ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    ความลับในหุบเขาหมอก

    ลำดับตอนที่ #3 : ++ เสียงเพลงในสายลม++ ทหาร

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.06K
      3
      18 มิ.ย. 50

    2

    ทหาร

    สัญลักษณ์ของครูซคือสุนัขป่า

    ตราสัญลักษณ์รูปสุนัขป่าสีขาวเด่นชัดบนพื้นสีน้ำเงินเข้ม ธงของกองทหารแห่งศาสนจักรโบกสะบัดไปตามจังหวะฝีเท้าม้า ทหารจำนวนร้อยกว่านายค่อยๆ เคลื่อนที่ขึ้นมาบน

    ภูเขา แลเห็นเป็นทางยาวลงไปถึงเชิงเขา

    ตั้งแต่มีข่าวเล็ดลอดออกไปว่าเจ้าสาวที่นำไปถวายให้ครูซกลับมาได้ องค์ชายอเล็กซิส ประมุขแห่งศาสนจักรก็ให้ทหารมาประจำอยู่ในป้อมทางทิศตะวันตกของหุบเขาหมอกที่เคยทิ้งร้างไปร่วมร้อยปี แม้จะออกประกาศว่าเพราะขณะนี้มีผู้ก่อการร้ายชาวอินดราเซียแทรกซึมอยู่ทั่วไป แต่ชาวบ้านแถวนี้ก็คิดว่าองค์ชายหวังว่าจะพบองค์หญิงกลอเรียมากกว่า

     บางครั้งพวกทหารก็จะมาขอซื้อเสบียงที่หมู่บ้าน ท่าทางเข้มแข็งแต่สุภาพและชุดเกราะงดงามทำให้ชาวป่าเริ่มใฝ่ฝันถึงชีวิตศิวิไลซ์ในเมืองหลวง ทุกครั้งที่ยกกองกลับก่อนฤดูหนาวจะมาเยือน จะมีการรับสมัครทหารใหม่ เหล่าชายหนุ่มในหมู่บ้านจึงนิยมไปสมัครด้วย แต่ผ่านมาห้าปีก็ยังไม่เคยมีใครเคยผ่านการทดสอบ

    อากาศร้อนอบอ้าว นางซิเครมโบกมือให้ลมพัดผ่านใบหน้า ตาก็จ้องมองหลานสาวที่กำลังง่วนอยู่กับการลับดาบผุๆ ให้ขึ้นเงาวาววับ

    เมื่อเนื้อตากแห้งเริ่มร่อยหรอ เด็กสาวก็จะมานั่งลับมีดเช่นนี้ ก่อนจะหายออกไปจากบ้านสองสามวันแล้วกลับมาพร้อมเนื้อสัตว์เท่าที่จะแบกไหว ไม่ว่าพายุจะหนักหรือหิมะจะตก บาซันก็จะล่าสัตว์ได้ตลอด บางครั้งเมื่อมีพายุต่อเนื่องยาวนาน คนในหมู่บ้านยังต้องมาขอซื้อจากพวกนางด้วยซ้ำไป

    ครูซทรงประทานพรให้หล่อน...เมราซเอ่ยเช่นนั้น

    หญิงชรารู้ว่านักบวชผู้นี้ไม่ได้พูดด้วยความประสงค์ดี เขาพยายามโน้มน้าวให้ชาวบ้านเชื่อว่าบาซันคือสตรีศักดิ์สิทธิ์ เพื่อหาข้ออ้างเอาเด็กสาวไปถวายอีกครั้ง ไม่รู้ว่าจะจองล้างจองผลาญพวกนางยายหลานไปจนถึงเมื่อไหร่

    เมราซเพิ่งจะไปร่ำเรียนเป็นนักบวชเมื่อนิมิตเกิดกับเอสรานั่นเอง เมื่อหญิงสาวกลับมาพร้อมเด็กในท้อง เขาก็โกนศีรษะ ชายคนนั้นหลงรักลูกสาวของนางมานาน...สุดท้ายก็กลายเป็นความจงเกลียดจงชัง

    หญิงชราเปิดโถบรรจุเนื้อแห้งดู ยังมีเนื้อสัตว์อยู่มากพอที่จะกินไปได้เกือบเดือน นางจึงหันไปมองร่างเล็กที่กำลังลับมีดอย่างนึกรู้ขึ้นมา

    บาซันจะไปอีกแล้ว...

