ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Got7] JJ Factors - เจเจแฟ๊กเตอร์ [SF/OS][Bnior][BNyoung]

    ลำดับตอนที่ #4 : [SF] Therapist [BNior] 2/2

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.19K
      33
      22 ส.ค. 58


    [SF] Therapist [BNior] 2/2




    "ก็ต้องตกลงอยู่แล้ว  เด็กซื่อบื้อ อิอิ...  โอ๊ะ งานเข้า  เดี๋ยวจินยองโทรไปหาใหม่ค่ำๆนะครับ"

     

     

     

    หลังจากคุยธุระจบ จินยองก็แอบพร่ำเพ้อนิดหน่อยก่อนจะลงมือทำงานต่อ   "ฮิฮิ  จีบเด็กสำเร็จ"  น้องเจบีทั้ง  ขาว  หล่อ ตี๋สุภาพ  ใจดี  มีอารมณ์ขัน  ถ้าไม่สนิทกันจะหน้าบึ้งไว้ก่อนเลย  แหม่ นึกว่าจะไม่สมหวังแล้วซะอีก  เด็กคนนี้เวลายิ้มนี่ทำให้โลกสดใสมาก  เวลาขรึมก็  เท่ห์ดาร์คไปอีกแบบ  หวังว่าน้องเขาคงจะจริงใจกับผมนะ  ถึงจะเขินที่ออกตัวแรงขนาดนี้  แต่ผลมันออกมาดีก็โอเคแล้ว .....งือออออ..มีความสุข

     

     

    ขั้นต่อไปก็ต้องทำความรู้จักกันให้มากขึ้น  ไปเดทกันในสถานที่โรแมนติก  ที่ไหนดีน๊า... วัยรุ่นสมัยนี้เขาทำอะไรกันมั่งเนี่ย  กินข้าว  ดูหนัง  ฟังเพลง เหรอ? ต้องหาข้อมูลๆ   จะให้ใครรู้ไม่ได้ว่า ปาร์ค จินยอง 1 ใน 50 เซเลปหนุ่มหล่อ โสดในฝันของสาวๆทั่วเกาหลี จากการจัดอันดับออนไลน์ระดับประเทศอย่างผม  จะไม่ประสีประสาในเรื่องความรักจนปูนนี้แล้ว  ผมกับเจบีอายุห่างกันตั้ง 17 ปี  เกือบจะเป็นพ่อลูกกันได้ทีเดียว  เวลาเดินด้วยกันจะเป็นยังไงนะ  ถ้าผมทำท่าทางโก๊ะกังให้น้องเห็นจะโดนหัวเราะเยาะไหมเนี่ย  วันนี้ไม่มีงาน  แล้วก็ไม่มีนัดที่คลินิกมาร์คด้วย  แอบซื้อขนมไปเซอร์ไพรซ์เจบีดีกว่า

     

     

    รอบนี้จินยองลงทุนหิ้วคัพเค๊กราคาแพงจากร้านดังสองกล่องใหญ่เป็นของฝาก ค่าปิดปาก ซื้อใจพนักงานคนอื่นในคลินิกของมาร์ค  สร้างความคุ้นเคย เพื่อหลอกถามข่าวคราวของเจบีอย่างเนียนๆ  ซื้อตัวเทราปิส เพื่อนร่วมงานของเจบีบางคนเพื่อคอยเป็นหูเป็นตาให้  บางทีก็เจาะจงมาหามาร์ค  ทั้งๆที่รู้ว่ามาร์คไม่อยู่ เพื่อแอบดูเจบีจาก กล้องวงจรปิดที่มาร์คติดไว้ โดยไม่ให้เจบีรู้  ใครจะไปคาดคิดว่าคนเก็บตัวไม่เข้าสังคมอย่างจินยองจะมีวันนี้  วันที่เขาสนใจสิ่งมีชีวิตอื่นนอกจากตัวเอง  และค่อนข้างจะสนใจเกินพอดีที่เรียกว่า ถึงขั้นหมกมุ่นนั่นแหละ...

     

     

    "เจย์ ทู เดอะ บี  คิดถึงนะ"

     

    "ศุกร์นี้ว่างไหม  ไปเที่ยวกัลลล!?"

     

    "มีหนังใหม่เข้าหล่ะ  น่าสนุกมาก ไปดูด้วยกันนะครับ"

     

    "กลางวันทานจะทานอะไรให้หายคิดถึงเจบีดีนะ  อิอิ (แนบรูปเซลฟี่แก้มป่อง)"

     

    "เจบีครับ  ...ฝันดีนะ (แนบรูปเซลฟี่ในชุดนอน)"

     

     

    โอยยย  เซฟรัว  หนุ่มเทราปิสรุ่นน้องถึงกับมือไม้สั่นเมื่อได้รับข้อความพร้อมรูปประกอบ  จากนั้นก็มีไลฟ์คอล ตามมา ทำไมจินยองฮยองน่ารักได้ขนาดนี้  นิ้วกลมๆที่ชี้ไปมาตอนไลฟ์แชต ช่างน่ารัก  ตากลมโตเป็นประกายแวววาวนั่นน่ารัก  แก้มกลมพองลมฟูๆป่องน่าจิ้มให้แตกนัก น่ารัก  ผมหน้าม้าสีดำยุ่งยังไม่ได้หวีทำไมดูดีน่ารัก  ริมฝีปากสีเชอรี่ยื่นๆเหมือนเยลลี่นิ่มๆก็ยังน่ารัก  ต้นคอขาวกลมน่าสัมผัสก็น่ารัก  เสียงงุ้งงิ้งนั่นอีก แค่เสียงที่พูดกันธรรมดา ทำไมน่ารัก   น่ารัก  น่ารัก  คำว่าน่ารักสร้างมาเพื่อจินยองฮยองหรือป่าวครับเนี่ย เจบีพยายามเกร็งหน้าไม่ให้ยิ้มมากเกินไปจนปวดแก้มไปหมด  ความน่ารักของคนปลายสายทำให้หัวใจของเขาเต้นไม่เป็นจังหวะ

     

     

    "วันนี้ทานข้าวหรือยังครับ  อย่าทำงานหักโหมนะ  ผมเฝ้ามองคุณอยู่เสมอ (แนบรูปลูกกะตาตี่ๆมีไฝสองจุดบนเปลือกตาด้านบน)"

     

     

    ความรักในช่วงโปรโมชั่น  อะไรก็สวยงาม  หอมหวาน  แต่ด้วยภาระงานและเวลาที่ไม่ตรงกันของทั้งคู่  เจบีต้องตื่นแต่เช้าเพื่อดูแลดอกไม้ต้นไม้ในเรือนกระจกและเตรียมงานเปิดคลินิก  กว่าจะเลิกอีกทีก็ สี่ทุ่ม  ในขณะที่จินยองถ้าไม่ต้องเข้าบริษัทบริฟงาน หรือส่งแบบ  เขาจะตื่นหลังเที่ยง  แล้วถึงเริ่มใช้ชีวิตหลังพระอาทิตย์ตก  เขียนแบบตอนกลางคืนถึงเช้า แล้วค่อยเข้านอน  แรกๆที่คบกันพวกเขาพยายามฝืนวงจรชีวิตของแต่ละคนเพื่อให้มีเวลาอยู่ด้วยกันมากขึ้น  แต่ก็ได้แค่พักหนึ่ง  ไม่ใช่ความสัมพันธ์หรือมือที่สามทำให้ทั้งสองคนไม่เหมือนเดิม  แต่แค่สนิทใจกันมากขึ้นจนกลับไปเป็นตัวของตัวเองในที่สุด  ถ้ารับกันได้ก็ได้ไปต่อ  แต่ถ้าไม่  จะมีคนหนึ่งที่รู้สึกว่าอีกคนเปลี่ยนไปแล้วไม่พอใจขึ้นมา  สำหรับสองคนที่ไม่ได้อยู่ด้วยกันตลอดเวลาย่อมมีความไม่เข้าใจและหวาดหวั่นในความสัมพันธ์ที่ไม่มั่นคงเป็นธรรมดา

     

     

    "ขอโทษนะเจบี  มาเดทกันแต่ละทีต้องมาหลังเลิกงานทำให้นายมีเวลาพักผ่อนน้อย  เบื่อไหม?" จินยองถามแฟนรุ่นน้องที่คบกันมาได้ สามเดือนแล้วหลังจากที่ดูหนังรอบเที่ยงคืนจบ  ก็เกือบตี 2  แต่เจบีก็เอาแต่ยิ้มให้และจับไหล่เขาเข้ามากอด  ตลอดเวลาที่คบกันสถานที่ๆพวกเขาไปไม่ดูหนังก็ไปทานอาหารอร่อยๆ  แทบจะทุกร้านในโซลที่เปิดดึกหน่อยพวกเขาก็ผ่านมาเกือบหมดแล้ว  ช่วงเริ่มก่อสร้างโครงการใหญ่ทำให้จินยองไม่มีเวลาพักเลย  สร้างไปแก้แบบย่อยไปตามแต่ปัญหาที่เจอในแต่ละวัน  ทั้งผู้รับเหมา  ทั้งนักการเมือง  พยายามจะคอรับชั่น เปลี่ยนสเป๊กวัสดุก่อสร้าง  ทีมสถาปนิกและวิศวกรต่างต้องเข้มงวดหัวปั่น  เพราะถ้าเกิดอะไรขึ้นมามันไม่คุ้มกับความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินแน่ๆ  แถมเสี่ยงคุกเสี่ยงตารางมากด้วย  นอกจากส่งข้อความคุยกัน  โทรคุยบ้างแล้ว เวลามาเจอกันก็ทำแต่อะไรเดิมๆ  นี่เป็นสิ่งที่ดีที่สุดที่จินยองพอจะทำได้แล้ว   แต่ไม่รู้ว่าเจบีจะรับได้ไหม  ถึงหนังจะมีเวียนให้ดูไม่ซ้ำกัน  สนุกบ้างไม่สนุกบ้างคละๆกันไป  แรกๆพวกเขามักจะตื่นเต้นที่ได้เจอกันจนแทบไม่ได้ดูเนื้อหาของหนัง  แต่หลังๆเหมือนกลายเป็นหน้าที่  บางทีเจบีก็หลับในโรงตั้งแต่เริ่ม  ไม่แม้จะมองหน้าเขาด้วยซ้ำ  ไปทานอาหารร้านเดิมๆก็ไม่อร่อยเหมือนตอนไปทานตอนคบกันแรกๆ  เมนูก็รู้อยู่ในสมอง  ไม่ต้องถามว่าร้านนี้มีอะไรแนะนำ  ยกอะไรมา   เสริฟ ก็ดูธรรมดารู้รสไปหมดแล้ว  จนในที่สุดบางทีโทรศัพท์ที่โทรคุยกันทุกวันยังเกิดขี้เกียจไม่อยากรับสายขึ้นมาเลย

     

     

    หรือเพราะเขาเหนื่อยเกินไป  ทำให้รู้สึกท้อใจในความสัมพันธ์ไปด้วย  ไม่ใช่ว่าความรักมันเหือดแห้งหายไปไหน  แต่ช่วงที่งานหนักจินยองขี้เกียจไม่อยากเข้าสังคม  ไม่อยากพบเจอผู้คน  พอเลิกงานก็จะไม่อยากออกไปไหน  ข่าวคราวทั่วไปก็ยังสนใจอยู่นะ แค่รู้สึกไม่อยากคุยกับใคร  สมองคิดถึงแต่งานตลอดเวลา  กลายเป็นมีโลกส่วนตัวสูง  แต่ก็เหงาแหละ  ตอนแรกก็ยังอยากคุยกับเจบีคนเดียว  พอนานไปไม่มีหัวข้อสนทนาอะไรใหม่ก็ไม่รู้จะคุยอะไรกัน  พลันขุดความคิดด้านลบ  และอารมณ์หดหูซึมเศร้าเข้ามาแทน  พาลรู้สึกไม่พอใจในตัวเอง น้อยใจอะไรง่ายๆ โมโห งี่เง่าไม่เข้าเรื่อง  ขาดความมั่นใจ  อะไรก็ไม่ดีไปหมด  แย่ที่สุดคือไม่เก็บอารมณ์ไปเหวี่ยงลงกับเจบีที่ไม่รู้อีโหน่อีเหน่ในบางทีด้วยซ้ำ

     

     

    มีครั้งหนึ่งเจบีเอ่ยปากอยากมาหาที่คอนโด  แต่จินยองก็ปฏิเสธไปเนื่องด้วยอารมณ์และอะไรหลายๆอย่าง  นั่นทำให้เจบีสงสัยว่าเขามีความลับอะไรหรือป่าว  ทำไมทีหมอมาร์ค หรือแบมแบมยังเคยไปที่นั่นได้  ทำให้ความสัมพันธ์ของทั้งสองแย่ลงไปใหญ่  จินยองเองก็รู้ข่าวมาว่าตอนนี้เจบีเนื้อหอมมาก มีลูกค้าทั้งชายหญิง  ล้วนหนุ่มหล่อสาวสวยคอยตามตื้อ  พยายามติดต่อ  เข้าใกล้ ทั้งๆที่ตัวเองเอาแต่งอล เอาแต่ใจและไม่ไปหา  จนตอนหลังจินยองก็ขาดนัดรักษากับเจบีไปเลยด้วย  แต่เจบีก็ยังพยายามโทรมาหาอย่างน้อยวันละครั้งแม้จินยองจะรับสายหรือไม่รับก็ตาม 

     

     

    "แบมแบม  เย็นนี้ช่วยงดเรียนพิเศษวันนึงได้ไหมครับ  มาร์คอยากจะให้ไปดูอาจินยองที่คอนโดหน่อย  เขาขาดยาและไม่ติดต่อมาเกือบ 3 เดือนโดยไม่บอกกล่าวอีกแล้ว  มาร์ครู้สึกใจคอไม่ดีเลย  เงียบหายไปแบบนี้ ไม่รู้จะอาการกำเริบไหม?" หมอมาร์คเรียกแบมแบมที่เพิ่งกลับจากโรงเรียนเข้าไปสั่งงานในห้องให้คำปรึกษา  เพราะเห็นว่าเคสคนไข้ที่คุยอยู่นี่คงจะนาน  แถมคิวรอก็ยังเหลืออีกหลายคน  ตนคงไม่สามารถปลีกตัวไปไหนได้  ความรู้สึกกังวลเป็นห่วงเพื่อนมันรบกวนจิตใจจนเขาไม่มีสมาธิทำงานเท่าไหร่ด้วย  ถ้าแบมแบมไปดูให้คงสบายใจขึ้นมาบ้าง

     

     

    เจบีที่บังเอิญเดินลงมาส่งคนไข้สูงอายุที่ล๊อบบี้ชั้นล่างได้ยินหมอมาร์คพูดกับแบมแบมพอดี  จึงรีบไปคุยกับพี่พยาบาลกิจกรรมบำบัดเพื่อขออนุญาติลางานกระทันหัน  แล้วไปดักรอแบมแบมตอนออกจากคลินิกที่ป้ายรถเมล์ใกล้ๆ

     

     

    "แบมแบมจะไปหาคุณจินยองใช่ไหม  ให้พี่ไปแทนได้ไหมครับ?"  อยู่ๆพี่เจบี  เทราปิสตัวใหญ่หน้าบอกบุญไม่รับของคลินิกก็วิ่งมาขวางแบมแบมด้วยใบหน้าต่างจากทุกที  แถมหอบแฮกเหงื่อท่วมตัว  แบมแบมได้แต่มองซ้ายขวาอย่างไม่รู้จะทำไง  เขาตกใจนึกว่าจะโดนทำรายจนเกือบจะร้องขอความช่วยเหลือออกไปแล้ว

     

     

    "อะไรของพี่อ่ะพี่เจบีรู้จักอาจินยองเหรอครับ  จะไปแทนแบมแบมเหรอ  ไปถูกเหรอ  แล้วไปทำไมเหรอ?"  แบมแบมเด็กน้อย เกรด 9 (ม.3) จ้องกลับตาแป๋ว  ถามรัว  เหมือนจะเป็นเด็กใสๆ  แต่ผมว่าน้องก็ไม่ใส  รอยยิ้มแบบนี้คงรู้อะไรๆบ้างแล้วหล่ะครับ

     

     

    "คุณจินยองกับพี่  ก็เหมือนหมอมาร์คกับแบมนั่นแหละ  ยังต้องให้สาธยายอีกไหม?  พี่ก็เป็นห่วงเขาเหมือนกัน  โทรไปกี่ทีๆก็ไม่ติดเป็นฝากข้อความตลอด  เป็นห่วงจนจะบ้าตายอยู่แล้วเนี่ย!!" เจบีทำท่าขย้ำผม ทึ้งหัวตัวเองแรงๆอย่างคนหงุดหงิด  แล้วก็ส่งสายตาขวางเหวี่ยงใส่คนที่มองพวกเขาเสียงดังแถวป้ายรถเมล์  น่ากลัว ผิดกับมาดเทราปิส แสนสุภาพ  ใจดี ที่แบมแบมเคยรู้จัก

     

     

    "ใจเย็นนะพี่  พี่เจบีจะไม่ไปทำอะไรอาจินยองใช่ไหม?" แบมแบมมองเจบีแล้วก็รู้สึกสงสารในท่าทีหงุดหงิด งุ่นง่านและน่ากลัวของคนตรงหน้า  แต่รู้สึกเหมือนว่าเขาก็ไม่มีทางเลือกเท่าไหร่  เมื่อเจบีกระชากคอเสื้อของเขาด้วยสองมือเต็มแรง  ก่อนจะก้มหัวลงต่ำ

     

     

    "ขอร้องหล่ะนะ แบมแบม  ช่วยให้พี่ได้เจอกับคุณจินยองเถอะนะ  พี่ไม่ทำอะไรเขาหรอก  แค่อยากเจอจริงๆ"

     

     

    "พอแล้วๆ  พี่เจบีอย่าก้มหัวแบบนี้สิครับ แบมแบมอายเค้า  งั้นให้พี่เอามือถือแบมแบมไป  กดแผนที่คอนโดอาจินยองในนั้น  พอไปถึงแล้วเจอยามก็บอกเขาว่า  มาจากคลินิกหมอมาร์ค  เขาจะไม่ถามอะไร  แล้วก็ขึ้นลิฟท์ไปชั้น 60 ห้อง 606 พอถึงหน้าห้องให้กรอกรหัสปลดล๊อกประตู ตาม authenticator ในเครื่อง  แต่แบมแบมถามหน่อยนะ  พี่เจบีรู้จักอาจินยองดีแค่ไหนถ้าพี่ไปแล้วทำให้อาจินยองเสียใจ  ผมจะไม่คุยกับพี่อีก ....โอ๊ะ  อย่าทำหน้าเครียดสิครับ  อาจินยองเป็นคนน่าสงสาร  พี่เจบีช่วยเข้าใจและรักอาจินยองเยอะๆๆๆๆๆ ด้วยนะครับ อิอิ" เจ้าเด็กแบมแบมยิ้มให้ผม  แต่ไม่ใช่ด้วยรอยยิ้มไร้เดียงสาอย่างทุกที  เหมือนว่าเขาจะรู้อะไรบางอย่าง  ที่เปิดทางรอให้ผมไปค้นหา  การไปหาจินยองฮยองตอนสี่ห้าโมงเย็นแบบนี้  ฮยองเขาจะตกใจไหมนะ  จะไล่ผมกลับมาก็ไม่เป็นไร  แค่อยากจะดูให้แน่ใจว่าเจ้าของแก้มใสนั่นยังสบายดี  จินยองฮยอง  อย่าปิดกั้น และผลักไสผมไปเลยนะครับ...

     

     

    ...

    ..

    .

    "อ๊าคคคคคคคคค!!" ระดับเสียงที่มนุษย์สามารถตะโกนได้ดังที่สุดมันเท่าไหร่กันนะ  แฮก ..แฮก..!!! เหงื่อกาฬหยดท่วมร่างบางที่ผลุนเด้งตัวขึ้นมากอดเข่าแน่นแล้วซุกหน้าลง  เพราะสิ่งที่เพิ่งเกิดขึ้น ... ฝันร้าย  ทำไมขยันโผล่มาทุกวี่ทุกวันยิ่งกว่าเคเบิลที่วนฉายซีรีส์ซ้ำๆแบบนี้เนี่ย ทั้งๆที่คิดว่าวันนี้คงจะนอนหลับฝันดีเพราะคลิปคำสารภาพรักของใครบางคนที่บังคับอัดไว้ดูเสียอีก...

