คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #33 : - THE END - ( 100% )
The End
그대도 나만 보며 나만 사랑해
สัญญากับผมสิ ว่าคุณเองก็จะมองและรักแค่ผม
“ท่านดยุคครับ! แย่แล้วครับ!!!!”
และเรื่องอลม่านก็เกิดขึ้นทันตา หลังจากคิมจงอินวิ่งพล่วนนำสารตรงจากปาร์คชานยอลรายงานให้ดยุคโอเซฮุนที่นั่งจิบชายามเย็นเฝ้ามองพระอาทิตย์ตกดินกับดัชเชสคนสวยบนระเบียงกว้าง
“สั่งทหารคอยเฝ้าระวังอดีตดัชเชส อย่าให้ได้รับอันตรายเด็ดขาด!”
เมื่อได้รับฟังสารตรงจากชานยอลดยุคหนุ่มพร้อมดัชเชสคนสวยก็ลุกวิ่งพรวดตรงดิ่งไปยังสถานที่เกิดเหตุที่ได้รับรายงานทันที …คุกใต้ดิน
“มันเกิดอะไรขึ้น!”
เมื่อมาถึงดยุคหนุ่มก็ตะโกนถามเหล่าทหารและองครักษ์หนุ่มรวมถึงที่ปรึกษาคนสนิททันที ดวงตาสีเฮเซลกวาดมองรอบพื้นที่อย่างตรวจสอบก่อนถอนหายใจอย่างโล่งอกเมื่อพบว่าไม่มีใครได้รับบาดเจ็บ หากแต่…
“คุณจางเข้ามาเฝ้าอาการเจ้าชายคริสไม่ห่างตั้งแต่คืนวาน แต่ดูเหมือนเจ้าชายคริสจะมีอาการคลุ้มคลั่งจนเกือบทำร้ายร่างกายคุณจางครับ”
คำรายงานจากองครักษ์หนุ่มชานยอลพาเอาดยุคหนุ่มและดัชเชสคนสวยใจหายวูบอย่างตื่นตกใจ ก่อนจะหันไปมองร่างขาวซีดที่ผิวพรรณเริ่มกลับมาเรียบเนียนนั่งทรุดกายสะอื้นไห้ไม่ไกลจากกรงขังรั้วเหล็กที่มีร่างเจ้าชายคริสด้านใน
“ฮึกคุณคริส…”
ร่างขาวซีดของจางอี้ชิงนั่งสะอื้นไห้ข้างรั้วกรงเหล็ก ดวงตาบวมช้ำที่ผ่านการร้องไห้ไม่หยุดเฝ้ามองแต่ร่างชายหนุ่มภายในกรงขังที่ไม่มีทีท่าจะแลสายตามองร่างน้อยแม้สักนิด
ทว่าในวินาทีต่อมานั้น ทุกคนภายในก็ต้องสะดุ้งตกใจกับเสียงหัวเราะก้องกังวานที่มาจากคนในห้องขัง
“ฉันนี่สิที่เป็นดยุค!! ดยุคคริสผู้ปกครองเฮเลเนี่ยน!!! ฉันคนนี้ผู้เดียวเท่านั้น!!!!… หึฮ่าๆๆๆ”
เสียงหัวเราะอย่างคนขาดสติดังสะท้อนกึกก้องพาให้ขนลุกชันอย่างหวาดกลัว ดวงตาคมเข้มที่เคยเต็มไปด้วยแรงแค้นกลับว่างเปล่าราวไม่มีความนึกคิด ยิ่งท่าทีไร้สติวางตัวว่างท่าราวตนเป็นคนใหญ่คนโตหากแต่ความจริงกลับนั่งอยู่ในห้องขังอับชื้นยิ่งทำให้ใครหลายคนปักใจว่าชายคนนี้กำลังกลายเป็นคนบ้า
อาการที่คลับคล้ายจางอี้ชิง แต่ต่างกันตรงที่ชายคนนี้กำลังเป็นบ้าจริงๆ
...และนี่คงเป็นหนึ่งในเวรกรรม
“มีหมอมาดูอาการหรือยัง”
“มีแล้วครับเมื่อเช้า แพทย์ได้สันนิษฐานคร่าวๆว่าเจ้าชายคริสมีอาการช็อคจนขวัญประสาทเสีย ซึ่งส่งผลให้มีบางช่วงจะเกิดอาการคลุ้มคลั้ง แพทย์สั่งว่าให้ฉีดยาสลบอย่างเดียวแล้วตามแพทย์มาดูอาการครับ”
“หนักขนาดนั้นเลยหรือ”
เสียงซักถามระหว่างชานยอลและเซฮุนดังขึ้นตอบคำถามได้เป็นอย่างดีถึงอาการของเจ้าชายหนุ่ม เซฮุนมองคนด้านในที่ตนสนิทสนมมาแต่เด็กด้วยแววตาสงสารปนเห็นใจ ชายที่เปรียบเหมือนพี่ชายร่วมสายเลือดที่กำลังยกมือชี้นิ้วทางนั้นทางนี้ทั้งที่รอบกายมีเพียงแค่กำแพงหินสำหรับคุมขังนักโทษเท่านั้น
“ฉันคือดยุคคริส! พวกแกต้องยอมรับฟังคำสั่งของฉันผู้เดียวเข้าใจไหม!!!”
หากแต่อาการภายนอกคริสดูหนักหนามากนัก แต่เมื่อเทียบกับอาการบาดเจ็บภายในคงไม่มีใครหนักหนาสาหัสได้เท่า… อดีตดัชเชสจางอี้ชิง
“ฮึก คุณคริสผมยอมแล้ว หยุดเถอะครับฮึก”
“เจ้าพวกทาสรับใช้ไปเอาอาหารเช้ามาให้ฉันเร็วเข้าสิ!”
“ฮึกพอเถอะครับฮึก”
ร่างน้อยที่ทรุดกายเกาะขอบรั้วกรงเหล็กแน่นสะอื้นสั่นไหวอย่างรุนแรงยามที่ได้เห็นภาพคนที่รักกำลังเสียสติอยู่ในโลกแห่งจินตนาการจนนึกปวดใจ
ใครกันที่สามารถทนเห็นคนที่เรารักเจ็บปวดได้บ้าง …ไม่มีหรอก
“คุณคริสพอเถอะครับฮึกผมจางอี้ชิงอยู่ตรงนี้ฮึกคุณเห็นไหม”
หากแต่ประโยคเมื่อครู่กลับเหมือนเข้าไปฉุดรั้งเจ้าชายเสียสติที่กำลังหลงไปกับภาพในจินตนาการให้ชะงักค้าง อย่างที่พาให้จางอี้ชิงมองอย่างมีหวัง
“อะไรนะ… จางอี้ชิงงั้นหรอ…”
“ใช่ครับ ผมจางอี้ชิงเอง คุณคริสฮึกจำผมได้ไหมครับ”
แววตาที่เต็มไปด้วยความหวังมองเจ้าชายหนุ่มด้วยสายตารักใคร่ หากแต่ต้องพะงะถอยหลังเมื่อจู่ๆเจ้าชายหนุ่มก็เกิดอาการคลุ้มคลั่งอาละวาดขึ้น
กึ้ง!!!!!!
“จางอี้ชิง!! กูจะฆ่ามึง!!! ไอ้คนทรยศมันต้องตาย!!!!!”
“ช่วยจางอี้ชิงเร็ว!!!”
เสียงคำสั่งของดยุคเซฮุนดังขึ้นทันทีเมื่อเฝ้ามองสถานการณ์มาแต่ต้น ร่างของเจ้าชายหนุ่มที่เพียงได้ยินชื่อจางอี้ชิงก็หยุดชะงักก่อนหันมาพุ่งกายเกาะรั้วกรงเหล็กกำแน่นตามแรงอารมณ์ ดวงตาคมกริบวาวโรจน์ราวฆาตรกรโรคจิตที่เกลียดแค้นผู้คนจนอยากฆ่าให้ตายหมดโลก ยิ่งท่าทีเขย่ากรงเหล็กอย่างแรงจนเกิดเสียงกระทบกึกก้องยิ่งทำให้รู้สึกว่าชายคนนี้ไม่ต่างอะไรจากคนบ้าไร้ความนึกคิด
“จางอี้ชิง!! มาให้กูฆ่าเดี๋ยวนี้!!!!! กูจะเอามีดแทงมึงให้ตายตรงหน้ากูนี่แหละ!!!! กูจะฆ่ามึง!!!!!!!!!”
ร่างของคนที่โดนเรียกชื่อตะโกนโวกเวกว่าจะถูกฆ่านั้นถูกดึงออกห่างกรงขังทันทีเมื่อคริสพุ่งกายเข้าหาอย่างเร็ว หากตรงหน้าไม่มีแท่งเหล็กขวางกั้นไว้ ร่างของจางอี้ชิงอาจถูกเจ้าชายคลุ้มคลั่งบีบรัดคอตายไปแล้วก็เป็นได้
ดวงตาเรียวสวยสั่นระริกอย่างหวาดกลัวเมื่อดวงตาคมกริบคู่นั้นจ้องมองตนราวกับอยากจะฆ่าให้ตายจริงๆ ความรู้สึกหวาดผวาอย่างที่ทำให้ก้อนเนื้อในอกบีบรัดแน่นจนยากนักจะหายใจมีชีวิตอยู่ต่อ ความรู้สึกเจ็บร้าวที่เหมือนกำลังจะตายตามคำพูดของชายที่ตนหลงรักมาแสนนาน
เสียงที่เหมือนใบมีดแหลมคมกีดหัวใจอี้ชิงให้แหลกละเอียด
“ฮึก”
“จางอิ้ชิง!!! กูจะฆ่ามึง มึงจะต้องโดนกูฆ่าที่สวมเขาให้กู!!!!!!!!!!!!!”