    นางซิเครมไม่พูดอะไร ด้วยรู้ว่าห้ามไปก็ไม่มีประโยชน์ ฤดูฝนปีที่แล้วนางขังหลานสาวไว้ในยุ้งข้าว ทันทีที่ฝนลงเม็ด หญิงชราก็ได้ยินเสียงดังโครมคราม ยุ้งข้าวไม้ไผ่ทะลายลงมาทั้งหลัง นางออกมาพอดีเห็นร่างเล็กวิ่งหายลับไปในป่า ตะโกนเรียกอย่างไรก็ไม่เหลียวหลัง จนเมื่อฤดูฝนจบลง บาซันก็กลับมาพร้อมกับดาบเล่มใหม่ที่ดูมีราคา พอถามว่าเอามาจากไหน หล่อนก็ตอบว่า...ครูซให้มา

    มันทำให้นางเกือบจะเชื่อคำพูดของเมราซ...บาซันได้รับพรแห่งครูซ

    สิ่งที่ทำให้หญิงชรากังวลใจไม่ใช่อันตรายจากป่า หากแต่เป็นเหล่าทหารที่กระจัดกระจายอยู่ใกล้ๆ หมู่บ้าน แม้พวกทหารของศาสนจักรจะเคร่งครัดวินัยและดูสุภาพเรียบร้อย แต่สตรีที่ผ่านโลกมามากอย่างนางก็รู้ว่าไม่อาจไว้ใจใครได้ ยิ่งหลานสาวของนางเริ่มฉายแววว่าจะเป็นสาวงามเหมือนมารดา

    เส้นผมสีน้ำตาลอ่อนแม้ยุ่งเหยิงแต่ก็นุ่มสลวยเป็นประกายดั่งเส้นไหม ดวงตาสีเดียวกับเส้นผมกลมโตสว่างใส แน่วแน่ไม่วอกแวก ริมฝีปากสีสดจิ้มลิ้มดั่งดอกไม้แรกแย้ม แขนขายาวเรียวเสลา เอวองค์บอบบางอรชรอ้อนแอ้น แม้สองยายหลานจะอยู่กันอย่างปากกัดตีนถีบ บาซันก็มีผิวกายขาวละเอียดกว่าชาวบ้านที่กรำแดดกรำฝนอยู่ทุกวันอย่างเทียบกันไม่ติด

    ดวงตาของเด็กสาวมักจะมองตรงไปข้างหน้าอย่างแน่วแน่ ไหล่บอบบางตั้งตรงตระหง่านไม่เคยค้อมลู่ลง บางครั้งหญิงชราก็อดคิดไม่ได้ว่า หลานของตนช่างดูสง่างามและสูงศักดิ์เกินหญิงชาวป่า คนรักของเอสราอาจจะเป็นผู้ชายที่มีความสำคัญเกินกว่าที่ใครจะคาดคิด

    แม้จะยังไม่มีข่าวว่ามีทหารที่ประพฤติตนด่างพร้อย แต่บุรุษก็มีสัญชาตญาณตามธรรมชาติ นางซิเครมเริ่มสังเกตเห็นว่าทหารหลายคนเข้ามาใกล้บ้านของนางบ่อยครั้ง เมื่อมองเห็นบาซันอยู่ในบ้านก็จะแกล้งจูงม้าเดินไปเดินมาเนิ่นนาน สายตาของผู้ชายในหมู่บ้านก็เริ่มเปลี่ยนไป จากที่เคยรังเกียจเดียดฉันก็กลับเอาสิ่งของมาแบ่งปัน จากที่เคยมีแต่ค่อนแคะประชดประชัน ก็กลายเป็นภาษาดอกไม้ แต่เด็กสาวที่เงียบยิ่งกว่าเงียบก็ไม่เคยรับไมตรีจากใคร...เรียกได้ว่าไม่เคยฟังจนจบประโยคด้วยซ้ำ

