ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    [Got7] JJ Factors - เจเจแฟ๊กเตอร์ [SF/OS][Bnior][BNyoung]

    ลำดับตอนที่ #7 : [SF] Casino Royal [BNior] 1/3

    • เนื้อหานิยายตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 1.39K
      24
      21 พ.ค. 59


    [SF] Casino Royal [BNior] 1/3







    "ช่วงนี้ไม่รู้เป็นอะไร  ได้กลิ่นดอกไม้ลอยมาตามลมทีไรเป็นต้องจามทุกที เกลียดฤดูใบไม้ผลิชมัด  ไม่เป็นมิตรกับคนที่เป็นภูมิแพ้สักนิด จะโรแมนติกอะไรกับเขาก็ไม่ได้เลย" เสียงบ่นงึมงำจากเจ้าของร่างหนา สูงสง่า รูปร่างสมส่วน มีกล้ามเนื้อ หล่อเข้มขรึม  สวมแว่นตากันแดดและใส่สูทเนื้อผ้าดีสีดำคัตติ้งสวยประณีตของแบรด์ดัง  ดูดีอย่างกับนายแบบหลุดมาจากแคทวอร์ค  เขาเซทผมทรงอันเดอร์คัทสั้นเปิดหน้าผากสวย  เหนือเปลือกตามีไฝเจ้าเสน่ห์สองจุด  ดึงดูดสายตาของผู้พบเห็น  สันจมูกโด่งได้รูปหมดจรดตามธรรมชาติ  ริมฝีปากบางหยักรับกับสันกรามคมเด่น  ผิวหน้าเนียนใสไร้รอยตำหนิ มีออร่าที่จัดว่ามองเท่าไหร่ก็ไม่เพียงพอ  หนุ่มหล่อกำลังหงุดหงิดอย่างมาก เพราะเขาต้องใช้เส้นทางที่มีแต่ดอกไม้บานสะพรั่งเป็นถนนเดินไปสู่สถานที่นัดหมาย

     


     

    ท่ามกลางคู่รักมากมายที่มาชมดอกซากุระเกาหลี หรือเชอรรี่บอสซัมสีชมพู  พวกมันเบ่งบานอวดกลีบดอกสวยสะพรั่งเต็มถนนหนทางแทบจะทุกมุมเมือง  เป็นสถานที่ให้เหล่าชายหญิงมาสวีทหวานถ่ายรูป  จับมือกันกระหนุงกระหนิง ไปจนถึงถ่ายพรีเวดดิ้งด้วยเถอะ   เป็นเหตุให้ผมได้แต่รู้สึกอึดอัด  โมโห  .....อิจฉานิดๆครับ ยอมรับแมนๆเลย  ก็ผมหน่ะ  นอกจากจะไม่มีคู่แล้วยังแพ้ดอกไม้พวกนี้อีก  จมูกแสบแทบรับกลิ่นไม่ได้  แล้วไหนจะน้ำมูกใสที่ไหลไปอุดรูจมูกสูดหายใจไม่ออก  ฮึดด ฮืออ ซืดดด (เสียงสูดขี้มูก)  ลูกนัยน์ตาก็รู้สึกคันยิบๆจนต้องใส่แว่นตาดำอำพรางดวงตาที่แดงก่ำและน้ำตาเจ้ากรรมที่ไหลออกมาตลอดเวลาอีก  แต่ยังไงภาพพจน์ดูดีน่าเกรงขามของนักธุรกิจใหญ่ผู้เป็นเจ้าของบ่อนคาสิโน โรงแรม และสถานบันเทิงยามค่ำคืนนับสิบแห่งในกรุงโซลของเกาหลีหน่ะต้องมาก่อน  ผมเบ้ปากนิดหน่อยก่อนจะเดินผ่ากลางวงคู่รักพวกนั้น  ชนแม่ง อย่างคนพาล  แล้วก็จามมาตลอดทาง  ทั้งที่อุตส่าห์เอามือปิดจมูกและปากแล้วนะ  ถ้ารู้ว่าจะต้องมาเสี่ยงชีวิตฝ่าดงดอกไม้พวกนี้  คงติดหน้ากากอนามัย หรือผ้าปิดจมูกมาด้วย  แล้วดู....กว่าจะถึงจุดหมายสภาพผมนี่รับไม่ได้จริงๆ 

     

     


    ปรกติในยามเช้าแบบนี้นั้น  ผมแทบไม่เคยตื่นนอนออกมาแต่งหล่อเดินเอ้อละเหยลอยชายโชว์เนื้อตัว หน้าตา  ท่ามกลางแสงแดดหรอกครับ  ผมมันมนุษย์กลางคืน  อ๊ะๆ ไม่ใช่ แวมไพร์อะไรแบบนั้นนะ แค่ทำงานบริหารคาสิโนและโรงแรม ต้องพบปะลูกค้า  สอดส่องดูแลกิจการ  และแก้ปัญหาทั้งหลายแหล่ ทั้งฉากหน้าที่ถูกต้องตามกฎหมาย และฉากหลังที่คุณก็น่าจะรู้ว่าโลกมืดมันเป็นยังไง  มันต้องทำกลางคืนหลังพระอาทิตย์ตกดินไงครับ  พอฟ้าสว่างถึงจะได้เวลานอนพักผ่อนที่แท้จริง  เพราะงั้นการที่ไม่รู้ว่าโลกปรกติในตอนเช้ามันมาถึงฤดูใบไม้ผลิมีดอกไม้บานเต็มเมืองแบบนี้ก็ไม่แปลก ครั้งล่าสุดที่ผมได้สัมผัสแสงแดดตอน สิบโมงนี่ก็นานจนจำไม่ได้แล้ว แล้วไม่ใช่ว่าวันนี้ผมตื่นเช้าหรอกนะ  ที่จริงแล้วคือยังไม่ได้นอนเลยต่างหาก 

     


     

