดินเข้ามาตรงหน้าเธอ

                "บาซัน"

                พอเธอไม่ตอบ เขาก็เริ่มหันไปทางซ้ายทีทางขวาที

                "ถ้าเจ้าไม่ตอบ ข้าก็ไม่รู้ว่าเจ้าอยู่ไหน เตียงอยู่ไหน"

                ชายหนุ่มเดินเข้ามาใกล้จนใกล้จะเหยียบเศษแก้วแตก จะขยับลุกขึ้นก็ไม่มีแรง

                พรึ่บ

    มือบางดึงผ้าห่มลงมาจนเกิดเสียงผ้าเสียดสีกัน รวมไปถึงเสียงเศษแก้วชิ้นเล็กๆ ขยับครูดไปกับพื้นห้อง

    "อยู่ตรงนี้เอง"

    เขาย่อกายลงตรงหน้าเธอ แล้วยื่นมือมาหา เด็กสาวขยับกายหนี แต่เสียงที่เกิดขึ้นทำให้เขาสัมผัสที่แก้มของเธอได้แม่นยำ

    "อ้าปากสิ"

    บาซันทำตามอย่างว่าง่าย เม็ดยาขนาดเท่าปลายนิ้วก้อยจึงถูกป้อนเข้าไปในปาก

    ใบหน้าที่ต้องแสงจันทร์สีเงินยวงดูงดงามราวทวยเทพผู้มีเมตตา ชายหนุ่มขยับยิ้มน้อยๆ ก่อนจะเลื่อนมือลงไปตามลำคอของหล่อน แล้วลูบคลำบริเวณท้ายทอย

    "ได้ยินว่าผมก็ถูกตัดไปด้วย น่าเสียดายนะ คงจะเป็นผมที่สวยงามมาก"

    ความกระหายลดน้อยลงจนเหมือนไม่เคยเกิดขึ้น ไม่รู้ว่าเป็นเพราะฤทธิ์ยาหรือความตกใจ แต่กลิ่นของชายหนุ่มนั้นทำให้เธอรู้สึกคุ้นเคยอย่างประหลาด จึงปล่อยให้เขาสัมผัสตัวโดยไม่ถอยหนี

    เหมือนกับกลิ่นของใครบางคนที่เธอทิ้งไว้ในดินแดนอันแสนไกล...

    "ไว้ยาวอีกนะ..."

    หล่อนสะดุ้งเมื่อเขาเลื่อนมือลงไปตามแผ่นหลัง เมื่อชายหนุ่มสัมผัสโดนแผล เขาก็สะดุ้งขึ้นมาเช่นกัน

    "เอ้อ...ขออภัย"

    ใบหน้าขาวแดงระเรื่อขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด เขารีบชักมือกลับแล้วทำท่าลุกลี้ลุกลน สุดท้ายก็ถอดเสื้อคลุมของตัวเองออกส่งให้หล่อน

    "ตอนนี้อากาศหนาว เดี๋ยวไข้จะขึ้นอีก"

    ผู้ชายคนนี้ตาบอด...เขาถึงไม่รู้ตั้งแต่แรกว่าหล่อนไม่ได้ใส่เสื้อผ้า

    "รับไปสิ"

    เมื่อหล่อนไม่ยื่นมือออกไปรับ เขาก็วางมันลงบนเตียง แต่พอจะลุกยืนขึ้น เขาก็สะดุดชายเสื้อตัวเองล้มแปะลงบนพื้น ยืนใหม่ก็ล้มอีก บาซันเห็นหน้าขาวๆ ของเขาแดงระเรื่อไปถึงใบหู ชายหนุ่มพยายามลุกอีกสองสามครั้ง ก่อนจะเอ่ยเบาๆ

    "ช่วยใส่เสื้อคลุมนั่น แล้วพยุงข้าหน่อยได้ไหม"

    หล่อนพยักหน้า แต่คนตรงหน้าก็ไม่อาจมองเห็น เขาจึงคลำตามเสียงหายใจเข้ามาหา

    "ได้ไหม"

    ชายหนุ่มในชุดนักบวชขยับเข้ามาใกล้ขึ้นอีก เขาทำท่าจะยื่นมือมา ทำให้เด็กสาวรีบถอยหนี แต่ซอกข้างเตียงนั้นแทบจะไม่มีที่ให้ถอย

    "บาซัน..."

