คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #13 : ตอนที่ 12 : การประชุมที่แสนวุ่นวาย
By :Abliss
วันนี้เป็นวันที่ในราชวังดูวุ่นวายมากที่สุด เพราะวันนี้เป็นวันประชุมใหญ่ประจำปีที่ผู้ปกครองของแต่ละเมืองจะมาหารือกันในเรื่องต่างๆนาๆเพื่อนำมาพัฒนา ในแต่ละปีจะมีการประชุมแบบนี้จัดขึ้นและสถานที่ที่จะจัดก็จะจัดตามเมืองต่างๆ ซึ่งปีนี้เมืองเทอเรนได้รับหน้าที่ให้เป็นเจ้าภาพในการจัดงานประชุม ผมได้ให้ทหารคอยดูแลความสงบและให้มีการคุ้มกันแก่พระราชาที่จะมาในงานวันนี้ ส่วนเมดต่างๆก็ให้บริการด้านเครื่องดื่ม หรือพาไปเยี่ยมชมแนะนำสถานที่ต่างๆ และตอนนี้ผมก็จัดการงานทุกอย่างเสร็จเรียบร้อยแล้ว และผมก็ไม่ลืมที่จะไปหาเฮเลนเพราะผมเป็นห่วงเธอ
“เฮเลน อยู่ข้างในหรือเปล่า?” ผมตะโกนถามเฮเลนจากหน้าห้องของเธอ
“อืออยู่ มีอะไรหรอ?” เฮเลนตะโกนตอบผมกลับมา
“มีเรื่องจะคุยด้วยนะ เปิดประตูให้หน่อยสิ” ผมบอกเฮเลน และไม่นานเธอก็เดินมาเปิดประตู ผมกับเฮเลนยืนคุยกันที่ประตู
“มีเรื่องอะไร?” เฮเลนถามผม
“ก็ไม่มีไรมากหรอก แค่เป็นห่วงเธอเฉยๆ อย่าออกไปเดินเพ่นพ่านนะรู้มั้ย?” ผมพูดกับเฮเลนด้วยสีหน้าที่ดูจริงจัง
“ค่ะ รู้แล้วค่ะ พูดย้ำจัง ทำอย่างกับฉันเป็นเด็กน้อยไปได้” เฮเลนพูดพร้อมกับทำบูดบึ้ง
“ก็เธอยังเด็กอยู่จริงๆนั่นแหละ” ผมพูดพร้อมกับแลบลิ้น ทำหน้าหยอกล้อเฮเลน จนดูเฮเลนเองจะโมโหขึ้นมาจริงๆ
“นายนี่มัน...” เฮเลนกำลังจะพูดต่อว่าผม แต่ก็ยังพูดไม่ทันจบเพราะโดนผมขัดไว้ก่อน
“ล้อเล่นนะ ไปละผมต้องไปดูงานต่อ ไว้เสร็จแล้วจะมาหานะ” ผมพูดพร้อมกับส่งยิ้มไปให้เธอ และก็ลูบหัวเธอเบาๆ หลังจากนั้นผมจึงเดินไปที่ห้องประชุมใหญ่ เตรียมต้อนรับแขกทุกคนที่มาเยือน
By :Carlray
ตอนนี้ผมเดินทางมาถึงปราสาทของเมืองเทอเรนแล้วละ เมืองเทอเรนนี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้มาเยือนเลยนะ บรรยากาศภายในเมืองก็ดูเรียบง่ายแต่ก็ดูคึกคักดี ส่วนตัวของพระราชวังเองก็ใหญ่ใช่เล่น ที่นี่มีทหารและเมดเยอะอยู่พอสมควร ผมได้รับการต้อนรับจากเมดและเมดคนนั้นก็ได้นำทางผมมาที่ห้องประชุมใหญ่ เธอดูไม่เหมือนเมดคนอื่นๆอาจจะเป็นเพราะชุดที่เธอใส่ก็ได้มั้ง เท่าที่ผมสังเกตนะเมดคนอื่นๆจะใส่ชุดสีขาว-ดำ แต่มีแค่เธอคนนี้เท่านั้นแหละที่ใส่ชุดสีขาว-แดงเลือดหมู เธอดูมีท่าทางลักษณะที่เย็นชา ผมคิดว่าเธอคงเป็นหัวหน้าเมดละนะ เมดคนนี้พาผมมาถึงห้องประชุมใหญ่และผมก็ได้เจอกับเขา ‘เอบลิส’ เราทั้งสองก้มคำนับให้กันและกัน