    สุดสายถนนที่ใครๆก็ต่างชื่นชมว่ามันแสนจะสวยงามราวกับภาพจำลองของสรวงสวรรค์  แต่สำหรับผมมันคือสนามรบ  การฝ่าดงดอกไม้นรกนั่น ไม่ต่างกับการเอาชีวิตรอดในดงกระสุนหรอกครับเชื่อสิ  ถนนที่ขนาบด้วยเชอรี่บอสซั่มบานสะพรั่งยาว 1 กิโลเมตรปรกติใช้สัญจรได้  แต่ตอนนี้มันถูกปิดให้เป็นถนนคนเดินเพื่อมาชมดอกไม้  ให้ได้ดื่มดำกับบรรยากาศสุดแสนจะโรแมนติกพิเศษ  ผมจึงต้องจอดรถไกลออกไปแล้วเดินฝ่าเข้ามา  ซึ่งมันเกือบจะทำให้ผมต้องไปเฝ้าคุณพ่อคุณแม่บนสวรรค์ก่อนเวลาอันควรเสียแล้ว (หากคุณเคยเป็นโรคภูมิแพ้คงนึกออกว่าตอนอาการกำเริบมันทรมานแค่ไหน)   แต่ยังหน่ะ ชายหนุ่มแน่น วัยฉกรรจ์ หน้าตาดี อายุ 29 ปี  ที่ยังโสด แสนดี มีเวลาให้  สุขภาพทั่วไปสมบูรณ์แข็งแรงขนาดนี้หน่ะ  จะมาเป็นอะไรไปง่ายๆได้ยังไง  โลกนี้ยังต้องการทรัพยากรคนหล่อมากอย่างผมไว้ประดับอยู่หรอก  ในที่สุดผมจึงลากสังขารมาถึงยังจุดหมายของวันนี้ได้อย่างปลอดภัย

     

     


    อาคารเบื้องหน้าของผมเป็นอาคารหอศิลป์เก่าแก่ขนาดไม่ใหญ่นักสูง 4 ชั้น มีสวนโดยรอบสวยงาม  ดูสงบ ร่มรื่น มีต้นไม้ขนาดใหญ่มากหลายต้นถูกปลูกไว้  ดูท่าทางอายุนับร้อยปีซึ่งหาได้ยากแล้วในปัจจุบันกลางใจเมืองแบบนี้  ด้านหลังมีบริเวณบ้านพักชั้นเดียวสำหรับผู้ดูแล  เนื้อที่โดยรอบทั้งหมดจัดว่ากำลังดีสำหรับสร้างโรงแรม 6 ดาว ควบคาสิโน VIP  ที่หรูหราอย่างที่สุด  มีความปลอดภัย  เป็นส่วนตัวไว้สำหรับต้อนรับลูกค้ากระเป๋าหนักชั้นสูงที่มีความสุนทรี รสนิยมดี  และชื่นชอบงานศิลปะ โดยผมมีแผนจะดัดแปลงหอศิลป์แห่งนี้เป็นสถานประกอบการตามงานที่ผมถนัด เป็นคาสิโนระดับซุปเปอร์พรีเมี่ยมไฮเอนเอ็กซตราออดินารี่ แข่งกับลาสเวกัส มาเก๊าและโมนาโคไปเลย ไหนๆตอนนี้เกาหลีก็เป็นที่จับตามองด้านธุรกิจติดระดับเวิลคลาสอยู่แล้ว  แต่เงื่อนไขการขายของเจ้าของที่ดินและหอศิลป์นี่สิ  แปลกจน แจ๊คสันที่เป็นผู้ดูแลจัดการส่วนอสังหาริมทรัพย์ของผมรับมือไม่ถูก  คุณตาที่เป็นเจ้าของที่นี่ยื่นข้อเสนอให้ผมมาเจรจาด้วยตัวเอง  จึงเป็นเหตุให้ผมต้องถ่อร่างหล่อๆมาถึงที่นี่ในวันนี้

     

     


    แน่นอนเรื่องโลเคชั่น การเดินทาง  สถานที่แวดล้อม สิ่งปลูกสร้าง และที่จอดรถ  ทุกอย่างผ่านหมด  อาคารเก่าคลาสสิก งดงามประณีตหาได้ยากในกรุงโซล ถูกก่อสร้างด้วยศิลปะยุคเรเนซองค์  การตกแต่งภายในของหอศิลป์ ทุกอย่างสวยถูกใจผมมากเสียจนแผนงานต่างๆผุดเข้ามาในสมองมากมาย  ผมต้องได้ที่ดินผืนนี้ รวมถึงอาคารนี่ไม่ว่าเงื่อนไขจะเป็นอย่างไรก็ตาม  ที่ดินในกรุงโซลหน่ะ  ไม่ใช่ว่ามีเงินเท่าไหร่จะซื้อได้นะครับ มันอยู่ที่ความพอใจของเจ้าของด้วยว่าจะขายต่อหรือไม่ และขายให้ใคร  ด้วยมีความต้องการในตลาดสูง  ผู้ขายมีสิทธิ์เลือกลูกค้า และตั้งราคาเท่าไหร่ก็ได้อย่างสาแก่ใจ  เพราะที่ดินมันมีขนาดคงที่ แน่นอน กว้างเท่าไหร่เท่านั้นไม่มีการงอกเงยเพิ่มขึ้นมา หาทดแทนไม่ได้  ในขณะที่ประชากรมีแต่เพิ่มขึ้น ความต้องการที่อยู่อาศัยก็สูงขึ้นทุกวันๆ การลงทุนในพวกที่ดินมันจึงไม่เคยมีค่าลดลง  จัดเป็นทรัพย์สินที่มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้นทุกปีๆ

     

     


    "นั่งสิ  คุณอิม แจบอม" เสียงชายชราผมสีดอกเลา ในชุดสูทหูกระต่ายคลาสสิก กล่าวเชิญผู้ที่เข้ามายืนสำรวจนู่นนี่ในห้องทำงานส่วนตัวด้านในของเขาให้นั่งลงอย่างสุภาพ  ใบหน้าเหี่ยวย่นตามกาลเวลาประดับด้วยรอยยิ้มมีมารยาทเสียจน แจบอมที่เคยรับมือกับลูกค้า และคนมาแทบทุกจะประเภทเห็นแล้วยังต้องรู้สึกเกร็ง  ข้างกายของชายสูงอายุ มีเด็กสาว ? ไม่สิ ใส่กางเกงน่าจะเป็นเด็กหนุ่ม หน้าตาน่ารักจิ้มลิ้ม  ใส่เสื้อเชิตสีขาวแขนยาวพอดีตัว  สอดชายเสื้อเข้าในกางเกงผ้าเนื้อดีสีดำเรียบร้อย  เผยให้เห็นรูปร่างที่บอบบาง อ้อนแอ้น เอวคอด มีก้นงอน  สูงบางอย่างนางแบบหลายคนที่เขาเคยควง  แต่ดูดีกว่านั้น  ไม่เคยมีใครเป็นเจ้าของเนื้อนวลสีขาวน้ำนมแทบเรืองแสงสะดุดตาขนาดนี้  ผิวพรรณเรียบเนียนละเอียด สะอาด ใส อย่างผู้ดีมีสกุล นัยน์ตากลมโตสีดำเปล่งประกายแวววาว  ดูฉลาด  รอบรู้  ลึกลับ ทว่าหวานล้ำงดงามโดยไม่ต้องแต่งแต้มปัดขนตาให้หนา  หรือทาสีให้ดูดีแต่อย่างใด  หากกลับมีแรงดึงดูดเมื่อเขาเผลอสบตาเด็กหนุ่มที่ว่าเข้าให้   ผู้มาเยือนรีบเบือนสายตาที่พินิจคนตรงหน้าอย่างต้องมนต์สะกดไปยังจุดอื่นที่น่าสนใจไม่แพ้กัน  ริมฝีปากสีชมพูพีชดูนุ่มนิ่มอิ่มฉ่ำน่าประทับจูบลงไปนั้นก็น่าประทับใจมาก  กลีบปากได้รูปประดับเด่นบนใบหน้าสวยไม่ต่างกับงานศิลป์ชั้นเยี่ยมชิ้นหนึ่งที่พึงถูกชื่นชมตามวิสัย  น่าพิสมัย เชื้อเชิญให้หลงใหลโดยไม่ต้องปรุงเติมเครื่องสำอางประทินความงามอื่นใดนอกเหนือสิ่งที่เป็นไปตามธรรมชาติ   ช่างบริสุทธิ์  งดงาม  น่าทนุถนอม  ทว่ามีออร่าสูงส่ง  ต้องห้าม  ในเวลาเดียวกัน