     

     

    ทำแบบนี้ดีแล้วแน่เหรอ จินยอง!? ร่างบางมองเงาตัวเองที่สะท้อนจากกระจกบานใหญ่ข้างเตียงที่เป็นส่วนกั้นพื้นที่ในห้องกับระเบียงกว้าง  บนคอนโดหรูริมแม่น้ำฮันชั้นที่ 60  ...สภาพดูไม่ได้เลยนะ  นายจะยอมให้เด็กคนนั้นเห็นตัวตนที่แท้จริงของนายได้เหรอ  ถ้าเขารับไม่ได้หล่ะ  จินยอง  นายคิดว่าในโลกนี้จะยังมีใครที่พร้อมจะยื่นมือเข้ามาช่วยเหลือคนไม่มีค่า  น่ารังเกียจอย่างนายกันไม่มีที่สำหรับคนอ่อนแออย่างนายบนโลกใบนี้หรอก ....เลิกฝันเฟื่องได้แล้ว  แต่ถ้าเป็นโลกหน้ามันก็ไม่แน่ใช่ไหม?  ร่างบางเริ่มหายใจเบาลงๆ  ดังเกรงว่าใครบางคนจะรู้ตัวว่าเขาอยู่ตรงนี้ แล้วรี่เข้ามาต่อว่า ทำร้าย...

     

     

    ความฝันที่ปรากฏซ้ำๆตั้งแต่เด็กทั้งน่ากลัว  น่าอึดอัด  น่าขยะแขยง  หลอนหลอกจนจินยองไม่กล้านอนหลับ  ต้องพึ่งยาจากมาร์ค  มีนานๆครั้งที่ทำงานข้ามวันข้ามคืนไม่หลับไม่นอนหลายวัน  ร่างกายถึงจะโอเวอร์โหลด ประท้วงหลับไปเองได้ 

     

     

    เรื่องมันเริ่มจาก   สมัยเด็กจินยองมีพี่ชายคนหนึ่งที่สนิทกันมาก แม้อายุจะห่างกันถึง 4 ปี แต่ทั้งสองก็ไปไหนมาไหนด้วยกันตลอด  พี่ชายของเขาเรียนเก่งมาก และสอบแพทย์ติด  คุณพ่อจึงซื้อมอเตอร์ไซค์ให้เป็นรางวัล  และพี่ชายก็มารับจินยองหลังโรงเรียนเลิกในวันนั้นทันที  เพื่อพากันไปซิ่งมอเตอร์ไซค์ตามที่สองพี่น้องฝันไว้

     

     

    "พี่จูเนียร์เป็นคนขี่รถ  พี่ต้องใส่หมวกกันน๊อคสิครับ" ตอนแรกจินยองปฏิเสธหมวกกันน๊อคที่คนพี่ส่งให้ด้วยความเป็นห่วง

     

     

    "ใส่แล้วมองสาวไม่ถนัดอ่ะดิ  มันจะบังหน้าหล่อๆ แล้วก็ทำให้ผมเสียทรงด้วย  นายนั่นแหละใส่ซะ!" พี่ชายอ้างเหตุผลข้างๆคูๆไป  แล้วก็ใส่หมวกให้น้องชายคนโปรด  พร้อมกับเอามือขยับเช๊คความเรียบร้อย  จากนั้นก็ส่งยิ้มให้ก่อนจะสตาร์ทรถ แล้วรอน้องจินยองกอดเอว จึงขับออกไป...

     

     

    ...

    ..

    .

    "เอี๊ยดดดดดด !! โครม!!!" เสียงเบรครถดังลั่น ก่อนเสียงเหล็กปะทะกันดังโครมครามจะตามมา  รถสิบล้อคันใหญ่พุ่งชนมอเตอร์ไซค์คันเล็กอย่างไม่ปราณีท่ามกลางสายฝนที่ปรอยปราย และท้องฟ้ามืดครึ้ม

     

     

    ...

    ..

    .

    จะ..เจ็บ.เจ็บจัง.... เจ็บตรงไหนนะ ... รู้สึกเจ็บไปหมดทุกตรงเลย  ขยับแขน..เจ็บ...ขยับขา..ก็เจ็บ ...หัว ไม่เจ็บเท่าไหร่ เพราะมีอะไรแข็งๆครอบไว้  ...กลิ่นอะไรนะ เหม็นคาวจัง...เหมือนกลิ่นเลือด  ร่างบางเริ่มพลิกกลับตัวและเกลือกเสือกร่างไปทั่วของเหลวบนพื้นแถวนั้น ท่ามกลางเสียงหวีดร้อง โวยวายฟังไม่ได้ศัพท์  มีเสียงรถหวอแว่วมาไกลๆ  พี่...พี่จูเนียร์ ...พี่ครับ  จินยองกัดฟันเค้นเสียงเรียกพี่ชายเมื่อสติเริ่มกลับมา

     

     

    ตอนนั้นเขาไม่รู้ว่าที่เสื้อผ้าเปียกนั่นเป็นเพราะฝน  หรือเลือดที่ไหลออกมานองพื้นปนกันของเขากับพี่ชายกันแน่  ร่างสูงกว่านอนนิ่งตรงใกล้กับล้อรถบรรทุก  ...เขย่า  เอาหัวไถ ไปบนหลังของร่างหนา  ...ก็ไม่มีการตอบรับ  เสียงอื้ออึงหนักขึ้นจนเขายากจะทานสติอยู่  พี่ครับ  พี่เป็นอย่าเป็นอะไรนะ!

     

     

    ...

    ..

    .

    ปวดตาจัง  ปวดกระบอกตาด้วย  ผมร้องไห้จนไม่มีน้ำตาหยดออกมาแล้ว  พ่อกับแม่ก็ร้องไห้หนักมาก  ทันที่ที่ผมรู้สึกตัวในโรงพยาบาล  พ่อเดินเข้ามาตีผม  ใบหน้าของท่านแดงก่ำ  พร้อมกับพร่ำพูดว่า  คนที่ตายทำไมไม่เป็นผม  ส่วนแม่ก็ยืนร้องไห้เงียบๆ  ผมเห็นหมวกกันน๊อกวางอยู่บนหลังตู้เย็นปลายเตียงเลยนึกได้  นาทีนั้นภาพร่างแน่นิ่งของพี่ชายกับกองเลือดเป็นลิ่มสีแดงเต็มไปหมด กลิ่นคาวปนกับกลิ่นควันท่อไอเสียที่เผาไหม้ของรถยนต์ลอยเข้ามาในสมองจนผมต้องอาเจียนออกมา  กลิ่นน้ำยา  กลิ่นยาในโรงพยาบาลสารพัดทำให้หัวของผมหมุนมึนไปหมด  แค่หายใจเฉยๆก็รู้สึกทรมานเหมือนภาพ เสียง สัมผัสจากอุบัติเหตุนั่นยังติดอยู่ในความทรงจำ  จากวันนั้น  ร่างกายก็ไม่สามารถรับอาหารอะไรเข้าท้องได้เลย  คอยอาเจียน สำรอก  ขย่อนอาหารทุกอย่างที่กินเข้าไปออกมา  แทบจะตลอด  ภาพเหตุการณ์มันวนมาซ้ำๆ ไม่ว่าหลับหรือตื่น  พ่อกับแม่ก็ไม่มาเยี่ยมผมอีกเลยหลังจากรับศพพี่ชายไปทำพิธีทางศาสนา  ผมก็อยากไปส่งพี่จูเนียร์ด้วยเหมือนกัน  แต่ร่างกายผมก็บอบช้ำไม่เบา  กระดูกแตกหักหลายที่  แรงจะยืนยังไม่มีแถมตอนนี้ก็กลายเป็นภาระ ให้พี่พยาบาลต้องคอยมาดูแล  เป็นคนไร้ค่าที่พ่อแม่ไม่สนใจ 

     

     

    ชีวิต มอ ปลาย ของผมหลังจากนั้น  ต้องเปลี่ยนแผนจากการเรียนศิลป์-ภาษา ที่ใจรักอยากเรียน  มาเป็น วิทย์-คณิต และผมต้องอ่านหนังสือหนักมากเพื่อสอบให้ติดหมอ เหมือนพี่ชาย  บางทีพ่อแม่อาจจะได้หันกลับมาสนใจผมอีก  แม้จะต้องท่องหนังสือไปวิ่งไปอาเจียนไป  ผมก็ใช้เวลาว่างทั้งหมดในชีวิตนักเรียน มอ ปลาย ทำแบบนั้น  ไม่ทำกิจกรรมใดหรือไปเล่นอะไรกับเพื่อนคนไหน  เรียนพิเศษเพิ่มเติมอย่างหนักหน่วง  จนในที่สุดก็สอบติดหมอสมความตั้งใจ  ยังไงดีหล่ะ มันเหมือนยกภูเขาออกจากอก  ตลอดเวลา 3 ปีที่แลกทุกอย่างทั้งเลือดและน้ำตา  ก็ปรากฏรอยยิ้มมุมปากของพ่อนิดหนึ่งตอนผมไปบอกผลการสอบเข้ามหาวิทยาลัย  ส่วนแม่นั้นก็มาลูปหัวผมแล้วยิ้มให้ 1 ที  แค่นี้ก็นับว่าดีที่สุดในรอบหลายปีแล้วสำหรับผม

     

     

    แต่...ผมคงดูถูกชีวิตมากไป  เพราะหลังจากได้เข้ามาเรียนแล้วชีวิตยิ่งแย่กว่าก่อนหน้ามากขึ้นไปอีก  การเรียนหมอในมหาวิทยาลัยที่ผมไม่ได้พิศวาสสักนิด  มันไม่ใช่แค่อ่านตำราแล้วสอบเหมือนตอนมัธยมแล้ว  มันมีการเรียนปฏิบัติการ มีการทำงานกลุ่มมากขึ้นต้องมีปฏิสัมพันธ์กับเพื่อนมากขึ้น  ผมได้รู้จักมาร์คก็ตอนนี้  แล้วเรื่องราวที่ไม่ดี ไม่คาดฝันก็เริ่มต้นขึ้น  วันแรกที่รับน้องเราต้องเข้าไปพบพี่รหัสที่โรงพยาบาลมหาวิทยาลัย  แค่ก้าวขาเข้าไปผมก็รู้สึกไม่ดีขึ้นมาแล้ว  กลิ่นยา  กลิ่นโรงพยาบาลเรียกความทรงจำแย่ๆของผมกลับมา  แถมยังมีการเข็นคนไข้ที่รถชนมาทำแผลผ่านหน้าผมกับเพื่อนๆไป  วินาทีที่ผมเห็นเลือดนั่นผมก็เป็นลมไปเลย  หลังจากวันนั้นอีกหลายครั้งที่ต้องวนเวียนไปที่โรงพยาบาล และเห็นเลือด  มันทำให้สมองผมต่อต้าน ร่างกายแสดงอาการแปลกๆสารพัด  ทั้งปวดท้อง  เป็นลม  ท้องเสีย  เวียนหัว ปวดตา ปวดหัว ไมเกรนกำเริบ จนต้องเข้ารับการรักษา  อาจารย์หมอบอกว่าเป็นอาการทางจิตอย่างหนึ่งที่รักษาได้  แต่พอเรื่องแพร่ออกไป  เพื่อนทั้งคณะ  รวมถึงรุ่นพี่ ก็พากันรังเกียจ  มองผมเป็นตัวประหลาด  คอยประชดเหน็บแนม กลั่นแกล้งที่ผมได้สิทธิพิเศษ  ไม่ต้องทำงานบางอย่างเพราะอาการป่วย  เวลาทำงานกลุ่ม หรือทำแล๊ปก็ไม่มีใครอยากเข้าคู่หรืออยู่กลุ่มด้วย  ยกเว้นมาร์ค  แล้ววันหนึ่งผมก็โดนรุ่นพี่ต่อว่าหนักมาก  เพราะมีคนไข้อุบัติเหตุหมู่เข้ามา  มีคนบาดเจ็บกว่า 30 คนรอทำแผลในห้องฉุกเฉินจนล้นทะลัก  แล้วก็มีอีก7-8 คนที่อาการแย่หนักมาก  ต้องใส่ท่อช่วยหายใจ  แทนที่ผมจะได้ช่วยเหลือคนไข้   เป็นการเรียนรู้และแบ่งเบาภาระพี่ๆ  กลับมาเป็นลมไปอีกคนทำให้งานยุ่ง  วุ่นวายขึ้นไปอีก  ใช่...มันหลายครั้งแล้ว... คราวนี้ไม่ต้องรอให้อาจารย์เรียกไปพบ  ผมก็สามารถพิจารณาตัวเองได้ว่าผมคงเรียนหมอต่อไปไม่ไหวแน่ๆ เพราะกลัวเลือดและเกลียดโรงพยาบาลขนาดนี้  ต้องซิ่ว ลาออกเพื่อไปสอบเรียนต่อคณะอื่น  แล้วก็สอบติดสถาปัตย์ในปีต่อมา...

     

     

     แน่นอนว่าพ่อไม่ฟังเหตุผลอะไรทั้งนั่น  ท่านโยนกระเป๋าพร้อมข้าวของของผมออกจากบ้าน  แล้วพูดใส่หน้าผมว่าบ้านนี้ไม่มีลูกชาย  นั่นเป็นครั้งแรกที่ผมไม่รู้จะหาทางออกยังไงให้ชีวิต  เงินก็ไม่มีติดตัว  ไม่รู้จะไปอยู่ที่ไหน  เพื่อนสนิทก็ไม่มี  ไม่ต้องพูดถึงค่าลงทะเบียน ค่าเทอมเลย  ถ้าไม่มีผมอยู่คงจะดีกว่าใช่ไหม  ถ้าผมตายไปพ่อคงจะพอใจสินะ  ความคิดแบบนั้นแม้จะเคยผุดขึ้นมาเป็นพักๆด้วยความน้อยใจ  แต่ก็ไม่เคยแรงกล้าถึงขั้นอยากลงไม้ลงมือมาก่อนเลยแบบนี้  คืนนั้นเป็นครั้งแรกที่ผมคิดว่าคงมีชีวิตอยู่ต่อไปบนโลกใบนี้ไม่ไหวแล้วหล่ะ  รู้สึกไร้ค่า  เคว้งคว้าง  ท้อแท้  ทรมานเหลือเกิน  อยากจะตายให้พ้นๆสภาพทุเรศทุรังไม่เป็นที่ต้องการนี้ไปยังไงดี?...

     

     

    จะเดินไปให้รถชน  ก็กลัวเสียงเครื่องยนต์และยังติดตากับภาพอุบัติเหตุของพี่ชายจนขาไม่กล้าก้าวขาข้ามถนนตอนมีรถวิ่งในระยะ 100 เมตรด้วยซ้ำ  จะกรีดข้อมือก็กลัวเลือด  กลัวเจ็บ  จะกินยาตายก็กลัวต้องไปล้างท้องที่โรงพยาบาล กลัวทรมาน กลัวโรงพยาบาล  ก็เหลือโดดแม่น้ำฮัน  กับโดดตึกไหม ที่พอคิดได้ตอนนั้น  แต่จากบ้านผมตรงนี้มันไกลจากแม่น้ำอยู่มาก แล้วเที่ยงคืนกว่านี่ระบบรถไฟใต้ดินก็ปิดหมดแล้ว  จะเหลือก็แต่โดดตึกนี่นั่นแหละที่ดูเป็นไปได้  ต่อมาผมจึงตัดสินใจเดินเลาะถนนไปอีก 2 บล๊อก ไปยังคอนโดที่สูงที่สุดเท่าที่จะหาได้ตอนนั้น  แต่ผมก็คิดง่ายไปอีกแล้ว  คอนโดรีเวียร่า สีขาว 40 ชั้น มียามเฝ้าตั้งแต่ประตูรั้วด้านหน้า  ผมโดนยามซักไซ้ ว่าเป็นใคร มาหาใคร ห้องไหน ชื่ออะไร  บ้านอยู่ไหน  ซึ่งผมก็ไม่รู้จะตอบอะไรยังไง  จนยามนึกว่าเป็นคนน่าสงสัย อาจจะเป็นมิจฉาชีพ หรือสายโจรจะโทรตามตำรวจมาจับอยู่แล้ว  ....และมาร์คก็โผล่มา  ตอนนั้นเราก็ไม่ได้สนิทกันเท่าไหร่  เพราะผมลาออกจากคณะแพทย์กลางครันเลยไม่อยากเจอหน้าคนในคณะเก่าด้วย  แต่มาร์คก็เดินมาทัก แล้วยิ้มให้  เขาบอกกับยามว่าเป็นเพื่อนกับผม  แล้วก็ไม่ได้ซักอะไรต่อ  มาร์คลากผมขึ้นมายังห้องของเขาบนคอนโด  ก่อนจะหาอะไรอุ่นๆให้ทาน  ...อืมม ช๊อกโกแล๊ตร้อนแก้วนั่น ช่างอร่อยจริงๆ  สักพักมาร์คเดินไปในห้องนอนชั้นในพร้อมกับอุ้มเด็กน้อยคนหนึ่งออกมาแล้วเปลี่ยนผ้าอ้อมให้

     

     

    "ลูกนายเหรอ?"  ผมเผลอถามเพราะอดสงสัยไม่ได้  ปรกติมาร์คก็เป็นคนเงียบขรึมไม่ค่อยคุยกับใครในคณะอยู่แล้ว  แต่เขามักจะช่วยเหลือผมไม่เหมือนคนอื่นๆ  เขาคงมีความลับบางอย่างสินะ

     

     

    "ไม่ใช่ลูก  นี่ แบมแบม  แบมแบมสวัสดีคุณอาจินยองสิครับ" มาร์คยิ้มอย่างอ่อนโยนให้กับเด็กน้อยในอ้อมแขน แล้วอุ้มเข้ามาใกล้ๆผม

     

     

    "ตาโตจัง  แก้มยุ้ย น่ารักมาก  ยิ้มแล้วๆๆๆ  จะจับมืออาเหรอ" แบมแบม อายุ 8 เดือน อ้อแอ้น่ารัก ยิ้มเก่ง ตาแป๋วแหว๋ว ส่งเสียง แอ๊ะ อ๊ะ เรียกร้องความสนใจ ไม่กลัวคนแปลกหน้า  เด็กน้อยคว้านิ้วมือของผมไปจับ แล้วยิ้มหวานให้ จนผมลืมความเศร้าแล้วเปลี่ยนเป็นอารมณ์ดี หยอกล้อ เล่นกับเด็กน้อยแทน

     

     

    "น้องเขาโดนคนใจร้ายทิ้งหน่ะ  พยาบาลที่ตึกเด็กเลี้ยงกันมาหลายเดือนแล้ว  ตอนนี้ถึงเวลาเอกสารเรียบร้อยต้องส่งน้องให้สถานสงเคราะห์  น้ำตาแตกกันทั้งตึกเลย  ผมรู้สึกถูกชะตาเลยขอรับมาเลี้ยงเอง" มาร์คอุ้มเด็กน้อยไปรอบๆด้วยแววตารักใครเอ็นดู

     

     

    "นายยังเป็นนักศึกษาอยู่เลยนะ เอาเวลาไหนไปเลี้ยงเด็กเนี่ย?" 