    แต่แล้วก็เกิดเรื่องขึ้นจนได้ เมื่อผู้ชายสามคนลอบตามบาซันเข้าไปในป่า

    คืนนั้นหลานสาวของนางกลับมาบ้านช้ากว่าปกติ หญิงชราเป็นห่วงอยู่บ้าง แต่ปกติเด็กสาวก็ชอบหายไปโน่นไปนี่อยู่แล้ว นางจึงไม่ได้กังวลใจเท่าไหร่ จนกระทั่งได้ยินเสียงเปิดประตูในตอนเช้า

    บาซันกลับมาในสภาพเปื้อนฝุ่นทั้งตัว ผมเผ้ายุ่งเหยิง แต่ตามร่างกายไม่มีบาดแผลอะไร ต่างกับผู้ชายสามคนที่กลับมาในเวลาไล่เลี่ยกัน พวกนั้นมีทั้งบาดแผลถูกซ้อม ถูกฟัน ถูกสุนัขกัดจนสะบักสะบอม ตั้งแต่นั้นมาก็ไม่มีผู้ชายในหมู่บ้านกล้ายุ่งกับหลานสาวของนางอีก

      เสียงโลหะครูดกับหินหยาบเงียบลง ตามด้วยเสียงผ้าชุบน้ำมันเสียดสีกับใบดาบ ทำให้หญิงชรารู้ว่าหลานสาวลับดาบเสร็จเรียบร้อยแล้ว โลหะบางคมกริบขึ้นเงา ทั้งดาบเล่มเก่าและเล่มใหม่ เมื่อชโลมน้ำมันเสร็จ บาซันก็เหน็บดาบทั้งสองเล่มเข้าที่เอว แล้วทำท่าจะออกจากบ้านไปเดี๋ยวนั้น

    "บาซันเอ๊ย พวกทหารเพ่นพ่านอยู่ในป่าเต็มไปหมด เจ้าไม่ไปไม่ได้หรือ"

    ร่างเล็กหยุดชะงักนิดหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยโดยไม่หันกลับมามอง

    "สายลมเรียกแล้ว ข้าได้ยิน...เสียงเพลง"

    กลางดึกคืนวันนั้น นางซิเครมก็นึกดีใจที่หลานสาวเข้าป่าไปได้ อูล หัวหน้าหมู่บ้านกับชายฉกรรจ์สองสามนายเข้ามาเจรจาแกมขู่บังคับ...เพื่อขอซื้อบาซัน

    ไม่มีการสู่ขอ ไม่มีสินสอด

    พวกทหารมาขอซื้อหล่อนผ่านหัวหน้าหมู่บ้านราวกับเป็นสิ่งของ เด็กสาวบ้านป่ามักด้อยค่าในสายตาคนเมืองอยู่แล้ว แต่หากมีการแต่งงาน อย่างไรฝ่ายชายก็ต้องมาสู่ขอตามประเพณี...เว้นแต่จะมาซื้อไปเป็นหญิงคณิกา ซึ่งบางบ้านก็ไม่รังเกียจที่จะขาย

    แต่นางซิเครมรังเกียจ หัวหน้าหมู่บ้านบอกทหารพวกนั้นไปว่าบาซันคือสตรีศักดิ์สิทธิ์คนที่เป็นที่เล่าลือ แต่สิ่งที่เขาทำไปหาใช่เพื่อปกป้องเด็กสาว หากแต่ต้องการโก่งราคา พวกทหารกลับไปคิดอยู่หลายวัน จึงยอมเพิ่มเงินให้สูงถึงห้าเท่าของราคาที่ตกลงกันไว้ทีแรก

    อูลถึงกับตาลุกวาว รีบแจ้นมาตกลงกับหญิงชราทันทีโดยไม่รอให้ฟ้าสาง เขาเสนอเงินให้มากอย่างที่นางซิเครมไม่เคยสัมผัสมาตลอดชีวิต