     

     


    "เรื่องของผม  คุณแจ๊กสันคงบอกคุณแล้ว  ส่วนนี่ จินยอง เป็นหลานชาย  ให้เขาฟังได้ไม่มีอะไรต้องปิดบัง  คุณคงไม่มีปัญหาใช่ไหม?"

     

     


    พูดซะขนาดนี้ผมจะมีปัญหาอะไรได้หล่ะครับคุณตา  ผู้มาเยือนหนุ่มหน้านิ่งได้แต่คิดในใจ  ปรกติการปิดงานขายร้อยวันพันปีไม่เคยต้องถึงมือเขา  อาณาจักรสถานให้ความบันเทิงยามค่ำคืนทั้งหลายที่ผ่านมาแทบทั้งหมด เป็นหน้าที่ของแจ๊กสันที่ต้องจัดการด้านติดต่อเจรจาซื้อขาย อาคาร สถานที่ที่เขาต้องการจะดำเนินกิจการมาให้ได้ ไม่ว่าด้วยวิธีใดก็ตาม  ทั้งวิธีแบบสุภาพชนสะอาดบนดิน  หรือสรกปรกใต้ดิน แจบอมก็ไม่เกี่ยงทั้งนั้น  เขารู้มาว่าหอศิลป์กับที่ดินแห่งนี้เป็นสมบัติชิ้นสุดท้ายของตระกูลปาร์ค  ตระกูลขุนนางเก่าแก่สืบที่เชื้อสายมาตั้งแต่สมัยโซซอน อะไรประมาณนั้น  คือเป็นผู้ดีเก่านั่นแหละ  แต่เนื่องจากทายาทรุ่นที่แล้วคิดอ่านทำธุรกิจที่ไม่ถนัด  ถูกหุ้นส่วนหลอกโกงแล้วล้มละลายจึงต้องขายทรัพย์สินทั้งหมดไปใช้หนี้  แต่ก็ยังไม่เพียงพอ  ว่ากันว่าพวกเขาฆ่าตัวตายเพื่อหวังเงินประกันก้อนโต เพื่อปิดข่าวและรักษาหน้าตาชื่อเสียงของวงศ์ตระกูลไว้  ได้ยินมาว่าเหลือผู้สืบสกุลไว้คนหนึ่งกับ ที่ดินผืนนี้ที่หลุดรอดมาได้เพราะถูกโอนเป็นชื่อคนรับใช้ไว้ล่วงหน้าก่อนแล้ว

     


     

     "อย่างที่คุณรู้  มีผู้มาติดต่อขอซื้อที่ดินผืนนี้หลายเจ้า  แต่ทุกคนไม่ผ่านเงื่อนไขของผม  มีเพียงคุณกับอีกสองสามคนที่พอสู้ราคาและผมเห็นว่ามีคุณสมบัติเหมาะสมที่จะเป็นเจ้าของที่ดิน และสิ่งล้ำค่าในหอศิลป์แห่งนี้  คุณจะว่ายังไงหล่ะ?"  ดวงตาชรากร้านโลกจ้องมองลึกซึ้งไปทางคู่สนทนาด้วยความคิดสุดจะคาดเดา

     

     


    "ผมรู้สึกยินดีและเป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้ยินแบบนั้น  หากคุณลีต้องการจะขายจริงๆ  ผมยินดีรับเงื่อนไขทั้งหมดทุกข้อและทำตามทุกอย่างที่คุณต้องการ" แจบอมรู้ตัวว่าเขาแสดงท่าทางอยากได้ที่ดินและหอศิลป์นี้จนออกนอกหน้า  ซึ่งมันอาจจะทำให้เขาเสียเปรียบในการเจรจาต่อรอง  เจอเงื่อนไขไม่เป็นธรรมและอาจถูกโก่งราคาได้  เขาไม่ได้อ่อนหัดกับการค้าขายหรอกแต่เขาก็เป็นของเขาแบบนี้  เป็นคนคนตรงไปตรงมาอยากได้ก็บอกอยากได้  แต่ถ้าสิ่งไหนเขาไม่สนใจเขาก็จะไม่เหลียวแล หรือแคร์อะไรเลยสักนิด

     


     

    "เงื่อนไขมีสองอย่าง  คือต้องซื้อที่ดินและหอศิลป์หลังนี้ในราคาที่ผมกำหนดด้วยเงินสดเท่านั้น  และต้องจดทะเบียนสมรสคือ แต่งงานกับหลานชายผม  ปาร์ค จินยอง ช่วยดูแลเขา ซื่อสัตย์ เอาใจใส่  ให้เกียรติซึ่งกันและกัน  ถนอมน้ำใจกัน  เพราะผมคงอยู่ต่อไปได้อีกไม่นาน  คุณจะทำได้หรือเปล่า" ผู้สูงวัยพูดด้วยน้ำเสียงช้า ชัดถ้อยชัดคำ  จนแจบอมไม่ต้องถามอะไรซ้ำอีก  เพราะเขาได้ยินทุกอย่างชัดเจน  แค่สมองยังประมวลผลตามไม่ทันเท่านั้น  หลังจากอึ้ง  ตกตะลึงกับเงื่อนไข  ดวงตารีเรียว ทรงพลังก็ลอบมองไปยังร่างบางที่คงยืนนิ่งอยู่ด้านหลังผู้สูงวัยอีกครั้ง 