     

     

    "ช่วงเรียนเอาไปฝากพี่พยาบาลที่เดิมได้  เรียนเสร็จก็รับกลับ  นี่อยู่กันมา 6 เดือนแล้วนะ  จินยองหล่ะ  ได้ข่าวว่าสอบติดสถาปัตย์หนิ  ไม่ต้องเจอเลือดแล้วดีใจด้วยนะ"

     

     

    "ก็ไม่น่าดีใจเท่าไหร่หรอก  โดนพ่อไล่ออกจากบ้าน..." คนพูดพยายามกลั้นน้ำตา แล้วยิ้มเล่นกับเด็กน้อยไปพลาง

     

     

    "แล้วมาทำอะไรแถวนี้  อย่าบอกนะว่าจะมาโดดตึกฆ่าตัวตาย หนีปัญหาหน่ะ  คอนโดชั้นมันขึ้นชื่อเรื่องพวกนี้ซะด้วยสิ" มาร์คอุ้มเจ้าหนูแบมแบม แล้วเล่นกับน้องด้วยการโยนขึ้นลงแบบท่าเครื่องบินโดยที่เด็กน้อยก็ร้องเอิ๊กอ๊าก ชอบใจ  ไม่เข้ากับสถาณการ์ตึงเครียดตรงหน้าเท่าไหร่

     

     

    "ดูแบมแบมสิ  เขาโดนทิ้งก็ยังอยู่ ยังยิ้มได้  หัวเราะได้  ไม่เห็นต้องท้อแท้  ซึมเศร้า  อยากตายเลย  อายเด็กไหม ฮึ?" เสียงเด็กน้อยหัวเราะอารมณ์ดี  ดังขึ้นประกอบคำพูดของมาร์คอย่างกับเตี๊ยมกันมา

     

     

    "ฉันว่าตอนนี้นายคงคิดอะไรไม่ออก  อยากจะหนีปัญหา  แต่เวลาคงช่วยนายได้  มาค่อยๆหาทางออกกันนะ  คืนนี้และคืนต่อๆไป  นายมาอยู่กับฉันที่นี่ก่อนสิ  มาช่วยกันเลี้ยงแบมแบม  แล้วไว้อะไรๆเข้าที่เข้าทางค่อยว่ากันใหม่   ห้องรับแขกว่าง  โซฟาว่าง  ห้องน้ำก็ใช้ได้ตามสบาย"  มาร์คอุ้มแบมแบมที่เล่นจนเหนื่อยทำท่าง่วงนอนกลับเข้าไปในห้อง  และจินยองก็ได้อยู่กับมาร์คช่วงหนึ่งก่อนจะสามารถหางานพิเศษทำ และสอบทุนเรียนดีมาเป็นค่าที่พักและค่าใช้จ่ายได้  

     

     

    ตอนใกล้เรียนจบเป็นช่วงที่งานเยอะ หนัก โปรเจคท่วมหัว  และแบมแบมสองขวบกว่าก็กำลังซนมาก  จินยองจึงขอย้ายออกไปอยู่คนเดียว  เพื่อใช้สมาธิกับการทำงาน แต่ก็ยังไปมาหาสู่มาร์คกับแบมแบม เรื่อยๆ ซึ่งช่วงที่จินยองอยู่คนเดียว  ไม่มีวิตามินแบมแบม ที่ร่าเริงสดใส  เขาก็กลับมาอยู่ในโลกที่หนักอึ้ง เปล่าเปลี่ยวอีก  ...โปรเจคที่อดหลับอดนอน ตัดกระดาษหลังขดหลังแข็ง คัทเตอร์บาดไม่รู้กี่ครั้ง ต้องกลั้นหายใจสู้กับเลือดแดงๆที่ไหลออกมา จนสุดท้ายก็ชินชาเพราะมีแผลนับไม่ถ้วน  อดทนเป็นผีไม่ได้นอนทำโมเดลอยู่สามวันสามคืน กลับโดนอาจารย์ทุบทิ้งอย่างไม่ปราณีแถมมีคำด่าวิจารณ์ทำร้ายจิตใจไม่ซ้ำ  จนจินยองรู้สึกท้อแท้อยากจะหนีไปไหนก็ได้ให้พ้นๆ  รู้สึกใจจะขาดทุกครั้งที่ต้องส่งงาน  เท่านั้นยังไม่พอ  สเปเชียลโปรเจคสำหรับสอบจบของเขายังโดนเพื่อนในรุ่นก๊อปปี้ไปอีก  เพราะเขาดันเซฟไฟล์ลงคอมพ์ของคณะ  เพื่อนเลยได้แบบที่เขาอุส่าห์เขียนมาตลอดหลายเดือนไป  แถมได้รางวัลตอนประกาศวันจบการศึกษาอีกด้วย  รอบนี้มันเกินที่จินยองจะทนไหวจริงๆ  เขาอ้อยอิ่ง  ประดิษประดอย ส่งงานเกือบเดทไลน์เป็นปรกติ  แต่คราวนี้คนที่ก๊อปงานเขาไปส่งเสร็จก่อน  ถ้าเขาเอางานของตัวเองส่งต่อทีหลังก็กลายเป็นว่าเขาต่างหากเป็นคนก๊อปแน่ๆ  ...ทำไมเพื่อนทำแบบนี้  จินยองรู้สึกสะอิดสะเอียน ขยะแขยง เพื่อนคนนั้น อาจารย์ รวมไปถึงมนุษย์รอบตัวเป็นที่สุด  ตอนนั้นแค่คิดว่าต้องหายใจร่วมกับคนพวกนี้เขาแทบจะทนไม่ได้  เขาหมดศรัทธาในผู้คน  สิ้นหวัง  แยกตัวไปอยู่คนเดียวไม่สุงสิงกับใคร  แล้วแบบนี้ก็เท่ากับว่าเขาไม่มีงานสเปเชียลโปรเจคส่ง  ทำให้ต้องเรียนไม่จบ  กว่าจะตั้งสติได้ก็ไม่มีเวลาเหลือแล้ว  ยังไงก็ไม่มีทางคิดงานชิ้นใหม่ขึ้นมาและทำเสร็จทันแน่ๆ  หนทางรอบตัวดูมืดมัว สิ้นหวังไปหมด  โลกนี้มันช่างไม่ยุติธรรม และไม่น่าอยู่เอาเสียเลยนะ...

     

     

    แล้วจินยองก็ได้เจอกับมาร์คอีก  รอบนี้มาร์คเป็น เอ๊กซ์เทินประจำห้องฉุกเฉิน  ได้มีโอกาสเรียนรู้การล้างท้องคนไข้ที่กินยาฆ่าตัวตาย  โดยมีจินยองเป็นอาจารย์ให้  เด็กหนุ่มซัดพาราเซตาม่อนไป 1 กำมือ ถูกส่งมาทั้งที่ยังไม่หมดสติ  เขาต้องทรมานกับการโดนสายยางสอดเข้าไปในกระเพาะสดๆทางปาก  แล้วอัดผงถ่านดำๆ เข้าไปตามสายเพื่อดูดซับสารพิษ  ก่อนจะโดนเครื่องมือซักชั่นเสียงดังดูดล้างของเหลวที่กรอกใส่เข้าออกอีกหลายรอบ จนแน่ใจว่ากระเพาะสะอาดแล้ว จากนั้นก็บังคับฉีดยาต้านพิษ Antidote (fluimucil) เข้าเส้นเลือดอีกหลายครั้ง หลายวัน จนเส้นเลือดแตก รอยที่โดนเข็มฉีดยาเจ็บระบมไปหมด  เท่านั้นยังไม่พอ  ต้องโดนเจาะเลือดวัดระดับสารพิษไม่รู้กี่รอบต่อวัน  แม้จะโชคดีที่มีคนไปเจอจินยองได้เร็ว ทำให้ยาที่กินเข้าไปยังไม่ถูกย่อยและดูดซึมเข้าสู่กระแสเลือดไปทำลายตับมากนัก  จึงรอดชีวิตได้  แต่ความทรงจำแย่ๆในโรงพยาบาลมันก็กลับมาอีก  เวลาที่รู้สึกตัวเมื่อไหร่เขาก็มีแต่อาการเวียนหัว ปวดเมื่อยเนื้อตัว  ใจไม่ดี  ไม่มีแรง หายใจไม่อิ่ม  ผะอืดผะอม  อยากจะอาเจียน  หดหู่  และคิดจะหนีออกไปให้พ้นๆสภาพที่เป็นอยู่นี่ตลอดเวลา  ความคิดที่ว่าตายๆไปซะจะหลุดพ้นก็ยังวนเวียนมาเรื่อยๆ ดังนั้นเขาจึงต้องเข้ากระบวนการบำบัดให้คำปรึกษาและรักษาภาวะซึมเศร้าอยากฆ่าตัวตายอย่างเป็นการเป็นงานเสียที  นี่เป็นเหตุให้จินยองต้องถูกเรียกผู้ปกครองมาพบ  ต้องดรอบการเรียนเทอมนั้น และไม่แน่ใจว่าจะสามารถกลับไปเรียนต่อจนจบได้หรือไม่

     

     

    พ่อแม่ที่ไล่เขาออกจากบ้านอย่างไม่ใยดี  ตีหน้าเป็นผู้ดี ยิ้มแย้มรับปากคุณหมอว่าจะดูแลเขาอย่างสุดความสามารถ  กลับทำท่าผิดหวังด่าทอเขาลับหลังคุณหมอ  พวกเขาไม่น่าเชื่อว่าตนเองจะมีลูกที่เลวร้าย  แย่  และทำให้วงศ์ตระกูลเสื่อมเสียชื่อเสียง  เป็นตัวน่ารังเกียจถึงขีดสุดได้ขนาดนี้ จากเดิมที่เขาก็ไม่รักอยู่แล้ว   ยังต้องถูกตามมาดู ลูกชายที่ไม่ปรกติ และคิดฆ่าตัวตาย  เรื่องแบบนี้มันทำให้คุณพ่อหน้าชา และอายคนอื่นจะซุบซิบนินทาเป็นอย่างมาก  ผู้ใหญ่ไร้หัวใจถึงกับทิ้งท้ายก่อนจากกันกับจินยองว่า  "คราวหน้าถ้าจะให้มาหา  หวังว่าแกคงจะไม่มีลมหายใจแล้วนะ  ทำมันให้สำเร็จสักเรื่องสิ  ง่ายๆแค่นี้  แล้วชั้นจะยกโทษให้" ก็คือหมายความว่า  ถ้าแค่ฆ่าตัวตายง่ายๆยังทำไม่สำเร็จ  ชาตินี้อย่าหวังจะเห็นหน้าพ่อแม่อีก  คำพูดที่แสนสะเทือนใจเหล่านี้ทำให้จินยองต้องย้ายจากหอผู้ป่วยอายุรกรรม ไป แอดมิทรักษาตัวในหอผู้ป่วยจิตเวชแทน

     

     

    ความน้อยเนื้อต่ำใจ  ไม่เป็นที่ต้องการ  รู้สึกเป็นทุกข์  ไม่มีความสุข  สับสน  วิตกกังวล  เห็นภาพทุกอย่างเป็นแง่ร้าย  รู้สึกสิ้นหวังในชีวิต  หมดหนทาง   อยากหนีไปให้พ้นๆ  ไม่มีอารมณ์สนใจสิ่งรอบข้าง  เบื่อหน่ายทุกอย่าง  ไม่อยากอาหาร นอนไม่หลับ  เชื่องช้า อ่อนเพลีย  กระวนกระวาย  รู้สึกผิดที่เกิดมา  ไม่มีสมาธิ  ความจำแย่ลง  หลงๆลืมๆ  ลังเล กังวล  อยากตาย  จนไม่สามารถทำกิจวัตร หรือกระทั่งไปเรียน ทำงานได้  และมีการลงมือทำร้ายตนเองจริงจัง  ทั้งรู้ตัว  และไม่รู้ตัว  มันเป็นเรื่องที่แย่มากที่เกิดขึ้นกับชีวิตของคนคนหนึ่ง  ถ้าถามตอนมีสติว่าผมอยากมีชีวิตต่อไปไหม  ผมก็อยากนะ  แต่ในบางอารมณ์มันไม่ไหว  ความมืดดำ  หดหูมันฉุดแขนขาไว้  หัวใจไม่มีแรงเต้น  กระบังลมอ่อนล้าขี้เกียจที่จะยกตัวขึ้นสูดอากาศเข้าปอด  ไม่รู้สึกยินดียินร้ายที่จะมีชีวิตต่อไป  ซ้ำบางทีก็รู้สึกทรมานจนอยากจะจบๆความรู้สึก ท้อแท้ สิ้นหวัง อ้างว้างนี้  แค่คำว่าบางที  ก็ทำให้จินยองต้องสวมชุดสีแดงแตกต่างจากคนไข้คนอื่น  ซึ่งหมายถึงผู้ป่วยที่ต้องเฝ้าระวังเป็นพิเศษ  เขาต้องโดนจับตามองไม่ว่าจะเป็นระหว่าง  นั่ง นอน ยืน เดิน กิน อาบน้ำ  ไม่ให้แอบไปทำกิจกรรมฆ่าตัวตายได้  ไม่ว่าจะเป็นเอากางเกงมาผูกกันเพื่อรัดคอฆ่าตัวตายกับวงกบหน้าต่างในห้องน้ำ  การพยายามเอาหัวจุ่มน้ำในอ่างล้างหน้าโดยหวังจะจบชีวิต  การเอาช้อนส้อมมาจิ้มขูดกรีด แขนตัวเอง  ไปจนถึงการวิ่งเอาหัวชนกำแพง  หลังจากพยายามอยู่หลายวิธี   คุณหมอจึงตัดสินใจรักษาจินยองด้วยการช๊อตไฟฟ้า(ECT)  การรักษาแบบนี้เป็นวิธีปรกติ ไม่มีอันตราย และไม่ได้รุนแรงน่ากลัวเหมือนอย่างในหนัง หรือข่าวที่คนทั่วไปเข้าใจ  การช๊อตไฟฟ้าเพื่อรักษาโรคซึมเศร้า  หรือผู้ที่มีความคิดอยากฆ่าตัวตายจะทำเป็น ครอสๆ โดยให้ผู้ป่วยนอนราบธรรมดาบนเตียง และมีการเซพ คอ แขนขา ไม่ให้ดิ้นตกเตียง จากนั้นก็เอาขั้วไฟฟ้าที่ปรับระดับความแรงให้พอเหมาะจิ้มไปที่บริเวณศีรษะ เพื่อเหนี่ยวนำให้เกิดการชัก แค่ไม่กี่วินาที  ให้สมองได้มีการปรับเปลี่ยนอิเลกตรอน สร้างสมดุลสารสื่อประสาทใหม่  จนเข้าสู่กระบวนการฟื้นฟู  ไม่กี่เดือนต่อมาจินยองก็สามารถกลับมาใช้ชีวิตตามปรกติ และเรียนต่อจนจบได้  แม้จะจบช้ากว่ารุ่นก็ตาม

     

    ถามว่าโรคซึมเศร้าหายขาดไหมถึงรักษาและปฏิบัติตัวดีแค่ไหนโอกาสกลับมาเป็นซ้ำก็ยังสูงกว่า 80 % อยู่ดี  ดังนั้นทางทีดีคือทานยา พบแพทย์สม่ำเสมอและรักษาทางจิตใจควบคู่กันไป  จินยองสามารถอยู่ในสังคมได้  ทำงานได้เหมือนคนปรกติ  มีความฉลาด พรสวรรค์  การตัดสินใจ  วุฒิภาวะทางอารมณ์ปรกติ  อาจจะมีประสิทธิภาพลดลงบ้าง  หรืออาจต้องใช้พลังงานและแรงใจอย่างมากในการคงสถานะทางสังคม และอารมณ์ของตนเองไว้เมื่ออาการกำเริบ  แค่เดินสวนกัน เราไม่มีทางรู้เลยว่าใครกำลังป่วยเป็นโรคนี้อยู่บ้าง   คนแบบจินยองเหล่านี้ต้องการกำลังใจหรือใครสักคนเข้ามาช่วยเหลือ  ไม่ใช่เพราะความอ่อนแอ  หรือเรียกร้องความสนใจ  ไม่ใช่ทำสมาธิ  ดูหนัง  ฟังเพลง ทำกิจกรรมมากๆ ไปเที่ยว แฮงเอาท์ ใช้แอลกอฮอล์ หรือสารเสพติดแล้วจะหาย  แม้จะยืนอยู่ท่ามกลางผู้คนมากมายก็ยังรู้สึกว้าเหว่ ซึมเศร้า เหงา ได้เสมอ  การตำหนิ  เปรียบเทียบความอดทนต่อสิ่งเร้า เช่น คนนั้นคนนี้ ยังผ่านเหตุการณ์แบบนั้นแบบนี้มาได้  ยังทนได้ ไม่ช่วยให้พวกเขาเหล่านี้รู้สึกดีขึ้น  ความรักความเข้าใจ  และการดูแลรักษาอย่างถูกวิธีต่างหากที่จะช่วยให้ผ่านพ้นช่วงเวลาเหล่านี้ไปได้ 

     

     

    แม้จะเรียนจบช้าแต่จินยองก็โชคดีได้ทำงานกับบริษัทก่อสร้างระดับแนวหน้าเพราะมีเพื่อนเก่าของพี่ชายหลานเจ้าของบริษัทและเป็นวิศวกรหลักของโครงการรับจินยองเข้าโปรเจค  เดิมทีจินยองมีพรสวรรค์ทางด้านออกแบบอยู่แล้ว  ผลงานในช่วงเป็นนักศึกษารวมถึงการเข้าแข่งขันต่างๆนาๆในการออกแบบระดับนานาชาติ ล้วนได้รางวัลติดไม้ติดมือมาจนมีชื่อเสียงไม่น้อย  ช่วงที่เขาดรอปไปรักษาก็ไม่มีใครรู้  เขาแค่ให้ข้อมูลว่าไปตามหาแรงบัลดาลใจ และผลงานจบการศึกษาที่ทำใหม่ ก็ยิ่งใหญ่อลังการกว่าของเก่าที่โดนก๊อปปี้ไป จนเป็นที่กล่าวขาน  ได้รับรางวัลด้านออกแบบไปไกลถึงอเมริกา  ฝีมือ ผลงาน  บวกกับรูปลักษณ์ภายนอกของชายหนุ่มสุภาพบุรุษ  บุคลิก นุ่มนวล หน้าตาดี มีส่วนช่วยประชาสัมพันธ์  ส่งให้เขาประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานขึ้นเรื่อยๆ  จนได้เป็นส่วนหนึ่งของบริษัทจริงๆ  ในโปรเจคต่อๆมา  ในชีวิตการทำงาน 5 ปีแรก อะไรก็แปลกใหม่ หอมหวาน สนุกสนาน น่าตื่นเต้น  ผู้คน  ชื่อเสียง ความสำเร็จ  แสงสี  สังคม  เป็นดังยาหอมให้หลงใหลได้ปลื้มลืมตัวไปชั่วครู่  พี่จองชิน  เพื่อนของพี่ชายที่มองเห็นพรสวรรค์ของจินยองและให้โอกาสเข้ามาทำงาน  เป็นคนคอยดูแลเขามาตลอด  ความใกล้ชิด  รูปลักษณ์ และความดีเสมอต้นเสมอปลายของพี่เขาสามารถทำลายกำแพงในใจจนจินยองมีความรู้สึกดีๆให้มากกว่าเพื่อนร่วมงานไปแล้วนั้น  อยู่ๆพี่จองชินกลับประกาศแต่งงานกับบุตรีคนสวยของนักการเมืองชื่อดัง  ทำให้เส้นบางๆที่เขาทนฝืนไว้ได้ขาดลงอีกครั้ง 

     

     

    ความรู้สึกไม่มีค่า  ไม่มีตัวตน  ท้อแท้  สิ้นหวัง  กลับมาเยือนเหมือนเพื่อนสนิท  ความเศร้าจากการผิดหวังนั้นเป็นเรื่องปรกติของมนุษย์  มีได้ก็หายได้  แต่สำหรับผู้อยู่ในวังวนของอาการป่วยนั้น  เศร้าไม่จบ  เป็นอยู่หนัก  และเป็นอยู่นานมากๆกว่าคนทั่วไป จนกระทบการงาน  การดำรงชีวิต  ความสัมพันธ์กับคนรอบข้างก็แย่ลงๆ  การคำนวณแบบของจินยองเกิดผิดพลาด  และก่อให้เกิดอุบัติเหตุหลังคาของอาคารในส่วนที่เขารับผิดชอบถล่มลงมา  แม้จะไม่ใช่ความผิดของเขาทั้งหมด  แต่ผิดก็คือผิด  จินยองถูกพักงาน  เพื่อปิดข่าว  และเขาก็เก็บตัว  จมอยู่ในโลกที่หดหู่  ซึมลึกอีกครั้ง 

     

     

    วันหนึ่งระหว่างที่จินยองคนว่างงานกำลังเดินเตร่  สูบบุหรี่ ปล่อยผมเผ้ารุงรัง  และหนวดเขียมครึ้มจนไม่มีใครจำได้เขาก็พบกับเด็กผู้ชายคนหนึ่ง  ที่เคยทำให้เขารู้สึกดีขึ้นเมื่อนานมาแล้ว

     

     

    "แบมแบมใช่ไหม  มาทำอะไรที่ม้านั่งในสวนออกกำลังกาย ริมแม่น้ำในเวลาแบบนี้ครับ?" ผู้ใหญ่ เสียงเพราะแต่หน้าหยั่งโจร เอ่ยทักเด็กน้อยวัย 7 ขวบในชุดเด็กประถมกางเกงขาสั้นสีน้ำเงิน เชิตขาว สะพายเป้รูปเป็ดน้อยสีเหลือง  ตากลมแป๋ว มีแวว แดงช้ำเหมือนกำลังร้องไห้

     

     

    "ไม่ต้องกลัวนะ อาจินยองไง  เพื่อนหมอมาร์ค  เราเคยเจอกันหลายครั้งแล้วนี่นา  นี่ เกือบ 11 โมงแล้วนะ น้องแบมไม่ต้องไปโรงเรียนเหรอครับ  แล้วหมอมาร์คไปไหน?"

