ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ความลับในหุบเขาหมอก

    ลำดับตอนที่ #12 : ++ เสียงเพลงในสายลม++ คนโปรด

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.09K
      1
      2 มิ.ย. 51

    11

    คนโปรด

                "องค์ชายอเล็กซิสน่ะเหมือนจะทรงพระทัยดี แต่บทจะทรงดื้อขึ้นมาก็ยิ่งกว่าลาเสียอีก แถมยังพูดมาก ไม่รู้คนตามองไม่เห็นพูดเก่งแบบนี้ทุกคนหรือเปล่า"

    แคร้ง!

    ดาบเหล็กยาวใหญ่กระเด็นหลุดมือไปปักฉึกอยู่บนพื้น เฉียดศีรษะสีทองแกมเทาของคนพูดไปเพียงนิดเดียว

    "เป็นอะไรไหมขอรับ ท่านอามาส" เสธคู่ใจถามเนือยๆ พอเป็นพิธี

    คาร์ลถูกลากมาเป็นเพื่อนนั่งกินเหล้าของท่านนายพลอยู่ข้างลานฝึก ตอนนี้ในลานมีร่างเล็กในชุดเกราะหนังอ่อนยืนนิ่งอยู่กับที่ มือสั่นระริก ที่คอมีดาบไม้ด้ามยาวจ่ออยู่

    "ช้าไป ถ้าใส่เกราะเหล็กเจ้าจะยิ่งช้ากว่านี้ ต้องฝึกฝนร่างกายอีก"

    เอเธเนียลเอาดาบของตนงัดดาบเหล็กประจำตำแหน่งอัศวินของเด็กสาวขึ้นมาจากพื้นทราย แล้วพยักหน้าให้หล่อนมารับไป แต่มือเล็กๆ ข้างนั้นเจ็บจนประคองอาวุธไว้ไม่ได้

    เด็กหนุ่มถอนหายใจยาว ก่อนจะดึงมือข้างนั้นมาดู เขากดตรงนั้นทีตรงนี้ที แล้วพลิกไปพลิกมา บาซันนิ่วหน้าจนคิ้วแทบชนกัน แต่ก็ไม่ปริปากบ่นว่าเจ็บ

    "กระดูกไม่เป็นไร" เด็กหนุ่มดึงผ้าคาดศีรษะของหล่อนออกมา แล้วพันมือข้างนั้นไว้แน่นหนา "ไม่ต้องกำดาบแน่นขนาดนั้น กำพอหลวมๆ แต่ไม่ให้หลุด ถือให้เคยชิน กำลังกายไม่ค่อยมีแต่ท่าพอไหวแล้ว เจ้าเรียนรู้เร็ว"

    คิดถึงความหลังแล้วเด็กหนุ่มก็อดหัวเราะในใจไม่ได้ ครั้งแรกที่ประมือกัน เด็กสาวตรงหน้าใช้ดาบไม่ต่างจากมีดทำครัว

    เห็นแล้วคนที่ได้รับมอบหมายให้สอนก็เครียดไปเหมือนกัน แต่เมื่อได้ลองสู้จริงๆ แล้ว ทักษะป่าๆ แบบเด็กหัดเองนั้นไม่เลวเลย มันรวดเร็ว ดุดัน แม่นยำ แบบคนที่ต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอด และที่สำคัญ รังสีกดดันของผู้ล่าจากตัวหล่อนแรงมาก

    "นางเหมาะกับการเป็นทหารมากกว่าองครักษ์ขอรับ"

    มาสเตอร์โยชัวเพียงแต่ยิ้มๆ กับคำเสนอแนะของเขา ก่อนเอ่ย

    "แค่บาซันเป็นผู้หญิงพูดน้อย เจ้าก็ยอมแพ้แล้วเหรอ"

    นัยเยาะๆ ที่แฝงอยู่ในน้ำเสียงทำให้เขาหงุดหงิด จึงไม่ต่อความยาวสาวความยืดกับผู้บังคับบัญชาอีก กลับมาพยายามปั้นนักล่าจากพงไพรให้กลายเป็นสาวน้อยผู้พิทักษ์