    แต่หญิงชรายืนกรานปฏิเสธท่าเดียว อูลเกลี้ยกล่อมขู่บังคับอยู่นานก็ไม่เป็นผล ในที่สุดก็ขว้างถุงเงินใส่นางแล้วให้ลูกน้องไปหาตัวบาซันออกมา นางซิเครมขว้างถุงเงินหนักอึ้งกลับไปให้หัวหน้าหมู่บ้าน ก่อนเอ่ยเสียงเยาะ

    "ครูซทรงเรียกบาซันเข้าไปในป่าแล้ว มีปัญญาก็ตามเข้าไปสิ"

    เหล่าชายฉกรรจ์ถึงกับหน้าถอดสี พวกเขามิได้เกรงกลัวคำขู่ลมๆ แล้งๆ ของนาง แต่ความมืด พายุฝน และสุนัขป่า ทำให้ยากจะตามหาคน เมื่อยามเช้ามาถึง พวกเขาคงไม่สามารถทำตามที่สัญญากับพวกทหารไว้

    สัญญาที่นางซิเครมเดาได้...รับเงินมาแล้ว คนต้องเอาไปส่ง

    "ตามนางกลับมา" อูลเอ่ยเสียงเครียด

    "เป็นไปไม่ได้ บาซันอยู่ที่ไหนข้าก็ไม่รู้"

    "นางไม่ได้บอกเจ้าเลยหรือ"

    "พวกเจ้าก็รู้จักเด็กคนนั้น ปีนี้ยังพูดออกมาไม่ถึงสิบคำเลย"

    กลุ่มชายเหล่านั้นทำท่าฮึดฮัดขัดใจ พวกเขาเดินไปเดินมาในกระท่อมอันคับแคบจะพังแหล่มิพังแหล่ของสองยายหลาน รื้อคนสิ่งต่างๆ จนกระจุยกระจาย

    "บาซันจะไปนานแค่ไหน" อูลเอ่ยหลังจากคิดตกแล้วว่าหากคืนเงินให้บางส่วน พวกทหารน่าจะยอมรับการเจรจา

    "ราวๆ สองเดือนถึงสามเดือน ไม่แน่ไม่นอน" ซิเครมตอบ

    ชายคนหนึ่งปัดหม้อดินเผาตกกระแทกพื้นแตกกระจาย แล้วตวาดใส่หน้านาง

    "โกหก นางจะอยู่ในป่านานขนาดนั้นได้ยังไง!"

    "หากไม่เชื่อก็ลองรอดูอยู่แถวนี้สิ" หญิงชราตอบโดยไม่สะทกสะท้าน

    "พวกข้าทำแน่! คอยดูนะยายเฒ่า ถ้าเจ้าโกหก พวกข้าจะพังกระท่อมเก่าๆ นี่ให้ราบ"

    เหล่าคนหนุ่มผลุนผลันออกไป เหลือแต่ชายชรากับหญิงชราสนทนากันอยู่เพียงลำพัง

    "เจ้านี่ก็โชคร้ายจริงนะซิเครม มีลูกก็แพศยา มีหลานก็พึ่งพาไม่ได้ ขายๆ ไปให้สิ้นเรื่องสิ้นราวไม่ดีกว่าหรือ"

    "เจ้าเองก็แก่ปูนนี้แล้วยังละโมบโลภมาก คิดเอาหลานคนอื่นไปขายเป็นหญิงคณิกา ไม่กลัวจะตายอย่างอนาถบ้างหรือไง อูล"

    ชายชรามิได้เดือดดาลไปกับคำยั่วยุ เขาลูบหนวดแข็งราวเส้นลวดของตนไปมา ก่อนเอ่ย

    "ข้าไม่ได้บอกพวกนั้น ที่จริงแล้ว...คนที่อยากได้ตัวบาซันคือองค์ชายอเล็กซิส"

    หญิงชราเงยหน้าขึ้นหัวเราะก้อง

    "ถ้าเจ้าเชื่อข่าวนั่นก็โง่เง่าเกินจะเยียวยาแล้ว ประมุขแห่งศาสนจักรจะมาสนใจบาซันได้ยังไง ตัวท่านก็อยู่ห่างไกลถึงครูเซนนู่น"