“สวัสดีครับ ผมคาร์เรย์ ฟาริส จากเมืองฟาริสครับ” พอผมก้มคำนับให้เอบลิสเสร็จ ผมก็พูดแนะนำตัวเอง
“สวัสดีเช่นกัน ผมเอบลิส” เอบลิสรับคำทักทายของผม และพูดแนะนำตัวเองบ้าง
“วันนี้เสด็จพ่อของผมติดภารกิจมาไม่ได้ จึงให้ผมมาแทน” ผมพูดในสิ่งที่ท่านพ่อฝากให้มาพูด
“งั้นหรอครับ? น่าเสียดายจังเนอะ อะไมน่า พาคาร์เรย์เข้าไปในห้องประชุมทีนะ” เอบลิสพูดพร้อมกับยิ้มให้ผมและสาวเมดคนนั้น เธอคงชื่ออะไมน่า*สินะ อะไมน่าก้มรับคำสั่งจากเอบลิสและพาผมเข้ามาในห้องประชุม
“เชิญตามสบายนะคะ” อะไมน่าพูดกับผม เธอก้มคำนับและเดินออกไป ส่วนผมเองก็มองรอบๆบรรยากาศของห้องประชุม ที่นี่มีกษัตริย์อยู่มากมาย ถ้าจะให้เทียบจริงๆผมคงเด็กสุดอย่างไม่ต้องสงสัย ผมเปิดชุดสูทของตัวเองขึ้น และก็มองไปที่สิ่งของนั้น จดหมายที่ผมต้องการจะให้เขา ผมเดินรับประทานอาหารอยู่สักพักก็กลับมานั่งที่โต๊ะประชุม และไม่นานแขกทุกคนก็มากันครบ และเราก็เริ่มประชุมกัน
“ผมขอกล่าวเปิดงานการประชุมประจำปีครั้งที่ 20 ก่อนอื่นผมต้องขอขอบคุณที่ทุกท่านให้เกียรติผมเป็นประธานในการจัดการประชุมครั้งนี้และก็ขอขอบคุณทุกท่านที่สละเวลาส่วนตัวของตัวเองเพื่อมางานประชุม เราจะมาร่วมแก้ปัญหาทุกอย่างด้วยกันเพื่อความสันติภาพของโลก” เอบลิสกล่าวพูดเปิดงานการประชุมประจำปี และแขกทุกคนในงานก็ต่างปรบมือให้ และเราก็มาเริ่มเข้าประเด็นในการประชุม
“ประเด็นแรกที่ผมอยากจะหยิบขึ้นมาพูดในงานประชุมนี้คือ เศรษฐกิจที่เริ่มตกต่ำขึ้นทุกวัน เราไม่สามารถแก้ปัญหานี้ได้เลย ทุกท่านมีความคิดเห็นอย่างไรกันบ้าง?” พระราชาแห่งเมืองวาลเทอร์รากล่าวเปิดประเด็นแรกในที่ประชุม และก็เป็นประเด็นสำคัญ
“ในกรณีนี้ผมคิดว่าเราน่าจะเริ่มปรับปรุงจากประเทศของตัวเองก่อนนะครับ โดยการลดต้นทุนที่ไม่จำเป็น ตัดออกไปและลดราคาของสินค้า เพื่อให้ประชาชนได้มาซื้อของกันเยอะขึ้นและจะเกิดเศรษฐกิจที่หมุนเวียนครับ” เอบลิสพูดอธิบาย ซึ่งในความคิดผม ผมว่ามันก็เป็นความคิดที่ดีนะ
“แต่ก็ไม่มีใครอยากได้กำไรน้อยๆหรอกจริงมั้ยละ?” ผู้ปกครองจากเมืองไกอาพูดขึ้นบ้าง