    และแล้ว ความพยายามของเขาก็เป็นผลภายในระยะเวลาไม่นาน บาซันเรียนรู้เร็วมาก ลีลาการต่อสู้ของหล่อนดูดีมีสกุลขึ้นมาก ขัดเกลาอีกไม่นานก็คงใช้การได้ และนอกจากเรื่องการต่อสู้ หลังจากพออ่านออกเขียนได้ หล่อนก็อ่านทุกอย่างที่เขาเอามาให้แล้วจดจำได้เกือบหมด

    "เอาล่ะ ในเมื่อมือเจ้าเจ็บก็พอแค่นี้ ก่อนกินข้าวไปพบข้าที่กรมด้วย มีหนังสือสองสามเล่มที่เจ้าควรอ่าน"

    บาซันพยักหน้าหงึก เด็กหนุ่มจึงขมวดคิ้วก่อนเอ่ยเสียงเคร่ง

    "ทำความเคารพใหม่ บอกแล้วใช่ไหมว่าไม่ใช่แค่พยักหน้า"

    ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนสบมองกับนัยน์ตาสีฟ้าสดของ 'ครู' ก่อนเอ่ย

    "ขอรับ"

    คำขานรับนั้นทำให้ 'ครู' ต้องกุมขมับ

    นี่เขาต้องสอนแม้แต่เรื่องผู้หญิงๆ เรอะ

    "หมั่นไส้"

    คนที่มองสองหนุ่มสาวเป็นกับแกล้มเหล้าเปรยเสียงเรียบ มือก็ส่งปลาหมึกแห้งเข้าปากไปด้วย คาร์ลดันแว่นที่ตกลงมาให้กลับเข้าที่ ก่อนจะรินเหล้าเติมให้ผู้บังคับบัญชา

    "หนุ่มหล่อ สาวสวย...เหมาะสมกันดีออกขอรับ"

    "แล้วข้าไม่เหมาะหรือไง" คนยังไม่เมาเริ่มรวน

    "เหมาะขอรับ" เสธแว่นตอบยานคาง...ถ้าเป็นพ่อกับลูกนะ

    "แต่น้องหนูกลายเป็นหลานข้าไปซะแล้ว ในฐานะอา ข้าคงต้องเข้มงวดเรื่องผู้ชายสักหน่อย"

    คาร์ลชะงักมือนิดหนึ่ง ก่อนจะขยับแว่นอีกครั้ง

    บาซัน บอร์...กลายเป็นบุตรสาวบุญธรรมของ อากะ มาครูซ ผู้นำตระกูลมาครูซ ผู้ปกครองดินแดนบริเวณหุบเขาหมอกทั้งหมด

    "แต่เป็นอานี่แก่ชะมัด ให้เรียกท่านพี่ดีกว่า"

    ดวงตาสีเขียวชมการเรียนการสอนไป มือก็ลูบคางที่มีหนวดหรอมแหรมของตัวเองไป

    เมื่อเดือนที่แล้ว ตอนที่ทุกหนทุกแห่งเต็มไปด้วยหิมะ สารที่ประทับตราสุนัขป่าดวงตาสีเขียวถูกส่งมาถึงมือเขา และถูกส่งต่อไปยังสภา แม้จะไม่เต็มใจ พี่อากะก็ยอมทำตามความประสงค์ของเอย์ระ

    เพราะทุกคนติดหนี้เด็กคนนั้น...

    "ช่วงนี้ว่างหรือ ท่านอามาส"

    เสียงทักนุ่มนวลดังขึ้นด้านหลังโดยไม่มีปี่มีขลุ่ย ทำให้คนกำลังดื่มสำลักเหล้าพรวด คนใส่แว่นก็แว่นขึ้นฝ้าด้วยความตกใจ ส่วนองครักษ์เจ้าของดวงตาสีมรกตที่เดินตามมาด้านหลังได้แต่ส่ายศีรษะไปมาอย่างระอา

    "กลิ่นเหล้านี่ เดือนที่แล้วบอกว่าดื่มเพราะอากาศหนาว แต่ตอนนี้หิมะก็ละลายหมดแล้ว"