“มัวยืนเซ่ออะไรอยู่! เข้าไปฉีดยาสลบเจ้าชายแล้วตามแพทย์มาได้แล้ว!!!”
ดยุคเซฮุนที่เฝ้ามองมานานทนไม่ไหวตวาดดังลั่นก่อนที่เหล่าทหารอารักขาจะกรูกันเข้าไปยึดร่างของเจ้าชายคริส
“ปล่อยกูสิวะไอ้พวกขี้ข้า!! กูเป็นดยุคพวกมึงกล้าแตะต้องกูงั้นหรอ!!! กูจะฆ่าคนทรยศจางอี้ชิงปล่อยกูสิโว้ย!!!!”
หากแต่ร่างที่ถูกยึดเพื่อฉีดยาสลบกลับดีดดิ้นไปมาอย่างไม่ยอม ปากก็พ่นคำด่าเหล่าทหารที่เข้ามารุมจับ ภาพที่บีบก้อนเนื้อในอกจางอี้ชิงให้เจ็บร้าวไปทั้งใจ
“ปล่อยกู!! มีสิทธิอะไรมาจับกู!!!! กูจะฆ่ามัน!!!!! กูจะฆ่าจางอี้ชิงปล่อยกูสิโว้ย!!!!!”
“ฮึก”
ราวกับหัวใจที่เคยเต้นหยุดลงเมื่อถ้อยคำร้ายกาจยังคงดังมาให้ได้ยิน ดวงตาบวมช้ำมองภาพชายคนที่รักหมดหัวใจถูกทหารจับยึดกายดิ้นพล่านไปมายามถูกเข็มยาสลบแทงเข้าที่แขน ภาพที่ทำให้หยดน้ำตาใสล่วงหล่นอย่างทรมานหัวใจ
จางอี้ชิงแทบลมทั้งยืนยามที่ได้ยินเสียงหวีดร้องอย่างเจ็บทรมานจากคริส ดวงตาสวยหันหลบภาพทรมานหัวใจก่อนที่กายเล็กจะไร้เรี่ยวแรงถลาล่วงลงกับพื้นพร้อมกับที่คริสลบไปเช่นกัน
เจ็บปวดเหลือเกิน…
“ฮึกอย่าทำเขาอย่าทำอะไรเขาเลยฮึก”
ภาพน่าสงสารอย่างที่ทำให้คนมองต้องยืนนิ่งอย่างทำอะไรไม่ถูก มีเพียงแค่ขาเล็กของดัชเชสคนสวยที่ก้าวเข้าใกล้ก่อนวางมือแตะบนบ่าเล็กที่กำลังสั่นไหวแผ่วเบา
“มีหลายอย่างบนโลกที่เราควบคุมมันไม่ได้ และบางทีการยอมรับว่าเราควบคุมมันไม่ได้ก็อาจทำให้มีความสุขมากกว่าการไปพยายามควบคุมมันเสียอีก” เสียงใสเอ่ยก่อนเงียบลงเพียงหนึ่งอึดใจ “…ถ้ารู้ว่าทุกวันนี้ไม่มีความสุขแล้วทำไมนายถึงยังพยายามควบคุมหัวใจตัวเอง”
“คุณฮึกลู่หาน”
“อย่าพยายามอีกเลย... ถือว่าสงสารหัวใจตัวเองที่เจ็บเจียนตายเพื่อนายได้หรือเปล่า..?”
จางอี้ชิงอาจเป็นคนโง่งมที่ไม่เคยถามหัวใจตัวเองเลยสักครั้งว่าจะเจ็บปวดมากแค่ไหน ...หัวใจดวงนี้จะร้องไห้มานานเท่าไร... ไม่เคยเลยสักครั้ง... อี้ชิงพยายามมาตลอด พยายามเพื่อชายคนที่ตนรักมาเสมอ พยายามทุกวิถีทาง โดยที่อี้ชิงอาจจะลืมไปว่า...
ความพยายามอยู่ที่ไหน ความรักไม่ได้อยู่ที่นั่นเสมอไป
“ขอบคุณนะฮึก”
ลู่หานฉีกยิ้มก่อนหยัดกายขึ้นยืนตามเดิม เซฮุนฉีกยิ้มให้คนตัวเล็กข้างกายเมื่อคำพูดเมื่อกี้ช่างเหมือนหยดน้ำทิพย์ที่สามารถล่อเลี้ยงหัวใจของจางอี้ชิงให้สงบลงได้ สองมือกอบกุมกันแน่นท่ามกลางบรรยากาศที่เบาลงจากเดิม
“ต่อไปนี้ แบ่งทหารผลัดเปลี่ยนเวรเฝ้าอาการเจ้าชายคริส และคอยดูแลอดีตดัชเชสจางอี้ชิงให้ดีอย่าได้เกิดเรื่องแบบวันนี้ขึ้รอีก”
“ขอรับ”
หลังจากที่ให้คำสั่งเสร็จดยุคหนุ่มก็จูงมือดัชเชสคนสวยออกนอกสถานที่จำคุกนักโทษแห่งเฮเลเนี่ยนทันที สองมือที่กอบกุมยิ่งกระชับแน่นกว่าเดิมเมื่อลมหนาวพัดผ่านร่างทั้งสอง ทว่าลมหนาวก็ไม่สามารถทำให้ทั้งสองร่างนี้หนาวตามได้ บางทีก็อาจเป็นเพราะความอบอุ่นจากใครอีกคนที่ถ่ายทอดมาโอบกอดให้อุ่นวาบไปทั้งใจก็ได้
เหนืออื่นสิ่งใด ดัชเชสลู่หานฉีกยิ้มบางเบาเมื่อในวันนี้ตนสามารถให้กำลังใจจางอี้ชิงได้โดยไร้ความรู้สึกเกลียดชังดั่งเคย ลู่หานเชื่อ เชื่อว่าสักวันจางอี้ชิงจะเติบโตมากพอที่จะก้าวเดินด้วยความเข้มแข็ง
ปล่อยให้หยาดน้ำตาครั้งนี้ เป็นยารักษาอาการตาบอดเถอะนะ… จางอี้ชิง
คำปลอบโยนจากดัชเชสลู่หานที่ส่งไปยังอดีตดัชเชสผู้น่าสงสารแห่งเฮเลเนี่ยน
ในที่สุดวันนี้ก็มาถึง… วันสุดท้ายของดัชเชสลู่หานในเฮเลเนี่ยน การจากลาของดัชเชสที่ถูกปิดเป็นความลับรู้กันเพียงแค่คนภายในเท่านั้น การละจากบัลลังก์ดัชเชสยิ่งใหญ่ข้างกายดยุคโดยที่เจ้าตัวก็ยังไม่อาจรู้ได้เลยว่า… จะหวนกลับมาวันใด
แสงแดดยามเช้ารอดผ่านม่านขาวโปร่งแยงตาร่างที่นอนหลับใหลในอ้อมแขนแกร่ง ลู่หานปรือตาขึ้นอย่างงัวเงีย ก่อนที่ดวงตาฉ่ำน้ำจะปรือลงเมื่ออาการขี้เซาตีรวนขึ้นจนยากจะต้านทาน
หากแต่ก่อนที่ร่างนี้จะหลับใหล แรงรัดจากท่อนแขนที่พาดเอวก็จำต้องปลุกให้ลืมตาอีกครั้ง
“ตื่นแล้วหรือ”
“อื้ม… ตื่นนานแล้วหรอ”
เสียงสะลึมสะลือราวเด็กตัวน้อยกำลังงอแงทำเอาดยุคหนุ่มระบายยิ้มยามเช้า ท่อนแขนแกร่งกระชับเอวเล็กเข้าหาก่อนซุกใบหน้าลงกลุ่มผมยุ่งของดัชเชสจอมขี้เซา “เปล่า… ยังไม่ได้นอนเลยต่างหาก”
“เห? ทำไมยังไม่นอนละ? นอนไม่หลับหรอ? ไม่สบายรึเปล่า?” ทีนี้คนขี้เซาก็เปลี่ยนมาตื่นเต็มตายกไม้ยกมือแตะหน้าผากกว้างไปมาเรียกสายตาอ่อนโยนจากเจ้าของผลึกตาสีเฮเซลที่นอนอมยิ้มกับท่าทีเป็นห่วงของร่างเล็ก
หากพรุ่งนี้ไม่มีคนนี้ข้างกาย… ชีวิตจะเป็นเช่นไร
จะเป็นเช่นไรหากต้องหายใจในแต่ละวันโดยไร้ …หัวใจ
ไม่มีใครอยากดำเนินชีวิตในแต่ละวันโดยไร้คนของหัวใจ หากแต่จะให้ดยุคหนุ่มผู้นี้ทำอย่างไรในเมื่อหากดื้อดึงลู่หานให้อยู่เฮเลเนี่ยนต่อ ในอนาคตอาจเกิดสงครามเย็นระหว่างเกาหลีและจีนก็เป็นได้
และถ้าหากจะให้เขาตามไปอยู่กับลู่หานก็ไม่สามารถเห็นได้ถึงความเป็นไปได้ โอเซฮุนผู้ครองบัลลังก์ดยุคแห่งเฮเลเนี่ยนจะทิ้งภาระหน้าที่อันยิ่งใหญ่นี้ไปได้อย่างไร
มองไปทางไหนก็เห็นเพียงคำว่าจากลา…
“เพราะฉันอยากซึมซับทุกความรู้สึกเวลาอยู่ด้วยกันต่างหากละลู่หาน”