“ถ้าเป็นเช่นนั้น เราก็ต้องอย่าให้พ่อค้าคนกลางได้ผลประโยชน์จากส่วนนี้ไป เราต้องมีการตรวจสอบทุกครั้งที่มีการค้าขายว่าได้ขายเกิดกำไรที่ควรจะได้รับหรือเปล่าส่วนการทำให้เศรษฐกิจดีขึ้นอีกทางนั้นก็ต้องอยู่ระหว่างการค้าระหว่างประเทศอีกอย่างนะครับ” เอบลิสพูดตอบ เขาแก้สถานการณ์เฉพาะหน้าได้ดีจริงๆ
“ผมคิดว่าความคิดของเอบลิสฟังแล้วเข้าท่านะ งั้นเรามาถกถึงประเด็นต่อไปกันเลย” ผู้ปกครองจากเมืองไกอาพูดทิ้งท้ายประเด็นเก่าแล้วเริ่มเปิดประเด็นใหม่
“ในช่วงนี้ทุกๆประเทศส่วนใหญ่จะพบกับปัญหาที่ประชาชนถูกปีศาจทำร้ายร่างกายครับ” ครั้งนี้ผู้ปกครองของเมืองทีรานิก้าเป็นคนพูดเปิดประเด็นบ้าง
“ที่เมืองของผมก็เกิดปัญหาเช่นนี้เหมือนกันครับ ผมว่าเราควรแก้ไขปัญหานี้อย่างเผด็จการ โดยให้ปีศาจอยู่ในความควบคุมและห้ามออกไปทำร้ายร่างกายมนุษย์อีก” ครั้งนี้ผมเป็นคนพูดขึ้นบ้าง ผมอยากจะจัดการปัญหานี้ให้มันจบๆสักที เพราะที่เมืองของผมเองก็พบปัญหานี้อยู่เหมือนกัน
“แต่ผมว่าสิ่งนั้นมันก็มากเกินไปนะครับ จะให้ปีศาจไม่ออกไปเลยเนี่ย ผมว่าเราคงห้ามไม่ได้หรอก และถ้าหากปีศาจตัวนั้นหิวจนอาละวาดขึ้นมาละครับเราจะทำกันยังไง?” เอบลิสตอบปัญหาของผมได้อย่างไร้ที่ติ ความจริงท่านพ่อของผมก็บอกมาแล้วละว่าเอบลิสเป็นคนที่ฉลาดและมีไหวพริบที่ดี
“ถ้าเช่นนั้นเราลองให้ปีศาจอยู่ในความควบคุมทางการปกครองดีไหม? แต่เราก็ยังให้อิสระกับเขาอยู่ เพียงแค่เราไม่ให้เขาไปทำร้ายมนุษย์ก็พอ” ผู้ปกครองเมืองอวานีกล่าวบ้าง
“แล้วถ้าเกิดปีศาจเหล่านั้นยังคงทำร้ายมนุษย์อยู่ละครับ?” ผมพูดออกไปบ้าง ก็แหงละนะเราจะมั่นใจได้อย่างไรว่าปีศาจจะไม่มาทำร้ายมนุษย์อีก
“งั้นเราคงต้องลงโทษเขาละครับ แต่มันก็แล้วแต่สถานการณ์นะครับ เพราะถ้ามนุษย์ไปบุกรุกหรือเริ่มก่อเรื่องก่อน เราก็ต้องตัดสินกันอีกที” เอบลิสตอบคำถามผม
“ถ้าแบบนั้นก็ได้นะครับ แต่ดูท่านเอบลิสจะเข้าข้างเหล่าปีศาจซะเหลือเกิน” ผมพูดพร้อมกับยิ้มแค่มุมปาก และส่งสายตาไปให้เอบลิส
“ก็ไม่ได้เข้าข้างหรอกครับ ผมแค่ทำให้มันยุติธรรมกับทั้งสองฝ่ายก็เท่านั้น” เอบลิสตอบผมด้วยน้ำเสียงที่เยือกเย็นและก็หันมายิ้มให้ผม หึ คงคิดว่าตอนนี้กำลังถือไผ่เหนือผมอยู่สินะ อีกไม่นานหรอกเอบลิสผลลัพธ์มันก็จะออกมาแล้ว
By : Helen