     

     

    "อาจินยอง  อาจินยอง ฮรือออออ"  เด็กน้อยเอียงคอพินิจพิเคราะห์ ก่อนจะจำรอยตีนยายับๆบนใบหน้าคนตรงหน้าได้จึงโผกอด

     

     

    "แบมแบมไม่อยากไปโรงเรียนครับ  แบมปวดท้อง  แบมไม่สบาย  แบมไม่อยากเจอเพื่อน" เด็กน้อยก้มหน้าคางชิดอก  ทำปากยู่งอแง  แต่มันก็ดูน่ารักมากในสายตาของจินยอง

     

     

    "ทำไมครับ แบมแบมโดนเพื่อนที่โรงเรียนแกล้งเหรอ  ใครทำอะไรบอกอามา  อาจินยองจะไปจัดการให้เอง"

     

     

    "แบมแบมโดนเพื่อนล้อ ว่าเป็นเด็กไม่มีใครรัก  เป็นเด็กกำพร้า  ไม่มีพ่อมีแม่  ฮืออออ  แบมแบม เป็นเด็กผิดปรกติ  เป็นเด็กไม่ดีใช่ไหมครับ  คุณพ่อ คุณแม่ถึงทิ้งแบมแบมไป"

     

     

    คำพูดของแบมแบมทำให้จินยองกลืนน้ำลายเหนียวคอขึ้นมาทันทีเมื่อนึกถึงตัวเขาเองในอดีตซ้อนทับกับภาพแบมแบม  ถ้าเขาเด็กกว่านี้คงร้องให้ฟูมฟายเหมือนน้องคงจะดี  แต่เขาเลือกจะทำร้ายตัวเองประชดชีวิต  ซึ่งก็ไม่ได้ผลดีอะไรขึ้นมา  พ่อแม่ไม่ได้กลับมาหาเขา  และชีวิตก็ยังต้องดำเนินต่อไป  เขาสามารถเรียนจบได้  สร้างงานออกแบบที่น่าภูมิใจมากมายด้วยตัวเองได้นี่นา 

     

     

    "ไม่ใช่อย่างงั้นหรอกนะแบมแบม  คุณพ่อคุณแม่ของหนูอาจจะประสบปัญหาบางอย่าง  ท่านคงรอแบมแบมอยู่ที่ไหนสักแห่ง  ไว้ให้แบมแบมโตขึ้นกว่านี้ก่อนแล้วเราไปตามหาท่านทั้งสองด้วยกันนะครับ  ส่วนพวกเพื่อนปากไม่ดีเขาแค่อิจฉาที่แบมแบมน่ารัก และมีคนดูแลดี เท่านั้นแหละ  เด็กผู้ชายหน่ะ มักจะแกล้งคนที่ตัวเองชอบนะ  แบมแบมไม่รู้เหรอครับ"

     

     

    จินยองที่ชีวิตนี้ไม่เคยมองอะไรในแง่ดีเลย  ต้องพยายามสรรหาคำดีๆ โลกสวยๆมาปลอบใจแบมแบม  เพราะไม่อยากให้เด็กน้อยแสนซื่อ  ผู้มีแววตาสดใส  ต้องร้องให้เศร้าหมอง แบบเขา  ความซึมเศร้ามันสามารถกัดกินได้แม้แต่เด็กเล็กๆ  ถ้าแบมแบมมีปมในใจ  เขาอาจจะโตขึ้นมาอย่างไม่มีความสุขได้  แม้เด็กที่มีอาการซึมเศร้าจะไม่มีความคิดถึงขั้นฆ่าตัวตายแต่ก็อาจจะเดินไปในทางที่ผิด  กลายเป็นเด็กเกเร ก้าวร้าว หรือติดยาถ้าไม่แก้ไขตั้งแต่เนิ่นๆ

     

     

    "จริงเหรอครับ  แล้วพี่หมอมาร์คจะทิ้งเด็กไม่น่ารักอย่างแบมแบมไปไหมครับ  พี่หมอมาร์คไม่อุ้มแบมแล้ว  ไม่อาบน้ำด้วยกันแล้ว  ไม่อ่านนิทานก่อนนอนให้แบมฟังแล้ว  ฮรึกๆๆ   แบมไม่อยากโตขึ้นแล้ว  พอไปโรงเรียน คุณครูสอนให้แบมแบมทำอะไรด้วยตัวเอง  พอทำได้พี่หมอมาร์คก็ไม่มาสนใจแบมแล้ว  แล้วแบมก็ไม่อยากอยู่คนเดียวแล้ว"

     

     

    "เอ้า สะอึกสะอื้นไปใหญ่  เดี๋ยวคนผ่านไปผ่านมาจะนึกว่าอาจินยองทำมิดีมิร้ายแบมแบมหรือป่าวเนี่ย  หยุดร้องไห้ก่อนนะครับ  เดี๋ยวอาเลี้ยงไอติมนะ รอนี่แปร๊บ" เด็กน้อยกระพริบตาปริบๆ  แพรขนตายาวสะบัดขึ้นลงล้อมตากลมโต หยุดสะอื้นในบัดดลเมื่อพูดถึงของโปรด

     

     

    "เห้ย มาร์ค  มันเรื่องไรกัน  ฉันเจอแบมแบมนั่งร้องไห้อยู่ในสวนสาธารณะเนี่ย?" จินยองแอบโทรหามาร์คตอนที่ไปยืนรอซื้อไอติมให้แบมแบมตรงซุ้มขายขนมไม่ไกลจากม้านั่งของน้องนัก

     

     

    "อ่า  น้องอยู่กับนายเหรอ ...ค่อยยังชั่ว  เมื่อเช้าดูสีหน้าแบมแบมไม่ค่อยดี  ฉันเลยแวะไปหาที่โรงเรียน  แต่คุณครูบอกว่าวันนี้แบมแบมไม่ได้มาโรงเรียน  ฉันก็ตามหาแทบจะบ้าตายอยู่แล้ว  เกิดมีใครจับตัวไปทำอะไรขึ้นมาจะทำยังไง  เห้อ สวนสาธารณะที่ไหนจะไปรับเดี๋ยวนี้เลย" เสียงของมาร์คดูร้อนรนและเป็นห่วงแบมแบมจริงๆ  แต่มันคงจะมีอะไรมากกว่านี้แน่แน่  จินยองเลยแกล้งไม่บอก

     

     

    "ไม่ต้องมาหรอก  แบมแบมบอกว่าอยากมาอยู่กับชั้น  เดี๋ยวจะพาน้องไปดูห้องแล้ว  นายไม่ต้องเป็นห่วงนะ"

     

     

    "ได้ไงไอ้ XXX คืนแบมแบมมาไม่งั้นชั้นจะตามไปกระทืบนาย"

     

     

    "อะไรวะ  หัดควบคุมอารมณ์ตัวเองหน่อย  คุณหมอ  ถึงน้องจะยังเด็ก  แต่เขาก็มีความคิดเป็นของตัวเองนะ  แบมแบมหน่ะ กลัวการพรัดพรากจากนาย  แล้วก็โดนเพื่อนที่โรงเรียนแกล้ง  มีอะไรที่ยังไม่ได้บอกชั้นหรือป่าวหล่ะ"

     

     

    "อือ  .. ขอโทษ  คือฉันจะไปต่อบอร์ด เฉพาะทางที่อเมริกา  แล้วพาแบมแบมไปด้วยไม่ได้เพราะน้องไม่มีผู้ปกครองเซนต์รับรอง  ฉันผิดเองที่ไม่จัดการเรื่องพวกนี้ให้เรียบร้อย  อาจจะต้องให้น้องเข้าโรงเรียนประจำที่เกาหลีไปก่อน"

     

     

    "เข้าใจแระ แกทิ้งน้องสินะ"

     

     

    "ไม่ใช่โว้ยยยย ชั้นจะทำใจได้หรือป่าวยังไม่รู้เลย  ฉันรักเด็กคนนั้นมาก  เลี้ยงมากับมือตั้งแต่แบเบาะ  แค่ไม่เห็นหน้าวันนึงก็จะขาดใจตายแล้ว"

     

     

    "แล้วแกคิดว่าน้องรู้สึกยังไง  เด็กคนนั้นมีแกคนเดียวเป็นโลกทั้งใบ  ทำไมโง่ยังงี้หล่ะ   หาวิธีให้ได้นะ  แกก็น่าจะพอเดาได้ว่าการแยกจากกันมันจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง  เดี๋ยวชั้นจะพาน้องไปเลี้ยงข้าวแล้วเอาไปส่ง   ไม่ต้องเป็นห่วงนะ  ลองสัมผัสปรากฏการแบมไปอยู่กับคนอื่นสัก 6 ชั่วโมงก็แล้วกัน ฮ่าฮ่า"

     

     

    "จินยอง ไอ้@#$%^&*  XXx  เวร วางสายไปแระ!!!"  หมอมาร์คได้แต่สบถแล้วขับรถวนไปทั่วถนนในกรุงโซลเพื่อตามหาแบมแบมกับจินยอง จนเกือบ 6 ชั่วโมงจริงๆ  แต่ก็ไม่มีวี่แวว

     

     

    ...

    ..

    .

    "มาช้าจัง   พาสต้าเย็นหมดแล้วภาพจินยองกับแบมแบมกำลังนั่งกินพาสต้าบนโต๊ะกินข้าวของเขากระแทกตามาร์คตั้งแต่วินาทีแรกที่เขากลับเข้าคอนโดอย่างเหนื่อยล้าและหัวเสียกับการตามหาทั้งสองคนไปตามท้องถนน

     

     

    "พี่มาร์คไปไหนมาครับ  แบมแบมกับอาจินยองกลับมารอตั้งแต่เที่ยงแล้วเจ้าของดวงตาแป๋วแหว๋ว  ยิ้มให้คุณหมอหัวใจกระตุก  โอ้ยยยแก้มฟูห้อยย้อย น่ารักที่สุดในจักรวาลของมาร์ค  นับวันยิ่งน่ารักๆๆๆๆๆ  มาร์คคงอยู่ไม่ได้ถ้าไม่มีดวงตากลมใสและแก้มนิ่มฟูนุ่มกว่าใครของแบมจริงๆด้วย  ว่าแล้วเขาก็โผเข้ากอดฟัดเด็กน้อยเต็มรักอย่างกับจากกันไปนานแสนนานซะเต็มประดา

     

     

    จินยองนั่งเท้าแขนมองทั้งคู่ด้วยสายตาสุดคาดเดา  ราวกับเขาเป็นส่วนเกินของคนในห้องไป (คิดเอาเอง) แล้วก็เข้าสู่ภาวะถอนหายใจ  บังเอิญเสียงมันดังไป จนมาร์คและแบมแบมปล่อยมือจากการกอดรัดกันหันไปมอง

     

     

    "อาการมันกลับมาอีกแล้วใช่ไหม  ดูนายไม่ค่อยสดใส  ร่าเริง เหมือนตอนออกสัมภาษณ์ทีวีก่อนหน้าเลยนะ?"

     

     

    "ก็...เพิ่งทำงานพลาด โดนพักงานไม่มีกำหนดหน่ะ  จนกว่าฝ่ายกฎหมายจะเจรจาเสร็จและหักค่าเงินชั้นไปชดใช้ค่าเสียหายเรียบร้อย  ช่วงนี้สามารถนอนอยู่บ้าน  หรือจะไปที่ไหนๆหายใจทิ้งได้ตามสบาย"

     

     

    "อืม  ดูจากสารรูปแล้วก็อย่างกับพวกเร่ร่อน  ไม่เหลือคราบเซเลปสุดหล่อมาแรงแถวหน้าของวงการเลย  ใครมาเจอก็คงจำไม่ได้แน่ๆ  หน้าดูแก่ลงจากปกหนังสือพอกเก็ทบุคที่ออกสัปดาห์ก่อนเกือบ 10 ปีได้  สนใจจะรักษาตัวอย่างจริงๆจังๆอีกครั้งไหมหล่ะ?"

     

     

    "รักษาแบบไหนอีกเหรอ  จับกรอกยาที่ทีอาการข้างเคียงแถมมาเป็นกระสอบๆ  หรือเอาไปช๊อตไฟฟ้า   ชั้นไม่เอาด้วยอีกแล้วนะ  ได้โปรดอย่า  แม้แต่จะคิด"

     

     

    "แล้วรอบนี้มีความคิดอยากฆ่าตัวตาย  ทำร้ายตัวเองหรือเหล่า  คราวนี้วางแผนหรือเตรียมอุปกรณ์อะไรยังไง  ถึงไหนแล้ว?"

     

     

    "อะไรว๊า  จะไม่ห้ามเลยเหรอ  ..นี่...เสียใจนะเนี่ย"

     

     

    "ถ้าจะทำ  นายทำไปแล้ว  คงไม่ออกมาเดินเตร็ดเตร่ ร่อนเร่ทำหน้าอมทุกข์อยากให้ใครสักคนถามสาเหตุเป็นนัย  บอกให้ใครๆรู้หรอก  เสียงร้องขอความช่วยเหลือข้างในใจของนาย  มันสื่อมาให้ฉันได้ยินอยู่นะ   เวลาทำนายไม่รู้ตัวหรอก  ห้ามไปก็คงไม่ฟัง   นายยังลังเลใจ  นายไม่อยากทำหรอกใช่ไหม  ดังนั้นฉันจะหาทางป้องกันทุกอย่างไว้จะดีกว่า  เอ๊า ว่ามา  มีแผนยังไงบ้าง?"

     

     

    "...ไม่บอก"

     

     

    "จินยอง...ฉันกับแบมแบมอาจจะไม่อยู่เกาหลีอีกหลายปีนะ   ระหว่างนี้ใครจะดูแลนายได้  นี่จริงจังนะ  ...เห็นมะ พูดแค่นี้ก็ซึมอีกแล้ว     อ้อ!! แต่ช่วงนี้โดนพักงานก็ว่างสิใช่ไหม?  ฉันวางแผนว่าหลังจากกลับมาจะเปิดคลินิกเกี่ยวกับการบำบัดโรคและฟื้นฟูคนไข้ด้วยการแพทย์ทางเลือกที่จะไปเรียนประกาศนียบัตรเพิ่ม หลังจากต่อบอร์ดจบด้วย  ยังไงนายช่วยหาทำเล  ออกแบบอาคารและตกแต่งภายในรวมถึงติดต่อผู้รับเหมาก่อสร้างให้ด้วยเลยได้ไหม  งบประมาณไม่จำกัดเบิกกับมะม๊าชั้นไปก่อน  เอาให้เตะตาจนชาวบ้านชาวเมืองตะลึงไปเลยนะ  นี่จ้างเป็นการเป็นงานนะ  เซ็นต์สัญญาก่อนไปได้เลย

     

     

    "บ้าไปแล้วเหรอมาร์ค  นายไว้ใจฉันเหรอ  ฉันเพิ่งทำตึกบางส่วนถล่มมานะ"

     

     

    "คนเรามันก็ผิดพลาดกันได้  หรือนายอยากได้ใบรับรองแพทย์ว่าไม่ปรกติหล่ะ  ถ้ามัวแต่กลัวไม่กล้าก้าวไปต่อ  แล้วสิ่งดีๆกับความสำเร็จ จะเข้ามาหาได้ยังไง  เนาะแบมเนาะ" มาร์คเอาคางถูไถไปบนแก้มกับไหล่เด็กน้อยในอ้อมกอดที่นั่งฟังพวกเค้าพูดตาแป๋วอยู่อย่างอารมณ์ดี

     

     

    และเพราะงานชิ้นนี้ทำให้จินยองได้ใช้เวลาทบทวน  ทุ่มเทพลังสร้างสรร และพรสวรรค์ทั้งหมดในการออกแบบและตกแต่คลินิกให้มาร์คอยู่นานเป็นปีๆ  จนมันกลายเป็นอาคารแลนด์มาร์คที่โดดเด่นที่สุดในย่าน  มีเอกลักษณ์  สวยงาม  และได้เป็นงานตัวอย่าง  ได้รางวัลออกแบบยอดเยี่ยมแห่งปีในหมวดอาคารจากหลายสถาบัน  ได้รับการกล่าวขวัญไปทั่วจนงานใหม่ๆหลั่งไหลมาหาเขาอย่างไม่ขาดสาย  งานเยอะขนาดที่ไม่มีเวลาไปคิดเรื่องอื่นใดให้รกสมองอีก  ถึงอาการเบื่อๆ ลอยๆ  นอยด์ๆ  เหนื่อยๆ  จะมาเป็นพักๆ  จินยองก็เรียนรู้ที่จะจัดการอยู่กับมันจนได้ในที่สุด

     

     

    หลังจากนั้นไม่กี่ปีมาร์คกับแบมแบมก็กลับมา  มาร์คพาเพื่อนและเทราปิสบางส่วนที่ทำคอนเนคชั่นระหว่างเรียนมาร่วมหุ้นเปิดคลินิก  ช่วยเยียวยารักษาผู้ป่วยที่การรักษาแผนปัจจุบัน หรือใช้ยาอย่างเดียวไม่ได้ผล  ผู้ป่วยที่มีปัญหาเรื้อรังรักษายาก  ญาติก็เหนื่อยที่จะดูแล  พอใช้การแพทย์ทางเลือกร่วมกับการดูแลแบบองค์รวมทั้งร่างกาย  ก็ช่วยให้คุณภาพชีวิตดีขึ้น  รวมถึงจินยองก็ถูกจับเข้าโปรแกรมรักษาแนวใหม่ที่มาร์คเรียนมาด้วย  แต่เพราะภาวะของโรคที่กลับเป็นซ้ำๆ  จินยองต้องทรมานกับความคิดด้านลบที่ตนเองไม่เป็นที่ต้องการอยู่เรื่อยๆ  บางทีหากมีใครสักคนมาช่วยดูแลเป็นกำลังใจให้อาจจะสามารถหยุดวัฏจักรซึมเศร้าแบบนี้เข้าได้สักวันใช่ไหม?

     

     

    ...

    ..

    .

    จนในคืนหนึ่งก่อนเดทไลน์  ส่งงานโครงการใหญ่ไม่มีที่ให้หลบหนีอีกต่อไปแล้วจริงๆนอกจากจะหายไปจากโลกนี้เท่านั้น  แล้วขาสองข้างก็พาจินยองมาหยุดหน้าคลินิกมาร์คอีก  โชคร้ายที่เขาพบว่ามาร์คไม่อยู่ช่วยให้กำลังใจในนาทีสุดท้าย เหมือนทุกที ความท้อแท้  หมดหวังประดังเข้ามาพร้อมกับสภาพจิตใจที่พังลง  รู้สึกต่ำต้อยด้อยค่า  สิ้นหวังหมดศรัทธาในตัวเองที่ไม่สามารถครีเอทงาน แล้วเขียนแบบออกมาได้อลังการอย่างที่จินตนาการไว้ได้  ถึงจะส่งแบบโครงการทันงานเปิดซองประกวดราคา  แต่ก็ไม่ใช่แบบที่สมบูรณ์ยิ่งใหญ่  น่าภูมิใจอย่างที่หวังตอนที่รับโจทย์มา  ใจคิดแต่อยากจะแก้งาน  เอาแบบที่ส่งไปขย้ำทิ้ง  เพราะขืนสร้างเจ้านี่ออกมาจริงๆต้องเป็นจุดด่างพร้อยในชีวิต  ให้คิดอับอายไปตลอดแน่ๆ  ถึงจะไม่มีใครตำหนิงานออกมาตรงๆ  เพราะชื่อเสียงของเขามันยังขายได้อยู่  แต่ความไม่สมบูรณ์ของมันก็เฝ้าหลอกหลอนเ ทำให้จินยองจิตตก เครียด  สมองตื้อตัน  นั่งโต๊ะเป็นวันๆก็ไม่ได้อะไรเพิ่มเติมขึ้นมา  ในเวลาแบบนั้น  เวลาที่ท้อแท้ถึงขีดสุด  เวลาที่ทุกอย่างข้างในกำลังพังทลาย  กลับมีมือหนาใหญ่อบอุ่นมานวดผ่อนคลายปลอบประโลมให้  แต่คราวนี้ต่างออกไป  ความรู้สึกสบายเหมือนได้ปล่อยวาง  ได้รับพลังงานและกำลังใจผ่านสัมผัสนุ่มนวลโดยไม่ต้องมีคำพูดใด   มันกลับมีความหมายแทรกลึกประทับตรึงถึงข้างในหัวใจ  ความเจ็บช้ำทางจิตใจที่เกินกว่าใครจะเข้าถึง  กลับได้รับการบรรเทาไปอย่างไม่น่าเชื่อ  ร่างกายรู้สึกผ่อนคลายหายล้า จนสามารถนึกอะไรออกมาได้เต็มไปหมด  อยู่ๆไอเดียต่างๆก็ผุดออกมาเหมือนขุดไปเจอตาน้ำจนต้องรีบไปจดบันทึกกันลืม  พลังงานพุ่งคืนมาเต็มหลอดอยากจะทำงานให้สมบรูณ์แบบมากๆจนทนไม่ไหว  นี่เป็นครั้งแรกที่มีใครสักคนอยู่ข้างๆในเวลาแบบนั้น  

     

     

    ถึงการมีใครสักคนมันจะทำให้รู้สึกดี  แต่หลังจากสามเดือนที่ได้คบกันมันก็ยังรู้สึกดีไม่ถึงที่สุด  ความอึดอัด ด้วยช่วงวัย และเวลาเข้ามาขยายช่องว่างให้ห่างออก  ....พอแล้วดีกว่า   ถ้าต้องคิดถึงแต่ไม่สามารถพูดออกไป  เพราะศักดิ์ศรีผู้ใหญ่กว่าค้ำคออยู่   หรืออยากกอดออดอ้อนแค่ไหน  แต่ก็ไม่กล้าเพราะเขินอายเกินกว่าจะลงมือทำ  รู้สึกกลัวการเปลี่ยนแปลงเพราะหัวใจเริ่มเปลี่ยนไปไม่เป็นตัวของตัวเอง  ไม่ฟังเจ้าของแล้วมัวคิดถึงใครคนหนึ่งอยู่ตลอดเวลา ...เราแตกต่างจากเขาเกินไปไหมนะ  หน้าตาเราก็ไม่ได้ดี  แถมอายุก็มากกว่า  ตีกาขึ้นเต็มไปหมด  เวลาก็ไม่ค่อยมีให้  หรือถึงมีก็ไม่ค่อยตรงกัน  พูดก็ไม่เก่ง  ไม่มีเรื่องตลกชวนคุย  เจอกันก็บ่นแต่เรื่องงานไม่รู้เขาจะเบื่อหรือป่าว  กินข้าวก็ชอบกินแต่อาหารเดิมๆ  ร้านเดิมๆ  เจบีเขาหน้าตาดี  เป็นที่รักของหลายๆคนด้วย  ยังมีโอกาสเจอคนดีๆอีกเยอะ  อยู่กับคนวัยเดียวกันน่าจะมีความสุขกว่าไหม  ...ขอโทษที่ไม่รับสายนายนะ  เพราะว่าชั้นกำลังตัดใจจากนายไงหล่ะ (จินยองฟุ่งซ้าน คิดเองเออเองเสร็จสรรพ)

     

     

    ...