    นายพลหนุ่มใหญ่กระตุกยิ้มมุมปาก...พวกนักบวชคร่ำครึ ช่างจดช่างจำ

    จะว่าไปเขาก็ว่างจริงๆ ไม่มีสงคราม เรื่องกบฏชาวอินดราเซียก็เงียบหายไปในกลีบเมฆ ไม่มีความเคลื่อนไหวใดๆ ให้จับได้แม้แต่น้อย

    "ใกล้จะพลบค่ำแล้ว อากาศเย็นไม่น้อย ฝ่าบาทไม่ลองจิบสักหน่อยให้ข้างในอบอุ่น"

    คนที่เดินผ่านไปมาแถวนั้นและทหารกลางลานฝึกหันมามองนายพลตาสีเขียวเป็นตาเดียว ส่วนเสธคาร์ลนั้นแว่นขึ้นฝ้าจนมองไม่เห็นดวงตาแล้ว

    นายพลอามาส มาครูซ กำลังชวนนักบวชแห่งครูเซเรียดื่มเหล้า

    "ไม่ล่ะ ข้าอบอุ่นพอแล้ว" รอยยิ้มของประมุขแห่งศาสนจักรยังคงนุ่มนวล แต่คนฟังต้องลอบกลืนน้ำลายเมื่อได้ยินเสียงเปรยเรียบ "เราไม่ได้ร่วมดื่มชากันนานแล้วนะท่านนายพล"

    ยังไม่ทันที่นายพลอามาสจะอุทธรณ์ใดๆ บาซันก็วิ่งมายืนอยู่ตรงหน้าชายหนุ่มแล้วคุกเข่าลงทำความเคารพ บุรุษแห่งครูเซนจึงเลิกสนใจต่อปากต่อคำแล้วยื่นมือมาให้หล่อนจับ

    "ลุกขึ้น"

    เมื่อหล่อนลุกขึ้น ชายหนุ่มก็จูงให้หล่อนเดินเคียงข้างไป ท่ามกลางสายตานับสิบคู่รอบๆ ลานฝึก เอเธเนียลขมวดคิ้ว อัศวินโยชัวยิ้มเครียด ส่วนทหารนายอื่นและอัศวินตั้งท่าจะซุบซิบ

    "ให้นางไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนเถอะขอรับ" อัศวินตาสีมรกตแบ่งรับแบ่งสู้

    "ไปอาบในปราสาทก็ได้" คนตอบยังดื้อ

    "ไม่เหมาะมั้ง" คนแกล้งเมากล่าวตรงๆ

    มือเล็กรั้งมือใหญ่ไว้ไม่ยอมตามไป คิ้วสีเงินจึงขมวดเข้า สุดท้ายชายหนุ่มก็คลายมือออก ขยับยิ้มบาง

    "ตามใจเจ้า แต่อย่าลืมว่าคืนนี้เรามีนัดกัน"

    ร่างสูงเดินลับไปตรงมุมระเบียง กลิ่นหอมอ่อนๆ จากเส้นผมสีเงินเงางามโชยตามเจ้าตัวห่างออกไป

    "ออกนอกหน้าจริงๆ"

    บุรุษที่กล้าพูดความในใจของทุกคนออกมา ก็มีแต่ชายผู้ที่นั่งดื่มเหล้าอยู่ข้างสนามฝึกเท่านั้น

    สายลมอ่อนๆ ยามเย็นพัดโชย ต้นไม้ที่เรียงรายอยู่สองฟากถนนแตกใบใหม่สีเขียวอ่อนดูสดใส แสงอาทิตย์ในยามเย็นทอดทอย้อมระเบียงสีขาวให้กลายเป็นสีส้มอมแดง

    ตลอดทางที่เดินเคียงคู่กันไป เอเธเนียลมีสีหน้าเรียบเฉย ไม่พูดไม่จา ต่างจากยามปกติที่จะคอยสอนโน่นสอนนี่ให้ลูกศิษย์ใบ้อย่างออกรสตามประสานักวิชาการ จนเมื่อมาถึงหน้าหอพักอัศวิน เด็กหนุ่มก็หันมาพูดกับอัศวินสาว

    "หนังสือเอาไว้ก่อน เจ้ามีนัดกับองค์ชาย รีบๆ ไปซะดีกว่า"

    พูดจบก็หันหลังจะเดินจากไป แต่ก็ต้องหยุดชะงักเมื่อมือเล็กหยาบกร้านจับข้อมือเขาไว้

    "มีอะไร"

    ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนจับจ้องอยู่บนใบหน้าเขา ก่อนที่มือทั้งสองข้างจะเลื่อนขึ้นมาบนแก้ม

    "อะ..."

