gypzygirl
ดู Blog ทั้งหมด

เทพนิทาน...ตำนานดวงดาว

เขียนโดย gypzygirl

เทพนิทาน … ตำนานดวงดาว

รวบรวมเรื่องราว, ตำนาน, นิทานดวงดาว ฤดูกาลมาฝากจร้า

(เทพเจ้ากรีก-โรมัน)


บทนำ

Hades


จ้าวนรกฮาเดสเป็นพี่ชายคนรองของมหาเทพซีอุส (ซูส) และเป็นน้องชายของจ้าวสมุทร โพไซดอน ถ้าเรียงตามลำดับพี่น้อง  6 คนของซูส คือ  


โพไซดอน = พี่ชายคนโต  

ฮาเดส = พี่ชายคนรอง  

เฮสเทีย = พี่สาวคนโต  

ดีมิเตอร์ = พี่สาวคนรอง  

เฮร่า = พี่สาวคนเล็ก และ 

ซูส = น้องเล็กสุดท้อง 


(บางตำราว่าฮาเดสเป็นพี่คนโต แต่บางเล่มก็ว่าโพไซดอนเป็นพี่คนโต)

กำเนิดไททัน : 

โครนอส พ่อของซุสเป็นเทพไททัน (ลักษณกายภาพของเหล่าเทพไททันนั้นจะตัวใหญ่มาก ๆ เลยเรียกกันว่า "ยักษ์ไททัน") โครนอสเป็นเทพในเจนเนอเรชั่นที่มีร่างกายแล้ว (แรกเริ่มเดิมทีสรรพสิ่งใดใดนี้ล้วนไร้รูปกาย) เนื่องจากเป็นลูกของเทพีไอกาซึ่งเป็นเทพีองค์แรกที่มีร่างกาย (และร่างกายของไกอาคือแผ่นดิน) เพราะก่อนหน้านั้น เหล่าเทพจะเป็นเพียงพลังงานหรือสภาวะเท่านั้นไม่มีร่าง เมื่อไกอาเกิดขึ้นมาก็ได้สร้างอูรานอส (ท้องฟ้า) แล้วก็มีลูกด้วยกันเป็นเหล่าเทพไททันและอสูรกายต่าง ๆ มากมาย 


โครนอส อาจเรียกได้ว่าคือมหาเทพของพวกไททัน (เพราะโครนอสคือพ่อของโพไซดอน ฮาเดส เฮสเทีย ดีมิเตอร์ เฮร่า และซูส) เป็นเทพแห่งกาลเวลา มือซ้ายถือเคียวคอยคร่าชีวิตคนที่หมดอาขุขัย ส่วนมือขวาถือนาฬิกาทราย


วีรกรรมของ Hades นั้นอาจจะไม่เลื่องลือได้ดั่งน้องชายของตน (หรือซึ่งก็คือ Zeus) วีรกรรมเดียวของ Hades ที่ใครๆ ต่างก็พูดถึงกันมากที่สุดนั้นก็คือ “การลักพาตัว Persephone” เท่านั้นเอง


โดยพื้นเพในสายตาติ่งอย่าง Admin ถือว่า จ้าวนรกฮาเดนั้นจัดเป็นเทพที่นิสัยดีมากที่สุดองค์หนึ่ง เพราะท้าวเธอค่อนข้างรักเดียวใจเดียว ที่แม้เผินๆ อาจจะมองว่าท้าวท่านดูเย็นชา แต่ที่จริงแอบอ่อนโยนแล้วก็เจ้าเล่ห์เล็กน้อยพอกรุ๊บกริ๊บที่หลอกให้เพอร์ซีโฟเน่กินเมล็ดทับทิมของนรก (แต่บางตำราบอกว่าเป็นลูกน้องฮาดีสเป็นผู้วางแผนนั้น ซึ่ง Admin ก็เอียง ๆ ไปทางนี้นี้สส์ ๆ เพราะพื้นเพแล้ว ฮาดีสท่านเป็นเทพที่ยุติธรรม...อ๊อก แต่เรื่องความรักนี่ Admin ไม่รู้ด้วยนะเอ่อ ไม่เคยสอนท่านไว้ซะด้วย ^^")