    "ได้"

    เมื่อเด็กสาวยอมเอ่ยปาก ชายหนุ่มก็นั่งตัวตรงรออยู่นิ่งๆ ให้เด็กสาวเอื้อมมือผ่านตัวเขาไปหยิบเสื้อคลุมมาห่มจนเรียบร้อย แล้วจับมือเขาไว้ มือเล็กๆ ข้างนั้นสากกระด้างแบบคนทำงานหนัก ไม่นุ่มเนียนเหมือนพวกนักบวชหรือนางกำนัล หล่อนพาเขาลุกขึ้นด้วยกิริยาเก้งก้างอย่างคนที่ไม่เคยบริการใคร ทำให้ชายหนุ่มอดยิ้มไม่ได้

    "เจ้าอายุเท่าไหร่"

    กว่าหล่อนจะประคองผู้ชายที่สูงกว่าตนเกือบหนึ่งช่วงหัวให้นั่งลงปลายเตียงได้ก็หอบแฮ่ก อยากจะลงไปนอนใหม่ แต่ชายคนนั้นก็ยังไม่ยอมปล่อยมือ

    "เท่าไหร่"

    มือที่ขาวและนุ่มจนสตรีต้องอิจฉาแตะลงบนแก้มของเด็กสาว ปลายนิ้วค่อนข้างเย็นลูบไปมาเบาๆ ก่อนเอ่ย

    "ดูจากผิวแล้ว...น่าจะสิบห้าใช่ไหม"

    บาซันรู้สึกไม่อยากตัดรอนด้วยกำลัง จึงพยายามดึงมือของเขาออกอย่างนุ่มนวล

    "ไม่ถูกหรือ"

    ปลายนิ้วเย็นๆ เลื่อนลงไปถึงริมฝีปาก เขาขยับเข้ามาใกล้จนลมหายใจอุ่นๆ กระทบถูกผิวแก้ม

    "หือม์"

    "…สิบสี่"

    พอหล่อนตอบ เขาก็ขยับยิ้มแล้วถอยออกห่าง

    "หายเจ็บหรือยัง"

    เพียงชั่วอึดใจ มือใหญ่ก็ทำท่าจะลูบคลำแผ่นหลังของหล่อน บาซันเรียนรู้โดนสัญชาตญาณว่า ถ้าไม่รีบตอบ คนตรงหน้าจะหาคำตอบด้วยตัวเอง

    "ยังเจ็บอยู่บางครั้ง แต่กินยาของท่านแล้วดีขึ้นมาก"

    หล่อนพูดออกไปแล้ว ยาวที่สุดในรอบปีทีเดียว

    "เจ้ามีญาติพี่น้องไหม"

    "มีแต่ยายคนเดียว"

    "คนรักล่ะ"

    "คนที่รักข้า...ก็ยาย"

    "แล้วคนที่เจ้ารักล่ะ"

    "ข้ารัก...ใคร"

    เขาหัวเราะเบาๆ กับคำตอบของเธอ ก่อนจะลุกขึ้นยืนอย่างไม่มีท่าทางเงอะงะแบบคนมองไม่เห็นแม้แต่น้อย ก่อนจะลุก ยังจับชายเสื้อไว้ไม่ให้เหยียบแบบคนที่คุ้นเคยกับการมองไม่เห็นเป็นอย่างดี

    "ต่อไปนี้จงรักข้า เพราะข้าจะเป็นชีวิตของเจ้า"

    บาซันนิ่งไป หล่อนทอดสายตาไปยังท้องฟ้าไกลแสนไกลนอกหน้าต่าง

    "ไม่ได้หรือ" ชายหนุ่มถาม

    "ข้า...เป็นเจ้าสาวของครูซ"

                คิ้วสีเงินเลิกขึ้นเล็กน้อย ก่อนจะขยับยิ้มบาง

                "ข้าไม่ได้หมายความแบบนั้น...เอาเถอะ วันหลังเจ้าก็จะเข้าใจเอง"