    เอเธเนียลหลับตาปี๋เมื่อใบหน้าของเด็กสาวยื่นเข้ามาใกล้จนเห็นแพขนตาสีอ่อนงอนงาม นิ้วมือกำเข้าหากันแน่นเกร็ง หัวใจเต้นแรงขึ้นมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย

    แล้วริมฝีปากก็ถูกสัมผัส

    พรึ่บ

    มือขาวดึงม่านกำมะหยี่สีน้ำเงินให้เลื่อนมาบดบังภาพจากนอกหน้าต่างให้พ้นสายตา เอย์ระก้มลงจิบน้ำชาสีแดงก่ำจนพร่องไปราวครึ่งถ้วย จึงหยิบเสื้อคลุมสีแดงสดประดับขนสัตว์มาสวม

    อากาศอุ่นขึ้นเรื่อยๆ ไม่นานก็จะเข้าหน้าร้อน เมืองหลวงจะร้อนเกินไปสำหรับเขา ได้เวลาต้องกลับเสียที

    หน้าที่ในฐานะสมาชิกสภาสูงแห่งครูเซนน่าเบื่อหน่าย น่าหงุดหงิดรำคาญใจ ถ้าไม่ติดว่าต้องอยู่ดูแลเจ้าสาวแปลกๆ ของเขา เขาก็คงจะกลับบ้านไปนานแล้ว

    เลเซธเงียบหายไป แต่เขาก็ไม่คิดว่าคนเจ้าคิดเจ้าแค้นแบบนั้นจะยอมปล่อยซานากีไปง่ายๆ และหมอนั่นคงจะเล่นถึงตาย...

    ชายหนุ่มถอนหายใจยาว...เขาผิดเองที่เป็นเพื่อนกับทั้งคู่ ผิดที่สัญญากับซานากีไปโดยรู้เท่าไม่ถึงการณ์ ผิดที่ไม่เอะใจว่าเกิดอะไรขึ้นก่อนหน้านั้น

    และตอนนี้ก็ผิดที่เริ่มจะไม่อยากให้บาซันต้องตาย

    เขาสั่งให้คนรับใช้เอาจดหมายไปแจ้งแก่สภาสูง ก่อนจะไปบอกลาประมุขแห่งศาสนจักรด้วยตัวเอง

    ทหารเฝ้าประตูหลีกทางให้เด็กสาวในชุดลำลองผ้าไหมสีม่วงอ่อนผ่านประตูปราสาทเข้าไป ผิวหน้าขาวใสจนเห็นเส้นเลือดจางๆ เส้นผมของหล่อนยังชื้นหมาดด้วยละอองน้ำ กลิ่นสบู่หอมสะอาดโชยตามร่าง พาให้สองบุรุษผู้เฝ้าประตูอมยิ้มให้แก่กัน

    เป็นอีกรสชาติหนึ่งที่ต่างไปจากนางกำนัล

    ทางเดินในปราสาทปูด้วยพรมแดง ต่างจากในวิหารหลวงที่ปูด้วยพรมสีเขียวอมเทา นางกำนัลสองคนรอหล่อนอยู่ในห้องโถงแล้ว เพื่อนำไปหาองค์ชายอเล็กซิสเหมือนเช่นเคย

    หลังจากกลับไปพักฟื้นในหอพักของนักบวชหญิงเมื่อสามเดือนที่แล้ว องค์ชายก็มีพระประสงค์ให้เด็กสาวมาร่วมรับประทานอาหารเย็นด้วยบ่อยครั้ง แรกๆ ก็แทบทุกวัน แต่ช่วงนี้ลดเหลืออาทิตย์ละครั้ง