แม้จะเคยมีข่าวลือ ข่าวเล่าอ้างว่าท้าวท่านเองก็เคยแอบนอกนอกใจมเหสีสุดที่รักแสนสวยอย่างเพอร์ซีโฟเน่แค่  2 ครั้ง (แต่พอเทียบกับความอมตะของเหล่าเทพแล้ว 2 ครั้งนี้พอให้อภัยได้เถอะเน๊อะ ^^") เพราะสุดท้ายท้าวเธอก็ไม่มีเป็นตัวเป็นตนอยู่ดี (เพราะท้ายที่สุดนาง ๆ พากันตายหายกันไปหมด ^^")


ครั้งแรกไปท้าวท่านเผลอไผลนอกใจไปรักกับนางไม้ที่ชื่อ มินธี แต่ข่าวเข้าหูดีมิเตอร์เลยถูกเหยียบตายคาบาท...เรียบร้อยเท้าเทวี (โกรธแทนลูกสาวขนาดนี้ คิดอะไรกะฮาดีสของ Admin ป่ะนี่ - -*) ท้าวท่านสงสารก็เลยเสกให้มินธีกลายเป็นต้นไม้ที่ชื่อ ต้นมินท์ ที่เรากินกับลาบจนราบมาจนทุกวันหนี้ล่ะมั้ง ^^


ส่วนครั้งที่  2 คือนาง เลอซี แต่โชคดีกว่ามินธีตรงที่นางเลอซีตายไปก่อน เลยไม่โดนเทวีดีมิเตอร์ สังหารโดยการกระแทกบาทเบา ๆ !! (ในตอนที่พระนางแปลงกายเป็นยักษ์ตัวใหญ่ตัวโต)


**นางเลอซีเป็นลูกสาวคนหนึ่งของโอเซียนัส เทพไททันองค์ใหญ่ นั่นก็เท่ากับโอเซียนัสเป็นพี่ชายคนโตของโครนอสและมีศักดิ์เป็นลุงของพวกเทพฮาดีสนั่นแหละจร้า**


Hades ไม่ได้ร้าย....อย่างที่หลายคนคิด!

ที่จริงน่าจะจัดให้ท้าวท่านนั้นเป็นเทพเจ้าที่อาภัพสุดๆ ซะด้วยซ้ำ (แต่อาจจะน้อยกว่าเทพแห่งการประดิษฐ์นิดหน่อย) ด้วยเพราะบุคลิกที่พูดน้อย ไม่ค่อยสุงสิงกะใคร และหน้าตาดุ ๆ โหด ๆ ของท่านด้วยแหล่ะมั้ง จึงทำให้ไม่ค่อยถูกพูดถึงในเทพปกรณัมกรีกบ่อยนัก แต่กลับถูกยืมใช้ให้ไปรับบทเป็นตัวร้ายตลอด (คนส่วนใหญ่เลยเข้าใจผิดคิดว่าท่านเป็นพวกเดียวกันกับปีศาจไปซะได้) บางคนเชื่อไปเลยว่าท่านไม่ใช่เทพ เพราะไม่ได้อาศัยอยู่บนโอลิมปัส … ป้าสส์โธ๋ะ!! แถมในทางระบบสุริยะ ชื่อท่านยังถูกทอดออกจากระบบด้วยอะ น่าสงสารซ้ำซ้อนไหมล่ะ!! (มีเรื่องข้อมูลของดาวพลูโตอยู่ล่างสุดด้วยจร้า)