    ..

    .

    รหัสตัวเลขดิจิตอล 10 หลักที่เปลี่ยนไปเรื่อยๆทุก 10 วินาทีถูกจิ้มเพื่อปลดล๊อกบานประตูคู่สีเทาเงินเมทัลลิคขนาดใหญ่  ก่อนที่ชายหนุ่มในเชิตขาวพับแขนขนาดพอดีตัวจะค่อยๆผลักมันแล้วสาวเท้าเดินเข้าไป

     

     

    ตอนนี้ก็ 17.30 น. แล้ว แม้ท้องฟ้าภายนอกจะยังไม่มืดแต่ข้างในห้องที่ชายหนุ่มร่างหนาก้าวเข้ามากลับปิดทึบ และมืดสนิทไม่เห็นแสงตะวันดังเวลากลางคืน  พอประตูใหญ่ที่เป็นทางเข้ามาเลื่อนปิดตัวลง  แสงไฟสีส้มหรี่ตามกำแพงที่ฝังไว้ ในสไตน์โมเดรินก็สว่างขึ้นโดยอัตโนมัติด้วยระบบเซนเซอร์เมื่อมีคนเดินผ่าน องศาของแสง และสี สวยเหมือนตามแกลลอรี่หรู  ไล่เป็นทางสู่ห้องสตูดิโอขนาดใหญ่ด้านใน  น่าแปลกที่เพดานไม่มีไฟ  แต่กลับมีโคมให้แสงสว่างฝังไว้ที่พื้นเป็นรูปกากบาทใหญ่  คล้ายทางเดินแทน  และประหลาดยิ่งกว่าเมื่อพบว่าที่นี่ไม่มีเฟอร์นิเจอร์อะไรเลย  ประตู หน้าต่างทุกบานไม่มีลูกบิดหรือกลอน  พื้นห้องและผนัง  ก็เรียบไม่มีอะไรยื่นออกมา  ปลั๊กไฟ หรือสายไฟก็ไม่มีระโยงระยางให้เห็น  โต๊ะ  ตู้  เก้าอี้  เตียง  ก็ไม่มี ...นี่มันยานอวกาศหรืออะไรกันนะ  ถัดจากห้องโถงใหญ่ไปก็มีห้องครัว  ห้องทำงาน  ห้องน้ำ  แล้วก็ห้องนอน  แต่ละห้องล้วนมืดแทบไม่มีแสงไฟให้ความสว่าง  คนที่อยู่ในห้องนี้เขาใช้ชีวิตได้ยังไงเนี่ย

     

     

    ...ในความเงียบ  มีเสียงสะอื้นแว่วมาจากห้องหนึ่งที่คาดว่าคงจะเป็นห้องนอน  และไม่ต้องสงสัยเลยว่าจะเป็นเสียงของใครถ้าไม่ใช่เสียงของเจ้าของห้อง  ...จินยอง 

     

     

    "จินยองครับ  นี่เจบีนะ  ขอเข้าไปในห้องนะครับ"  เจบีค่อยๆออกเสียงพูดนุ่มนวลไม่ให้คนที่ร้องไห้อยู่ตกใจ  ก่อนจะเดินเข้าไปหาต้นตอของเสียงที่ซุกตัวกอดเข่าอยู่ในซอกข้างเตียงสีขาวขนาดใหญ่  เบียดตัวเองไปกับผนังห้องนอนด้านหนึ่งที่เป็นกระจกใสทั้งบาน  ที่พอมีแสงอาทิตย์เหลือรำไรยามโพล้เพล้เป็นฉากหลังดูเหงา  น่าหดหู่เป็นฉากประกอบ

     

     

    "ออกไปนะ  อย่าเข้ามา!!" จินยองออกเสียงไล่ และทำท่าปัดมือไปในอากาศ

     

     

    "ข้อร้องหล่ะ  อย่าเข้ามาเลยนะ  ผมไม่อยากให้เจบีเห็นด้านที่เลวร้ายของผมแบบนี้"

     

     

    "ไม่เป็นไรนะครับ  จินยองไม่ได้มีอะไรไม่ดี  ทุกอย่างโอเคแล้วครับ  แล้วร้องไห้ทำไม  มีอะไรที่ผมพอจะช่วยฮยองได้บ้างไหมครับ?" จินยองทำท่าจะขยับตัวร่นถอยหนี  ซุกร่างบอบบางเบียดไปกับกระจกผนังที่ไม่มีทางให้ไปต่ออย่างน่าสงสาร  ก้มหน้าหลบตาเจบีที่ค่อยๆเดินมาหย่อนตัวนั่งลงบนเตียงใหญ่อีกฟากหนึ่ง

     

     

    "ไม่ต้องกลัวนะครับ  ผมจะไม่เข้าใกล้จินยองมากไปกว่านี้  ถ้าจินยองไม่อนุญาต  ผมคิดถึงจินยอง  เลยอาสา(บังคับ)แบมแบมขอมาดูเอง  เงยหน้าให้ผมเห็นหน่อยนะคนดี"  เจบีตบที่นอนข้างตัวดัง ปุ ปุ!! เป็นเชิงให้จินยองลุกมานั่งข้างๆหลายครั้ง  ตอนแรกจินยองเอาแต่ซุกหน้ากอดเข่าต่อ  แต่ท่าแบบนั้นมันต้องเมื่อยมากอยู่ดี  และเจบีก็อดทนรอนานๆได้  จนในที่สุด  ร่างบางก็ทนนั่งในท่าฝืนธรรมชาตินั้นไม่ไหว ยอมคลานขึ้นมานั่งบนเตียงอีกฝั่ง  แต่ก็ยังรักษาระยะห่างกับเจบีอยู่

     

     

    "ผมไม่เป็นไรแล้ว....แค่ฝันร้ายนิดหน่อย  น้อง ..เอ่อ...เจบีกลับไปเถอะนะ" จินยองเลือกที่จะพูดกับตุ๊กตาหมีขั้วโลกสีขาวที่เขาแอบเติมจุดบนเปลือกตาสองขีดให้เหมือนใครบางคน  โดยรีบหยิบมันมากอดก่อนที่อีกคนจะสังเกตเห็น

     

     

    "เวลาพูดกับใคร  ก็มองหน้าคนนั้นสิครับ"

     

     

    "ไม่เอาไม่อยากมอง"

     

    "อ่า...รู้สึกเจ็บปวดนิดๆแหะ  ผมขอโทษก็แล้วกัน  ขอโทษถ้าผมทำอะไรผิดไป  แต่ผมอยากมองหน้าจินยองนี่ครับ  เราไม่ได้คุยกัน  ไม่ได้เห็นหน้ากันหลายวันแล้วนะ"เจบีส่งยิ้ม และแผ่รังสีอบอุ่นไปให้  ถึงจินยองไม่เงยหน้าขึ้นไปก็ยังรู้สึกถึง รับรู้ได้อยู่ดี

     

     

    จะทำยังไง  หากเผลอมองรอยยิ้มนั่น  ผมคงไม่สามารถพูดสิ่งที่ตั้งใจออกไปได้  แค่คิดว่าต่อไปจะไม่ได้มีเด็กคนนี้ในชีวิตอีกแล้วก็พาลน้ำตาจะไหล  ทั้งที่เขาทำตัวไม่ดี  แต่เจบีก็ยังเป็นห่วงเป็นใย  ใส่ใจและพูดดีๆด้วย  ไม่ตำหนิต่อว่า  ทำไมต้องดีกับเขาขนาดนี้  จินยองไม่เคยถูกรักเลยไม่รู้จะต้องทำตัวยังไง  เขามีค่าคู่ควรกับคนคนนี้ตรงไหน  คิดยังไงก็มองข้อดีของตนเองไม่ออก ...

     

     

    "เจบีครับ  เจบีไม่ได้ทำอะไรผิดนะ  อย่าขอโทษเลย  จินยองรู้สึกไม่ดี  รู้สึกผิดที่นึกสนุกอยากเป็นแฟนกับเจบีโดยไม่คิดอะไรให้รอบคอบ  จินยองชอบเจบีมากนะ  แต่ว่าเจบีดีเกินไป  เจบีควรจะไปคบกับคนที่ดีกว่า  คนที่สามารถมีเวลาให้และอยู่ในวัยเดียวกัน   เราเลิกกันได้ไหม  จินยองรู้สึกทรมาน  ไม่มีความสุขเลยนะ  ช่วงนี้"

     

     

    "อ่า  มันเป็นแบบนี้เองสินะ  สิ่งที่จินยองคิด  ผมไม่เคยคิดถึงเรื่องความเหมาะสมพวกนั้นเลย  จริงด้วยผมมันเป็นแค่เด็กน้อยกะโปโลตัวเล็กๆคนหนึ่ง  เมื่อเทียบกับจินยอง  ผมมีแต่ตัว  ไม่มีอะไรเลยที่จะสามารถให้ความสุขกับจินยองได้  ผมเข้าใจครับ"

     

     

    "ไม่ใช่นะ  จินยองต่างหากที่ไม่ดี  จินยองเป็นคนน่ารังเกียจ  ...ขอโทษ  ขอโทษนะที่เดินไปพร้อมกับเจบีไม่ได้อีกแล้ว   จินยองไม่มีความมั่นใจจะทำแบบนั้น"

     

     

    "ไม่เป็นไรครับ  ผมตกลง  จินยองอย่าโทษตัวเองเลยนะครับ" เจบีพยายามยิ้มอยู่  เขาบังคับกล้ามเนื้อใบหน้าให้เป็นแบบนั้นทั้งที่ในใจมันวูปไหว  เสียใจและคิดอะไรไม่ออกแล้ว  

     

     

    ทั้งสองนิ่งอยู่พักใหญ่  จนจินยองที่ร้องไห้หนักเพลียหลับไป  เจบีห่มผ้าให้คนรักเป็นครั้งสุดท้ายแล้วเดินออกมา  ร่างหนาลากขาอย่างอ่อนแรงกับการผิดหวังในความรักครั้งแรกของชีวิต  เรื่องที่จินยองพูดทั้งหมดทั้งหลายไม่ได้เข้าหูเขาเลยแม้แต่นิด  เจบีก็มัวแต่ตำหนิตัวเองว่ามีข้อบกพร่องมากมาย  ไม่สามารถเป็นหลักยึดเหนี่ยวให้ความเชื่อมั่นกับจินยองได้  ความรักที่ไม่แสดงออกของเขามันยังไม่มากพอใช่ไหม  แต่ดูจากสภาพจินยองตอนนี้แล้วเขาก็ยังตัดใจไม่ได้  ไม่ใช่แค่สงสาร  แต่เขาอยากปกป้องเรื่องร้ายๆ  ช่วยแบ่งเบา  ร่วมเผชิญปัญหาไปกับคนที่เขารัก  จินยองดูมีบางสิ่งแตกต่างจากคนทั่วไป  แต่ก่อนจะไปให้น้ำหนักตรงนั้น  ร่างบางที่เคยสดใสนุ่มนิ่ม  ตอนนี้ผอมโซ  แก้มตอบ  ไรหนวดขึ้นเขียว  ไม่ดูแลตัวเองแน่ๆ  อย่างน้อยก่อนไปเจบีจึงอยากทำอาหารจากของที่พอหาได้จากตู้เย็นในครัวไว้ให้จินยองตื่นมาทานสักนิดก็ยังดี 

     

     

    แต่ครัวที่ตกแต่งอย่างดีของจินยองกลับไม่มีอุปกรณ์อะไรที่จะใช้ทำอาหารได้เลย  นี่ก็แปลก  นอกจากเคาเตอร์วางของทำด้วยหินอ่อนสุดสวย  เตาฮอทเพลท กับตู้เย็นบิ้วอิน แล้ว  ไม่มีสิ่งใดที่เหมือนกับครัวที่ใครๆรู้จักอีกเลย  จานชาม  ช้อนส้อม แก้วน้ำ  ไม่ทำจากกระดาษก็เป็นพลาสติก  จะว่าขี้เกียจล้างทำความสะอาดก็ไม่น่าใช่  การปล่อยจินยองไว้แบบนี้คงไม่ดีแน่  เจบีจึงเดินกลับออกมาไปทางห้องโถงใหญ่ที่ไม่มีไฟเพดานในตอนแรก  ตอนเข้ามาเขามัวแต่มองพื้นห้องที่ฝังหลอดไฟไว้ไม่ได้แหงนหน้ามองเพดานจริงๆจังๆ  ขาจะกลับเลยต้องตะลึงจังงังเมื่อแหงนหน้ามองขึ้นไป

     

     

    เพดานเฉพาะในห้องโถงของคอนโดจินยองมีพื้นที่กว่า 80 ตารางเมตร  มีฝ้าเพดานแบบพิเศษสามารถเลื่อนลงมาได้เป็นชิ้นๆ ด้วยแผงคอนโทรลที่ติดตั้งไว้  ฝ้าเพดานเหล่านั้นไม่เหมือนฝ้าเพดานทั่วไป  มันมีโมเดลเมืองจำลองติดไว้ในลักษณะกลับหัวอยู่  การจะมีโมเดลอาคาร 3-5 ชิ้นในบ้านของสถาปนิกอาจจะไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร  แต่นี่คือโมเดลของเมืองจำลองทั้งเมืองที่ละเอียดและถูกสร้างไว้อย่างดีมาก  อาคารเล็กๆนับพันนับหมื่น ถูกสร้างและนำไปติดห้อยกลับหัวเหมือนจะดูมั่วซั่วเป็นเขาวงกต  แต่ก็เป็นระเบียบซับซ้อน  คนที่สร้างมันขึ้นมาน่าจะหมกมุ่นเอามากๆ  ความกว้างใหญ่ของท้องฟ้าโมเดลคล้ายๆกับการย่อกรุงโซลทั้งเมืองมาไว้บนเพดานห้อง  แต่ว่าอาคารบางหลังไม่ได้มีอยู่จริงเป็นแค่แบบโมเดลที่จินยองทำขึ้นมาเวลาฟุ้งซ่าน จิตตกนั่นเอง  บางเฟสของโมเดลจำลองก็เป็นอาคารในหนังที่พวกเขาเคยไปดูด้วยกัน  อย่างปราสาทฮอกวอต์ในแฮรี่พอตเตอร์  หรือตึก สต๊าก เอนเตอไพร์ ของไออนแมน มันเป็นผลงานที่น่าทึ่งจนขนลุกที่คนปรกติไม่มีทางทำได้ด้วยตัวคนเดียวขนาดนี้แน่  จินยองของเขาไม่เหมือนคนทั่วไปสินะ...

     

     

    ...

    ..

    .

    "เป็นไงบ้างเจบี?" พอกลับถึงคลินิกแล้ว  แบมแบมก็จับแขนของเขาลากเข้าไปในห้องให้คำปรึกษาอย่างไว  และในนั้นมีหมอมาร์คนั่งหน้าตึงไม่มีรอยยิ้มใดๆรออยู่ บรรยากาศมาคุจนเจบีรู้สึกเสียวสันหลังวาบ

     

     

    "ขอโทษครับคุณหมอ  ผมเคยแอบคบกับคุณจินยองผิดกฎของคลินิก  เป็นความไม่รับผิดชอบของผมเอง  ผมยินดีรับโทษทุกประการครับ" เจบีรีบขอโทษมาร์คกับสิ่งเดียวที่รู้สึกผิดอยู่ในใจมาตลอด  เพราะตอนนี้เขาไม่ต้องปิดบังระวังอะไรแล้ว

     

     

    "เคยแอบคบ?" มาร์คเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม  แต่ก็ยังหน้านิ่ง  น่ากลัวไม่เหมือนปรกติที่เป็นคนยิ้มแย้มมากกว่านี้  แถมแบมแบมก็ก้มหน้า เงียบไม่ยอมสบตา  จะไม่ช่วยพูดอะไรหน่อยเหรออ่า...

     

     

    "เลิกกันแล้วครับ  ถึงคุณจินยองจะบอกว่าเป็นเพราะเขา  แต่ผมคิดว่าเป็นเพราะผมไม่คู่ควรมากกว่าเจบีที่เก็บอาการตลอดทำเป็นเข้มแข็งก็ยังอดไม่ได้ที่จะสะเทือนใจ  น้ำตาคลอไหลเมื่อพูดถึงเรื่องราวของเขากับจินยอง

     

     

    "แนบเนียนกันจริงๆ  ถึงขั้นไหนกันแล้วเหรอ? จินยองไม่ยอมบอกเรื่องนี้กับผมด้วยซ้ำ"

     

     

    "ก็โทรคุยกัน  ไปทานข้าว ดูหนัง ช๊อปปิ้งกันบางครั้ง  ประมาณ 3 เดือนแล้วครับ" เจบีเงยหน้าสบตามาร์คแบบเปิดเผยตอนตอบ  แม้เขาจะรู้สึกผิด และเศร้ามากอยู่ก็ตาม  แต่ทำอะไรไว้ก็ต้องรับผิดชอบไปตามนั้น  สำหรับเขาการคบกับจินยองไม่ได้มีอะไรต้องน่าเสียใจทีหลังอยู่แล้ว

     

     

    "นานอยู่นะ  รายนั้นคบใครไม่เคยเกิน 1 สัปดาห์  แล้วนายไปหาจินยองที่ห้องมารู้สึกยังไงบ้าง?" คำถามนี้ถ้าไม่คิดอะไรก็เหมือนการคุยกันปรกติ  แต่มันแปลกที่คุณหมอสุดหล่อกลับถามความรู้สึกของเขา  ไม่ถามถึงเพื่อนตัวเองว่าเป็นตายร้ายดียังไงก่อนแบบนั้น

     

     

    "ก็รู้สึกแปลกๆกับบรรยากาศที่นั่นอยู่นิดหน่อยครับ  ถึงจะมีอากาศถ่ายเทดีพอหายใจได้  แต่แค่ย่างเท้าเข้าไปกลับรู้สึกหนักอึ้ง  ไม่สดชื่น  ในห้องมืดไปหมด  แม้จะติดไฟสวย  แต่ที่นั่นไม่มีชีวิตชีวาเลย  ไม่มีเฟอนินเจอร์ที่เหมาะกับการอยู่อาศัยนอกจากเตียงนอนใหญ่นั่น  นอกนั้นเป็นพื้น กำแพงโล่ง  อุปกรณ์ในครัว ช้อนส้อม  อาหารการกินยังไม่มีเลย  ไม่รู้อยู่เข้าไปได้ยังไง  ถ้าแค่นอนแล้วออกไปทำงานกลางวันเหมือนคนทั่วไปก็พอรับได้  แต่จินยองอาศัยอยู่ในที่แบบนั้นตลอดทั้งวันทั้งคืนนี่สิ  แล้วยังฝ้าเพดานขนาดใหญ่เหมือนเมืองกลับหัวที่เต็มไปด้วยโมเดลอาคารหลากหลายเต็มพื้นที่อีก  ผมไม่มีความรู้พอจะบอกว่ามันสวยไหม  แต่รูปแบบความซับซ้อนและการจัดเรียงผังของมันเหมือนจะแฝงนัยบางอย่าง  ตามจริงแล้วผมไม่อยากให้จินยองอยู่ในที่แบบนั้นเลยด้วยซ้ำ  ผมอยากพาเขาไปตากแดด  ไปวิ่งเล่น  ชมนกชมไม้ มากกว่า  แต่ผม...  ผม... ผมไม่มีโอกาสแบบนั้นอีกแล้ว" เจบีพยายามเอาหลังมือปาดน้ำตาลูกผู้ชายที่ไหลออกมาอย่างไม่ปิดบัง  โดยไม่ได้ฟูมฟายอะไร

     

     

    "ใจเย็นๆ  ขอโทษที่ชั้นใส่อารมณ์มากไปหน่อย  นี่พูดในฐานะเพื่อนของจินยองไม่ใช่นายจ้างกับลูกจ้างนะ  เรื่องผิดกฎนั้นค่อยว่ากันทีหลัง  นายชอบเขาตรงไหนกัน  ตาลุงแอ๊บแบ๊ว  ที่ท่าทางมีเงินถุงเงินถังเหรอ?"