     

     


    ....จดทะเบียนกับผู้ชายเหรอ  ในบางประเทศรวมถึงเกาหลี อนุญาตให้ทำได้แล้วไม่มีปัญหาอะไร  เด็กปาร์ค จินยองนั่นก็ดูต้องตาต้องใจเขาไม่น้อย ทั้งสวย น่ารัก  ดูเรียบร้อย  อ่อนหวานดีไม่หยอก  แค่ยอมแต่งงานก่อน พอได้ของที่ต้องการจะหย่าทิ้งเมื่อไหร่ก็ได้ไม่ใช่เหรอ  ได้ของแถมเป็นหนุ่มน้อยรูปงามมาให้เชยชมฟรีๆด้วยแบบนี้  ยังจะมีอะไรให้ปฏิเสธกัน

     

     


    "ผมตกลง" แจบอมกระตุกยิ้มหล่ออย่างมาดมั่น  ถึงราคาที่ดินในเอกสารจะสูงเอาการสักหน่อย (สูงกว่าราคาประเมินไปไกลมาก)  แต่เขาย่อมเล็งเห็นแล้วว่ามันคุ้มค่ากับการลงทุนทำธุรกิจในอนาคตอย่างแน่นอน  ซึ่งเขาก็ไม่เคยคาดการณ์ผิดพลาด มิเช่นนั้นธุรกิจของเขาคงไม่เติบโตอย่างมากจนถึงทุกวันนี้

     


     

    "งั้นคุณช่วยลงนามในเอกสารทั้งหมดต่อหน้าเจ้าหน้าที่เลยนะ  อันดับแรกคือทะเบียนสมรสนี่  แล้วเราค่อยเซนต์สัญญาซื้อขายกันทีหลัง  ส่วนเงินสดเพราะเป็นตัวเลขจำนวนที่สูงอยู่  คุณสามารถโอนเข้าบัญชีของผมในธนาคารที่สวิสฯ ตามนี้ได้เลย"

     

     


    "เร่งรัดอะไรเบอร์นี้  แต่ก็ดีไม่เสียเวลาหลายรอบ ทุกอย่างจะได้จบในวันเดียว" แจบอมไม่ได้คัดค้านอะไร  เขาและจินยอง จรดปากกาลงชื่อในทะเบียนสมรสกันต่อหน้าเจ้าหน้าที่ที่คุณ ลี เชิญมา  แล้วค่อยเซนต์สัญญาซื้อขาย  จ่ายเงินกันจนเป็นที่เรียบร้อย 

     

     


    เพราะอยากได้ที่ดินผืนนี้จัด  หรือเพราะอดนอน หรือเพราะโดนเร่งรัด  หรือเพราะหลงเสน่ห์ของเด็กคนนั้น  แจบอมก็ยากจะทบทวน  แก้ไข  ทุกอย่างเกิดขึ้นไวมากหลังจากที่คุณ ลี อธิบายเสร็จ  ปาร์ค จินยอง  ไม่ใช่สิ  อิม  จินยองก็เดินร่วมทางตามเขาต้อยๆกลับออกมาจากหอศิลป์แห่งนั้นด้วยเสียแล้ว 

     


     

    คุณลีปิดการขายได้ตั้งแต่ผู้ผ่านการคัดเลือกคนแรก  เพราะเจ้านายของเขาถูกชะตากับชายตาตี่คนนั้น  เขาจึงถูกเลือกแล้ว  ผู้ที่ผ่านการคัดเลือกคุณสมบัติก็คือต้องโสด  และมีเงินสดมากพอที่แสดงถึงฐานะหลักประกันอันมั่นคงไม่มีหนี้สิน จากนั้นก็มาดูหน้าตา บุคลิก  นิสัยใจคอ  รวมถึงอายุ  ผู้ที่ผ่านก็มีไม่กี่คน  นอกจากอิม  แจบอม แล้วก็ยังมี มาร์ค ต้วน ทายาท     ต้วนพร๊อบเพอตี้เจ้าของธุรกิจอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่  ซง มินโฮ ทายาทสายการบินแห่งชาติ    เครือโรงแรมห้าดาว  แห่งซงกรุ๊ป และคิม ยูคยอม  ทายาทเจ้าของค่ายเพลงยักษ์ใหญ่และสถานีโทรทัศน์ที่ดังที่สุดในเกาหลี  ส่วนเจ้านายที่ว่าเป็นคนเลือกหน่ะก็คือคนที่เดินตามอิม แจบอมคนนั้นออกไปแล้วไงหล่ะ   คงหมดหน้าที่สำหรับคนแก่ตรงนี้แล้ว   ขอให้คุณหนูจินยองมีความสุขกับสิ่งที่เลือกนะครับ 

     

     


    คุณลีคืออดีตหัวหน้าพ่อบ้านของตระกูลปาร์คที่ยังเหลืออยู่  เป็นคนสนิทที่ครอบครัวปาร์คไว้ใจให้คอยดูแลจินยองมาตั้งแต่เด็ก  และเป็นคนคอยปกป้องเลี้ยงดูแก้วตาดวงใจทายาทคนสุดท้ายของตระกูล  หลังจากครอบครัวปาร์คต้องล้มละลายและลาจากโลกนี้ไป  คุณลีเป็นผู้มีพระคุณ และเป็นคนที่จินยองเคารพรักมากที่สุดที่ยังมีชีวิตเหลืออยู่บนโลกนี้   แต่พักหลังๆมาคุณลีสุขภาพไม่ค่อยดี  และยังมีหลานวัยแบเบาะที่ป่วยเป็นโรค รักษายาก 1 ในล้านที่ต้องมีค่าใช้จ่ายสูงมาก  จินยองเลยคิดขายที่ดินที่เป็นสมบัติชิ้นสุดท้ายของตระกูลเพื่อนำเงินมาช่วยค่ารักษา และตอบแทนบุญคุณของคุณลีที่ดูแลเขามาตลอด  ตอนแรกคุณลีค้านหนักเพราะที่ดินผืนนี้และหอศิลป์นั่น เป็นความทรงจำ ความภูมิใจ มีความหมายและความสำคัญต่อตระกูลปาร์ค และจินยองมาก  แต่จินยองบอกว่า  จะหาผู้ซื้อที่สามารถดูแลทรัพย์สินของตนต่อได้  จะสรรหาคนที่มีฐานนะมั่นคงพอที่จะไม่นำพวกมันไปขายทำกำไรต่อ  และยอมรับจินยองไปดูแลด้วย  คุณลีจึงหมดห่วง  รับเงินกลับบ้านไปใช้ชีวิตบั้นปลายดูแลหลานและอยู่กับครอบครัวที่ต่างจังหวัด