    วันนี้บาซันก็ต้องนั่งรอหน้าอยู่ห้องเหมือนเช่นเคย เมื่อในห้องรับรองมีคนอื่นมาเข้าเฝ้าอยู่ก่อนแล้ว นางกำนัลเอาขนมหวานและน้ำชามารับรองอัศวินสาว แล้วยืนอยู่คุยด้วย

    "ท่านบาซันชอบชากุหลาบไหม"

    เด็กสาวพยักหน้า นางกำนัลวัยไม้ใกล้ฝั่งจึงยิ้มจนตาหยี

    "แล้วลูกเบอรี่กวนล่ะ"

    เด็กสาวพยักหน้าแล้วทำท่ามองหา นางกำนัลชราจึงหยิบถุงผ้าออกมาจากกระโปรงด้านหลัง

    "ถ้าท่านอยากได้ ก็ตอบคำถามมาก่อน"

    "คุณหญิง!" นางกำนัลอีกคนอุทานในลำคอ แต่ก็หุบปากเมื่อสายตาของผู้สูงวัยกว่าตวัดมอง

    "สนุกๆ ค่ะ ท่านอัศวิน คำถามไหนไม่อยากตอบ ไม่ต้องตอบก็ได้"

    บาซันมองหน้านางกำนัลสาวใหญ่นิ่ง ก่อนจะพยักหน้ารับปาก หล่อนจึงยิ้มกว้างจนตาหยีเล็กลงไปอีก

    "เอาล่ะ งั้นเรื่องแรก ท่านเป็นอะไรกับตระกูลมาครูซ"

    เด็กสาวนิ่งเงียบ นางกำนัลคนนั้นรอคำตอบอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะพยักหน้ากับตัวเอง

    "สำหรับท่าน คำถามแบบนี้คงไม่ได้สินะ งั้นข้าถามใหม่ ท่านไม่เคยพบท่านอากะ มาครูซใช่ไหม"

    บาซันพยักหน้า

    "ท่านมาเป็นอัศวินเพราะถูกสั่งมาใช่ไหม"

    เด็กสาวส่ายหน้า

    "แผลที่หลังของท่านหายสนิทดีหรือยัง"

    เด็กสาวพยักหน้าอีกครั้ง สองนางกำนัลหันไปมองหน้ากันอย่างตื่นเต้น

    "ในเมื่อหายแล้ว ฝ่าบาททรงให้ท่านมาที่นี่ทำไม"

    นางกำนัลสูงวัยอยากรู้จนไม่ทันคิดให้รอบคอบ เมื่อนึกได้ว่าเด็กสาวนั้นพูดยากแสนยาก ก็รีบเปลี่ยนคำถามใหม่

    "ฝ่าบาททรงตรวจดูบาดแผลให้ท่านใช่ไหม"

    บาซันพยักหน้า คำตอบครั้งนี้ทำให้นางกำนัลทั้งสาวทั้งแก่ตาลุกวาว

    แผลของเด็กสาวนั้นยาวพาดผ่านกลางหลัง องค์ชายเองก็ทรงพระเนตรบอด จะมีวิธีไหนตรวจดูได้ นอกจาก...

    "แล้วท่านเอย์ระ มาครูซ เป็น..."

    เสียงประตูเปิดออกทำให้สองนางกำนัลหุบปากลงทันควัน ก่อนจะหน้าซีดลงๆ เมื่อดวงตาสีเขียวใบไม้คมกล้าตวัดฉับมามอง

    ร่างสูงเพรียวในชุดเสื้อคลุมสีแดงสดเหลือบมองคนทั้งสามเพียงเล็กน้อย แล้วเดินจากไปโดยไม่เหลียวหลัง

    "เดี๋ยว"

    โดยไม่มีใครคาดคิด เด็กสาวที่ไม่เคยสนใจใคร ไม่เคยแสดงออกว่าต้องการอะไรก็ร้องเรียกชายหนุ่มไว้ แล้ววิ่งตามไปเกาะแขนเขาไว้

    เอย์ระหยุดมองหล่อน ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนเต็มไปด้วยคำถาม คิ้วเรียวขมวดเข้าน้อยๆ ราวกับจะอ้อนวอนไม่ให้เขาไป