                เมื่อประตูห้องเปิดออก คนที่ยืนรออยู่ก็ถอนหายใจเฮือก ประมุขแห่งศาสนจักรส่งมือให้นักบวชคนหนึ่งรับไปจับไว้เพื่อนำทาง

                "ฝ่าบาท เสื้อคลุมของท่านล่ะ"

    "อยู่ในห้อง"

    ไม่มีใครพูดคุยอะไร แต่ชายหนุ่มก็สัมผัสได้ถึงบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความหนักอึ้ง

    ความกลัว ความกังวล...และความไม่ไว้วางใจ

    เขาเกือบจะลืมไปแล้วว่าทำไมต้องมาเป็นนักบวช

    ก่อนจะมาเป็นศาสนจักร ครูเซนเคยปกครองด้วยระบอบกษัตริย์

    พระบิดาของเขาเป็นพระราชาองค์สุดท้าย ท่านสวรรคตไปในขณะที่พวกนักบวชมีอำนาจมากขึ้นทุกวัน

    สุดท้าย ระบอบการปกครองของครูเซนก็เปลี่ยนจากราชาธิราชเป็นปกครองโดยสภานักบวช องค์หญิงกลอเรียพี่สาวเขาถูกนำไปปล่อยไว้ในหุบเขาหมอก...ถวายแด่ครูซ

    เพียงปาฏิหาริย์เล็กน้อย ไม่เกินกำลังของนักบวชหลวงแห่งครูเซน

    องค์ชายรัชทายาทต้องกลายเป็นนักบวช ต้องประพฤติพรหมจรรย์เพื่อให้สูญสิ้นทายาท ตำแหน่งประมุขแห่งศาสนจักรนั้นเป็นเพียงตำแหน่งที่ถูกอุปโลกน์ขึ้นมาเพื่อให้ประชาชนไม่ลุกฮือขึ้นต่อต้าน หลอกลวงผู้คนว่าราชวงศ์ยังมีอำนาจ ไม่ได้ถูกล้มล้าง

    เขาแสร้งทำเป็นไม่รู้ แสร้งทำเป็นมีอำนาจ

    แลนดีสรู้เรื่องนั้น จึงต้องถูกกำจัด

    แม้จะนานแสนนานมาแล้ว ลึกลงไปในหัวใจ เขาก็ยังจำรอยยิ้มใสซื่อของหนุ่มน้อยชาวอินดราเซียคนนั้นได้ ชายผู้นั้นเอื้อมมือสั่นๆ มาดึงมือพี่สาวเขาไปจุมพิต แล้วก็หน้าแดงไปถึงใบหู ทำให้พี่สาวของเขาที่เคยต่อต้านการหมั้นหมายยอมเข้าพิธีโดยไม่มีข้อแม้

    ชายคนนั้นสอนดาบให้เขา ชายคนนั้นประมือกับนายพลอามาสที่ตอนนั้นยังเป็นเพียงอัศวินคนหนึ่ง

    ชายคนนั้นสัญญาว่าครูเซนและอินดราเซียจะเป็นพันธมิตรกันตลอดไป...

    "จากตรงนี้ข้าเดินเองได้"

    พวกนักบวชชั้นสูงและนางกำนัลถวายความเคารพเขาก่อนจะจากไป หลังจากที่มั่นใจว่าเขาเข้าไปในห้องนอนใหญ่ที่เขาจดจำทุกอย่างได้แม่นยำยิ่งกว่าลายมือตัวเอง

    ตอนเด็กๆ เขาก็เคยฝึกอาวุธ แต่ตอนนี้มือของเขานุ่มนิ่มเหมือนมือของสตรี

    ชายหนุ่มคุกเข่าลงหน้ารูปสลักของบุรุษที่ใบหน้าดูเปี่ยมไปด้วยเมตตา สองมือประสานเข้าหากัน ก่อนจะสวดก่อนนอนอย่างที่เคยทำเป็นกิจวัตร