    "เรื่องแบบนี้ พวกทหารหรือจะกล้าพูดเล่น" อูลเอ่ยแผ่วเบาราวกระซิบ

    "องค์ชายอเล็กซิสต้องประพฤติพรหมจรรย์ เรื่องอะไรจะมาหาซื้อผู้หญิงให้เสื่อมเสีย อีกอย่าง ในเมืองหลวงมีสตรีที่เพียบพร้อมมากมาย ไม่ต้องมาซื้อเด็กแปลกๆ แบบหลานข้าหรอก"

    "เรื่องนั้นข้าเองก็ไม่เข้าใจ แต่พวกเขาให้ราคาสูงเกินกว่าที่พวกทหารสามัญจะจ่ายได้"

    "สูงเกินทหารสามัญ ก็อาจจะเป็นระดับนายพล"

    "พวกเขาบอกข้าว่าให้วางใจ เด็กคนนั้นจะไม่ต้องไปเป็นหญิงคณิกา"

    "อูล…" นางซิเครมเอ่ยอย่างไม่ใส่ใจ "เจ้าเชื่อแต่ข้าไม่เชื่อ กลับไปเสียเถอะ บาซันเข้าป่านานๆ แบบนี้ทุกฤดูฝน แต่ถึงนางอยู่ ข้าก็ไม่ขาย"

    "จะไม่มีใครรับนางเป็นเจ้าสาว เจ้าต้องเลี้ยงเด็กคนนั้นไปจนตาย"

    "ข้าเต็มใจ"

    "ถ้าเด็กคนนั้นไปซะได้ ชาวบ้านก็คงดีต่อเจ้าเหมือนเมื่อก่อน"

    "ชาวบ้านที่เห็นแก่ตัวและงมงายแบบพวกเจ้า ข้าไม่อยากคบค้าสมาคม"

    "ซิเครม...นอกจากเจ้าจะหนังเหนียวแล้ว ยังดื้อรั้นโง่เขลา คิดว่าเด็กแบบนั้นจะดูแลยามเจ้าเจ็บป่วยได้งั้นหรือ หากเจ้าไม่รีบฉวยโอกาสนี้ไว้ อนาคตก็ต้องตายอย่างโดดเดี่ยวอยู่ที่นี่แหละ"

    "หน็อย...ไอ้แก่อูล บังอาจมาแช่งข้า หุบปากแล้วไสหัวไปเดี๋ยวนี้เลย เหม็นขี้ฟัน"

    ปีนี้พายุแรงดั่งที่ออกประกาศ ชาวบ้านป่าที่ยากจนได้แต่หลบอยู่ในบ้าน เฝ้ามองพืชผลถูกสายลมแรงกระชากจนถอนราก ผลอ่อนที่เพิ่งออกร่วงหล่นเต็มพื้น ต้นกล้าที่เพาะใหม่ถูกน้ำป่าพัดพาหายไป นอกจากผลผลิตจะน้อยจนไม่พอขายแล้ว ยังไม่พอจะเก็บไว้ใช้ในฤดูหนาวด้วย

    พวกทหารพำนักกันอย่างเงียบๆ อยู่ในป้อม ฝนที่ตกหนักจนเกิดโคลนถล่มทำให้เส้นทางคมนาคมถูกตัดขาด กว่าพวกเขาจะกลับไปในเมืองได้ก็เมื่อถึงฤดูใบไม้ร่วง ดังนั้น การที่ชาวบ้านจะเจอทหารเพ่นพ่านอยู่ในป่าจึงเป็นเรื่องธรรมดา

    ความสิ้นหวังและยากจนทำให้อูลมาเจรจากับหญิงชราอีกครั้ง แต่คราวนี้แม้นางจะปฏิเสธว่าหลานสาวไม่อยู่ พวกผู้ชายในหมู่บ้านก็ยังพากันแวะเวียนมาเฝ้ามิได้ขาด