ฉันนอนเล่น นั่งเล่น เดินแล้วเดินอีก ทำทุกอย่างวนเวียนจนฉันไม่อยากจะทำแล้ว แต่จะทำยังไงได้ละในเมื่อฉันถูกเอบลิสสั่งห้ามไม่ให้ออกไปจากห้องตัวเอง แต่บางทีฉันก็สงสัยนะว่าทำไมเขาถึงต้องห้ามฉันไม่ให้ออกจากห้องของตัวเองด้วย หรือจะเป็นเพราะวันนี้มีงานประชุม แต่ก็ไม่จำเป็นที่จะต้องสั่ง กำชับแล้วกำชับหนาอะไรขนาดนั้นเลยนี่นา บางทีฉันก็ไม่เข้าใจหรอกว่าเอบลิสเองกำลังคิดหรือกำลังทำอะไรอยู่ แต่สำหรับฉัน ฉันเชื่อมั่นในตัวเขา
“เฮ้อออ” ฉันนั่งถอนใจอยู่ในห้องนี้มาหลายครั้งจนนับไม่ถ้วนแล้วละ อยู่แต่ในห้องก็ไม่เห็นจะมีอะไรน่าทำเลย ฉันได้แต่คิดน้อยใจเอบลิสอยู่อน่างนั้นแต่ก็ไม่คิดจะโกรธเขาหรอก ฉันคิดในใจพลางปลอบใจตัวเอง แล้วก็เดินไปเปิดผ้าม่านที่หน้าต่างบานใหญ่ ฉันเห็นสวนดอกไม้ที่ฉันเคยอยากไปเดินชมแต่ก็ลืมทุกที“ถ้าฉันออกไปตอนนี้ เอบลิสจะว่ามั้ยนะ?” ฉันได้แต่คิดในใจ ความจริงฉันอยากจะไปเดินดูสวนดอกไม้นี้กับเอบลิสนะ แต่ดูช่วงนี้เอบลิสเค้าดูยุ่งๆ ฉันก็เลยไม่อยากรบกวนเขา “ไปดูคนเดียวก็คงไม่เป็นไรหรอกมั้ง” ฉันคิดแบบนั้นและก็ตัดสินใจเดินออกไปจากห้องของตัวเอง ฉันพยายามเดินหลบเพื่อไม่ให้พวกเมดเห็น เพราะฉันคิดว่าถ้าพวกเมดเห็นฉัน ฉันคงได้ถูกพวกเธอพาตัวกลับไปยังห้องแหงๆ และสิ่งที่น่ากลัวกว่านั้นก็คือการเจออะไมน่า ฉันคิดว่าเธอคงดุฉันแน่ๆเลยละที่ฉันไม่ยอมฟังคำสั่งของเอบลิส ฉันคิดว่าพวกเขาคงจะยังประชุมกันไม่เสร็จ ฉันจึงเดินออกมา รอให้มีคนเริ่มทยอยกลับก่อนแล้วค่อยกลับเข้าห้อง เพราะถ้าเอบลิสไปหาฉันที่ห้องแล้วดันไม่เจอฉัน มีหวังฉันได้ถูกกักบริเวณแน่ ตอนนี้ฉันเดินมาถึงสวนแล้ว สวนดอกไม้นี้อยู่ข้างๆกับประตูหลักของราชวัง แต่สวนดอกไม้นี้ดูสวยมากๆ มีดอกไม้หลายชนิด อย่างเช่น ดอกทิวลิป ดอกกุหลาบซึ่งทีนี่มีดอกกุหลาบแทบจะครบทุกสีเลยละ ดอกแคคตัส ดอกเดซี่ และฉันก็เหลือบไปเห็นดอกดอกคาร์เนชั่น ฉันเดินตามหาดอกคาร์เนชั่นสีแดง และในที่สุดฉันก็พบ ฉันหวังเอาไว้อยู่นะว่าในสวนนี้จะมีดอกคาร์เนชั่นสีแดงดอกไม้โปรดของฉันและมันก็มี ฉันเดินดูดอกไม้อื่นๆด้วยความสุขไปอยู่สักพักหนึ่ง
By :Carlray
“งั้นเรามาเริ่มประเด็นต่อไปกันเลยนะครับ ใครมีประเด็นไหนจะเสนอบ้างมั้ย?” พระราชาของเมืองวาลเทอร์ราเสนอ