ถ้อยคำหวานซึ้งยามเช้าพาให้หัวใจดวงเล็กสั่นไหว ริมฝีปากเล็กแย้มยิ้มกว้างอย่างมีความสุขแม้จะรู้ดีว่าวันพรุ่งนี้… ต้องแยกจากกัน
และที่น่าเศร้าคือไม่สามารถรู้ได้เลยว่าจะกลับมาเจอกันอีก… เมื่อไหร่
“ลุกไปอาบน้ำกันเถอะ”
ดยุคหนุ่มตัดสินใจเปลี่ยนเรื่องเพราะไม่อยากให้อีกคนตกอยู่ในห้วงความเศร้า เขาอยากให้ลู่หานจดจำเพียงแค่ความรักอันล้นหลามของโอเซฮุนผู้นี้เท่านั้น… ความรักของดยุคเซฮุนที่ผู้ใดก็ไม่อาจเปรียบเทียบได้
เมื่อทานอาหารเช้าเสร็จดยุคหนุ่มพาดัชเชสคนสวยเดินเข้ามายังพื้นที่คุ้นเคยที่เคยถูกเผาจนพรรณไม้มอดไหม้ทั้งสวน …สวนดอกไม้หลังเฮเลเนี่ยน
ลู่หานมองพื้นที่กว้างตรงหน้าที่กลายเป็นพื้นดินธรรมดา หากแต่เนื้อดินที่พูนขึ้นเล็กน้อยเป็นแถวยาวราวกำลังเพาะปลูกอะไรสักอย่างนั้นพาเอาเรียวคิ้วสวยยกขึ้นอย่างสงสัย ดยุคหนุ่มที่เฝ้ามองอยู่ยกยิ้มก่อนเอ่ยให้หายคลายใจ
“ฉันได้สั่งให้คนถอนรากต้นไฮเดรนเยียออกทั้งหมดเพื่อปลูกดอกไม้ชนิดอื่นลงไปแทน”
ลู่หานหันมองดยุคหนุ่มที่หันกายเข้าหาตนแบนมือและกำออกสลับกันตรงหน้าอย่างฉงน หากแต่สงสัยได้ไม่นานดวงตาสวยก็จำต้องเบิกโพลงอย่างตกใจเมื่อจู่ๆมือหยาบที่แบออกอีกรอบนั้นได้ปรากฎดอกไม้เล็กสีแดงสดขึ้นมาแทน
…ดอกเดซี่สีแดง…
ดยุคหนุ่มที่เห็นท่าทีตื่นตกใจปนซาบซึ้งของดัชเชสคนสวยก็ระบายยิ้มกว้างก่อนยื่นดอกเดซี่ในมือให้ลู่หานที่ยังยืนค้าง
“ดอกเดซี่สีแดงฉันตั้งใจมอบให้นาย มันคือตัวแทนความรักของฉันที่ฉันตั้งใจปลูกขึ้นเพื่อรอคอยวันที่นายหวนกลับมาอีกครั้ง ดอกเดซี่สีแดงจะบานเต็มทุ่งเพื่อเฝ้ารอคอยนายตลอดไป… รู้หรือเปล่าดัชเชสที่รัก”
ราวกับหัวใจหยุดเต้น… ความตั้งใจที่เคยตั้งมั่นพังทลายลงเมื่อลู่หานไม่สามารถต้านทานความอ่อนไหวได้อีกต่อไป หากแต่หัวใจที่อิ่มเอมความสุขมากเพียงใดมันกลับยิ่งตอกย้ำความจริงมากเท่านั้น ความรู้สึกที่มีทั้งทุกข์และสุข ความรู้สึกหน่วงที่สุดแสนทรมานจนทำให้ร่างน้อยกำลังยิ้ม… ยิ้มทั้งน้ำตา
“ฉันเป็นดัชเชสแห่งเฮเลเนี่ยน ถ้าฉันไม่อยู่ที่นี่แล้วจะอยู่ที่ไหนได้อีกละ ฮึก ฉันจะรีบกลับมาหานาย… รอฉันนะ”
และมีหรือที่ดยุคหนุ่มผู้ฝากหัวใจไว้กับร่างน้อยจะไม่คิดรอ ริมฝีปากหยักกดจูบจี้สร้อยคอรูปพระอาทิตย์สัญลักษณ์แห่งเฮเลเนี่ยนที่คล้องอยู่บนคอสวยแผ่วเบาเนิ่นนานราวฝากความรักฝังลงในจี้สร้อยเส้นนั้น
จี้สร้อยพระอาทิตย์ที่มีเพียงแค่อันเดียวในโลก จี้สร้อยพระอาทิตย์ที่มีความหมายยิ่งใหญ่ จี้สร้อยพระอาทิตย์ที่แสดงความเป็นเจ้าของว่าผู้สวมใส่นั้น… เป็นของดยุคแห่งเฮเลเนี่ยน
“อย่าถอดสร้อยเส้นนี้ไม่ว่าจะไปไหนก็ตาม เพราะถ้านายถอดนั่นแปลว่าพระอาทิตย์ดวงนี้จะไม่มีแสงสว่างนำทางอีกต่อไป”
“ฮึก… ฉันจะเป็นแสงสว่างแก่ดยุคเซฮุนตลอดไป อึ๊ก… สัญญา…”
ดัชเชสแห่งเฮเลเนี่ยนสะอื้นไห้ทั้งรอยยิ้มหวานหยด ดวงตาสวยมองจี้พระอาทิตย์บนคอแล้วยกยิ้มกว้างอย่างสุดจะกลั้น มันทั้งสุข ทั้งเจ็บ ทั้งดีใจ ทั้งทรมาน ทุกความรู้สึกตีกันจนเจ็บหน่วงไปทั้งใจ มันยากเหลือเกินที่จะแกล้งหลอกตัวเองทั้งทีความจริงมันเด่นชัด
ดยุคหนุ่มคว้าร่างน้อยเข้าสู่อ้อมแขนก่อนลูบปลอบคนในอ้อมแขนให้หยุดร้อง หากแต่ในความจริงแล้วที่ดัชเชสกำลังเศร้าเสียใจในเวลานี้ไม่ใช่เรื่องที่ต้องลาจากดยุคของตน
แต่เป็นจะทำอย่างไรหากถึงเวลาที่ต้องจากกันขึ้นมาจริงๆ ลู่หานจะเข้มแข็งขยับขาออกจากเฮเลเนี่ยนได้อย่างนั้นหรือ ลู่หานจะสามารถบอกลาผู้ชายคนนี้ทั้งที่ใจยึดติดไม่ไปไหนได้ง่ายๆอย่างนั้นนะหรือ และคำตอบคือ…
มันเจ็บจนแทบขาดใจตาย
กลางดึกสงัดในคืนนั้นเอง… ร่างเล็กเปลือยเปล่าในอ้อมแขนอบอุ่นปรือขึ้นอย่างช้าๆ ดวงตาสวยจ้องมองโครงหน้าหล่อของดยุคหนุ่มราวจดจำทุกเสี้ยวหน้า จำเอาไว้… เพราะไม่รู้จะได้เห็นอีกเมื่อไหร่
กายเล็กขยับออกจากอ้อมแขนอบอุ่นอย่างไม่ให้คนที่นอนหลับรู้สึกตัว ลู่หานหยัดกายขึ้นมองดวงหน้าคมของชายที่แสนรักอีกครั้ง จดจำทุกรายละเอียดราวกับว่าเป็นการมองครั้งสุดท้าย
เขาตัดสินใจแล้ว
เพราะการจากลามันช่างยากเย็น และที่ยากกว่าคือการที่ต้องหันหลังให้คนรักโดยที่รู้ดีอยู่แก่ใจว่า… จะไม่ได้เจอกันอีกแล้ว
ลู่หานไม่ได้เข้มแข็งพอที่จะกล้าหันหลังให้ ลู่หานไม่ได้เข้มแข็งพอที่จะบอกว่าลาก่อนให้คนรักฟัง ลู่หานไม่ได้เข้มแข็งพอที่จะอยู่รอฟังคำว่าโชคดีนะจากปากเซฮุน …ลู่หานก็แค่คนอ่อนแอคนหนึ่ง
“เซฮุนฉันขอโทษนะ…”
การเลื่อนไฟล์ทบินกะทันหันโดยปิดข่าวไม่ให้ใครรู้แม้กระทั่งเพื่อนสนิทที่สุดอย่างแบคฮยอน จากที่ต้องบินกลับเวลาหกโมงเย็นแต่ลู่หานเลื่อนเข้ามาเป็นตีสองของคืนนี้ เพื่อที่จะให้เขาได้เป็นฝ่ายบอกลาเพียงคนเดียว เพื่อที่เขาจะได้ก้าวออกจากเฮเลเนี่ยนอย่างเข้มแข็ง
หากจะด่าเขาว่าเห็นแก่ตัวที่ไม่สนใจความรู้สึกเซฮุน… ใช่เขายอมรับ
แต่จะให้เขาทำอย่างไรหากต้องฟังคำว่า ‘โชคดีนะ’ จากปากคนที่เรารักสุดหัวใจ หากต้องหันหลังให้คนที่เขารักโดยที่ไม่มีวันรู้ได้เลยว่า… อีกเมื่อไหร่จะพบกันอีก
“ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นก็ตามต่อจากนี้”
