คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #1 : Intro The Move "เปิดสภาวะการหลบหนี"
ในวันที่ทุกอย่างจบสิ้นนั้น ผมทรุดตัวลงคุกเข่าอยู่บนเรือกองทัพจ้องมองออกไปสู่ทะเลอันไร้ที่สิ้นสุดพลางจับปืนจ่อมาที่ขมับตัวเอง
มันจบสิ้นแล้วละทุกสิ่งทุกอย่าง
“พอทีความเจ็บปวด”
“ก็อดอย่า!!”
!!ปัง!!
INTRO MOVE
ค.ศ. 2014 15 นาฬิกา 40 นาที
ตอนนี้เวลาประมาณ 15.40 นาฬิกา ผมและเพื่อนกลุ่มหนึ่งมีผมและผู้ชายอีกสองคือ นอสกับไมค์ และผู้หญิงอีกสองคือ อังกับเซนท์ กำลังนั่งกินข้าวอยู่ในโรงอาหารของห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่แห่งหนึ่ง
ซึ่งในบริเวณรอบๆโรงอาหารนี้ส่วนมากจะเป็นนักศึกษาของวิทยาลัยผมเพราะว่าอาจารย์ที่สอนภาษาไทยเขาได้พาพวกเรา ปวช.1/1 ปวช.2/1 และ ปวช.3/1 พามาดูละครเวทีเพื่อให้เราได้สืบสารวัฒนธรรมไทยให้แด่ลูกหลานต่อไป
ซึ่งผมก็ไม่เข้าใจว่ามันเกี่ยวกันยังไงหรืออาจจะเกี่ยวเพราะตอนนั้นที่เข้าไปในโรงละครผมได้นั่งเก้าอี้ปุ้บก็หลับเป็นตายเลย
ชึ่งตอนนี้ผมก็อยู่ ปวช.3 แล้ว ซึ่งคณะอาจารย์ของวิทยาลัยนี้ก็พามาดูทุกปี แต่ก็ไม่สำคัญหรอกเพราะผมก็หลับทุกปีนั้นแหละ
“เห้ย ก็อด(God)” นอสเรียกผม ซึ่งตอนนั้นผมกำลังเคี้ยวข้าวที่อยู่ในปากอยู่ผมก็ได้แต่ทำเสียงว่า “อือ”
“ฝากชื้อน้ำไหม?” นอสพูดพร้อมกับยืนขึ้น
ผมกลืนข้าวลงและล่วงมือเข้าไปหยิบกระเป๋าตังค์ในกางเกงสแล็คสีดำ(เครื่องแบบนักศึกษา) และหยิบแบงค์ยี่สิบออกมาจากกระเป๋าตังค์ “เอาเบอรี่เดอะบอสแก้วหนึ่ง(น้ำผลไม้ปั้น)” ผมตอบแบบกวนๆ
“ห่ะ!!” นอสทำสีหน้าตกใจ
“งั้นกูเอาคาปูชิโน่เพิ่มวิปครีบด้วย” ไมค์ต่อมุขผม
“มึงไปซื้อเองเหอะ” นอสตอบกลับพร้อมทำหน้าเซ็ง ส่วนอังและเซนท์ก็หัวเราะออกมาหน่อยในมุขของผม “ตกลงเอาไหมเนี้ย….น้ำเปล่า” นอสย่ำอีกที
“เอาน้ำเปล่าขวดหนึ่ง” ผมบอกนอสพร้อมยื่นแบงค์ยี่สิบให้
“กูเอาแป๊บซี่แก้ว” ไมค์บอกพลางหยิบเหรียญสิบสองเหรียญยื่นให้นอส
“น้ำส้มแก้วหนึ่ง…ออกให้ก่อนน่ะมีแต่แบงค์พัน” เซนท์บอกนอส
“อืมและอังล่ะ” นอสถามอังที่กำลังนั่งเล่นมือถืออยู่