“ผมมีประเด็นที่อยากจะถามทุกท่านครับ คือหลังจากที่ผมได้ฟังเรื่องร้องเรียนเรื่องปีศาจ ผมคิดว่าเราควรจะให้มนุษย์ได้เรียนรู้เวทย์พื้นฐาน เพื่อมาประกอบอาชีพและป้องกันตนเองครับ” หลังจากที่เอบลิสกล่าวเปิดประเด็นใหม่ก็มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันมาก เกิดเสียงซุบซิบดังขึ้นเลยละ เพราะขนาดผมเองยังไม่คิดว่าเอบลิสจะพูดเรื่องนี้
“ทำไมเอบลิสถึงมีข้อเสนอในเรื่องนี้ละ?” พระราชาของเมืองโอนีถามเอบลิส
“เพราะผมคิดว่ามนุษย์นั้นถูกเอาเปรียบมากที่สุดในสิ่งมีชีวิตบนโลกนี้ ถ้าเราได้สอนวิชาความรู้เกี่ยวกับเรื่องเวทย์มนต์ขั้นพื้นฐานพวกการใช้ในชีวิตประจำวัน การป้องกันตัวเองจากปีศาจ ผมคิดว่ามันจะเป็นประโยชน์แก่มนุษย์นะครับ” เอบลิสตอบพระราชาจากเมืองวาลเทอร์รา
“แล้วถ้ามนุษย์เหล่านั้นนำเวทย์มนต์ไปใช้ในทางที่ผิดละ?” ผู้ปกครองของเมืองฮีลทอนกล่าว และดูท่าทางเหมือนจะไม่พอใจด้วย
“เพราะแบบนี้ไงครับผมถึงได้อยากให้มีการจัดการสอน เปิดตามโรงเรียนที่ไม่ต้องมากและสอนเฉพาะเวทย์มนต์ที่ต้องใช้จริงๆ และไม่สอนเวทย์ที่เหนือกว่านั้น แต่ถ้าจับได้ว่าใครฝ่าฝืนก็จะถูกลงโทษและไม่สามารถเรียนต่อทางด้านเวทย์มนต์ได้อีก แค่นั้นเราก็ไม่จำเป็นที่จะต้องเป็นห่วงแล้วจริงมั้ยครับ?” เอบลิสตอบคำถามของผู้ปกครองตามเมืองต่างๆที่ดูไม่พอใจได้เป็นอย่างดี
“อืม ผมก็คิดว่าการที่พวกมนุษย์มีเวทย์มนต์ไว้ใช้ป้องกันตัวก็ดีเหมือนกันนะ” ผู้ปกครองเมืองนิเทซพูดขึ้นมา และนั่นก็ทำให้ข้อเสนอแนะของเอบลิสเริ่มได้รับการยอมรับมากขึ้น
“ผมไม่ได้ขอให้ทุกท่านเห็นด้วยหรอกนะครับ แต่ผมอยากให้ทุกท่านนำข้อเสนอแนะนี้ไปคิดไตร่ตรองดู เพื่อประโยชน์ทางสุขภาพของประชาชนและทางด้านการปกครองด้วย เราจะได้มีปัญหาเรื่องการที่มีปีศาจทำร้ายมนุษย์ได้น้อยลง” เอบลิสพูดและยิ้มด้วยท่าทางไมตรีจิต และก็ยังมีประเด็นอีกหลายเรื่องที่ได้นำมาถกเถียงกันในที่ประชุมครั้งนี้ และสักพักการประชุมครั้งนี้ก็สิ้นสุดลง ผมเดินออกมาก่อนและสังเกตเห็นว่าเอบลิสกำลังคุยกับบรรดาพระราชา ผมก็ไม่ได้สนใจอะไรมากและผมก็เดินออกมา จนเกือบถึงหน้าประตูพระราชวังก็มีทหารของเมืองฟาริสมาให้การต้อนรับกลับเมือง
“พระองค์จะทรงเสด็จกลับเลยมั้ยพะยะคะ?” อามิชถามผม
“อืม กลับเลย” พอผมพูดจบ ผมก็เดินออกไป แต่ก็ยังเดินได้ไม่เท่าไหร่ก็มีสิ่งสะดุดตาที่ทำให้หางตาของผมต้องหันกลับไปมอง “หญิงสาว?” ผมหันไปมองและดูท่าทางของเธอ เธอเหมือนกำลังเดินชมดอกไม้จากสวน ลักษณะของเธอเป็นผู้หญิงตัวเล็กๆ มีผมสีบลอนด์สว่าง ผมรู้สึกคุ้นเคยกับลักษณะเช่นนี้ดี