ร่างบางโค้งกายลงเข้าหาร่างที่นอนหลับบนเตียงกว้าง ริมฝีปากเล็กประทับจูบระหว่างแผงคิ้วเข็มแผ่วเบาเนิ่นนานก่อนผละออก และในวินาทีนั้นเอง… หยดน้ำตาใสได้ไหลลงจากดวงตาคู่สวย
ดวงตาคู่สวยที่ดยุคเซฮุนแสนโปรดปราน
“ดัชเชสลู่หานจะรักท่านดยุคตลอดไป”
การที่ต้องลาจากคนรักเป็นสิ่งที่ทรมานใจที่สุด…
ก่อนที่ร่างนี้จะปล่อยเสียงสะอื้นไห้แล้วเผลอไปทำคนที่นอนหลับตื่นขึ้น ลู่หานสูดลมหายใจลึกก่อนทำใจแข็งหมุนกายหันหลังก้าวออกมา แต่ละก้าวที่เดินออกห่างนั้นช่างแสนปวดร้าว เหมือนแต่ละก้าวนั้นกำลังเดินบนพื้นดินที่เต็มไปด้วยตะปูยาวแหลม มันทิ่มแทงเท้าให้เจ็บสะท้านไปทั้งกาย
ถึงจะเจ็บที่กาย… แต่คงเจ็บไม่ถึงเศษเสี้ยวที่หัวใจ
ทว่าก่อนที่ขาเล็กจะก้าวพ้นขอบประตู หางตาก็เหลือบไปเห็นแมวเปอร์เซียขนฟูสีขาวนั่งมองอยู่ไม่ไกล และทันใดนั้นเอง…
ขาเล็กที่หมายจะก้าวออกไปกลับเปลี่ยนทิศทางกะทันหัน ลู่หานชันเข่านั่งยองกับพื้นเพื่อมองแมวตัวนั้นให้ชัดสายตาขึ้น แมวตัวน้อยที่กำลังเงยหน้ามองเขาอยู่เช่นเดียวกัน
“แคทเธอรีน…”
เสียงหวานติดแหบของดัชเชสคนสวยที่ยังมองแมวตัวน้อยนิ่งเอ่ยเรียกแมวเปอร์เซียที่ปกติคอยแต่จะเมินหน้าหนีใส่ หากแต่ในเวลานี้มันกำลังนั่งมองคนตรงหน้าอย่างน่าประหลาดใจซึ่งเรียกรอยยิ้มบางจากลู่หาน
“ฉันมีอะไรอยากให้เธอช่วยหน่อยนะแคทเธอรีน…”
มือเล็กยกขึ้นอย่างช้าๆราวลองเชิง ก่อนวางลงที่หัวเล็กของแมวน้อยอย่างแผ่วเบาโดยไร้อาการขัดขืนเหมือนเคย ลู่หานหัวเราะในลำคออย่างประหลาดใจที่จู่ๆ ก็ญาติดีกับแมวที่คอยแต่ตั้งแง่ใส่ตลอด มือเล็กลูบขนขาวนุ่มแผ่วเบาด้วยรอยยิ้ม
และก่อนที่หยดน้ำใสจะล่วงหล่นจากดวงตาสวย…
“เป็นคำขอร้องของฉันเพียงข้อเดียว เธอช่วยฉันได้หรือเปล่า…”
ความเงียบปกคลุมรอบกายราวเป็นคำตอบสำหรับทุกสิ่ง
“ตอนที่แม่ไม่อยู่… "
"คอยอยู่เล่นเป็นเพื่อนคุณพ่อ..."
"อย่าให้คุณพ่อเหงาละ… เข้าใจไหม”
สัญญาณเตือนที่มักไม่มีลางใดบอกล่วงหน้าทั้งสิ้น
“เหมียว…”
บัลลังก์ดัชเชส… กำลังเกาะฝุ่น
ปัง
เสียงบานประตูปิดลงพร้อมความเงียบลอยปกคลุมทั่วห้องเฮเลน่าที่หลงเหลือเพียงร่างของดยุคหนุ่มนอนหลับใหลบนเตียงผืนกว้าง หากทว่าในไม่ช้านั้นเอง… กลับมีหยดน้ำใสไหลดิ่งลงจากหางตาดยุคหนุ่มที่นอนหลับสนิทเป็นทางยาว…
น้ำที่มาจากความเจ็บร้าวในหัวใจ
เหมือนมีโซ่ที่มองไม่เห็นตรวนหัวใจแกร่งก่อนตรึงรัดแน่นให้เจ็บร้าวไปทั้งใจ ความเจ็บทรมานที่ยากเกินจะต้านทานเมื่อพื้นที่เตียงข้างกายกลับว่างเปล่าหลงเหลือเพียงแค่ไออุ่นจางๆสื่อให้รู้ว่าร่างน้อยนี้ได้หายไปแล้ว…
ความเจ็บที่เกินจะต้านทานพาเอามือแกร่งยกขึ้นปิดหน้าตัวเองก่อนปลดปล่อยความทุกข์ทรมานเป็นหยดน้ำใสให้ไหลเอ่อนองใบหน้าคม ริมฝีปากหยักขบกัดแน่นปิดกลั้นเสียงร้องโศกเศร้า มืออีกข้างยกขึ้นกำเสื้อตรงหน้าอกข้างซ้ายแน่นเมื่อในเวลานี้ก้อนเนื้อในอกมันกำลังบีบรัดแน่นจนเจ็บร้าวเจียนจะขาดใจ
ทุกถ้อยคำบอกลาที่ยังดังก้องอยู่ในหู ทุกเสียงฝีก้าวสุดท้ายจากคนตัวเล็กที่ได้ยินยังคงสะท้อนไม่จากไปไหน…
แยกจากกัน รู้สึกเหมือนต้นไม้ที่ถูกแยกจากดิน
“เด็กโง่คิดว่าฉันสามารถหลับลงได้ง่ายอย่างนั้นเชียวหรือ”
เมื่อลู่หานคิดจะจากลาโดยไม่มีการให้เขาได้เอ่ยคำใดๆ โดยไม่มีการบอกลาด้วยถ้อยคำหวานซึ้งหรือแม้แต่กอดครั้งสุดท้ายให้ซึมซับไออุ่นคนรักก็ยังไม่มี… ลู่หานช่างใจร้ายต่อหัวใจเขามากเหลือเกิน
ไม่รู้หรือไงว่าแต่ละวันเขาเฝ้าสร้างความทรงจำสุดแสนวิเศษเพื่อให้ลู่หานได้รู้ว่าผู้ชายคนนี้รอคอยการกลับมาเสมอ ผู้ชายคนนี้จะรักและรอคอยตลอดไป… แต่ทำไมถึงใจร้ายได้ขนาดนี้ หนีหายไปอย่างเดียวไม่พอแต่ยังคงขโมยหัวใจของเขาหนีตามไปอีกด้วย…
การจากลาของใครอีกคนที่ไม่เคยจากเขาไป
“ไม่คิดจะฟังคำบอกลาจากฉันกันบ้างหรือยังไง”
กายแกร่งหยัดลุกนั่งพลันกวาดสายตามองรอบห้องกว้างที่เคยมีภาพคนตัวเล็กสร้างรอยยิ้มและเสียงหัวเราะไว้ ทุกมุม ภาพแห่งความสุขที่กลายเป็นสีเทา ภาพสีเทาที่ตอกย้ำว่าต่อไปนี้… จะไม่มีอีกแล้ว
เพียงแค่คิดว่าจะไม่มีคนรักข้างกาย… ก็จุกจนแทบหายใจไม่ออก
“อึ๊ก”
ดวงตาคมรื้นน้ำตาหันมองข้างกายที่ยังอุ่นเพราะร่างนั้นจากไปได้ไม่นาน มือหยาบกร้านลูบร่องรอยความอุ่นจากกายเล็กแสนรักราวต้องการเก็บเกี่ยวทุกหยาดคนรักแม้มันจะเจือจางจนแทบกลายเป็นความเย็นเยือก แต่ดยุคหนุ่มที่กำลังร่ำไห้ก็ยังคงสร้างภาพจินตนาการว่าร่างนอยยังคงนอนยิ้มอยู่ข้างกาย
“อึ๊ก… ลู่หาน… ลู่… หาน…”
มือแกร่งยกขึ้นเพื่อสัมผัสแก้มนิ่มของคนรักที่นอนแย้มยิ้มกว้างข้างกายก่อนที่ดยุคหนุ่มจะยกยิ้มตาม ดวงตาสีเฮเซลประกายความสุขแม้จะล้นเอ่อไปด้วยน้ำตา
หากทว่าความจริงก็คือความจริง…
เพียงดยุคหนุ่มกระพริบตาลงหนึ่งครั้ง ภาพร่างน้อยที่นอนแย้มยิ้มก็มลายหายไปกลางอากาศให้มือหยาบที่ยกขึ้นหมายจะจับแก้มใสต้องลอยเก้อ มือแข็งแกร่งสั่นระริกก่อนกำเข้าหากันแน่นพร้อมกับที่ดยุคหนุ่มปล่อยเสียงหัวเราะออกมาราวเยาะเย้ยความโง่เขลาของตน
ผู้ชายคนนี้กำลังมีความสุขบนความเศร้าของตัวเอง
“ดยุคเซฮุน…อึ๊ก”