    เสียงซุบซิบลอยผ่านอากาศมาถึงหูนาง...ค่าตัวของเด็กสาวถูกแบ่งสันปันส่วนไว้อย่างเรียบร้อย

    นางซิเครมอกสั่นขวัญแขวนอยู่ทุกคืนค่ำ เมื่อไหร่ที่บาซันกลับมา คงจะถูกจับไปขายให้พวกทหารเป็นแน่แท้

    เมื่อฝนขาดเม็ด สายลมเย็นก็เริ่มพัด

    ใบไม้ค่อยๆ เปลี่ยนสีจากเขียวเป็นเหลืองและแดง ไล่จากยอดเขาลงสู่เชิงเขาและที่ราบ ทะเลสาบกว้างใหญ่กลางหุบเขาซ่อนตัวอยู่ลิบๆ ท่ามกลางทะเลหมอก เป็นทิวทัศน์อันงดงามตระการตาจนเหล่าทหารที่กำลังควบม้ากลับเมืองหลวงอดหยุดพักดูไม่ได้

    "หยุดทำอะไรกัน ถ้าไม่รีบลงไปเดี๋ยวก็มืดค่ำเสียก่อน"

    น้ำเสียงเคร่งขรึมของบุรุษภายใต้ชุดเกราะเงาวับทำให้เหล่าทหารรีบขยับม้ากลับไปในแถว พลางเอ่ยพร้อมเพรียง

    "ขออภัยขอรับ" แล้วทหารนายหนึ่งก็เอ่ยเสริม "เพียงแต่อากาศดีเหลือเกิน"

    ชายที่เป็นผู้บังคับบัญชาควบม้าไปยังริมผา แล้วก็ถอดหมวกออก เส้นผมสีน้ำตาลเข้มสลวยสยายเคลียบ่า ดวงตาสีมรกตทอดมองไปไกลแสนไกล

    ที่นี่งดงามกว่าที่บ้าน อากาศดีกว่าที่บ้าน แต่เขาก็คิดถึงบ้าน

    ชายหนุ่มขยับยิ้มให้ตัวเอง แล้วสวมหมวกกลับไปเหมือนเดิม เมื่อเห็นทหารเดินผ่านไปหมดแล้วก็ขยับม้าเข้าไปท้ายแถว แต่จู่ๆ ก็มีบางอย่างพรวดพราดออกมาตัดหน้าม้าของเขา ชายหนุ่มต้องกระชากบังเหียนอย่างกะทันหันจนสองขาหน้าของม้าตะกุยขึ้นในอากาศ

    ชายหนุ่มคำรามในลำคออย่างหงุดหงิด พวกทหารที่ได้ยินเสียงม้าร้องรีบกลับมาดู

    "ท่านโยชัวร์ เป็นอะไรรึเปล่าขอรับ"

    "ข้าไม่เป็นไร พวกเจ้าไปดูนางซิ"

    เหล่าทหารขยับม้าเป็นวงล้อม 'บางอย่าง' นั้นเอาไว้ เด็กสาวที่อยู่กลางวงล้อมมองซ้ายมองขวาด้วยสีหน้าเรียบเฉย หล่อนไม่ได้ล้มลงไปบนพื้นหรือมีทีท่าตื่นตกใจแต่อย่างใด ทำท่าจะแหวกวงล้อมออกไปเสียเฉยๆ ด้วยซ้ำ

    "เจ้าเป็นใคร"

    นายทหารคนหนึ่งเอ่ยถาม เด็กสาวยังคงมองหาทางออกเหมือนไม่ได้ยิน

    "สาวน้อย เจ้าเป็นใบ้หรือเปล่า"

    "แมวป่าบ้านไหนนี่"

    อีกคนเอ่ยเย้าอย่างนึกสนุก แต่เมื่อสบกับดวงตาดุๆ ของผู้บังคับบัญชาแล้วก็รีบหุบปาก

    ดวงตาสีมรกตเหลือบเห็นดาบสองเล่มที่ห้อยอยู่ข้างเอวของหล่อนแล้วหรี่ลงอย่างประเมินค่า โยชัวร์เหวี่ยงกายลงจากหลังม้า ตรงเข้าไปหมายถามไถ่ถึงที่มาของเด็กสาว พวกทหารก็รู้ใจขยับม้าล้อมให้วงแคบเข้าไปเรื่อยๆ