    มือขาวเชยคางของหล่อน ก่อนจะก้มลงจุมพิตเบาๆ ที่หน้าผาก

    "เจ้าดูอะไรที่หน้าอัศวินเอเธเนียล"

    บาซันนิ่งคิดเพียงแวบเดียว ก่อนจะเอ่ยสั้น

    "…ทราย"

    "ทรายติดอยู่ที่ปากเขาใช่ไหม"

    เมื่อหล่อนพยักหน้าเป็นเชิงตอบรับ ชายหนุ่มก็ขยับยิ้ม แล้วก้มลงกระซิบข้างหู

    "อย่าลืมสัญญาของเรา"

    ริมฝีปากหยักงามสีแดงจัดโฉบเอาความหวานจากริมฝีปากอ่อนนุ่มไปอย่างแผ่วเบา ก่อนจะเดินจากไปอย่างสง่างาม ทิ้งเด็กสาวให้ยืนนิ่งอยู่เบื้องหลัง และสองนางกำนัลต่างวัยให้ตาโตเท่าไข่ห่าน

    เสียงบานประตูปิดลงทำให้ร่างที่ยืนอาบไออุ่นจากอาทิตย์อัสดงหันกลับมา ชายหนุ่มผมสีเงินมีรอยยิ้มให้เธอเหมือนเช่นเคย แต่ความเคร่งเครียดนั้นยังล่องลอยอวลระอุอยู่ในบรรยากาศ

    "มาสิ..."

    มือที่ยื่นออกมาไม่ต้องการคำปฏิเสธ เด็กสาวเดินไปยืนอยู่ตรงหน้าเขา ก่อนที่แขนเสื้อสีขาวยาวเรี่ยพื้นทั้งสองข้างจะโอบเอาร่างบางจนแทบกลืนหายไปกับสีขาวสะอาดของชุดนักบวช

    มือขาวสอดเข้าไปใต้ชายเสื้อ สัมผัสผิวเนื้อช่วงเอวบาง แล้วเลื่อนสูงขึ้นไปตามแผ่นหลัง บาซันที่แนบหน้าอยู่กับบ่ากว้างได้กลิ่นหอมจางๆ คล้ายดอกไม้ที่บานอยู่ทั่วไปในวัง ทำให้รู้สึกเคลิบเคลิ้มจนไร้เรี่ยวแรงจะต่อต้าน

    "แผลหายสนิทแล้ว เหลือแผลเป็นอยู่จางๆ มันจะไม่มีวันหาย คงจะลำบากหน่อยถ้าคิดจะแต่งงาน"

    ลมหายใจอุ่นๆ คลอเคลียอยู่ริมหู ชายหนุ่มกระซิบเบาๆ ส่งถ้อยคำให้ซึมซาบเข้าไปในร่างเล็กในอ้อมแขน

    "ยาที่ให้ไป กินทุกวันใช่ไหม"

    เมื่อหล่อนตอบคำถามโดยการพยักหน้า อ้อมแขนก็โอบรัดแน่นขึ้นเป็นสัญญาณบ่งบอกว่าหล่อนตอบไม่ดีพอ เด็กสาวจึงต้องเอ่ยปาก

    "กิน...ขอรับ"

    ชายหนุ่มหัวเราะเบาๆ ก่อนเอ่ย

    "ต้องเพคะสิ"

    หล่อนพยักหน้ารับอีกครั้ง เมื่อเห็นคิ้วสีเงินขมวดเข้า ก็รีบเอ่ยต่อ

    "เพคะ"

    "ดีมาก จงจดจำไว้ เจ้าเป็นของข้า ต้องอยู่เคียงข้างและเชื่อฟังข้า เข้าใจไหม"

    "ข้า...เป็นเจ้าสาวของครูซ"

    "เจ้าเคยบอกเรื่องนี้กับข้าแล้ว ไม่จำเป็นต้องพูดซ้ำ"

    เมื่อชายหนุ่มปล่อยมือออกจากร่างหล่อนแล้วขยับถอยหลังไปสองสามก้าว บาซันก็ถอนหายใจออกมาโดยไม่รู้ตัว

    รอยยิ้มบนใบหน้าของนักบวชหนุ่มกลับมาดูอ่อนโยนเหมือนเช่นเคย ความเย็นยะเยือกในอากาศจางหายไปเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