     

     


    ตั้งแต่ที่พวกคุณพ่อคุณแม่ถูกเพื่อนสนิทโกงจนต้องจากโลกนี้ไป  จินยองก็ไม่เคยไว้เนื้อเชื่อใจใครอีกเลย  นอกจากคุณลี  อาจดูเหมือนเก่งต่อหน้าคุณลี  แต่จริงๆแล้วตัวเขาก็หวั่นใจอยู่ไม่น้อย   จินยองก็ไม่รู้หรอกว่าคุณ อิม แจบอมคนที่ยอมเป็นคู่สัญญาจะทำยังไงกับเขา  ทั้งทรัพย์สิน และชีวิต  ตอนนี้ไม่มีอะไรเป็นของเขาอีกแล้ว    จินยองหวังแค่ว่าเขาน่าจะดูคนไม่ผิด  และยินดีจะฝากชีวิตติดตามอิมแจบอม คนนี้  แม้ว่าถ้าหากคุณแจบอมรู้ความจริงตอนหลังแล้วจะรังเกียจในวิธีการของเขาก็ตาม 

     

     


    **************

     


     

    งานในส่วนของออฟฟิตที่ต้องจัดการภาคเช้าของอิมกรุ๊ปทั้งหมดนั้น จะมีอิม ยองแจ น้องชายของอิม แจบอมเป็นคนดูแลหลัก  เขาต้องออกงาน  ออกหน้าออกตา ออกสื่อมากกว่าเจ้าของตัวจริงที่เป็นคนควบคุมทุกอย่างอยู่ด้านหลังอีกที  นอกจากนั้นยองแจยังดูแลเรื่อง HR (งานบุคลากร) รวมถึงเรื่องต่างๆด้านกฎหมายด้วย  ยองแจจึงเป็นที่รู้จักในสังคมไฮโซ ด้วยฐานะ และ รูปร่างหน้าตา   แถมยองแจยังถูกจัดเป็นเซเลปดังอันดับต้นๆในหมู่ชนชั้นสูงคนหนึ่ง  ทำให้คอนแน็กชั่นของอิมกรุ๊ปกว้างขวางขึ้น  ทั้งในหมู่ชนชั้นปกครอง เหล่ามหาเศรษฐี  นักการเมือง นายธนาคาร และนักลงทุนกระเป๋าหนักทั้งหลาย  ถึงอายุจะยังน้อยแต่เขาก็เขี้ยวลากดินพอตัว สามารถใช้เส้นสายที่กว้างขวางหาลูกค้าเข้าคาสิโน  รวมถึงขอความคุ้มครองจากตำรวจให้มาสอดส่องดูแลสถานประกอบการของพวกเขา  โดยยองแจทำตัวเป็นนักธุรกิจด้านสว่าง  ในขณะที่แจบอมเป็นคนดีลจัดการธุรกิจด้านมืด ธุรกิจของอิมกรุ๊ปเพิ่งมาก่อร่างสร้างตัวด้วยน้ำมือของพวกเขาเองเมื่อไม่ถึงสิบปีมานี่  เรียกว่าแรกเริ่มเดิมทีเริ่มจากศูนย์ไม่ได้อาศัยสมบัติบารมีเก่าจากบิดามารดาแต่อย่างใด  เพราะทั้งสองคนมาจากสถานเลี้ยงเด็กเด็กกำพร้าธรรมดาๆ  ที่พ่อแม่เสียชีวิตจากไซท์งานถล่ม  พวกเขาต้องอาศัยโชคมหาศาลแค่ไหนกว่าจะมาถึงจุดนี้ได้กัน

     

     


    แต่นั่นคือมุมมองของคนนอก  อิมแจบอมมักบอกกับตนเองและคนรอบข้างว่า  เขาไม่เชื่อว่าตนเองเป็นคนโชคดี  ทุกอย่างที่ตนทำได้ดีและประสบความสำเร็จนั้น ล้วนมาจากความพยายามด้วยตัวเองทั้งสิ้น  ตั้งแต่จำความได้  ก็ถูกทิ้งอยู่ในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า  พร้อมกับน้องชายคือยองแจ  ที่อายุห่างกัน 4 ปี  แถมครอบครัวที่รับพวกเขาไปอุปการะก็เป็นอดีตมาเฟียตกยาก  พ่อบุญธรรมต้องการออกจากวงการมาใช้ชีวิตอย่างคนปรกติสามัญชน  ทำให้ถูกตามล่า  ช่วงนั้นพวกเขาใช้ชีวิตมาอย่างยากลำบาก ต้องคอยหนีหัวซุกหัวซุน  อดมื้อกินมื้อ จนถึงวัยรุ่น  คุณพ่อบุญธรรมก็ถ่ายทอดเล่าเรื่องราวสังคมอีกด้าน  การดำเนินชีวิต และเทคนิคการเอาตัวรอดในวงการผิดกฎหมายให้สองพี่น้องรับรู้  แต่บอกถึงผลเสียในด้านที่ไม่ดีไว้ด้วย   แจบอมเป็นคนขยัน และมุ่งมั่น  เขาหวังว่าสักวันชีวิตของครอบครัวคงจะดีขึ้น  เขารับจ้างทำงานพิเศษต่างๆตั้งแต่ยังเป็นเด็กมัธยมต้น  จนถึงมัธยมปลายเขาก็ทำงานหนักมากขึ้น  รวมถึงงานกลางคืนด้วย  ตอนแรกก็เป็นแค่เด็กโบกรถในร้านอาหารแห่งหนึ่ง  ทำไปทำมาก็ได้รู้จักคนเยอะแยะไปหมด  แม้จะไม่ใช่คนคุยเก่ง เข้าสังคมง่ายแบบยองแจ  แต่ด้วยรูปร่าง หน้าตาที่ดูดีเป็นหนุ่มเกินวัยก็ช่วยเป็นใบเบิกทางให้อะไรหลายๆอย่าง  ตอนหลังจึงได้งานใหม่เป็นคนแลกชิพในบ่อนคาสิโนเล็กๆแห่งหนึ่ง

     


     