ความเจ็บปวดที่แม้หลับตาก็ยังคงตามหลอกหลอน ความเจ็บปวดที่แม้หายใจก็เจ็บร้าวไปทั้งกาย ความเจ็บปวดที่ดยุคหนุ่มต้องจมกับน้ำตาตัวเอง
“…ก็รักดัชเชสที่สุดเหมือนกัน”
เสียงสะอื้นไห้แห่งความเศร้าของการจากลาคนรักขับกล่อมเฮเลเนี่ยนให้มืดมิดในยามค่ำคืน ความเศร้าเสียใจของประมุขหนุ่มที่ทำให้คนทั้งเฮเลเนี่ยนตระหนักได้ถึงความรักอันทรงเกียรติที่ดยุคมีให้แก่ดัชเชสของเขา และบาดแผลของความเจ็บปวดที่มีแต่ความคิดถึงได้กลายเป็นยาวิเศษที่ทำให้ดอกเดซี่สีแดงเติบโตเบ่งบาน
หัวใจของดยุคที่กำลังเต็มไปด้วยน้ำตา
2 ปีผ่านไป
“องค์ชายชาริลจากสเปนทรงเสด็จถึงแล้วครับท่านดยุค”
“อื้มบอกทุกคนให้ตั้งใจทำการต้อนรับอย่างดีในคืนนี้ พยายามอย่าให้มีอะไรผิดพลาด อ่อบอกแบคฮยอนด้วยว่าเรื่องเอกสารที่ให้ไปค้นหาจากตำราพึลกุนได้หรือยัง แล้วก็นำเอกสารที่ประทับตรานี้ส่งอนุมัติด้วยละ”
“ครับผมจะแจ้งทุกคนตามที่ท่านดยุคกล่าว แต่ว่า… ช่วงนี้ดูท่านจะเหนื่อยจากการงานมากไปหรือเปล่าครับ”
ดยุคหนุ่มที่ได้ยินคำกล่าวนั้นชะงักมือที่กำลังอ่านเอกสารเพื่อลงลายเซ็นหยุดชะงัก ผลึกตาสีเฮเซลใต้กรอบแว่นมององครักษ์หนุ่มคนสนิทก่อนผ่อนลมหายใจยาว
“เฮ้อก็ลู่หานน่ะสิ บอกว่าตอนที่ฉันบินไปหาเขาเมื่อสามเดือนที่แล้วมัวแต่เที่ยวไม่ยอมทำงานจนมันกองไว้เยอะ แล้วเจ้าแบคฮยอนก็คาบข่าวไปฟ้องอีก ตอนนี้พอมีงานอะไรฉันก็ต้องทำให้เสร็จไม่งั้นโดนเชือดคออีกแน่”
“ต้องทำใจนะครับ เพราะถึงอย่างน้อยแบคฮยอนเขาก็หวังดีไม่อยากให้ท่านดยุคทิ้งงานไว้มากจนเกินไป”
“นับวันลู่หานโหดยิ่งกว่าจงแดเสียอีก สองคนนั้นสนิทกันมากเกินไปแล้วจริงๆ”
ดยุคหนุ่มเอ่ยเมื่อช่วงนี้เขาเห็นจงแดบินพูดคุยถึงลู่หานให้เขาฟังมากขึ้น องครักษ์หนุ่มอมยิ้ม
“ท่านจงแดก็นิสัยแบบนี้มากแต่ไหนแต่ไร ถึงจะโหดเหี้ยมแต่ก็รักเฮเลเนี่ยนเป็นที่หนึ่ง ถ้าไม่ได้ท่านจงแดชาวเฮเลเนี่ยนหลายคนคงทำผิดแหกกฎจนเกิดความวุ่นวายเพิ่มงานให้ท่านดยุคอีกกองก็ได้นะครับ”
ดยุคหนุ่มส่ายหน้าระอาก่อนปรายตามองกองเอกสารหรือภูเขาเอกสารก็ไม่อาจแน่ใจข้างกาย นับวันเฮเลเนี่ยนยิ่งเจริญเติบใหญ่และงานของเขาก็มากมายตามเช่นกัน
“และก็เพราะนับวันยิ่งมีประมุขจากต่างแดนต้องการเข้ามาสร้างพันธมิตรกับเฮเลเนี่ยนมากขึ้น งานของฉันถึงได้เยอะมากขึ้นทุกวันจนแทบไม่มีเวลาตีตั๋วไปหาลู่หานได้เลยจริงๆ”
ความน้อยใจถูกพ่นออกมาเป็นคำพูดพร้อมสีหน้าอย่างที่ทำให้องครักษ์หนุ่มยิ้มขำในอีกมุมหนึ่งของดยุคผู้ยิ่งใหญ่ที่ใครอาจไม่มีวันได้เห็น
ดยุคผู้มากอำนาจกำลังงอแงอยากเจอเมีย
“แต่ท่านดยุคและดัชเชสก็ยังรักกันดีนี่ครับ ถึงแม้กายจะห่างไกลกันก็ตาม”
“แล้วถ้านายไม่ได้เจอหน้าแบคฮยอนเป็นเดือนๆจะรู้สึกยังไง? สามเดือนเจอกันหนึ่งครั้ง บางทีก็เกินครึ่งปีเหอะ ไม่คุ้มเลยสักนิด” องครักษ์ผู้ถูกยอกย้อนสะดุ้งเล็กน้อยก่อนยิ้มแหยตอบเสียงอ่อน
“นั่นน่ะสิครับ ดัชเชสเองก็ไม่สามารถบินมาหาท่านดยุคได้เพราะเวลาเรียนที่ติดกันทุกวันจนไม่มีช่วงพัก ส่วนท่านดยุคเองก็งานราษฎ์วุ่นวายเกินกว่าจะปลีกหาเวลาส่วนตัว”
และเพราะความจริงที่คอยย้ำเตือนตัวเขาเองเสมอจึงทำให้ดยุคหนุ่มเริ่มชินชากับความห่างไกลนี่เสียแล้ว แต่ถึงอย่างไรหัวใจก็ยังไม่ชินเสียที
“ฉันคิดถึงเขา อยากเจอแล้วจับมากอดให้แน่นๆ เห้อ”
“อย่ายอมแพ้นะครับท่านดยุค รักแท้ต้องไม่แพ้อะไร”
“ฮึ นั่นสินะฉันว่าฉันควรจะรีบไปที่ห้องโถงก่อนดีกว่า หากช้ากว่านี้ได้โดนที่ปรึกษาสุดซื่อสัตย์วิ่งไปฟ้องอีกแน่”
ดยุคหนุ่มหัวเราะขำในลำคอกับชานยอลก่อนหยัดกายลุกขึ้นยืนรับเสื้อคลุมกายสีเลือดหมูที่บ่งบอกถึงยศตำแหน่งอันสูงส่งสวมใส่ และก้าวเดินออกจากห้องทำงาน
บรรยากาศภายในเฮเลเนี่ยนแม้จะผ่านไปยาวนานเพียงใดแต่ก็ยังคงเหมือนเดิม ผนังห้องที่ยังคงประดับกรอบรูปสูงใหญ่ของดยุคแห่งเฮเลเนี่ยนสร้างบารมีดูน่าเกรงขาม พื้นที่ยังปูพรมแดงเป็นทางยาวมุ่งสูงสู่บัลลังก์สีทองอร่ามประดับหัวสิงโตอ้าปากคำรามราวบ่งบอกอำนาจใหญ่โตที่ชายคนนี้ครอบครอง
ชายที่ใครก็ต่างยอมก้มหัวลง… ดยุคแห่งเฮเลเนี่ยน
“ยินดีต้อนรับสู่เฮเลเนี่ยนของพวกเราครับ องค์ชายชาริลแห่งราชอาณาจักรสเปน”
เมื่อก้าวถึงห้องโถงเสียงทุ้มน่ายำเกรงก็ดังขึ้นทักทายชายหนุ่มรูปหล่อนัยน์ตาสีน้ำขาวที่บินมาไกลจากอีกซีกโลกเพื่อสร้างสัมพันธมิตรอันดีงาม
“เป็นเกียรติอย่างยิ่งครับ ดยุคเซฮุนแห่งราชอาณาจักรเฮเลเนี่ยน”
และก่อนที่ดยุคหนุ่มจะแย้มยิ้มหย่อนกายนั่งเพื่อเริ่มบทสนทนานั้น คำถามที่ถูกยิงจากองค์ชายก็จำต้องพาเหล่ารับใช้รวมถึงเหล่าอารักษ์ขาภายในห้องเงียบงันปนตกตะลึง
“ว่าแต่ผมเคยได้ยินมาว่า เฮเลเนี่ยนจะมีการเลือกดัชเชสทุกปี แล้วปีนี้ไม่มีหรอครับ? ทำไมที่นั่งนั้นถึงว่างได้”
คำถามที่น้อยคนนักจะกล้าเอ่ยปากถามออกมาต่อหน้าดยุคหนุ่ม คำถามที่ไม่ต่างจากเอายาพิษกรอกปากฆ่าตัวตาย
แต่ทว่า… ดยุคหนุ่มกลับเพียงแค่แย้มยิ้มแล้วตอบด้วยน้ำเสียงเกื้อหัวเราะอย่างอารมณ์ดี
“ดัชเชสของผมเขาไม่ได้นั่งอยู่ตรงนี้แล้วละครับ”
คำถามที่เรียกทุกสายตาให้มองอย่างสงสัย
“แล้วดัชเชสของคุณหายไปไหนกัน?”