“อามิช เคลเลม ไปจับหญิงสาวผู้นั้นมา และรีบพาไปขึ้นรถ อย่าให้ใครจับได้ละ” ผมบอกกับทหารสองคน ส่วนทหารสองคนนั้นก็ก้มรับพระบัญชาและเดินไป ส่วนผมก็เดินกลับไปที่หน้าประตูของตัวราชวัง
“ฝากสิ่งนี้ให้ท่านเอบลิสด้วยนะ” ผมพูดพร้อมกับยื่นซองจดหมายให้กับองครักษ์ ความจริงผมเขียนจดหมายนั่นมาตั้งแต่ที่เมืองฟาริสแล้ว เพราะในการประชุมครั้งนี้ผมตั้งใจจะพาตัวเธอกลับไปด้วย ผมเดินกลับไปยังรถและยิ้มที่มุมปากของตัวเอง แค่นี้ผมก็ชนะเอบลิสแล้ว
By : Abliss
หลังจากที่ประชุมกันเสร็จก็เป็นหน้าที่เจ้าภาพอย่างผมที่ต้องรับส่งแขก ผมได้พูดคุยกับบรรดาพระราชาบ้างบางพระองค์ และผมก็สังเกตว่าคาร์เรย์นั้นได้กลับไปแล้ว วันนี้ถือว่าคาร์เรย์เองก็ถกประเด็นและมีไหวพริบที่ดีเหมือนกันถ้าเปรียบกับคนอายุขนาดนี้ และสักพักผมก็ส่งแขกหมด ผมรู้สึกเหนื่อยล้านิดหน่อย และวิธีที่จะทำให้ผมหายจากอาการเหนื่อยล้าแบบนี้ก็คือการได้เจอเฮเลน ผมรู้สึกมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก และเดินตรงไปยังห้องของเฮเลน
“เฮเลน เปิดประตูให้หน่อย” ผมยืนตะโกนเรียกเฮเลนอยู่หน้าห้องของเธอ ผมยืนรออยู่สักพักแต่กลับไม่มีเสียงตอบรับใดๆจากเฮเลนเลย ผมเริ่มรู้สึกใจคอไม่ดีซะแล้วสิ
“เฮเลน ได้ยินมั้ย? เปิดประตูหน่อย” ผมตะโกนเรียกเธออยู่อย่างนั้น และผมเห็นว่าเธอไม่ตอบรับผมสักที ผมเลยตัดสินใจจะพังประตูเข้าไป
“เอ่อ พระราชาพะยะคะ มีจดหมายฝากมาถึงพระองค์เพคะ” ทหารผู้หนึ่งพูดพร้อมกับส่งจดหมายมาให้ผม ผมก็เปิดแกะอ่านและเมื่อผมได้อ่านข้อความนั่นมันก็ทำให้ผมรู้สึกโมโหขึ้นมาทันที เพราะมันเหมือนเป็นการท้าทำสงครามได้เลยละ
‘สวัสดีท่านเอบลิส วันนี้ในการประชุมท่านพูดถกเถียงแต่ละประเด็นได้ดีมาก ผมขอชื่นชมจากใจจริงเลยละ อ่อ แล้วผมก็มีสิ่งที่ผมอยากจะบอกกับท่านด้วยนะ หญิงสาวที่ท่านทรงซ่อนตัวเอาไว้นะตอนนี้ผมรู้ความลับนั่นแล้วละ ผมจึงขอวิสาสะพาตัวเธอกลับไปอยู่กับผมก็แล้วกันนะ ผมคิดว่าการที่ให้เธออยู่กับท่านมันคงจะไม่ดีงามสักเท่าไหร่ ผมขอให้ท่านโชคดีนะ แล้วผมจะรอ
คาร์เรย์’
“แก เจ้าคาร์เรย์!” ผมพูดพร้อมกับกำกระดาษใบนั้นเอาไว้ รอก่อนเถอะ แล้วผมจะไปชิงของๆผมคืน
*อะไมน่า แปลว่า ซื่อสัตย์, ยุติธรรม, จริงใจ
ความคิดเห็น