    นั่นเป็นจุดเริ่มต้นให้แจบอมมีโอกาสศึกษาหาความรู้ในสถานที่ๆเด็กอายุ ต่ำกว่า 18 ปีห้ามเข้า  แจบอมทำงานได้ไม่นานก็สนิทกับทั้งดีลเลอร์ บาร์เทนเดอร์  เด็กเสริฟ  เมด  แม่ครัว  ไปจนถึงคนสวน และยังลูกค้าอีกมากมายนับแทบไม่หมด งานที่นี่แม้เงินเดือนจะน้อยแต่ทิปดีมากทำให้ความเป็นอยู่ของเขาเริ่มดีขึ้น  แต่แล้วในวันหนึ่งที่โชคร้ายก็มาเยือน  คุณพ่อบุญธรรมได้รับอุบัติเหตุทางรถยนต์จนเสียชีวิต   เจ้าของคาสิโนที่แข็งแรงใจดีไม่ทีทายาทที่ไหนก็เกิดหัวใจวายเฉียบพลันเสียชีวิตกะทันหันไปอีกคน  พนักงาน ลูกจ้างทั้งหมดตกงานทันที  คนที่มีที่ไปก็ไปหางานอื่นทำต่อ  แต่หลายคนมีภาระ มีครอบครัวหนี้สิน  ก็ไม่รู้จะไปไหน  แจบอมเหมือนเป็นเสาหลักที่พอมีความคิดอ่าน ต่อสู้โชคชะตาอย่างไม่ยอมแพ้แม้อายุยังน้อย  งานประจำที่อยู่หน้างานคือห้องแลกชิพ ในนั้นมีตู้เซพเก็บเงินสดที่พอมีเหลือ  โดยมีเพียงเขามี่รู้รหัสเซพ รู้เบอร์บัญชีธนาคารของบ่อน  เพราะได้รับความไว้วางใจให้จัดการด้านเงินมาระยะหนึ่งแล้ว  แจบอมจึงตัดสินใจลองเปิดกิจการต่อ  แม้จะทุกลักทุเลในช่วงแรก  แต่ทุกอย่างก็ค่อยๆลงตัวและดีขึ้นจากความช่วยเหลือของคนที่ยังอยู่เป็นลำดับ  สุดท้ายเขาก็ออกจากโรงเรียน มาทุ่มเทเรียนรู้งานเต็มตัวปำ  ลองผิดลองถูกจนกิจการไปได้ดี และค่อยๆขยายสาขา  มีเงินส่งยองแจไปเรียนกฎหมายที่ฮาวาด์  นอกจากเรียนเอาปริญญาแล้วยองแจยัง  ต้องลงคอรสบริหารธุรกิจสั้นๆ ที่ทางมหาลัยเปิดด้วย  ที่เขาลงทุนเลือกมหาวิทยาลัยดังให้ยองแจนั้น  เพราะต้องการ คอนเน๊กชั่น  เปิดโลกกว้างและทำความรู้จักกับคนมากๆกับสร้างประวัติโปรไฟล์ที่ดีงามให้ยองแจด้วยส่วนหนึ่ง  เพื่อประโยชน์การทำธุรกิจในอนาคต  และมันก็เป็นรูปเป็นร่างมั่นคงแล้วในปัจจุบัน

     



    ทำแต่งาน งาน งาน  จนถึงตอนนี้ก็ไม่เข้าใจว่าจะเอาเงินไปเก็บไว้ที่ไหน  รู้ตัวอีกทีก็ผ่านชีวิตโสดมา 29 ปีเสียแล้ว  อดขำให้ตัวเองไม่ได้  ความรักคืออะไร  ถ้าบอกว่าไม่รู้คงจะโดนลูกน้องทั้งหลายหัวเราะเยาะน่าดูหล่ะมั้ง  แล้วจู่ๆก็จดทะเบียนสมรสกับใครก็ไม่รู้มาซะงั้นอีก  ถ้าเรื่องถึงยองแจเข้าคงบ้านแตกแน่ๆ  ถึงรายนั้นจะพูดพร่ำทุกวันให้รู้จักหาความสุขใส่ตัวบ้างเถอะ  แต่เอาเข้าจริงก็ดูจะเป็นห่วงคอยสกรีน ซักประวัติคนที่จะเข้ามาคบกับผมอย่างละเอียดทุกราย  ถ้ารายไหนไม่ผ่านเป็นที่พอใจก็ไล่จะตะเพิดไปโดยไม่เคยถามความเห็นผมสักคำ  แต่เอาเถอะเวลากินนอนก็ไม่เหมือนชาวบ้านชาวช่องเขาแบบนี้  คนที่สามารถใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันกับผมได้น่าจะมีอาชีพเป็นยามมากกว่า  ดำเนินชีวิตผิดไทม์ไลน์จนร่างกายประท้วง  อยู่ๆก็เป็นภูมิแพ้ทั้งที่ตอนเด็กๆก็แข็งแรงดี  มาคิดดูดีๆแล้วลองผ่อนคลาย  ปล่อยวางบ้าง  ใช้ชีวิตสโลไลฟ์บ้าง  ก็คงไม่เลวกระมั้ง

     

     

     

    *************

     

     

     

    ปาร์ค จินยองวัย 20 ปี  เขากำลังอยู่ระหว่างการเรียนด้าน Art business ที่สถาบันคริสตี้  องค์กรจัดการประมูลงานศิลป์ที่ใหญ่ที่สุดของโลก  ในสาขาผู้เชียวชาญการตรวจพิสูจน์เอกลักษณ์ภาพเขียน  งานที่จบมาแล้วทำอะไรไม่ได้นอกจากอยู่กับ Auction house  หอศิลป์  หรือมหาเศรษฐีที่ร่ำรวยสักคน  ทางบ้านของเขาไม่ได้บังคับว่าจะต้องเรียนจบอะไร  หรือทำงานที่ไหน  ด้วยสมบัติเก่าตั้งแต่บรรพบุรุษนั้นมีมากมายใช้ไม่น่าหมด  แต่ที่จินยองเลือกเรียนด้านนี้เพราะเห็นว่าคุณพ่อได้ร่วมหุ้นกับเพื่อนสนิท เพื่อเปิด สถาบันประมูลงานศิลป์ในเกาหลี  โดยตั้งใจทุ่มเทมาก  เพราะคุณพ่อเป็นผู้ที่รักงานศิลปะอย่างมาก และสิ่งนั่นก็ตกทอดมาถึงตัวเขาเต็มๆ  แต่ไม่ทันที่จินยองจะเรียนจบไปช่วยงาน  ธุรกิจที่วางโครงการมาอย่างดีกลับล้มไม่เป็นท่า  เงินสำรอง และทรัพย์สินที่สั่งสมมาของตระกูล หมดไปกับการซื้องานศิลป์ของปลอม  ที่โดนเพื่อนหลอกขายว่าได้มาจากตลาดมืด  แล้วยังไปปล่อยข่าวทำลายชื่อเสียงว่าคุณพ่อของเขาจงใจทำธุรกิจฉ้อโกง  ขายของเลียนแบบให้ลูกค้า  ช่วงนั้นสื่อต่างประโคมข่าวเสียๆหายๆ  พวกที่โดนหลอกขายงานเลียนแบบไปก็กลับมาเอาเรื่อง  คุณพ่อต้องใช้เงินจำนวนมากมาปิดข่าวอีกจนจินยองมารู้ทีหลังก็เมื่อคุณพ่อได้จากไปแล้ว  และข่าวพวกนั้นได้เงียบไปจากเกาหลีแล้วสักพักหนึ่ง