“เออ…เดียวกินกับเซนท์” อังตอบ
จากนั้นนอสก็เดินฝ่าฝูงชนไปชื้อน้ำให้พวกผม “ไหนๆมาถึงนี่แล้วดู อุลตร้าแมนเดอะมูฟวี่ เป็นเพื่อนกูหน่อยสิ” ผมทำบิดขี้เกียจและบอกไมค์
“มึงดูด้วยหรอ?” ไมค์ขมวดคิ้วถามผม
“เออ”
ไมค์หันไปมองหน้าอังกับเซนท์ทำเหมือนล้อเลียนผมและไม่นานก็หันกลับมาทางผม “เห้ย!!...เหมือนกันว่ะเพื่อนเดียวกูไปเช็ครอบหนังก่อนน่ะ” ไมค์ทำสีหน้าดีใจแล้วก็เดินย่ำเท้าออกไปเพื่อไปเช็ครอบหนังที่โรงหนัง
ผมทำสีหน้าอึ้งอยู่พักหนึ่งและก็พลางนำมือซ้ายมาเกาหัว “กูพูดเล่นนะเนี้ย” และผมก็ตักข้าวใส่ปากต่อปล่อยให้อังกับเซนท์หัวเราะกันอยู่สองคน
“ก็อดถ่ายรูปให้หน่อยสิ” อังบอกผมพร้อมกับยื่นมือถือของเธอมาให้
ผมกลืนข้าวลงและรับสมาร์ทโฟนมาตั้งท่าพร้อมถ่ายรูปส่วนเซนท์กับอังก็ขยับตัวมาใกล้กันและชูสองนั้ว “เอานะหนึ่ง……สอง…..สา-” ผมยังไม่ทันได้พูดจบไฟของห้างที่เคยสว่างไสวก็ดับ!!พึ่บ!!ทันที
!!ว้าย!! !!เฮ้ย!! !!ไรว่ะ!! !!กริ๊ดดดด!! มีผู้คนต่างร้องโวยว้ายอยู่ในความมืดนั้นสักพักหนึ่ง
ผมที่อยู่ในห้วงความงงอยู่แปปก็ได้ใช้สมาร์ทโฟนของอังที่อยู่ในมือมากดออกจากโหมดถ่ายรูปไปยังหน้าจอหลักก็พบกับรูปของอังและแฟนหนุ่มของเธอถ่ายรูปคู่กัน
ผมเกิดอารมณ์หึงนิดนึงและใช้แสงสว่างของมือถือฉายไปที่อังกับเซนท์ผมก็เห็นเธอทั้งสองทำสีหน้างงและมองไปรอบๆ ไม่นานนักไฟสำรองของตัวห้างก็เปิดขึ้นมาแต่มันเป็นเพียงไฟอ่อนๆแต่ก็ทำให้ผู้คนถึงกับดีใจเล็กน้อย
“เกิดไรขึ้นว่ะ!” เซนท์เอ่ยขึ้นมาพร้อมกับมองไปรอบๆ
“โดนตัดไฟมั่ง….สงสัยห่างใกล้เจ่งแหละ” ผมพูดพร้อมกับยิ้มออกมาหน่อยๆ
“ก็อดถ่ายทันไหม” อังถามผม
ห่วงแต่รูป
“ไม่อ่ะ…ไม่ทัน….จะถ่ายใหม่ไหมล่ะ”
“ไม่เอาแสงไม่ค่อยมีถ่ายมาเดียวมันดำ” อังตอบผมพร้อมยิ้มออกมา
“เห้ยดูนั้นสิ!!” ชายคนนึงที่นั่งอยู่อีกโต๊ะด้านหน้าผมเขาลุกขึ้นจากเก้าอี้และชี้นิ้วมาทางด้านหลังผม
ซึ่งด้านหลังผมนั้นผมจำได้ว่ามันเป็นกระจกบานใหญ่ๆที่เราสามารถมองผ่านมันเพื่อดูวิวบริเวณรอบๆห้างได้และผมก็หันไปทางที่ชายคนนั้นชี้