หากแต่ชายผู้ไม่รู้เรื่องราวอย่างองค์ชายต่างแดนกลับเลือกถามต่อ คำถามที่ทุกคนก็อยากรู้เช่นเดียวกัน
นัยน์ตาสีเฮเซลของดยุคหนุ่มมองด้วยแววตาอ่อนแสงยามพูดถึงคนที่อยู่ในหัวใจเสมอมา และก่อนที่กลิ่นหอมจากดอกเดซี่จะลอยตลบอบอวลทั่วห้องโถงแห่งเฮเลเนี่ยน
“ดัชเชสลู่หานของผม… "
"...เขาได้ย้ายมานั่งอยู่ในใจผมเป็นเวลามากกว่าสองปีแล้วครับ”
ดัชเชสที่เป็นของดยุคเซฮุนมีเพียงคนคนเดียว
และจะเป็นเช่นนี้ตลอดกาล
“เห้อเหนื่อยชะมัด”
ดยุคหนุ่มพึมพำกับตัวเองยามค่ำคืนเมื่อผ่านพ้นพิธีต้อนรับองค์ชายชาริลเสร็จ เซฮุนแบกแฟ้มงานรวมถึงเอกสารนั่งลงที่โต๊ะด้านหน้าสวนดอกไม้ที่ตนเฝ้าดูแลมาอย่างดีถึงสองปีเต็ม
และในวันนี้มันก็ได้ออกดอกสะพรั่งสวยสมใจหวัง เหลือก็เพียงรอวันที่เจ้าของที่แท้จริงจะกลับมาเพื่อเยี่ยมชมผลของความคิดถึงของเขา
หากแต่ขณะที่ตนกำลังนั่งคิดถึงคนในหัวใจอยู่นั้นเอง…
“…เซฮุน”
“อ้าวอี้ชิง มีอะไรรึเปล่า?”
จางอี้ชิงแย้มยิ้มบางก่อนหย่อนกายนั่งตรงข้ามดยุคหนุ่ม ดวงตาเรียวรีหันมองสวนดอกเดซี่สีแดงพลันฉีกยิ้มกว้างเมื่อรู้ดีว่าเจ้าของสวนนี้ได้ปลูกดอกไม้เพื่อเฝ้ารอการกลับมาของใครบางคน
“ผมแค่จะมาลาคุณน่ะ”
“ลา? จะไปไหน?”
คนถูกถามยกยิ้มบางเมื่อท่าทีเซฮุนนั้นดูตกใจกับคำกล่าวของตนไม่ใช่น้อย
“ผมตัดสินใจแล้วว่าจะทิ้งความหลังไว้ที่นี่แล้วไปเริ่มต้นใหม่ที่อังกฤษอีกครั้งน่ะ”
อี้ชิงนึกขอบคุณเซฮุนที่ไม่ถือโกรธในเรื่องที่เขาเคยใส่ร้ายตอนวันพิพากษาคดีเมื่อสองปีที่แล้ว หากความจริงไม่ถูกเปิดเผยแล้วเซฮุนถูกปลดจากการเป็นดยุคขึ้นมาจริงๆจะเป็นเช่นไรเขาเองก็ไม่สามารถจินตนาการออกได้
หากแต่ดยุคหนุ่มกับหรี่ตาลง แล้วเอ่ยย้ำถามถึงความแน่ใจในการตัดสินใจนี้อีกครั้ง
“คิดดีแล้วอย่างนั้นหรือว่าทำแบบนี้จะมีความสุข?”
“ผมใช้เวลาตัดสินเรื่องนี้มาเป็นปี จนวันนี้ก็แน่ใจแล้วว่า …มันถึงเวลาที่ผมควรเริ่มต้นใหม่เสียที”
หากแต่น้ำเสียงและใบหน้าที่นิ่งสงบของจาอี้ชิงก็ทำให้เซฮุนมั่นใจแล้วว่าเรื่องนี้ได้ผ่านการคิดพิจารณามาอย่างดี เซฮุนถอนหายใจก่อนเอนกายพิงพนักเก้าอี้
“แล้วจะไปเมื่อไหร่? ไปยังไง?”
“ไม่ต้องห่วงหรอก ผมเคยอยู่ที่นั่นมาก่อน ผมแค่จะกลับไปเรียนต่อ อีกอย่าง… ผมได้ทุนเรียนที่นั่นพอดี”
ดยุคหนุ่มพยักหน้าอย่างเข้าใจ ก่อนเอ่ยถามต่อถึงสิ่งที่ค้างคาใจ
“ถ้าอย่างนั้นแล้ว… คริสละ”
หากแต่อาการที่นิ่งเฉยของจางอี้ชิงราวไม่รู้สึกรู้ร้อนอะไรก็สร้างความประหลาดใจให้แก่ดยุคหนุ่ม และน้ำเสียงเรียบเฉยก็ทำให้ดยุคหนุ่มประหลาดใจกว่าเดิม
“อาการของเขาดีขึ้นมากแล้ว ไม่มีอาการคลุ้มคลั่งเหมือนเมื่อก่อนให้น่าเป็นห่วงอีกแล้วด้วย และที่สำคัญ… ตอนเขาเห็นหน้าผมก็ไม่ลุกขึ้นมาจะฆ่าผมเหมือนเดิมแล้ว”
แม้หัวใจดวงนี้จะเต็มเปี่ยมไปด้วยรักที่มอบให้ใครอีกคนที่ไม่เคยเห็นค่าของมัน แต่จางอี้ชิงก็ยังคงรักและเทิดทูนในความรักของตนไม่เคยเปลี่ยนผัน ถึงแมจะเจ็บที่คิดว่าตนกำลังจากเขาไปไม่ได้เฝ้ามองอย่างเช่นทุกวันก็ตาม
แต่อี้ชิงคิดว่าเขาควรเดินหน้า เดินก้าวหน้าต่อไปโดยให้ตัวเองมีค่า
ความรัก… บางทีก็ควรเก็บไว้เป็นความทรงจำมากกว่าเก็บมาทำร้ายตัวเอง
“ถ้านายคิดได้แบบนี้ฉันก็หายห่วง ฉันหวังว่าชีวิตของนายที่อังกฤษจะพบแต่เรื่องดีๆ และเจอใครสักคนที่สามารถทำให้เริ่มต้นใหม่ได้จริงๆ เสียที”
อี้ชิงยกยิ้มกว้างเมื่อไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานเท่าไรเซฮุนก็ไม่เคยทอดทิ้งตน ยังคงคอยช่วยเหลือในยามที่เขาลำบากเสมอ แต่ช่างน่าเสียดายเมื่อคนเราไม่ได้เกิดมาคู่กัน ต่อให้มีฝ่ายใดยื้อเท่าไรก็ไม่สามารถเคียงคู่กันได้
“ขอบคุณนะ แล้ว… คุณเป็นยังไงบ้าง”
ดยุคหนุ่มชะงักกับคำถามที่ถูกส่งมาจากอี้ชิง เป็นยังไงบ้างงั้นหรอ… จะให้คำตอบว่าอย่างไรดี? ถึงแม้ทุกวันนี้ภายนอกเขาดูเหมือนจะไม่เป็นอะไร แต่ใครเล่าจะรู้ถึงภายใน… บาดแผลที่ยังคงกีดร้องด้วยความคิดถึงทุกลมหายใจ
ช่างทรมานเสียเหลือเกิน
“คิดถึง… ลู่หานสินะ”
เซฮุนชะงักอีกครั้ง และเพียงไม่นานเจ้าของนัยน์ตาสีเฮเซลก็เผยรอยยิ้มออกมา ดวงตาที่เต็มไปด้วยอำนาจอ่อนแสงลงยามนึกถึงใครอีกคนที่อยู่ในหัวใจ ดวงตาสีสวยหันไปมองยังสวนดอกเดซี่บานสะพรั่งพร้อมรอยยิ้มอ่อนโยน
“คิดถึง… คิดถึงจนแทบบ้า”
คำตอบที่อยากส่งไปให้ใครอีกคนได้ยิน
“แล้วทำไมไม่ไปหาเขาละ?”
ดยุคหนุ่มยิ้มขำกับคำถามนั้น ที่ขำเพราะโชคชะตามักชอบล้อเล่นกับความรักของเขาให้เจ็บปวดอยู่ร่ำไป
“ฉันจะไปได้อย่างไรในเมื่อฉันเป็นดยุคแห่งเฮเลเนี่ยน… ฉันไม่สามารถทอดทิ้งตำแหน่งดยุคและทุกคนได้”
ความเป็นจริงที่แสนปวดร้าวคอยเฝ้าทิ่มแทงหัวใจโอเซฮุนให้เจ็บช้ำซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพราะเขาเป็นดยุคอย่างนั้นหรือเขาถึงไม่สามารถออกไปตามหาหัวใจได้? เพราะเขาเป็นคนที่สูงศักดิ์อย่างนั้นหรือเขาถึงไม่สามารถมีขีวิตที่มีความสุขได้?