     

     


    คนที่ที่คอยตอบโทรศัพท์ จดหมาย  ข้อความ  ติดต่อกับผมแทนครอบครัวได้แต่ยืนยิ้มจางๆตอนไปรับผมกลับมาจากสนามบินเพื่อเยี่ยมครอบครัวตอนปิดภาคตามปรกติ  คุณลีพาผมมายังหอศิลป์ ที่ดินผืนสุดท้ายและเล่าทุกอย่างให้ผมฟังด้วยความเสียใจไม่แพ้กัน  ผมโกรธ  เกลียดเพื่อนคนนั้นของคุณพ่อมาก  แต่ที่มากกว่านั้นคือความเสียใจที่คุณพ่อตัดสินใจทิ้งผมและทุกอย่างไปโดยลำพัง  ท่านถูกเลี้ยงมาอย่างเข้มงวดแบบผู้ดีไม่เคยต้องตกทุกข์ได้ยากหรือทำงานหนักโดยคุณปู่ผู้มีเชื้อเจ้า  สปอย์เอาใจจนไม่เคยผิดหวัง  ทำอะไรก็ไม่สำเร็จเป็นชิ้นเป็นอัน  อยากได้อะไรต้องได้  ไม่เคยต้องรับแรงกดดันมหาศาล  หรือแก้ปัญหางานอะไรเอง จนเป็นผลเสียให้ไม่มีภูมิคุ้มกันความล้มเหลวผิดหวังอยู่เลย  แต่อย่างน้อยท่านก็สอนให้พวกเราลูกหลานเป็นคนดี  ไม่คดโกงใคร  แต่ถ้าการเป็นคนดี ซื่อตรงมันจะอยู่ต่อไปได้ยากในโลกใบนี้  ผมคงต้องหาวิธีอะไรสักอย่างเพื่อชำระแค้นนี้ให้ได้  ผมต้องการเงินสักก้อนใหญ่ๆ และใครสักคนมาช่วยสร้างโฟรไฟล์ให้ฐานะของผมดูน่าเชื่อถือ  หลังจากศึกษาข้อมูลมาอย่างดีพักใหญ่  ในเดือน 6 หลังจากที่ผมกลับมายังเกาหลี  ในเช้าที่ดอกเชอรี่บลอสซั่มเบ่งบานสวยงามอย่างที่สุด  บุคคลแห่งโชคชะตาคนนั้นก็เดินเข้ามา 

     


     

    อิมแจบอม  แห่ง อิมกรุ๊ป  ผมถูกใจเขาตั้งแต่แรกเห็น  มือหนาใหญ่หยาบกร้าน  ไม่แตะต้องสิ่งใดในหอศิลป์แห่งนี้เลย  แต่กลับมองงานเหล่านั้นด้วยแววตาชื่นชม  หลงใหล  คนที่รู้มูลค่าของพวกมันไม่กล่าวยกย่อง  ชมเชยอะไร  แต่แค่สายตาที่ทอดไปยังชิ้นงานั้นๆ  บอกได้เลยว่าเขาดูเป็นพวกคลั่งไคล้งานศิลปะตัวยงคนหนึ่ง  ดูมีความอาร์ต ความชิค ดูติส  ขัดกับบุคลิกผู้บริหารระดับสูง  เพราะเล่นเจาะหู ใส่จิว เป็นพวง พร้อมชุดสูทเต็มยศ  ความย้อนแย้งที่แสนมีเสน่ห์นี้  ทำให้ผมตกลงเลือกเขาที่เข้ามาคนแรกโดยไม่เปิดใจให้ช้อยส์ อื่นๆต่อไปไปเลยด้วยซ้ำ  ผมพยักหน้าให้คุณลีเป็นการตกลงให้เริ่มทำสัญญา   อิมแจบอมยิ้มน้อยๆอย่างยินดี (ดูหล่อมาก)  เมื่อดูแล้วเขาเองก็พอใจ  คิดว่าเขาคงสนใจแค่ที่ดินแหละ  ผมมันตัวแถม  และผมจะไม่เสียใจกับการตัดสินใจในครั้งนี้   ...

     

     


    ****************************

     


     

    มันคงจะเหมือนกับความฝันเลยที่ได้จับมือคนที่จะมาใช้ชีวิตร่วมกันเดินผ่านอุโมงค์ดอกไม้แสนสวยพวกนี้  มือบางกำลังจะเอื้อมมือไปจับมือหนาของคนที่เดินนำหน้า  แต่จินยองก็พลาดไป( ว๊ายย นก)  เพราะอยู่ๆร่างหนาตรงหน้าก็ไส่เกียร์หมาวิ่งแนบนำหน้าไปอย่างรวดเร็ว   คุณแจบอมเป็นอะไร  เขารังเกียจจินยองเหรอไม่ทันรอให้ความสงสัยที่ก่อตัวขึ้นทันตกตะกอน   จินยองกลัวคนข้างหน้าจะทิ้งระยะไป  จึงออกวิ่งตามไปทันทีโดยไม่คิดชีวิต  จะหนีเค้าอย่างงั้นเหรอ!!?

     

     


    "คุณ  คุณ  เป็นอะไรหรือเปล่า? "  แทนที่ร่างบาง  อ้อนแอ้นจะทรุดลงเพราะเหนื่อยจากการวิ่งทางตรงเกือบ 1 กิโลเมตร  จริงๆน่าจะเรียกว่าวิ่งวิบากซะมากกว่าเพราะต้องคอยหลบคนนู้นคนนี้  อ้อมหลังหลังกล้องคนที่กำลังถ่ายรูป หลบรีเฟล็ก ที่ทำให้ลำบากกว่าวิ่งปรกติ  กลายเป็นต้องนั่งยองๆลงไปประครองดูอาการของคนร่างหนาที่แทบหมดสภาพพิงรถสปอร์ทสีดำคันหนึ่งอยู่ริมฟุตบาท  พร้อมกับหอบหายใจหาอาหาศอย่างเอาเป็นเอาตาย

     

     