     

     

    "มะ  มะ..ไม่ใช่นะครับพวกเราเจอกันครั้งแรกคืนที่คุณหมอให้ปิดคลินิกเร็วเพื่อไปรับแบมแบม  คุณจินยองกำลังเครียดเพราะปิดโปรเจ็คได้ไม่ถูกใจ  มาคลาดกับคุณหมอไปนิดเดียว เลยเจอผม  เขาดูน่าสงสาร เปราะบาง  แล้วก็เริ่มร้องไห้หนักมาก  ผมไม่รู้จะทำยังไงเลยช่วยนวด แล้วก็ให้กำลังใจนิดหน่อย  ช่วยรักษาแขน กับไหล่ที่มีปัญหาเรื้อรังเฉพาะหน้าไปก่อน  แล้วหลังจากนั้นเขาก็ผ่านคุณหมอมารักษาต่อเหมือนคนไข้ทั่วไป  คุณจินยองเป็นคนน่ารัก  เวลาคุยจะชอบเผลอยื่นปากยู่  ทำตาโตแป๋ว  คอยแกล้งให้ผมหลุดยิ้ม หลุดออกความเห็นไปกับเรื่องที่เขาเล่าระหว่างที่ผมทำการรักษา  คุณจินยองชอบเล่าเรื่องที่ทำงานให้ฟังว่าเขามีปัญหาหลายอย่าง  แล้วก็ชอบเรียกร้องความสนใจ  จนผมหลงติดกับเขาไปในที่สุดอ่ะครับ  คุณจินยองเป็นคนละเอียดอ่อน  คิดมาก  มีโลกส่วนตัวสูง  ผมอยากปกป้องเขา  ปกป้องรอยยิ้มนั่นไว้  ไม่ว่าคุณจินยองจะทำอะไรผมก็ชอบไปหมด  เห็นดีเห็นงามด้วย  แม้จะต้องกินอาหารแบบเดิมซ้ำๆ  กิจกรรมก็ทำแต่ดูหนัง โรงเดิมๆ ที่นั่งเดิมๆก็ตาม  แค่อยู่ใกล้เขาผมก็มีความสุข  แต่สุดท้ายเขากลับคิดไปอีกอย่าง..."

     

     

    "แล้วนายได้บอกเขาไหมอ่ะ?"

     

     

    "ไม่ได้บอกครับ...หรือผมควร....จา.?."

     

     

    "ตอนนี้ไม่ต้องบอกแล้ว ... เอาเป็นว่าฉันโอเคละ  นายชอบจริงยองจริงๆไม่ได้คิดหลอกลวง เพราะเขาดูซื้อบื้อ ป้ำๆเป๋อๆ เป็นตาลุงคนดัง ที่มีตังค์ร่ำรวยร่ำรวย  ก็พอ  งั้นฉันจะเล่าเรื่องของเจ้านั่นทั้งหมดให้ฟังนะ..."

     

     

    จากนั้นมาร์คก็เล่าเรื่องโรคซึมเศร้าที่รักษาไม่หายของจินยองให้เจบีฟังตั้งแต่ต้น  น้อยคนนักที่ฟังเรื่องแบบนี้แล้วจะยังมองคนคนนั้นเหมือนเดิมอีก  คนส่วนใหญ่มักจะแสดงความเห็นใจและสงสาร  แต่สำหรับเจบีกลับต่างออกไป  เขากลับรู้สึกโล่งและเข้าอกเข้าใจท่าที ตัวตนของจินยองที่แสดงออกมามากขึ้น  ห้องแปลกๆของจินยองที่ไม่มีลูกบิดประตูหน้าต่าง สายไฟ หรืออุปกรณ์มีคม  แก้ว กระจกเล็กๆหรือของที่แตกได้ อยู่ภายในห้องนั้น  ก็เพื่อป้องกันการนำไปใช้ฆ่าตัวตายของจินยองได้นั่นเอง  สิ่งอันตรายที่มาร์คอนุญาตให้มีได้มากที่สุดก็คือคัตเตอร์เล็กๆที่ใช้ใบมีดเคลือบพิเศษตัดกระดาษได้แต่ตัดเนื้อไม่เข้า กระจกเต็มบานอีกฝั่งห้องที่เปิดไปยังระเบียงได้นั้นก็โดนล๊อกด้วยรหัส 16 หลัก จะเปิดทีต้องโทรขอรหัสกับแบมแบมทีป้องกันการกระโดดระเบียงไปอีก  คุณหมอมาร์คก็ทำทุกวิถีทางเพื่อป้องกันจินยองตามที่เคยพูดไว้แล้วจริงๆ  คงเหลือแต่สิ่งเดียวที่มาร์คทำให้จินยองไม่ได้   แต่เจบีน่าจะคิดออกและทำมันได้ใช่ไหม?

     

     

    "คุณหมอครับ  ผมขอลาออกจากที่นี่ตอนนี้ได้เลยไหมครับ  ค่าผิดสัญญาผมจะทยอยจ่ายให้ทีหลัง  ตอนนี้ผมรู้แล้วหล่ะ  ว่าชีวิตนี้ผมต้องการอะไร  และควรทำยังไงเพื่อให้ได้สิ่งนั้น" เด็กหนุ่มเจบียิ้มเต็มแก้มโชว์เห็นฟัน พร้อมกับมีประกายตามุ่งมั่นขึ้นมา เมื่อพอมองเห็นหนทางสดใสข้างหน้า และหมดความลังเลในใจ

     

     

    "ถ้าเปลี่ยนใจ  หรือไม่ไหวก็กลับมาที่นี่ได้เสมอนะคุณหมอมาร์ค อมยิ้มเอ็นดูตอบเจบีอย่างรู้ทันไป  ก่อนจะกวักมือเรียกแบมแบมมาหา  โอบเอวน้องเข้ามากอดสร้างความอิจฉาให้เจบีก่อนไปบ้าง

     

     

    ...

    ..

    .

    หลังจากเจบีโดนเขาบอกเลิกและกลับออกไปได้ 4 ชั่วโมงแล้ว  จินยองตื่นขึ้นมาไม่เจอร่างหนาก็พลันระลึกคำพูดและการกระทำของตนเองได้  ก็เสียใจร้องไห้ต่อ  คราวนี้เขาไม่เหลือใครจริงๆแล้วสินะ  บางทีเขาไม่น่าพูดอย่างนั้นไปเลย  พอเจบีไปจริงๆหัวใจของจินยองก็เหมือนจะแตกสลาย  ใจจะขาดตายเสียให้ได้  คำว่าตาย  เป็นความคิดชั่ววูปอีกแล้ว  ตอนนี้จินยองกลับนึกอะไรไม่ออก  ทั้งเรื่องของงาน  เรื่องของมาร์คกับแบมแบม  แม้แต่เรื่องของเจบีเองด้วย  ความรู้สึกไม่เหลือใคร  ร่ำร้องแต่ว่าคงอยู่ต่อไปไม่ได้มีอิทธิพลอย่างรุนแรงในหัว  ไม่มีเขาแล้วสู้ตายไปเสียดีกว่า  เขาที่ว่าคือใครในใจที่มืดบอดก็ยังไม่รู้  ...แม้มาร์คจะเซฟห้องและอุปกรณ์ทั้งหลายอย่างดีที่สุดแล้ว  แต่เวลาแบบนี้คนที่จะทำร้ายตัวเองมักจะหาวิธีเอาจนได้

     

     

    จินยองหยิบมือถือที่แบทหมดขึ้นมาแล้วเหวี่ยงมันฟาดเข้ากับกำแพงห้องอย่างแรงจนกระจกเซฟตี้มันร้าว  แม้จะติดฟิลม์ไว้ไม่แตกออกมา  แต่จินยองก็สามารถแกะเศษกระจกชิ้นเล็กชิ้นน้อยที่ติดกับฟิลม์พิเศษนั้นได้  ขอบกระจกหน้าปัดมือถือคมพอที่จะปาดเนื้อจนเลือดไหล  เพราะจินยองทดลองเอานิ้วจิ้มทดสอบไปแล้ว  ร่างบางใช้มือขวากำกระจกแน่นแล้วหงายข้อมือซ้ายที่มีรอยปาดนับไม่ถ้วนขึ้นมา  ความอยากตาย  อยากหายเศร้า เร่งเร้าให้มือขวาฝืนกรีดข้อมือหลายทีจนเลือดสีแดงนองไหล 

     

     

    เจ็บ!! เจ็บจริงจัง  แต่แค่นี้มันจะตายไหม  กรีดอีก  กรีดเข้าไป  ยังรู้สึกเจ็บไม่พอ  กลัวไม่ตายสมใจ  กรีดเข้าไป กรีดอีก!!!

     

     

    ...

    ..

    .

    ทันไหม!!??

     

     

    ไม่?

     

     

    ไม่!!?

     

     

    ไม่ทันเหรอ?

     

     

    "หมุนรอกตกปลาแค่นี้ไม่ทันเหรอ  เงอะงะจริงๆเลยนะครับ  ผมว่าต้องเป็นปลาทูน่าหางเหลืองที่หนักไม่ต่ำกว่า 7 กิโลกรัมแน่ๆ  เสียดายเนาะแบมแบม" หนุ่มวัยรุ่นร่างกำยำพยักพเยิดกับเด็กหนุ่มน่ารักอีกคนที่กำลังตั้งท่าจะแร่ปลาสดๆที่พวกเขาเพิ่งตกได้ตั้งวงอยู่ไม่ไกลตัวเขานัก  เด็กหนุ่มคนนั้นดึงเบ็ดตกปลาทะเลคันใหญ่ที่ผมถือไปใส่เหยื่อเป็นปลาตัวเล็กเป็นๆแล้วส่งคืนมาให้ผมลองเหวี่ยงเบ็ดลงทะเลใหม่  เขาร้องเชียร์ผมให้ได้ปลาเหมือนคนอื่นๆบ้างอย่างอารมณ์ดี  ดวงตาของเด็กหนุ่มร่างกำยำคนนั้นหยีเพราะความจ้าของแดดเวลากลางวันจนขีดเป็นเส้นเล็กๆ ประดับด้วยรอยยิ้มกว้างจนเห็นฟันที่ดูมีเสน่ห์น่าหลงใหล  เอ่อ..ผมเป็นอะไรไปนะ  มาตกปลาบนเรือประมงเช่าเหมาลำกลางทะเลแบบนี้แต่กลับจับจ้องไปที่เด็กคนนั้นไม่วางตา

     

     

    เมื่ออาทิตย์ก่อนอยู่ๆผมก็ลืมตาตื่นขึ้นมาในประเทศไทย  มาร์คบอกว่าเขาเป็นเพื่อนสนิทผมและเป็นแพทย์ประจำตัวของผม  ผมได้รับอุบัติเหตุทำให้ความจำบางส่วนหายไป  แต่ร่างกายไม่ได้รับอันตรายอะไร  มีแผลเหลือที่ข้อมือซ้ายนิดหน่อยให้พันผ้าไว้ตลอดไม่ต้องถอด  และพอผมเดินเหินได้สะดวกดีแล้ว  มาร์คกับแบมแบมที่ดูเหมือนจะเป็นคนพิเศษของเขาก็พาผมออกไปเที่ยวนั่นเที่ยวนี่  ตลอดทริปจะมีเด็กหนุ่มคนอีกคนคอยช่วยถือของ ดูแล อำนวยความสะดวกให้ผมโดยไม่ค่อยพูดอะไรนัก  สายตาของเขาเวลามองมาที่ผมนี่แทบทำให้ผมละลาย หัวใจเต้นรัวตลอด  ผมชักสนใจเขาจริงๆจังๆแล้วนะเนี่ย

     

     

    "จินยอง  ระวังครับ!!!" เสียงตะโกนทุ้มดังเรียกขึ้น  ทำให้ผมสะดุ้งมือคว้าเบ็ดที่เสียบไว้ท้ายเรือโดยอัตโนมัติ  คาดว่าคงเป็นปลาตัวใหญ่มากมากินเหยื่อของผมไป  เพราะผมใช้แรงทั้งตัวฝืนสู้งัด  กลับโดนปลามันกระชากจนเกือบตกเรือ  ดีว่าพ่อหนุ่มคนนั้นมาคว้าตัวผมไว้ได้ทัน

     

     

    "ปล่อยมือสิครับ ช่างเบ็ดมัน" ร่างหนากอดตัวผมไว้แน่นอย่างหวงแหน  ความอบอุ่นแผ่นซ่านเข้าไปถึงในหัวใจ  สายตาที่มองมาอย่างเป็นห่วงเป็นใยไม่ปิดบัง  ทำให้ผมรีบปล่อยคันเบ็ดและเผลอกอดตอบเขาไปอย่างลืมตัว  ก้อนเนื้อในอกซ้ายเต้นรัวอย่างบ้าคลั่ง  ทั้งตกใจที่เกือบตกจากเรือและตกใจที่โดนกอดแนบกับร่างหนากำยำโดยไม่ทันตั้งตัว

     

     

    "เอ่อ  ขอโทษครับ   ตัวผมน่าจะสกปรก  คุณจินยองไม่เป็นอะไรนะครับ"  เด็กหนุ่มตาตี่ที่ใส่เสื้อกล้ามสีเทารีบคลายอ้อมแขนแล้วเดินไปหยิบเบ็ดคันใหม่มาให้ผม 

     

     

    "ขอบคุณที่ช่วยผมไว้นะ  แต่ทำไมต้องรีบปล่อยมือด้วยหล่ะ  ผมไม่ได้รังเกียจคุณสักหน่อย" แถมวิงค์ให้หนึ่งทีอ่ะ  ฮิฮิ  เป็นไงหล่ะ  หน้าแดงม้วนไปเลยหล่ะสิ

     

     

    "เจบีๆ มาช่วยทางนี้หน่อยเร็ว!!"  ชิ! เสียงไอ้คุณหมอมาร์ค ขัดจังหวะเสียได้  ว่าแต่น้องเขาชื่อเจบีเหรอ  เจบี เจบี ฉันจะจำชื่อนายไว้นะ

     

     

    "ตกปลาสนุกไหมครับอาจินยอง?" แบมแบมเด็กน้อยของมาร์คถามเสียงใส  หลังจากที่กลับเข้าที่พักในรีสอร์ทหรู 6 ดาวบนเกาะส่วนตัว   ที่พักของพวกเรานั้นคือบ้านเป็นหลัง มีสระว่ายน้ำติดทะเล  กินวิวพาโนราม่ายาว กว่า 180 องศาหันหน้าเข้าพื้นน้ำกว้างใหญ่เห็นบรรยากาศพระอาทิตย์ลับของฟ้าสุดโรแมนติก

     

     

    "สนุกสิ  ไม่รู้มาก่อนเลยว่าประเทศไทยอากาศจะดี  อาหารจะอร่อย  และที่พักจะสวยขนาดนี้  ท้องฟ้าสีฟ้านี่ดีจริงๆน๊า  แค่มองก็รู้สึกผ่อนคลาย  สบายใจ  แต่ที่ดีกว่าอะไรทั้งหมดก็คือ  หนุ่มหล่อคนนั้นอ่ะ  เจบี เจบีอะไรเนี่ย  เขาเป็นใครเหรอ  คอยดูแลอาอย่างดีมาก ถึงขนาดอุ้มอาลุยน้ำจากเรือเข้าฝั่งเลยอ่ะ ผิดกับใครบางคนที่แฟนปล่อยให้ลุยน้ำตื้นๆเองแล้วยังลื่นล้มจมเปียกทั้งตัว ฮ่าฮ่าฮ่า"

     

     

    "อาจินยอง อ๊า !!! แบมแบมงอลแล้วนะ  ไม่เล่าเรื่องเจบีให้ฟังดีกว่า" เด็กน้อยพองแก้มฟูอย่างกับปลาปั๊กเป้าใส่สุดน่ารัก  จนคุณหมอมาร์คที่ถือสัมภาระตามมาทนไม่ไหวต้องลากแบมแบมเข้าห้องไป

     

     

    "เจอกันตอนเวลาอาหารเย็น 1 ทุ่มนะครับ" มาร์คทิ้งท้าย

     

     

    "เอ๊า!!  อีกตั้ง 3 ชั่วโมงแหนะ  โห่ๆๆๆ" จินยองแลบลิ้นใส่เพื่อนหื่น  แล้วอมลมพองแก้ม มองซ้ายขวาหาอะไรทำ  สุดท้ายก็เจอกับสิ่งที่น่าสนใจจนได้

     

     

    "เจบี  เจบี  ทำอยู่อะไรครับ?" จินยองแอบโผล่หน้ามาเกยไหล่เจบีที่กำลังเลือกถือขวดแก้วเล็กๆ ขึ้นมาดมสลับกันไปมาจากด้านหลัง

     

     

    "ผมกำลังเลือกกลิ่นน้ำมันหอมระเหยอโรม่าอยู่ครับ จะเอามาเบลนกับเบสเพื่อลองทำน้ำมันนวดตัว  แต่พอทำเสร็จแล้วก็ไม่รู้จะไปลองกับใครดี"

     

     

    "ลองกับจินยองได้นะ  ผมอยากลองนวดน้ำมันบ้าง นะ นะ นะ  เจย์ ทู เดอะ บี" ท่าทางออดอ้อนน่ารักลีเวล 100 ทำเอาเจบียิ้มแก้มฉีก แถมวลี เจย์ ทู เดอะ บี ที่จินยองพูดออกมาโดยจำที่มาไม่ได้นั้น  ก็เรียกความจำดีๆระหว่างพวกเขากลับมาด้วย

     

     

    "อ่ะ ก็ได้  การนวดน้ำมันหน่ะ ต้องแก้ผ้าหมดทั้งตัวนะครับ  คุณจินยอง!!"