เพราะการเป็นดยุคที่เขาไม่สามารถสลัดทิ้งได้อย่างนั้นหรือ..?
“น่าเศร้านะถ้าหากว่าเป็นดยุคแล้วไม่สามารถมีความสุขได้”
“นั่นสินะ…”
นัยน์ตาสีเฮเซลผลุบลงต่ำเมื่อถ้อยคำของจางอี้ชิงนั้นคือความจริงที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงได้ เพราะเขาเป็นดยุค… เขาจึงไม่อาจมีความสุขโดยทิ้งคนทั้งประเทศไปได้
หากแต่จางอี้ชิงที่มองใบหน้าอมทุกข์ของคนตรงข้ามอยู่นานเม้มริมฝีปากแน่นราวต้องการพูดอะไรบางอย่าง มือเรียวบีบเข้าหากันอย่างเรียกกำลังใจหลับลงก่อนปรือขึ้นอีกครั้งพร้อมถ้อยคำที่พาให้ดยุคเงยหน้ามองอย่างสนใจ
คำพูด… ที่กำลังเปลี่ยนแปลงเฮเลเนี่ยนอย่างใหญ่หลวง…
“แต่มันมีวิธีหนึ่งที่สามารถทำให้นายมีความสุขได้นะ”
“หืม”
“แต่มันอยู่ที่ว่านายจะยอมทำตามหรือเปล่า…”
เฮเลเนี่ยนกำลังก้าวเข้าสู่ยุคสมัยใหม่
วันถัดมา ประเทศจีน
“ข่าวล่าสุดตอนนี้ ดยุครุ่นที่ยี่สิบสามแห่งเฮเลเนี่ยนได้สละราชบัลลังก์ลงแล้ว และได้มอบตำแหน่งดยุครุ่นที่ยี่สิบสี่ให้แก่ปาร์คชานยอลซึ่งเคยเป็นองครักษ์คนสนิทของดยุคเซฮุน ชาวเฮเลเนี่ยนรวมถึงประชาชนชาวเกาหลีทั้งประเทศต่างร่วมแสดงความยินดีแก่ดยุครุ่นที่ยี่สิบสี่ปาร์คชานยอล ส่วนสาเหตุที่ดยุคเซฮุนสละราชบัลลังก์นั้นถูกปิดเป็นความลับ ข่าวต่อไป…”
ปิ๊ด
“หมายความว่ายังไง… เซฮุน…”
หลังจากที่กดปิดโทรทัศน์ลง ลู่หานนั่งคิดกับตัวเองถึงข่าวที่ได้ยินและกลายเป็นข่าวใหญ่โตระดับโลกในตอนนี้ถึงการสละราชบัลลังก์แห่งเฮเลเนี่ยน สละราชบัลลังก์ยังงั้นเหรอ…
หรือว่า…
“ลู่หาน!! ม๊าบอกว่าให้มากินข้าวไงมัวแต่ทำอะไรอยู่ห๊ะ!!!”
“ม๊า! วันนี้ลู่ไม่กินข้าวนะลู่จะออกไปข้างนอก!!!!”
“ลู่หานจะไปไหนห๊ะ! ทำไมไม่มากินข้าวก่อน!!!”
คนตัวเล็กหยุดชะงักเท้าที่กำลังก้าวออกจากบ้านลง ใบหน้าสวยหันมามองมารดาด้านหลังที่ยืนถือตะหลิวท้าวเอวมองตนอย่างหาเรื่องอยู่ ใบหน้าสวยฉีกยิ้มกว้างก่อนตะโกนดังลั่น คำพูดที่พาเอามารดาคนสวยเปลี่ยนท่ายืนและใบหน้าโดยทันที
“ลู่จะไปหาผัว!!!!”
และคนที่ตะโกนว่าจะไปหาผัวนั้นก็ไม่สนใจใยดีมารดาคนสวยที่ยืนอยู่ด้านหลังเลยออกตัววิ่งออกไปนอกบ้านทันที
“ถ้าผัวไม่หล่อม๊าไม่ให้เข้าบ้านนะ!!!!!”
เสียงแว่วจากด้านหลังพาเอาใบหน้าสวยฉีกยิ้มกว้างกว่าเก่า นึกอยากตะโกนกลับไปว่าผัวอิลู่ใครเห็นแล้วน้ำลายต้องไหลแต่ไม่เอาดีกว่าเกรงใจข้างบ้าน
...ก็เอากับแม่ลูกคู่นี้สิ
และทันทีที่ก้าวออกจากนอกบ้านก็กุลีกุจอโบกแท็กซี่มุ่งตรงสู่สถานที่ที่พาให้หัวใจเต้นรัวทันที… สนามบินปักกิ่ง
ทันทีที่ขาเล็กก้าวลงเหยียบสนามบินปักกิ่งกายเล็กก็ออกวิ่งทันทีด้วยหัวใจที่เต้นรัวอย่างบ้าคลั่ง ดวงตาสวยกวาดมองทั่วพื้นที่เพื่อมองหาใครบางคน มือเรียวสวยกำแน่นอย่างลุ้นระทึกยิ่งกว่าลุ้นผลชิงโชคบัตรคอนเสิร์ตนักร้องเกาหลี
และอาจเป็นเพราะมัวแต่กวาดสายตามองรอบด้านจนลืมสังเกตุด้านหน้าจึงทำให้ร่างเล็กชนเข้ากับใครบางคนอย่างแรง
ใครบางคนที่มีกลิ่นน้ำหอมคุ้นเคย…
ตุ๊บ!
“โอ้ย!!”
“ขอโทษครับ”
และเพราะแรงชนอย่างแรงจนทำให้คนตัวเล็กเซไปด้านหลังแต่โชคดีที่มีอ้อมแขนแข็งแกร่งช่วยดึงประคองไว้ได้ทัน
“ไม่เป็นร… ไร”
น้ำเสียงหวานที่กำลังเอ่ยถูกกลืนหายไปทันทียามที่ได้เห็นใบหน้าชายผู้ช่วยประคองร่าง โครงหน้าหล่อเหลาที่คุ้นตาเสียจนพาหัวใจเต้นรัว ริมฝีปากหยักที่ยกยิ้มบางอย่างที่พาให้ดวงตาสั่นพร่า และยิ่งดวงตาคู่นั้น… ดวงตาสีเฮเซลที่หาได้ยากในหมู่แถบคนเอเชีย
ดวงตาสีเฮเซลที่มีเพียงแค่คนคนเดียว…
“ท่านดยุคมาถึงปักกิ่งแบบนี้ไม่มีใครออกมารับเลยรึยังไงกันนะ?”
เสียงหวานเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเจือขำขัน คนถูกถามปล่อยท่อนแขนให้คนตัวเล็กได้ทรงตัวยืนอย่างที่ใบหน้าไม่ได้ลดรอยยิ้มลง
รอยยิ้มที่มอบให้กันและกันท่ามกลางฝูงชนที่เดินผ่านไปมา…
“เปล่าหรอก ผมไม่ใช่ดยุคแห่งเฮเลเนี่ยนอีกต่อไปแล้ว ตอนนี้ผมเป็นคนธรรมดา… เป็นเพียงแค่โอเซฮุนคนธรรมดา”
คนธรรมดาชื่อโอเซฮุนจ้องมองคนตัวเล็กตรงหน้านิ่งด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความคิดถึง… คิดถึงจนแทบบ้าตาย
“ถ้าอย่างนั้นโอเซฮุนคนธรรมดามาทำอะไรที่ปักกิ่งละครับ?”
“มาตามหาเนื้อคู่ที่หายไปน่ะครับ”
คำตอบของคนตัวสูงพาเอาร่างเล็กหัวเราะคิก ก่อนที่ดวงตาสวยจะเลื่อนสบผลึกตาสีเฮเซลที่แสนคิดถึง
ไม่มีการ์ดที่คอยเดินตามเฝ้าพวกเขาทั้งคู่อีกต่อไป ไม่ต้องคอยห่วงหน้าตาของเฮเลเนี่ยนอีกต่อไป ไม่ต้องคอยกังวลทำผิดกฎมณเฑียรบาลอีกต่อไป
ชีวิตที่แสนธรรมดาอย่างที่ต้องการมาแสนนาน
“ว๊า แย่จัง คุณเนื้อคู่ของคุณคงจะน่ารักมั๊กๆเลยใช่ป่าวเอ่ย?”
คนถูกถามหลุดหัวเราะออกมากับคำถามที่แสนน่ารัก
“ฮึ ครับเขาน่ารักมากๆเลยละ และผมก็… คิดถึงคุณเนื้อคู่มากๆด้วย”
ถ้อยคำหวานซึ้งที่หลุดมาให้ได้ยินพาเอาคนฟังแก้มแดงเรื่ออย่างน่ารัก ริมฝีปากบางเผยรอยยิ้มกว้างอย่างยินดีพร้อมหัวใจที่พองโต
“งั้นหรอกหรอ เซฮุนเขาพูดมาแบบนี้อย่างนั้นหรอกหรอ?”