    "บาดเจ็บหรือเปล่า เจ้าพูดได้ไหม"

    ใบหน้าของหล่อนเปื้อนโคลนดำมอมแมม แต่ดวงตาสีน้ำตาลส่องประกายแวววาวราวสัตว์ป่า เมื่อเข้าไปใกล้จนมองเห็นได้ชัด ชายหนุ่มก็ต้องอุทานออกมาเบาๆ

    "เจ้า..."

                    ยังไม่ทันจบประโยค เด็กผู้หญิงผมสีน้ำตาลอ่อนที่ดูบอบบางอ่อนแอก็กระโดดลอยตัวขึ้นไปในอากาศ ข้ามศีรษะของชายฉกรรจ์ที่นั่งอยู่บนหลังม้าไปไกลหลายช่วงแขน เหมือนมีลมหอบร่างนั้นให้ล่องลอยราวติดปีก เหล่าทหารที่รายล้อมพากันกลั้นหายใจ เฝ้ามองการกระโดดที่งดงามราวกับปาฏิหาริย์

    หล่อนลงสู่พื้นอย่างนุ่มนวล แล้ววิ่งออกห่างจากทางเกวียน มุ่งตรงไปยังทางที่ไม่มีพวกทหารยืนอยู่

    "ระวัง!"

    โยชัวร์หลุดจากภวังค์ รีบตะโกนร้องเตือน แต่หล่อนก็ไม่มีทีท่าว่าจะสนใจ เด็กสาววิ่งไปจนถึงริมเหว แล้วกระโดดออกไปท่ามกลางอาการตกตะลึงของทหารทุกนาย

    เมื่อพวกเขาวิ่งตามไปดู ก็มองไม่เห็นร่างของหล่อนอีก ได้ยินแต่เสียงกิ่งไม้และใบไม้เสียดสีกัน พุ่มไม้ขยับไหวเป็นทางเหมือนมีสัตว์วิ่งระไปเรื่อยๆ

    "คงจะเป็นชาวบ้านที่ชำนาญพื้นที่ ไม่เป็นไรหรอกขอรับ"

    โยชัวร์พยักหน้ารับคำสันนิษฐานของผู้ใต้บังคับบัญชา แต่เมื่อมองตากัน ทุกคนก็รู้อยู่แก่ใจว่าไม่เคยเห็นใครหน้าไหนกระโดดได้แบบนั้นมาก่อน

    เสียงสุนัขป่าหอนยาวนานดังมาจากเนินเขาถัดไป ชายหนุ่มสั่งให้ลูกน้องกลับไปเข้าขบวน ก่อนจะตวัดกายขึ้นหลังม้าของตน

    แม้จะมีทางให้ม้าวิ่ง แต่ช่วงนี้ก็นับว่าเป็นกลางป่า อีกทั้งยังค่อนข้างชันและมีหุบเหวอยู่ข้างทางอยู่เรื่อยๆ พวกเขาจะต้องไปถึงหมู่บ้านกลางหุบเขาก่อนค่ำ มิฉะนั้นการเดินทางจะยากลำบากและอันตราย ตามกำหนดการ จะแวะพักเพื่อรับสมัครทหารที่หมู่บ้านนั้นหนึ่งวัน

    ต้องเร่งอีก

    เขาขยับม้าไปนำอยู่หัวขบวน ใจจดจ่ออยู่กับหน้าที่รับผิดชอบ แต่เมื่อได้ยินเสียงใบไม้ไหวคล้ายมีสัตว์วิ่งผ่าน ชายหนุ่มก็อดหันไปมองไม่ได้

    ภาพที่เห็นยังติดตา...

    ชั่วพริบตาที่ร่างบอบบางลอยคว้างอยู่กลางอากาศดั่งนกน้อยที่มีท้องฟ้าเป็นสวนหลังบ้าน

    สะกดเขาให้ลืมหายใจ

    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×