ผมก็ถึงกับอึ้งเพราะในสิ่งที่ผมเห็นนั้นมันคือเครื่องบินที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อนนับไม่ถ้วนบินอยู่บนฟากฟ้าและเริ่มยิงมิสไซล์ใส่ฝูงชนที่อยู่ตามถนนและถนนทางด่วนและเกิดเสียงระเบิดดังสนั่นถึงกับทำให้คนบริเวณนั้นตกใจและถอยเก้ามาเล็กน้อย
ผมลุกขึ้นจากเก้าอี้ทันทีอังและเซนท์ก็เหมือนกันรวมทั้งผู้คนบริเวณนั้น
หลายคนเริ่มเดินหนีออกจากกระจกนั้นและก็มีมิสไซล์ลูกหนึ่งได้ถูกยิงมาที่ห้างทุกคนเห็นอย่างนั้นก็ถึงกับวิ่งหนีไปคนละทิศละทางพร้อมกับเสียงเอะอะโวยวาย
“ก็อดไปเร็ว” อังพูดพร้อมดึงแขนเสื้อผม
ผมวิ่งตามอังไปส่วนเซนท์นั้นวิ่งนำพวกผมอยู่ ผมวิ่งพร้อมกับหันไปมองมิสไซล์ลูกนั้นมันได้ถูกยิงไปที่ชั้นสองแต่ผมอยู่ชั้นสามและแรงระเบิดก็ดังอยู่ใต้เท้าพวกผมทำให้พื้นถึงกับสะเทือนจนผมแทบทรงตัวไม่อยู่ส่วนอังถึงกับล้มลงไปส่วนเซนท์ผมมองไม่เห็นเธอแล้วเพราะฝูงชนที่แตกตื่นได้บังสายตาผม
ผมจับอังพยุงขึ้นพร้อมกับมองไปที่ฝูงเครื่องบินพวกนั้นมันได้ปล่อยมิสไซล์มาอีกสองสามลูก ผมคาดการณ์เลยว่ายังมิสไซล์พวกนี้ต้องยิงมาที่ชั้นสามชึ่งเป็นชั้นที่ผมอยู่แน่นอน
ผมมองไปรอบๆก็เห็นร้านอาหารร้านหนึ่งที่มีเคาน์เตอร์ที่ทำด้วยปูนอยู่รอบๆร้าน ผมเห็นว่ามันน่าจะพอป้องกันแรงระเบิดได้
“อังไปหลบหลังเคาน์เตอร์นั้นก่อน” ผมตะโกนบอกอังเพราะเสียงเอะอะมันดังมากและผมก็ชี้นิ้วไปที่เคาน์เตอร์ อังลุกขึ้นแล้ววิ่งนำผมไปส่วนผมก็วิ่งตามเธอไปจนถึงหน้าเคาน์เตอร์
อังค่อนข้างที่จะปีนข้ามเคาน์เตอร์ลำบากเพราะมันสูงประมาณ 140 เซนติเมตร อังสูงแค่ 173 ส่วนผม 180 เซนติเมตร ผมเลยต้องช่วยดันตัวเธอให้เข้าไปก่อน จนอังปีนข้ามไปได้
“ก็อดเร็ว” อังบอกผม
ผมปีนไปจนตัวเองนั้นอยู่บนเคาน์เตอร์แล้วแต่ไม่ทันได้ลงไปหลบอยู่ด้านหลังของเคาน์เตอร์มิสไซล์พวกนั้นก็ยิงมาที่พื้นก่อน แรงระเบิดทำให้ร่างของผมถึงกับกระเด็นไปชนกับตู้กระจกของร้านอาหารร้านนั้นที่มีกับข้าวใส่อยู่ แรงกระแทกทำให้กระจกของตู้นั้นแตกและผมก็ฟุบลงมากับพื้นพร้อมกับเลียง วิงวิง อยู่ในหู และไม่นานความมืดก็เริ่มเกาะกินที่นัยตาผม
To Be Continued MOVE 1 >>>>> What To Run
ความคิดเห็น