สองดวงตาที่มองสบผสานกันท่ามกลางสนามบินปักกิ่งที่กว้างขวางโดยไม่สนใจสายตาของคนรอบข้าง หัวใจสองดวงเต้นเป็นจังหวะเดียวกันและก่อนที่สองอ้อมแขนจะโอบกอดอีกร่างเข้าเต็มรัก
“งั้นลู่หานก็อยากจะพูดว่าเขาก็คิดถึงคุณเนื้อคู่มากๆ เหมือนกันนะ”
เซฮุนยิ้มขำก่อนยกมือวางแหมะบนหัวเล็กแล้วจับโยกไปมาเรียกรอยยิ้มและเสียงหัวเราะจากทั้งคู่
“จอมแสบเอ้ย”
“แสบแล้วรักไหมละ”
“โคตรรัก”
“เป็นคนธรรมดาแบบนี้ถ้าเราจะจูบกันกลางสนามบินจะมีใครตามมาถ่ายรูปพาดลงหัวข่าวไหม?”
“ไม่ลองก็ไม่รู้นะครับ”
และหลังจากนั้นจอมแสบของคนธรรมดาที่ชื่อโอเซฮุนก็ได้ลองจูบกลางสนามบินสมใจอยาก รสจูบที่ห่างเหินกันมากกว่าครึ่งปี ความรักที่หอมหวานไม่เสื่อมคลาย และเสียงชัตเตอร์ที่ดังรัวมาตามระรอกเมื่อภาพนี้ช่างหวานหยดย้อยตราตรึงใจ
ภาพแห่งความหวานของอดีตดยุครุ่นที่ยี่สิบสามโอเซฮุนและอดีตดัชเชสที่รักของเราพร้อมกับเหตุผลของการสละราชบัลลังก์ที่คาดว่าใครหลายคนคงสามารถเดาได้
มือเรียวขาวยกขึ้นโอบรอบลำคอแกร่งก่อนกดจูบลึกแน่นให้คนอื่นได้ถ่ายรูปตามอำเภอใจอย่างไม่คิดใส่ใจ จูบที่แนบแน่นราวป่าวประกาศทุกสิ่งอย่าง
ก็ลู่หานเคยบอกแล้วไง
ว่ายังไงลู่หานก็จะเอาโอเซฮุนมาเป็นแฟนให้ได้!!!!!!
แต่ขอโทษเถอะ ตอนนี้มันเลื่อขั้นจากแฟนเป็นผัวไปแล้วละคริ
คุณก็อย่าลืมลองไปตามหาเนื้อคู่ของคุณดูบ้างนะ #ขยิบตาเริ่ดๆแบบชองชงอี
END
แถม
หลังจากที่อดีตดยุคแห่งเฮเลเนี่ยนโอเซฮุนได้ทำการโหลดกระเป๋าเสร็จก็เดินเข็นรถที่เต็มไปด้วยกระเป๋ามากมายมาหาคนตัวเล็กที่ยืนรอด้านหน้าทันที
หากทว่าทันทีที่พบเห็นสัมภาระดวงตากลมก็จำต้องเบิกกว้างขึ้นอย่างตกใจปนงงงวย
ที่ตกใจน่ะไม่ใช่กระเป๋าที่เยอะมากมายหรืออะไรหรอกนะ
แต่เป็นเพราะไอ้กรงสีชมพูแปร๋นที่มีแมวเปอร์เซียขนฟูสีขาวนอนอยู่ด้านในต่างหากละ
นังแคทเธอรีน!!!!!
“คุณเนื้อคู่พาแคทเธอรีนมาด้วยหรอ?”
เซฮุนที่เห็นคนตัวเล็กถามถึงลูกรักคนโปรดก็แย้มยิ้มกว้างก่อนเปิดกรงอุ้มแมวตัวน้อยสู่อ้อมแขนอย่างที่พาเอาคนตัวเล็กชักสีหน้าอย่างไม่พอใจเบาๆ
อีแมวแรด อย่ามาอ่อยคุณเนื้อคู่ของกูนะ!!!
“อื้มใช่ ฉันไม่อยากทิ้งแคทเธอรีนไว้ที่เกาหลีน่ะเลยพามาด้วย มาอยู่ด้วยกันกับพ่อที่จีนนะครับ”
“เหมียว”
ลู่หานจิกสายตาใส่แมวเปอร์เซียขนฟูสีขาวทันทีที่เซฮุนส่งปลายจมูกไปถูไถไปมากับแมวในอ้อมแขน และยิ่งแมวเปอร์เซียร้องรับเสียงหวานแย่งซีนก็ยิ่งอยากลงไปชักดิ้นชักงอกับพื้นให้ตาย
หนอย! อีแมวมารยา! อีแมวตอแหล!!!
“คุณเนื้อคู่ฉันว่าเรากลับกันดีกว่าโน๊ะ ป่านนี้หม่าม๊ารอนานแย่แล้ว ^-^” ทำยิ้มดัดเสียงหวานเข้าสู้อย่างที่ทำให้เซฮุนต้องหันมองอย่างแปลกใจ แต่กระนั้นลู่หานก็รู้สึกว่าตนยังแพ้อยู่ดีเมื่อ…
“รอสักครู่ได้หรือเปล่า? แคทเธอรีนนั่งเครื่องมานานยังไม่ได้กินอะไรเลยคงหิวแย่”
อี แมว ไร้ ยาง อาย แย่ง ผัว ชาว บ้าน!!!!!!!
#วิ่งไปร้องไห้ที่มุมห้อง T_________________T
“ลู่หานฉันจะพาแคทเธอรีนไปกินข้าวก่อนนะ” และแล้วชายหนุ่มร่างสูงก็อุ้มแมวเปอร์เซียสีขาวเดินออกไป หากแต่ในชั่ววินาทีที่หางตาคนตัวเล็กเหลือบไปเห็นแมวน้อยในอ้อมแขนหันมามองหน้าตนและหลังจากนั้น… มันก็สะบัดหน้ากลับไป!!!
อีแมวแรดดดดดดดดดดดดดดดดดด กูจะฆ่ามึงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง
คุณเนื้อคู่ก็ใจร้ายไปหลงมนต์ดำอีแมวนรกนี่ได้ยังไง!!#แดดิ้น (TT)
และครั้งนี้ก็สอนให้ลู่หานได้รู้ว่า…
รักแท้แพ้แมว!!!!!!!!!
#วิ่งไปซื้อที่โกนขนสัตว์ -_-+++++++
จบจริงๆจ้า J
( อวสานฟองดูฮุนฮาน )
แชพเตอร์ที่ยี่สิบแปด 100% #ฟองดูฮุนฮาน
Fonduehunhan
มีสต็อก #ฟองดูฮุนฮาน vol.1+2 เหลือค่ะ
รายละเอียด v
ใครต้องการสต็อกหนังสือฟองดูทั้งเล่มหนึ่งและสองโปรดติดต่อ Line : ginghyuk
********************
15/1/2015
ในที่สุดก็จบลงอย่างสมบูรณ์ เป็นฟิคที่ยาวมากจริงๆ
ขอบคุณทุกกำลังใจที่อยู่คู่กันมาตั้งแต่เริ่มเรื่องนะคะ ขอบคุณจริงๆ
เราพยายามทำ พยายามสร้างเรื่องด้วยแรงและหัวคิดของเราเอง
จนมันออกมาสมบูรณ์และจบลงอย่างสมูรณ์
ไม่รู้จะพูดอะไร
แต่ดีใจมากจริงๆที่เรามีผลงานเป็นของตัวเองถึงสองเรื่องด้วยกันแล้วในตอนนี้
ขอบคุณทุกกำลังใจที่มีให้เสมอมา บอกเลยว่าคนอ่านทุกคนมากนะคะ
ติดตามเรื่องใหม่ของเราได้ในตอนถัดไป
รักคนอ่านจ้า <3
5/1/15
มาช้าใช่ปะ? คิคิ
จะจบแล้วไงเลยต้องเล่นตัว อุแหม
ตอนนี้อิดโอนปิดจองหนังสือแล้วนะคะ
ใครที่ต้องการรอรอบสต็อกเลยจ้า ขอบคุณทุกกำลังใจจนะคะ ตอนนี้ง่วงมาก เพลียกาย
ฝันดีค่า ^^
30/12/14
(ใครต้องการสั่งจองหนังสือรอบสต็อกแจ้งด้วยค่ะ! ปล.ใกล้หมดวันจองและโอนเงินหนังสือแล้วนะ คริคริ)
อะไรนะะะะ ตอนนี้เป็นตอนจบอย่างงั้นหรือ? โอ้วมายกอสสสสเจ็บช้ำยันทรวงในเจ้าค่ะ T_T
ตอนนี้จะมาแบบซึ้งๆเน้อ ไม่ดราม่าจ้า #หรอ
ส่วนที่เหลือจะน่ารักๆ ปนซึ้งๆเศร้าๆ รอกันนะคะ ที่เหลือฮุนฮานยาวแล้วจ้า
ปล เรื่องใหม่กำลังจะมา!
เป็นตอนพิเศษอะ ตอนสั้นๆ คาดว่าไม่เกินสิบตอนหรอก เอิ่มเรียกว่าชอทฟิคได้ไหม?
แต่มันยาวนะเฟ้ย! ถถถถถถถถถถถถถถถถถถถ
สุดท้ายขอบคุณทุกกำลังใจที่ติดตามมากันถึงวันนี้นะคะ รักคนอ่านเสมอ
ขอบคุณที่ติดแทคและคอยคอมเม้นด้วยนะคะ ฝันดีจ้า เที่ยวปีใหม่ให้สนุกนะ! จุ้บๆ <3
ความคิดเห็น