    "คุณแจบอม  ค่อยๆหายใจนะครับ  ใจเย็นๆ  ช้าๆ  ครับ  มันจะไม่เป็นอะไร  เชื่อผมมือนุ่มค่อยๆลูบไหล่กว้างปลอบขวัญ  อีกมือก็ถอดผ้าพันคอที่หยิบติดก่อนออกมา ขึ้นพันปิดจมูก กับปากคนตัวใหญ่  ช่วยกรองอากาศ ดักเกสรดอกไม้ที่เป็นสาเหตุของภูมิแพ้ให้  แล้วยังพูดให้กำลังใจอย่างดี  จนแจบอมรู้สึกดีขึ้นมาบ้าง  จินยองเคยปฐมพยาบาลเพื่อนที่มีอาการแบบนี้ จึงไม่ได้ตกใจอะไร

     


     

    "โอเคขึ้นหรือยังครับ   จินยองเรียกรถพยาบาลให้ดีกว่าไหม?" ตากลมสุกใสดังตาลูกกวาง  มองมาทางเขาอย่างห่วงใย  สภาพของเขามันน่าเป็นห่วงขนาดนั้นเลยเหรอ  มือเล็กนุ่มนิ่มเลื่อนมากุมมือของใหญ่ไว้แนบแน่น  คอยบีบกระตุ้น ปลอบประโลม

     

     


    "ไม่ต้อง  ผมโอเคแล้ว" แจบอมค่อยหายใจช้าลึก  อยู่สักพักจนรู้สึกค่อยยังชั่ว  จึงจับผ้าพันคอสีน้ำเงินนุ่มที่มีกลิ่นหอมอ่อนๆ  ทำให้ผ่อนคลาย สบายใจขึ้นมาพันรอบคอจนปิดไปครึ่งหน้าอย่างเรียบร้อย  แล้วลุกขึ้นยืนกดกุญแจรถสปอร์ท เปิดประตูให้จินยองเข้าไปนั่ง  แล้วก็เดินไปประจำที่คนขับ  เพื่อออกไปจากสถานที่แห่งนั้น  ...รู้สึกเขินและขายหน้าชะมัด  หนุ่มหล่อแอบก้มหน้าบ่นตัวเองในใจ  ผิดกับคนข้างกายที่มีแต่รอยยิ้มส่งมาให้  ยิ้มอะไรนักหนา  ยิ้มจนหนวดแมวขึ้นแก้มเต็มหน้าแล้วนะ  ชิ!!

     


     

    รถหรูแล่นมาจอดยังที่จอดรถ VIP ของโรงแรมดัง  ก่อนที่ร่างของเจ้าของโรงแรม และผู้มาใหม่จะเดินออกมาเพื่อโดยสารลิฟต์พิเศษไปยังห้องพักชั้นบนสุด  เป็นเจ้าของโรงแรมทั้งทีจะนอนอยู่บ้านก็กระไร  ใช้เป็นที่พักและที่ทำงานด้วยไปเลยดีกว่า  ห้องพิเศษกินเนื้อที่ทั้งชั้นที่ไม่เคยต้อนรับใคร  ตอนนี้จินยองคือมนุษย์คนแรกที่ได้เข้ามาไม่นับแม่บ้าน และตัวเขาซึ่งเป็นเจ้าของห้องนี้นะ

     


     

    "หน้าบึ้งทำไม  มีอะไรไม่ถูกใจเหรอ?" แจบอมถามผู้มาใหม่ที่จะมาเริ่มใช้ชีวิตกับเขาต่อจากนี้ด้วยท่าทีผ่อนคลาย ไม่ได้คุกคามหรือกดดันอะไร 

     

     


    "ป่าวหรอกครับ  แค่จินยองนึกไม่ถึงว่าคุณจะอาศัยอยู่ในโรงแรมเลยแบบนี้  อย่างนั้นงานบ้านและอาหารก็คงจะมี เมดเป็นคนทำ พ่อครัวระดับมิชิลินของโรงแรมก็คงจะเสริฟอาหารที่รสเลิศให้อยู่แล้ว  ผมกำลังคิดว่าผมจะมีประโยชน์อะไรได้บ้าง  ซึ่งก็ดูเหมือนจะไม่มีเลยนี่สิ"  เจ้าของใบหน้าน่ารักพองลมจนแก้มป่อง  มองซ้ายมองขวาสำรวจภายในห้องไปอย่างใช้ความคิด

     

     


    "ก็ผมอยู่คนเดียวของผมมาตั้งนานแบบนี้  คุณเพิ่งมาอยู่ด้วยกันนี่  ตอนนี้ก็ยังไม่ต้องทำอะไรหรอก"  แจบอมเดินเข้าไปขยี้ผมลูบหัว  เริ่มต้นทำความคุ้นเคยกับคนที่จะมาเป็นส่วนหนึ่งของเขาต่อไปนี้

     


     

    "อ๊า  ผมเสียทรงหมด" ร่างบางยู่ปากอิ่มสวยของตัวเองออกมาอย่างน่ามอง  ทำไมเป็นเด็กที่แปลกคน  ตามเขามาต้อยๆโดยไม่อิดออด  ไม่ถามอะไรกวนใจ  มีมารยาท  แล้วยังช่วยดูแลเขาต้อนภูมิแพ้กำเริบอีก  เป็นเด็กดี  ใจดีด้วย  มีคนมาดูแลเวลาร่างกายอ่อนแอก็ดีเหมือนกันนะ  แล้วความคิดในการมีใครสักคนข้างๆของแจบอมก็เริ่มต้นเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา  หากไม่ติดประโยคที่เด็กจินยองคนนั้นเอ่ยต่อมาว่า...

     

     


    "เอ่อ  คุณแจบอมครับ  จากนี้ไปจินยองขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ  ผมจะทำหน้าที่ดูแลคุณให้ดีที่สุดเท่าที่คนคนนึงจะทำได้  แต่ผมอยากจะบอกคุณว่า  ผมไม่ใช่คนดีหรอกนะ  ผมมาเพื่อหาผลประโยชน์จากคุณ!!??"




    TBC. 






    อยากจะลงก่อนตอนนี้ แต่ต้องแบ่งพาร์ทเพราะมันยาวค่ะ  ลีดเดอร์อิม แจบอมของเราเรากลับมาปรากฏกายออกงานล้าววว ดีจัยยยยย หายวันหายคืนน๊า  งือออออ  เราอยากจะถามรี๊ดว่า  SFเราควรจะมี NC บ้างเพื่อเรียกเรทติ้งบ้างไหมเนี่ย 555  แต่เขียนธรรมดายังแทบล่ม เกรงว่าเขียนพิศดารอาจจะไปไม่รอด  รักรี๊ดทุกคนน๊า  /จุฟๆ

    © themy butter
    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×