     

     

    "แก้ก็แก้สิ  เป็นผู้ชายเหมือนกันจะอายอะไร...ครับคุณจินยองพูดอย่างห้าวหาญ แต่หน้าแดงเป็นลูกตำลึงไปแล้วนี่สิ

     

     

    ริมสระน้ำในส่วนที่ยื่นออกไปในทะเลสร้างเป็นแคร่ยกพื้น  ปูด้วยฟูกขาวสะอาด  มีมุ้งคลุมหลังคาทำจากผ้าป่านบางนิ่มสีขาวโปร่งแสง  ทิ้งชายผ้าห้อยลงมาตามเสาค้ำทั้งสี่พลิ้วปลิวลู่สบัดไปตามกระแสลมทะเลที่พัดไม่ขาดช่วงอยู่ตลอด  โดยมีวิวพระอาทิตย์ใกล้ตกดินทิ้งแสงสีส้มทองทาบขอบฟ้า และสะท้อนกับผิวน้ำทะเลเป็นประกายระยิบระยับจับตา โรแมนติกสุดๆ

     

     

    ตอนนี้จินยองพร้อมผ้าขนหนูสีขาวขนาด 1ฟุตสั้น พันรอบเอวแค่พอปิดของสงวน นอนคว่ำหน้าหลับตาพริ้มรับลมเย็นอย่างมีความสุขรอเจบีอยู่บนเตียงนั้นแล้ว  ....เมื่อเทียบกับภาพพระอาทิตย์ใกล้ตกอันแสนหดหู่ที่ห้องของจินยองที่เจบีเห็นตอนไปที่นั่นครั้งก่อน  จินยองที่มีรอยยิ้มแบบนี้มันดีกว่าเป็นไหนๆสินะ  โชคดีที่วันนั้นเขากลับไปที่นั่นอีก  ถึงช่วยชีวิตจินยองจากการกรีดข้อมือหลายแผลได้ทัน  จินยองเสียเลือดมากและร่างกายอ่อนแอเพราะไม่ค่อยทานอาหาร  แค่ยาทางกายก็เยอะพออยู่แล้ว  มาร์คจึงตัดสินใจรักษาจินยองด้วย ECT อีก  คราวนี้ความจำบางส่วน  รวมถึงความคิดเรื่องฆ่าตัวตายจึงหายไป   เจบีขอออกจากงานเพื่อมาดูแลจินยองเต็มเวลาตั้งแต่เข้าโรงพยาบาลตั้งแน่ตอนนั้น  จนถึงวันนี้  เจบีอยู่ข้างๆจินยองมาตลอดโดยไม่ได้รื้อฟื้นอะไร  เขาทำเหมือนเป็นคนงานที่มาร์คจ้างมาดูแลจินยอง  พาไปเดินเล่น  ดูนู่นดูนี่  คอยอยู่เป็นเพื่อน  หาอะไรให้ทำ  ไม่ปล่อยให้จินยองอยู่คนเดียว  และคอยกระตุ้นแบมแบมให้ไปเล่นตลกสร้างรอยยิ้มให้จินยองเสมอๆ  ความสดใส ของแบมแบมและกำลังใจจาคนรอบข้างทำให้อาการจินยองดีขึ้นเรื่อยๆ  จนสามารถออกมาพบเจอผู้คน  อยู่ปะปนกับคนหมู่มากได้

     

     

    ผิวขาวเรียบเนียนนุ่มลื่นของจินยองสะท้อนแสงอาทิตย์ยามโพล้เพล้เป็นสีส้มสวยราวกับไข่มุกชั้นดีที่ต้องแสงไฟ  เจบีค่อยๆใช้มือลูบไล้น้ำมันหอม ให้ซึมซาบไปตามผิวใส  กลิ่นของมันรวมกับสัมผัสของเจบีทำให้จินยองเคลิบเคลิ้มจนเผลอส่งเสียงครางออกมาเป็นพักๆ  การนวดน้ำมันนอกจากจะช่วยผ่อนคลายความเครียด กระตุ้นการไหลเวียนของโลหิตทั่วร่างกายและขับสารพิษทางผิวแล้ว  น้ำมันนวดยังอุดมไปด้วยวิตามิน และสารอาหารบำรุงผิวอีกด้วย  นวดไปแล้วผิวที่กร้าน แข็งแตกก็จะชุ่มชื้น เนียนนิ่มขึ้นอีกหลายเท่า  สองมือหนาแตะน้ำมันนวดลากล้ำไปตามหลัง ไหล่ ส่วนโค้งเว้า  เอวคอดกิ่ว  ตอนนี้คนที่มีความสุขกว่าคนที่ถูกนวด ก็เจบีคนนวดนี่หล่ะครับ  สัดส่วนเนื้อนวล ช่างอีโรติก ชวนกำดาวไหล  บั้นท้ายโค้งงอน เต่งตึงแข็งเด้ง สัมผัสไปแล้วก็อยากจะตบให้ดังป๊าปอย่างหมั่นเขี้ยว  แต่ก็ต้องอดทนไว้  ความฟินทะลุปรอทไปไกล ต้องคอยสูดน้ำลายเข้าไว้ไม่ให้หยดเปียกหลังของคนตรงหน้าตามจรรยาบรรณ (เหรอ ^^)

     

     

    "นวดเก่งจัง  เจบีเป็นมืออาชีพหรือป่าวเนี่ย" อยู่ๆจินยองก็พลิกด้านหน้าขึ้นมาเองทำให้มือหนาที่กำลังลูบสะบักด้านหลังลื่นลูบต่อไปยังตุ่มไตบนหน้าอกด้านหน้าที่หันกลับมาโดยไม่ทันระวัง  ร่างบางด้านล่างต้องรู้สึกบางอย่างอยู่แล้ว  แต่ก็ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้  ทำตาปรือปรอย วิบวับใส่หมอนวดที่ตบะใกล้แตกอยู่มะรำมะล่อ  บนร่างของจินยองมีเพียงผ้าเช็ดตัวผืนน้อยปิดส่วนล่างไว้  ท่าทางนอนหงายของวัยร้ายก็ไม่ธรรมดา  มือทั้งสองข้างเปลี่ยนไปประสานท้ายทอยตั้งศอกขึ้นใส่เจบี โดยที่หน้าอก เรือนร่าง หน้าท้อง ขาอ่อน เปิดเผยต่อสายตาเจบีในท่าล่อแหลมสุดๆ 

     

     

    "โธ่เว้ย!!!"  เด็กหนุ่มร้องออกมาเสียงดัง  มือไม้ที่สั่นกำลังเอื้อมลงไปจะไล้สะดือสวยได้รูปนั่นพร้อมกับกลืนน้ำลายเอื๊อก

    มีกระแสลมแรงพัดมาวูปหนึ่งให้เจบีได้สติก่อนจะทำอะไรลงไป  เจบีรีบหมดมือกลับแล้ววิ่งไปกระโดดลงสระน้ำที่อยู่ติดกับเตียงนวดแทน  เด็กหนุ่มหน้ามืดรีบจ้วงน้ำว่ายไปกลับอยู่หลายรอบ  โดยมีจินยองหัวเราะคิ๊กคักชอบใจเป็นซาวน์ประกอบจนพระอาทิตย์ลับขอบฟ้า

     

     

    7.15 pm.

     

    "ฮัด ชิ่ว!!" จินยองและแจบอมจามขึ้นมาพร้อมกันบนโต๊ะอาหาร  แล้วก็หัวเราะชอบใจให้กันโดยมีบรรยากาศสีชมพู วิ้งๆ รอบๆ

     

     

    "สองคนนี้ไปทำอะไรกันมา  น่าสงสัยจัง" แบมแบมพูดพร้อมพยายามมองหน้าคนทั้งสองอย่างจับพิรุธ

     

     

    "ไม่มี๊!!" จินยองปฏิเสธเสียงสูง  แต่ยิ้มสุด จนตีนกาโผล่ ดูมีความสุขมากๆ   ดินเนอร์ริมทะเลใต้แสงเทียน  บรรยากาศดีมาก  ท้องฟ้าเปิดเห็นดาวพร่างพรายเต็มผืนฟ้า  ลมเย็นพัดกลิ่นทะเลโชยมา  อาหารที่เสริฟขึ้นโต๊ะล้วนคัดสรรมาอย่างพิเศษสุด  เคล้าคลอด้วยเสียงดนตรีสดฟังสบายๆ  กับมีเสียงคลื่นซัดเบาๆเป็นแบล๊กกราวน์  สิ่งที่ได้รับในคืนนี้เป็นอะไรที่ประทับใจคนทั้ง 4 เป็นอย่างมาก  

     

     

    ทริปท่องเที่ยวคราวนี้ยิงยาวไปเกือบ 3 อาทิตย์  ทางรีสอร์ทจัดกิจกรรมกลุ่มให้ไม่ซ้ำกันในแต่ละวัน  ทั้งดำน้ำดูปะการัง  โต้คลื่น  ปาร์ตี้  เล่นเรือใบ  ปีนเขา  โดดบันจี้  ปั่นจักรยาน  ทำอาหาร  วาดรูป  ทอผ้า  ปั้นเซรามิก  และอีกสารพัดที่จำไม่หวัดไม่ไหว  หลายกิจกรรมต้องทำกับหลายคน  มีการคละกลุ่ม ทำความรู้จักกับนักท่องเที่ยวคนอื่น  เหมือนเป็นการเริ่มเรียนรู้การเข้าสังคมใหม่สำหรับจินยอง  ซึ่งเขาก็ทำได้ดีมีเพื่อนเพิ่มขึ้นมาหลายคน

     

     

    วันก่อนจะกลับมาร์คเริ่มพูดถึงความทรงจำในอดีตในส่วนงานของจินยอง

     

     

    "ฉันอยากจะทำรีสอร์ทแบบนี้ที่เกาหลี  แต่ว่าเป็น โฮมสเตย์ให้คนไข้ที่มาบำบัดฟื้นฟูได้พักผ่อนทำกิจกรรมกับธรรมชาติบ้าง  จัดเป็นครอสๆ ทีละนานๆเลย  นายพอจะออกแบบอาคารสถานที่  และตกแต่งภายในให้ฉันได้ไหม?"

     

     

    "นายมีทำเลแล้วเหรอ   ฉันไม่แน่ใจว่าจะทำได้ดีไหม   แต่ถ้ามันจะทำให้ผู้ป่วยหลายๆคน  อาการดีขึ้นก็อยากจะลองดูนะ " จินยองยิ้มกว้าง  แววตามุ่งมั่น  ดูมีไฟไม่ปฏิเสธ  จะได้ทำงานที่ชอบ และดูแปลกใหม่ท้าทาย  แม้จะไม่เคยทำรีสอร์ทมาก่อน  แต่การมาเที่ยวครั้งนี้จินยองก็ได้เก็บเกี่ยวแรงบัลดาลใจกลับไปมากทีเดียว

     

     

    "อืม  ก็มะม๊าชั้นทำธุรกิจอสังหาฯ ไง  เรื่องหาที่ทาง ทำเล  ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก" ที่น่าห่วงคือนายต่างหากหล่ะ  นี่เป็นขั้นสุดท้ายของการฟื้นฟูแล้ว  ขอโทษที่ต้องทำแบบนี้ด้วยนะเพื่อนแต่มันจำเป็น...

     

     

    ...

    ..

    .

    3 เดือนต่อมา

    "ฮือๆๆๆ  มาร์ค  มาร์คอยู่ไหม?" ร่างบางของจินยองวิ่งเข้าออกห้องให้คำปรึกษาของมาร์คโดยไม่ฟังคำทัดทานจากพยาบาลหน้าห้องตามปรกติ  ในรอบสามเดือนมานี่ คนคนนี้ทำแบบนี้ไปหลายครั้ง  ถึงจะโดนหมอมาร์คดุ แต่เขาก็ยังไม่เปลี่ยนพฤติกรรมจนสุดท้ายก็ต้องปล่อยๆไป

     

     

    "กำลังคุยกับคนไข้อยู่  เห็นไหม?" มาร์คขึ้นเสียงดุ  จินยองจึงเงียบ  แต่ก็นั่งสูดขี้มูก ครางหงิงในลำคอจนคุณหมอไม่มีสมาธิตรวจ  ต้องนัดคนไข้มาใหม่วันหลัง  แล้วหันไปหาเพื่อนที่เรียกร้องความสนใจอยู่แทน

     

     

    "เอ๊า  อุ้มโหลปลาทองมา  เจ้าฟุกุ กับ อุมิ เป็นอะไรไปอีก?"  มาร์คทำเป็นใส่สเต็ทโตสโคป(หูฟัง) แล้วยกขึ้นจ่อโหลแก้ว  ส่วนคนไข้ตาแป๋วแก้มป่องกลับถูกเจ้าของจับหลบแล้วพองแก้มใส่ไม่ต่างจากคนไข้ในมือ

     

     

    "อย่ามาล้อเล่นน่า  ฟุกุมันว่ายหงายท้องมาหลายวันแล้ว  ทำไงดีๆๆๆมันจะตายไหมม?" พูดไปน้ำตาก็ไหลไป  ไม่เห็นเหมือนตอนมันออกข่าวทีวีเมื่อเช้าเลยฟระ  ต่อหน้ากล้องทำเป็นเก็กหล่อ โด่เอ๊ย!!  หมอมาร์คบ่นขมุบขมิบเกี่ยวกับเพื่อนที่กลับมาทำงาน  และเพิ่งได้รับรางวัลออกแบบอาคารหลังใหม่ของรัฐบาล จนเป็นข่าวโด่งดังอีกแล้ว  ทำไมพอจินยองเข้ามาคลินิกของเขากลับเป็นคนละคนกับตอนอยู่ข้างนอกงั้นไปได้นะ   แล้วตั้งแต่ได้ปลาทองมาเนี่ย  ก็เปลี่ยนไปเยอะเลย

     

     

    "ฉันเป็นหมอคนนะ ไม่ใช่สัตวแพทย์  จะไปรู้ได้ไง  แต่ก็จะลองหาในกูเกิลให้ แป๊บนึง....อ่า เขาบอกว่านายให้อาหารเม็ดมากไป  มันมีแป้งเยอะทำให้ปลาท้องอืด  ถุงลมอักเสบ เลยลอยหงายท้อง ถ้าทิ้งไว้นานปลาอาจจะตกเลือดตาย ให้ เอ๊กเรย์ เจาะถุงลม แยกอนุบาลสัก 2 สัปดาห์แล้วเปลี่ยนอาหารแบบพืชซะ อย่าขี้เกียจ  เลี้ยงเขาแล้วก็ดูแลดีๆสิ ไม่งั้นเดี๋ยวเจ้าของ...เอ่อ..โทษที  แล้วเจ้ากุหลาบหิน เป็นไงบ้าง?"

     

     

    "ก็ดีนะ  ไม่ต้องรดน้ำทุกวัน ทนไม้ทนมือดี  มาร์คคคคคค  เจาะถุงลมให้ฟุกุหน่อยเร็ว  มันจะได้หาย  ตอนนี้มันดึกแล้วจะไปหาหมอปลาได้ที่ไหนล่า"  จินยองทำท่าออดอ้อนลีเวล 100 ที่เคยใช้กับคนคนหนึ่งได้เสมอไม่เคยพลาด  ...แต่กับมาร์ค  ...โดนถีบเก้าอี้แทน

     

     

    "ไปไกลๆ ขนลุก!!  ถ้ามันตายฉันไม่รับผิดชอบนะ  ตับไตใส้พุงปลามันอยู่ใกล้กันนิดเดียว  ถ้าแทงพลาดก็เอาไปโยนถังขยะได้เลย  ไอ้เราก็เคยเรียนแต่อนาโตมี่มนุษย์ ขอเวลาค้นอนาโตมี่ปลาแปร๊บมาร์คบ่นๆๆๆ  แต่ก็ยอมช่วยจินยองทุกที  ไม่รู้ชาติที่แล้วติดหนี้อะไรไว้

     

     

    "เห็นว่าช่วงนี้ทำตัวดี  ยอมมาตามนัด  ยอมกินยาสม่ำเสมอตลอด  อาการก็ดีไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงแล้ว ก็จะช่วยเต็มที่นะ  แต่ถ้ามันเป็นมานานหลายวัน  คงจะยากหน่อย  เรื่องทุกอย่างยิ่งทิ้งไว้นานยิ่งยากต่อการแก้ไข  มีอะไรก็อย่าเก็บไว้ในใจอีกนะ  ชีวิตมันสั้น" ไม่รู้ว่ามาร์คบ่นอะไร  แต่ก็ถูกของเขา จินยองเห็นฟุกุผิดปรกติไปหลายวันจริงๆ  แรกๆคิดว่าปลามันติสเหมือนเขา ว่ายกลับหัว   แหวกแนวชาวบ้าน  พอนานไปชักเข้าใจแล้วว่าการไม่เหมือนใครไม่ใช่เรื่องดีเสมอไปหล่ะมั้ง  แล้วยิ่งเจ้าฟุกุ กับอุมิ  เป็นปลาที่เจบีส่งมาให้เขาจากประเทศไทยก่อนจะหายตัวไป  เขายิ่งต้องดูแลมันให้ดีที่สุดใช่ไหม  เขาคิดได้แค่นี้

     

     

    พอกลับมาที่เกาหลี  ความทรงจำของจินยองก็ค่อยๆฟื้นคืน  แต่ว่าเป็นไปอย่างช้าๆ และรู้ตัว  ไม่ panic  เขาเข้าใจตัวเอง  คนทั่วไป และอะไรๆมากขึ้น  จินยองยอมทานยาในขนาดน้อยที่สุดที่ยังให้ประสิทธิภาพในการรักษาโดยไม่มีผลข้างเคียง  เขาเลิกใช้ยานอนหลับ  หันมาออกกำลังกาย  และทานอาหารที่มีประโยชน์  แม้ตอนเริ่มต้นทุกอย่างจะเป็นไปอย่างฝืนใจยากลำบากแต่เขาก็สัญญากับตัวเองว่าเขาจะต้องหายป่วย  แล้วออกไปตามหาสิ่งที่เขาต้องการให้ได้  การเลี้ยงปลา  ปลูกต้นไม้ที่โดนเจบีทิ้งท้ายไว้ให้นั้น  ทำให้จินยองต้องเริ่มหัดรับผิดชอบชีวิตคนอื่นนอกจากตัวเอง  ได้ดูแล มองเห็นต้นกุหลาบหินค่อยๆเติบโต  สูงขึ้นๆ  ได้มองปลาทองว่ายน้ำไปมา เริ่มรู้สึกว่าชีวิตยังมีอะไรอยู่  ทำให้ในห้องมืดของเขาต้องเปิดม่านรับแสงสว่าง เพื่อต้นไม้และน้องปลานี่แหละ  จินยองได้พบปะผู้คนมากขึ้น  มีเพื่อนจากกระดานสนทนาเลี้ยงปลาและปลูกต้นไม้หลายคน  ว่างจากงานก็มาเล่นกับปลา  เปลี่ยนน้ำบ้าง  ล้างตู้บ้าง  ตกแต่งตู้ปลาบ้าง  จนอนาจักรของฟุกุกับอุมิจะกลายเป็นอควาเรียมเพราะความใหญ่ของตู้ที่จินยองสั่งเปลี่ยนเรื่อยๆอยู่แล้ว 

     

     

    "ถ้าเจ้าฟุกุตาย  อุมิจะเหงาจนตายตามไปด้วยไหมอ่า มาร์ค?" จินยองทำเสียงโศกขึ้นมาอีกเมื่อเห็นฟุกุนอนอ้าปากพะงาบพะงาบอยู่บนถาดสแตนเลสโดยมีมาร์คใส่ถุงมือยางตรวจโรค ถือเข็มฉีดยาตั้งท่าอยู่

     

     

    "ไม่ว่าช้าหรือเร็ว  สักวันทุกคนก็ต้องตายอยู่ดี  เหงาตายไม่มี  แต่เหงาจนป่วยแล้วฆ่าตัวตายอ่ะมี  ดังนั้นอุมิอาจจะโดดออกจากโหล  ไม่ก็พุ่งตัวเอาหัวโขกข้างฝาโถตายก็ได้นะ  ฮ่า ฮ่า ฮ่า"

     

     

    "ไม่ตลกนะ"

     

     

    "ฉันรู้  ...แล้วนายหล่ะยังคิดถึงเรื่องฆ่าตัวตายอยู่ไหมไม่มีเจบีแล้วอยู่ต่อไปได้หรือเปล่า?"

     

     

    "ไม่นะ  ตอนนี้ชั้นสบายมาก  ทุกอย่างมันเปลี่ยนไปแล้ว และฉันกำลังมีเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่"

     

     

    "บอกได้ไหม?"

     

     

    "จะหาแฟนเด็กแบบนายให้ได้   มีคนแนะนำไหม?"

     

     

    "....เพี้ยนไปใหญ่แล้ว เพื่อนฉัน -..-"

     

     

    ...

    ..

    .

    6 เดือนต่อมา

     

     

    เรือสปีดโป๊ทขนาด 8 ที่นั่ง จอดเทียบท่าพร้อมคนขับสูงอายุ  ดูเป็นคุณลุงอารมณ์ดี คุณลุงในชุดเสื้อฮาวายลายดอกสีสรรสดใสมารอรับจินยองที่หอบของพะรุงพะรังเตรียมมาตรวจงานครั้งสุดท้ายที่รีสอร์ทของมาร์ค ซึ่งก่อสร้างเสร็จแล้ว ก่อนจะเปิดให้บริการเต็มรูปแบบในเดือนถัดไป

     

     

    ระหว่างทางจากท่าเรือไปเกาะส่วนตัวที่มะม๊าของของมาร์คซื้อไว้แล้วให้ลูกชายเช่าต่อ  คุณลุงคนขับเรือก็ชวนจินยองคุยตลอดทางอย่างกับสนิทกันมานานก็ไม่ปาน  ช่างเป็นคนที่อัธยาศัยดีเลิศกว่าใครที่จินยองเคยพบและรู้สึกคุ้นเคยอย่างประหลาด  คุณลุงขับเรือซิ่งฉวัดเฉวียนจนจินยองเวียนหัวแต่ก็กัดฟันฟังเรื่องที่คุณลุงเล่าถึงสมัยก่อนที่เคยเป็นตำรวจไล่จับคนร้าย แอ๊กชั่นพะบู้จนเจมส์บอนด์ อายไปเลยอย่างสนุกสนาน

     

     

    เมื่อเทียบท่า  ที่ท่าเรือบนเกาะมีดอกไม้ถูกปลูกไว้มากมาย  ทั้งเดซี่ ดาวกระจาย  บูเก้มาเรีย และอีกหลากหลายที่ไม่รู้จักชื่อ  สีสวยของมันตัดกับผืนทรายสีขาว  ทอดยาวไปจนถึงเนินบนภูเขาที่อยู่ไม่ไกลนัก  จากท่าเรือมองไปยังรีสอร์ทที่ก่อสร้างเสร็จแล้วดูสวยกว่าแบบที่เขาเขียนไว้มาก  เพราะความร่มรื่น  และสวยงามของต้นไม้ดอกไม้ภายนอกอาคารช่วยแต่งเติมบรรยากาศได้ดีมากทีเดียว  มาร์คต้องจ้างคนสวนเก่งๆมาดูแลแน่เลย  คือสิ่งที่จินยองคิด

     

     

    "อ๊ะ !! คุณจินยองอย่าเด็กดอกไม้ครับ"  เสียงลุงคนขับเรือที่มาช่วยร่างบางถือของร้องห้าม  แต่ไม่ทันแล้วจินยองเด็ดดอกเดซี่ สีขาวน่ารักมากิ่งหนึ่งเป็นช่อใหญ่

     

     

    "โอ๊ะ  ทำไมเหรอฮะ  ที่นี่มีดอกไม้ตั้งมากมาย  ขอผมเอาไปใส่แจกันในห้องพักนิดหน่อยคงไม่เป็นไรมั้ง?"