    จามสัมผัส เขาพอจินตนาการใบหน้าของเด็กสาวคนนั้นออก หากมีคนบอกสีตาสีผิว ก็ยิ่งเหมือนได้เห็น

    หล่อนไม่มีทีท่าว่าจะต่อต้านเขา เสียงลมหายใจ ชีพจร...บ่งบอกว่าหล่อนซื่อสัตย์ไว้ใจได้

    ยิ่งแสงสว่างเหือดหายไปจากดวงตาเขาเท่าใด สัมผัสพิเศษก็ยิ่งทวีความแรงกล้าขึ้นในกายเขา

    เป็นพระประสงค์หรือเพราะศรัทธาในตัวเขาเอง

    ไม่ว่าจะเพราะอะไร มันก็ทำให้สิ่งที่เขาหวังไว้ใกล้ความจริงขึ้นเข้ามาเรื่อยๆ ทุกวันๆ

    "เด็กที่ท่านส่งมาให้ ข้าขอน้อมรับไว้ด้วยหัวใจ"

    เมื่อผ่านช่วงเวลาสายลมแรกแห่งฤดูหนาวมาเยือนไปราวหนึ่งเดือน บ่อน้ำศักดิ์สิทธ์ในวิหารหลวงก็เริ่มมีเกล็ดน้ำแข็งจับบางๆ ตรงผิวหน้า

    แสงอาทิตย์ถูกเมฆหมอกบดบังจนท้องฟ้ามืดสลัว แสงที่ลอดผ่านเข้ามาในวิหารจึงไม่เปล่งประกายมลังเมลืองเหมือนเช่นเคย แต่ความมืดก็ไม่เป็นอุปสรรคใดๆ เมื่อเทียนนับร้อยเล่มถูกจุดขึ้นมาแทนที่

    ร่างบอบบางในชุดผ้าไหมสีม่วงเป็นมันระยับก้าวเดินอย่างสง่างามมาตามทางเดินตรงกลางที่ปูลาดด้วยพรมสีเขียว แถวอัศวินที่ยืนนิ่งเรียงรายอยู่สองฟากฝั่ง มีคนอยู่ในวิหารนับร้อย แต่กลับเงียบสงัดไร้เสียงใดๆ นอกจากเสียงเกราะเหล็กวาววับบนร่างของเด็กสาวที่กำลังก้าวเดินไปข้างหน้ากระทบกัน

    ตราสุนัขป่าที่มีดวงตาเป็นไพลินสีน้ำเงินสดเด่นหราอยู่กลางอก หล่อนคุกเข่าลงตรงหน้าบุรุษผู้ได้ชื่อว่าเป็นประมุขแห่งนิกายครูเซเรีย ใบหน้าขาวของชายหนุ่มประดับด้วยรอยยิ้มน้อยๆ อย่างเมตตา เป็นรอยยิ้มที่ใสบริสุทธิ์ไม่ต่างจากรอยยิ้มของรูปสลักกลางน้ำ ต่างกับใบหน้าของเหล่านักบวชชั้นสูงและสมาชิกสภาสูงครูเซน ที่กระด้างเย็นเฉียบไม่แพ้น้ำในบ่อ

    "ข้า บาซัน บอร์ ขอปฏิญาณว่าจะถวายหัวใจแด่ครูซ ถวายร่างกายแด่ครูเซน ข้าจะดำรงตนอยู่ในศีลธรรมอันดีงาม ข้าจะใช้ชีวิตอย่างผู้มีเกียรติ ตราบจนชีวิตจะหาไม่"

    มือขาวเหยียดยื่นมาตรงหน้า เด็กสาวจึงจุมพิตที่หลังมือข้างนั้น จอกทองคำถูกส่งให้หล่อนรับไปดื่ม หลังจากหยาดน้ำใสเย็นล่วงผ่านลำคอ เสียงทุ้มก้องกังวานก็ดังขึ้นทั่ววิหาร

    "ข้า องค์ชายอเล็กซิส ประมุขแห่งครูเซเรีย ประธานสภาสูงแห่งครูเซน ขอแต่งตั้งให้บาซัน บอร์ เป็นอัศวินศักดิ์สิทธ์ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป"

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×