    "นั่งสิ ข้าได้กลิ่นเนื้อหมูป่าด้วย เจ้าชอบไหม"

    หล่อนนั่งลงตรงข้ามกับชายหนุ่ม แล้วตักอาหารบริการคนตรงหน้าอย่างที่พวกนางกำนัลบอกให้ทำ

    อาหารบนโต๊ะล้วนแต่ไม่มีก้าง ไม่มีกระดูก และถูกจัดไว้ให้เหมาะกับการกินด้วยมือ คนที่ประสาทสัมผัสไวอย่างองค์ชายอเล็กซิสจึงไม่มีปัญหาอะไรแม้แต่น้อยกับการรับประทานอาหาร แต่ถึงกระนั้น เขาก็ยังพอใจที่เด็กสาวหยิบโน่นหยิบนี่ให้

    "รู้ไหม ข้าไว้ใจเจ้าคนเดียว"

    ดวงตาใสๆ เหลือบมองคนพูด ก่อนจะก้มลงรับประทานอาหารต่อ

    "โยชัวเป็นคนซื่อสัตย์ แต่ซื่อสัตย์ต่อหลักการและหลักคุณธรรม ถ้าข้าผิด คนคนนั้นจะไม่เข้าข้างข้าเด็ดขาด ท่านอามาสก็เป็นพวกตระกูลมาครูซ"

    เขาพูดคุยเรื่องต่างๆ ให้เธอฟังมากมายจนฟ้ามืด อาหารพร่องไปมากจนเกือบหมด เมื่อเด็กสาวจะกลับออกไป ชายหนุ่มจึงหยิบกล่องไม้ออกมาส่งให้หล่อน

    "ไม่ต้องกินทุกวันแล้ว สองวันครั้งก็พอ"

    เด็กสาวพยักหน้า แล้วหันหลังเดินจากไป

    ยิ่งเวลาผ่านไปก็ยิ่งเห็นชัด อัศวินหญิงบาซันเป็นที่โปรดปรานของประมุขแห่งศาสนจักรอย่างยิ่ง องค์ชายอเล็กซิสโปรดให้หล่อนอยู่ข้างกายไม่เคยห่าง ผู้คนในวังแทบจะเห็นหล่อนอยู่กับองค์ชายมากกว่าอัศวินโยชัวที่เป็นราชองครักษ์

    เกิดข่าวลือออกไปมากมาย นักบวชที่ต้องประพฤติพรหมจรรย์กลับมีท่าทีสนิมสนมกับเด็กสาวหน้าตาดี และเรื่องที่เด็กสาวที่เงียบแสนเงียบค่อยๆ พูดมากขึ้นเล็กน้อย จนถึงขั้นอ่านหนังสือให้นักบวชหนุ่มฟังได้...ถ้าถูกบังคับ

    ข่าวลือนั้นทำให้สภาสูงแห่งครูเซนไม่อาจอยู่เฉยได้ แต่ก็ไม่อาจทำอะไรออกนอกหน้า เมื่อไม่มีหลักฐานว่าทั้งคู่มีความสัมพันธ์อันไม่บริสุทธิ์ต่อกัน

    ระหว่างนั้น ไม่มีเหตุการณ์ร้ายแรงเกิดขึ้น ข่าวคราวของพวกกบฏชาวอินดราเซียก็เงียบหายไป

    แต่แล้วในขณะที่เสียงวิพากษ์วิจารณ์รุนแรงถึงขีดสุด เด็กสาวผู้ตกเป็นหัวข้อสนทนาก็หายตัวไปพร้อมกับฝนแรกแห่งวสันตฤดู


    ------------------------------------------------------------------

    เรื่องราวหลังจากนี้ โปรดติดตามได้ในฉบับรวมเล่ม 

    ในงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ ตุลาคม 2551 

    โดย สนพ.ยาหยี-ยาใจ (ณ บ้านวรรณกรรม)

    ขอบพระคุณที่ท่านทั้งหลายช่วยส่งเสริมให้ข้าพเจ้ายังเขียนนิยายต่อไป
    บนโลกที่ข้าวของแสนแพงใบนี้

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×