     

     

    "คือคนปลูกเขาดุมาก  หวงมากอ่ะครับ  ทางที่ดีอย่าไปยุ่งกับดอกไม้พวกนี้ดีกว่า  มันมีเจ้าของ"

     

     

    "ขี้งกจัง  หวงดอกไม้ทุกดอกไปให้ใคร  ผมจะเด็ดใครจะทำไม  ถ้าไม่พอใจก็มาหาได้ทุกเมื่อ" จินยองประกาศกร้าว ให้ความว่างเปล่าบนทุ่งดอกไม้ฟัง แล้วก็เดินเข้าไปยังล๊อบบี้ ส่วนอาคารอำนวยการของรีสอร์ท

     

     

    "ผมขอดูห้องทำทรีทเม้นของที่นี่ก่อนได้ไหมครับ?" จินยองบอกกับเจ้าหน้าที่หน้าคุ้นคนหนึ่ง  น่าจะมาจากคลินิกใหญ่ที่โซล แล้วมาร์คส่งมาดูแล

     

     

    "เชิญทางนี้เลยค่ะคุณปาร์ค  ห้องทำทรีทเม้นของเราจะแยกเป็นสัดส่วน  มีทั้งอยู่ภายในอาคารและภายนอกอาคาร  บริเวณที่เป็นโซน VIP จะอยู่ติดกับสระน้ำ สามารถมองเห็นวิวทะเลตอนพระอาทิตย์ตกดินด้วย  สวยมากๆเลยค่ะ" จินยองเดินตามเจ้าหน้าที่คนนั้นออกไปดูผลงานแล้วพบว่ามันสวยกว่าที่คิดไว้มากจริงๆ  สวยจนรู้สึกน้ำตารื้นเต็มตื้นเอ่ออุ่นกลบตาสวย

     

     

    ว่าจะไม่ร้องไห้แล้วเชียว  แต่จินยองก็อดไม่ได้ ... ภาพพระอาทิตย์คล้อยต่ำถึงจะยังไม่เข้าช่วงโพล้เพล้  แต่ความรู้สึกถึงช่วงเวลานั้น  กลิ่นหอมของน้ำมันหอมระเหย  และสัมผัสของเรียวนิ้วหนาที่ไล้ไปตามร่างกายนิ่มนั่นก็กลับมาอีกครั้ง  ร่องรอยความรู้สึกที่โหยหา  จะว่าไปแล้วตอนนี้ก็จะครบปีหลังจากวันที่บังคับเจบีขอเป็นแฟนแล้วนี่นะ   ...ทำไมนายถึงหายไปโดยมาล่ำลา  จินยองเอามือปิดหน้าร้องไห้พักใหญ่จนน้ำมูกน้ำตาไหลเปรอะไปหมดหล่อ  สักพักจึงรู้สึกตัวว่าเขาไม่ควรแสดงอาการแบบนั้นต่อหน้าเจ้าหน้าที่หญิงที่พามา  แต่พอจะหันไปหาเธอคนนั้นก็ไม่อยู่แล้ว...

     

     

    "คุณมาเด็ดดอกไม้ของคนอื่นเค้าได้ยังไง  ดอกไม้พวกนั้นมันไม่ได้ขึ้นเองตามธรรมชาตินะคุณ  กว่าเขาจะงอกออกจากเมล็ดแล้วผลิดอก  อย่างเดซี่ในมือคุณนี่ก็ เกือบ 3 เดือนนะ" เสียงผู้ชายดุๆ ตะหวาดจินจองที่กำลังยืนดูวิวบริเวณสระน้ำที่เป็นมุมเปิดออกไปเห็นท้องทะเลรอบๆเกาะสวยงาม  ทำให้เสียอารมณ์  ใจขุ่นมัวขึ้นมาทันที  คนกำลังอินทำมิวสิกอยู่เนี่ยเกรงหัดเกรงใจหน่อยได้ไหม

     

     

    "ผมขอโทษแล้วกัน  จะให้รับผิดชอบยังไง?" ร่างบางตอบแบบขอไปที ในขณะที่หมุนตัวกลับหลังหาตนตอของเสียง  ในท่าเท้าเอว จิ๊มุมปาก  หลับตา อย่างหาเรื่อง

     

     

    "...." ไม่มีเสียงอะไรตอบกลับ

     

     

    "...เป็นใบ้หรือไงคุณ!?" จินยองเปลี่ยนท่ามาแอ๊คท่า กอดอก แล้วค่อยๆลืมตาอย่างท้าทาย

     

     

    "... อ่าว !!? ไม่เห็นมีใครนี่   เราหูแว่วไปเองเหรอ?"  จินยองพยายามมองหาสิ่งที่อยู่ระดับสายตา หรือสูงขึ้นไปแต่ก็ไม่พบอะไร  นอกจากตัวอาคาร ต้นไม้  และเสียงลมพัด  ...ตอนนี้หัวใจของเขาเริ่มเต้นรัวถี่  หรือนี่จะเป็นปรากฏการณ์เหนือธรรมชาติ  ดอกไม้ของเจ้าที่หรือเปล่าเนี่ย  ร่างบางเผลอปล่อยกิ่งเดซี่หลุดจากมือ

     

     

    ครั้นจะไม่ก้มเก็บมันคนตัวบางก็กลัวเจ้าที่จะตามมาหักคอไหม จึงก้มหน้าลงไปเก็บ ...อ่ะ ดันเห็นก้อนอะไรขาวๆอยู่ในสายตาระยะไม่ไกลจากปลายเท้าองเขาไปพอดี  นั่น...

     

     

    ...

    ..

    .

    เมื่อ 9 เดือนก่อน ที่ประเทศไทย

     

     

    "เจบีนายไม่ต้องกลับพร้อมพวกเรานะ" หมอมาร์คบอกกับเด็กหนุ่มที่กำลังเก็บอุปกรณ์ดำน้ำจากทริปดำน้ำดูปะการังที่เพิ่งไปมาเมื่อเช้ากันอย่างสนุกสนาน  สีหน้าคนฟังเปลี่ยนจากยิ้มตาเป็นขีด  ค่อยๆวางข้าวของแล้วหันมามองคุณหมอเพื่อฟังคำอธิบายต่อไป

     

     

    "นายบอกเองไม่ใช่เหรอ  ว่าถ้ายอมให้อยู่ใกล้จินยองจะทำตามที่ผมบอกทุกอย่าง  แล้วก็จะชดใช้ค่าผิดสัญญาที่ออกจากงานก่อนเวลาให้  ดังนั้น  มันถึงเวลาแล้ว  ตอนนี้จินยองสามารถทำกิจกรรมได้ตามปรกติและเข้าสังคมได้  การดูแลจากนายจึงเพียงพอแค่นี้  นายต้องแยกจากเจ้านั่น เพื่อให้มันมีชีวิตอยู่ด้วยตัวคนเดียวได้  และถ้าทุกอย่างผ่านพ้นไปได้ด้วยดี  ในวันที่นายไม่มีพันธะอะไรแล้ว  พวกนายจะทำยังไงกับชีวิตก็ตามใจ  เจบีอย่าไปพบกับจินยองอีกเข้าใจนะ" มาร์คจับไหล่ชายหนุ่มเป็นการปลอบใจ  ก่อนจะหันไปยิ้มแย้มให้ผองเพื่อนเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นจนวันกลับ

     

     

    เจบีถูกสั่งให้เรียนการนวดแบบอื่นๆและอยู่ฝึกงานต่อที่เมืองไทย อีก 3 เดือน  จากนั้นก็ไปอยู่คุมงานก่อสร้างรีสอร์ทที่เกาะส่วนตัวให้มาร์ค  โดยห้ามติดต่อกับจินยองเด็ดขาด  ระหว่างนั้นมาร์คก็ดูแลคุณลุงตำรวจให้เจบี จนคุณตำรวจอาการดีขึ้นเลยส่งมาพักฟื้นอยู่ที่เกาะนี้เป็นเพื่อนเจบี

     

     

    บนเกาะไม่มีทีวี และสัญญาณโทรศัพท์เพราะมาร์คตั้งใจให้คนไข้ที่มาพักตัดขาดจากโลกภายนอก  ...วันๆของเจบีนอกจากช่วยดูงานก่อสร้างในส่วนที่ขาดเหลือ คือ เจเนอรัลเบ๊แล้ว   เขายังขอลงไปเรียนรู้งานแบกปูน ฉาบเสาเองด้วยซ้ำเพราะความว่าง  ตลอด 6 เดือนมีคนไข้คนเดียวคือคุณลุงตำรวจที่มาร์คให้มาพักฟื้นและอยู่เป็นเพื่อนเจบีที่นี่ด้วย  พอหายดีคุณลุงเลยขอลาออกมาสมัครเป็นคนงานรีสอร์ทของมาร์คด้วยอีกคน  เพราะชอบบรรยากาศ  และอยากทำงานอย่างอื่นดูบ้าง

     

     

    "เจบี  หลบมาดูดาวคนเดียวอีกแล้ว  กำลังคิดถึงใครหรือป่าวเนี่ย?"

     

     

    "คุณลุงครับ  ผมจะทำยังไงดี  ผมแอบชอบคนคนนึงแต่เราไม่เหมาะสมกันเลยสักอย่าง  สุดท้ายเราก็ต้องแยกจากกัน  เรื่องดีๆมันจะเกิดขึ้นในชีวิตของคนแบบผมจริงเหรอครับ   ความผิดหวังเป็นเพราะผมเคยทำเรื่องไม่ดีไว้ในอดีตใช่ไหม?"  เด็กหนุ่มที่ดูเข้มแข็ง  จนเกือบแข็งกระด้างในสายตาของคนทั่วไป  กลับมีมุมอ่อนไหวไม่ประสา  เป็นเรื่องธรรมดาของช่วงชีวิตหล่ะนะ

     

     

    "เจบีเคยได้ยินไหม  คนที่มีความสุขตลอดไปไม่มี  และคนที่มีความทุกข์ตลอดไปก็ไม่มีเช่นกัน  ชีวิตเราก็แบบนี้หล่ะลูก  อย่าไปจดจ่อท้อถอย  อยู่กับปัจจุบันและทำวันนี้ให้ดีที่สุดดีกว่า  ถ้าคนคนนั้นเป็นคู่กับเรา  ยังไงก็คู่กับเรานะ  เชื่อลุงเถอะ เอางี้สิ  เวลาว่างที่นายคิดถึงใครคนนั้น  นายก็เอามันมาปลูกดอกไม้ไว้  พอนานๆเข้าจะได้รู้ไงว่านายจะคิดถึงใครได้มากและนานแค่ไหน หึหึ  ทำนายเลยว่าคงได้ดอกไม้อย่างมากไม่เกิน 3 ต้น..."

     

     

    ...

    ..

    .

    เมื่อเช้าเจบีถูกแม่ครัวเรียกไปช่วยจ่ายตลาด  แรงงานบนเกาะอยู่กันเหมือนชุมชนย่อยๆ  สร้างเพิงพักใกล้ๆที่ก่อสร้างรีสอร์ท แล้วก็เพราะมันไกลจากฝั่งอาหารการกินจึงต้องกินรวมกัน  ทำให้เวลาข้ามเกาะไปจ่ายตลาดทีเป็นงานใหญ่ต้องใช้แรงงานผู้ชายอย่างเจบี ไปช่วยทุกครั้ง  วันนี้ก็เหมือนอย่างเคย  แต่แค่เจบีกลับมาพบว่าดอกไม้ที่ท่าเรือโดนหักไป 1 กิ่ง  เขาก็โมโหขึ้นมาทันที  บอกกี่ทีแล้วว่าห้ามเด็ดดอกไม้ของผม  เด็กดีเป็นที่รัก  คอยช่วยงานคนอื่น  เวลาโมโหขึ้นมานี่ เกาะแทบแตกทุกทีเมื่อมีใครไปยุ่งกับดอกไม้ของเขา  ฝ่ายคุณลุงรีบโบ้ยไปยังแขกที่มาใหม่เพื่อเอาตัวรอดอย่างทันควัน

     

     

    "ถึงจะเป็นคนของคุณมาร์คผมก็ไม่ยอมหรอกนะ"เจบีคิดคำตำหนิคนที่ถือวิสาสะมาเด็ดดอกไม้ของเขาเต็มไปหมด  ร่างหนาถามคนงานแถวนั้นจนตามไปถึงริมสระที่มี ผู้ช่วยเลขาของมาร์คยืนอยู่กับผู้ชายคนหนึ่ง  คุณผู้ช่วยเลขาเห็นหน้าเจบีบึ้งตึงท่าทางเอาเรื่องจึงรีบชิ่งออกไปก่อน

     

     

    "คุณมาเด็ดดอกไม้ของคนอื่นเค้าได้ยังไง  ดอกไม้พวกนั้นมันไม่ได้ขึ้นเองตามธรรมชาตินะคุณ  กว่าเขาจะงอกออกจากเมล็ดแล้วผลิดอก  อย่างเดซี่ในมือคุณนี่ก็ เกือบ 3 เดือนนะนั่นไงกิ่งดอกเดซี่ยังอยู่ในมือเลย  อย่าคิดว่าขอโทษแล้วจะจบนะ..แต่..เอ่อ   พอร่างบางหันกลับมา  เจบีก็แทบวิญญาณออกจากร่าง และทรุดตัวลงบนเข่า ... จินยอง!! มาอยู่ที่นี่ได้ยังไง?

     

     

    เจบีคุกเข่าลงแล้วยกมือขึ้นขยี้ตาตัวเองอย่างไม่เชื่อภาพที่เห็น  น้ำตาใสๆไหลออกมาจากดวงตาตี่ๆ  ด้วยความรู้สึกหลากหลายอย่างบอกไม่ถูก  แล้วดูสิ ดู  คุณตัวร้ายมัวเก๊กท่า พ้อยเท้าเงยหน้า บ้าบอไรอยู่หน่ะ  โอย  จากโมโหเป็นดีใจ  ปรับอารมณ์ไม่ทันเลยนะ บ้าที่สุด

     

     

    "เอา เอา  จะยิ้มหรือร้องไห้เลือกเอาสักอย่างสิครับ"  อยู่ๆร่างบางของจินยองก็มาทิ้งตัวกอดเข่าประจันหน้ากับเขาที่คุกเข่าอยู่  ตอนนั้นไม่รู้ว่ามือใครไวกว่ากัน  แต่ทั้งสองร่างก็โผกอดกันในท่านั้นอยู่นานทีเดียว

     

     

    "คิดถึงเจบีจะ..จัง" จินยองที่พูดขึ้นมาก่อนแต่ไม่ทันจบประโยคต้องเสียงขาดเป็นห้วงๆไปเพราะโดนเจบีจับท้ายทอยบังคับให้รับสัมผัสจากจูบของเขาที่ถ่ายทอดความรู้สึกล้ำลึกลงไปอย่างโหยหา  และไม่นานเท่าไหร่ริมฝีปากนิ่มสีเชอรี่ก็จูบตอบกลับมาด้วยความรู้สึกไม่แพ้กัน  ทั้งสองแลกจูบกันหลายครั้งอย่างดูดดื่ม  เฝ้ากอดคลึง ลูบไล้  อย่างกลัวว่าคนตรงหน้าจะหายไปอยู่เนิ่นนานจนพระอาทิตย์ใกล้ลับขอบฟ้า

     

     

    "จินยองมาดูนี่สิครับเจบีไม่พูดเปล่าเขาฉวยอุ้มร่างบางเดินไปขอบสระที่สามารถมองลงไปเห็นวิวมุมกว้างไปสุดชายหาด และพระอาทิตย์ที่กำลังลับขอบฟ้าแสนสวยได้   แล้วจากมุมนี้ก็ยังสามารถมองเห็นทะเลดอกไม้มากมายที่ปลูกเบียดเสียดกันบนเกาะได้อีกด้วย

     

     

    เวลาผมคิดถึงจินยอง  ผมก็จะปลูกดอกไม้ 1 ต้น  จินยองลองมองไปรอบรีสอร์ทก็แล้วกันว่ามีดอกไม้กี่ต้น  นั่นคือความคิดถึงของผมตลอดเวลาที่เราไม่ได้เจอกัน  ตอนนี้มันไม่มีพื้นที่ให้ปลูกแล้วเนี่ย

     

     

    จินยองค่อยๆทอดสายตามองทะเลดอกไม้แสนสวย กินพื้นที่สุดลูกหูลูกตาแผ่กระจายแน่นหนาขึ้นไปบนเนินกว้าง และทอดยาวไปจรดท่าเรือและชายหาดแทบจะรอบเกาะทุกหนทุกแห่ง  สวยงามราวกับสรวงสวรรค์ในพระคัมภีร์  ความคิดถึงมีอานุภาพพียงนี้เลยเหรอ 

     

     

    "เฝ้าปลูกและดูแล  ถนุถนอมรดน้ำพรวนดินใส่ปุ๋ย  กำจัดแมลง  ไม่ใช้สารเคมี  ไม่รู้จะมีแต่ดอกไม้ที่งอกงามไหม  ความรักความห่วงใยที่ผมส่งไปจะถึงใครบางคนหรือเปล่าน๊า" เจบีเปลี่ยนมากอดเอว  ใช้จมูกแตะแก้มพองนุ่มแล้วกระซิบอวดผลงานข้างหู ให้ร่างบางที่แสนคิดถึงได้ฟัง

     

     

    "ถึงนะ  โดนด่าด้วย  ขอโทษนะ" จินยองหัวเราะคิก เมื่อชูก้านกิ่งเดซี่ที่เด็ดมาให้เจ้าของดูใกล้ๆ

     

     

    "ไม่ให้อภัย!!! ....ยกเว้นต่อไป  จินยองจะมาอยู่ที่นี่กับผม" เด็กอวดดีชักเอาใหญ่  นอกจากจะถือวิสาสะจูบ  หอบแก้มก่อนแล้วตอนนี้มือไม้หนา ยังถือโอกาสปัดป่ายไปทั่วร่างบางอีก

     

     

    ถึงร่างบาง เอวอ่อนกำลังจะหลอมละลายเหมือนขี้ผึ้งที่ถูกไฟลน  แต่ก็ยังไม่ยอมตอบตกลงออกไป   เจบีจึงแย่งกิ่งเดซี่จากมือของจินยองไปแล้วเด็ดมันออกมาถักเป็นแหวน

     

     

    "ผมรักจินยองด้วยใจจริง   ช่วยกรุณาให้เกียรติมาใช้ชีวิตกับผมจากนี้และตลอดไปนะครับเจบีคุกเข่าแล้วดึงมือของจินยองมาสวมแหวนดอกไม้ให้ก่อนจะจุมพิษลงไปที่หลังมือบางอีกครั้ง   หนุ่มหล่อใจตุ้มๆต่อมๆ เหมือนการรอคอยคำตอบจากคนที่ชอบคนเดิมเมื่อนานมาแล้ว

     

     

    ดวงหน้าสวยหวานประดับด้วยประกายระยิบระยับในดวงตา  สวยยิ่งกว่าท้องฟ้ายามสนธยาเวลานี้  ส่งยิ้มให้คำตอบทำให้เจบียิ้มค้างตาม  ตอนนี้สติของเขาล่องลอยไปไหนต่อไหนก็ไม่รู้เสียแล้ว

     

     

    "ก็ต้องตกลงอยู่แล้ว  เด็กซื่อบื้อ อิอิ... "





     

    end.


    .....................................


    แหะๆ  จบจนได้ ยาวมากกกกกกกกกกกกก  ใครที่อ่านมาถึงตรงนี้ก็ขอขอบคุณมากๆนะคะ  

    จะเลิกเขียนอยู่หลายทีเพราะมันยาวเกินไป  แต่ก็อยากให้เรื่องราวมันจบอย่างที่ตั้งใจเสียที  

    อยากเป็นกำลังใจให้คนที่เคยมีอาการแบบนี้นะคะ  ข้อมูลในการรักษารับรองว่าถูกต้อง แน่นอล อิ อิ

    © themy�butter
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×