นิสัยเด่นของเฮดีส (หรือฮาเดส ที่ Admin สมัครใจเป็นติ่งมาจนทุกวันนี้) ในตำนานจริงท่านเป็นเทพที่นิสัยดีมาก ๆ … มีเมียเดียว ไม่เจ้าชู้ แถมไม่ค่อยสุงสิงกะใครด้วย ฮาเดสที่ดูน่ากลัวเพราะเป็นคนตรงตัดสินอะไรอย่างยุติธรรม ผิดก็คือผิด ถูกก็คือถูก ดูเย็นชาแต่จริง ๆ แล้วเป็นคนดีที่สุดในบรรดาเหล่าเทพของกรีกเลยก็ว่าได้ ชื่อเสียไม่เคยมี แถมท้าวท่านก็ใช่ว่าจะอำมหิตในการพิพากษาโทษคนที่ตกนรก ยังเคยเห็นความอ่อนโยน ตอนที่ยอมให้ออร์เฟอุสที่เสี่ยงตายลงนรกมาตามหาคนรัก ให้พากลับไปได้ เพราะเห็นแก่ฝีมือการเล่นพิณ แต่สุดท้ายออร์เฟอุสก็คงโดนใครซักคนวางแผนเพื่อให้อยู่เล่นพิณให้ท้าวท่านฟังตลอดไปในนรก (ฮาเดสคงไม่ได้ลงมือเองและไม่รู้เรื่องไรด้วย)


วกกลับมาเล่าเรื่องพี่เรื่องน้องของท้าวท่านกันต่ออีกสักนิดสสส์...

ว่ากันว่าในตำนานจริง คือหลังร่วมมือกันกำจัดโครนอสได้แล้ว เทพทุกองค์ยกย่องซุสให้เป็นใหญ่ จะมีก็แต่โพไซดอนกับฮาเดสเท่านั้นที่ไม่ยอมแก่เทพซุส (อารมณ์ประมาณ ที่เอ็งรอดมาได้เพราะแม่เขาสลับตัวให้ทันต่างหาก! ไม่ได้เก่งกว่าพวกอั๊วะขนาดนั้น) ทั้ง 3 องค์เลยทำการจับฉลากเลือกพื้นที่ปกครองกัน สรุปว่า 


ซุสได้ปกครองสวรรค์และเหล่าทวยเทพ

โพไซดอนได้ปกครองมหาสมุทรและผืนน้ำทั้งหมด .. ส่วน

ฮาเดสได้ปกครองยมโลกและใต้พิภพ 

(บอกตรงนี้อีกครั้งว่า 'ใต้พิภพ' ในที่นี้มิใช่ 'นรก' แม้ว่าใต้พิภพบาดาลกับนรกนั้นมันมีที่ตั้งอยู่ใต้ดินเช่นเดียวกันก็จริง แต่มันเป็นคนละสถานที่คนละความหมายกันน่ะจ่ะ และที่ว่าแตกต่างกันอย่างไร จะอธิบายต่อด้านล่างอีกทีจร้า)


ย้ำคุณสมบัติชั้นเลิศระดับ Rare Item ของฮาเดสอีกครั้ง คือ (กะจะสะกดจิตคนอ่าน ^^) ว่าท้าวท่านทรงเป็นเทพที่ค่อนข้างเก็บตัว เงียบ ๆ ไม่สุงสิงกับใคร และไม่ได้มีวีรกรรมวีรเวรเหมือนเทพองค์อื่น (ก่อปัญหาน้อยกว่าซูสกะโพไซดอนก็ละกัน) แถมยังรักเมียสุด ๆ ใขณะที่เทพองค์อื่นฟันหญิงทิ้งๆ ขว้างๆ กันไม่เลือกหน้า (บางทีติ่งแอบ Drak นิดๆ คือคิดไปว่า ปกติก็ไม่ค่อยมีหญิงที่ไหนจะมาสนใจศาสดาของติ่งอยู่แล้วอ่ะ นั่นจึงเป็นเหตุผลว่า..เจ้าชู้ไปก็เท่านั้นแหละ ^^" แต่ติ่งที่ดี...ต้องให้เครดิทแก่ศาสดาฮาเดสท่านนิดนึ่งสิ) สรุปว่าฮาเดสทั้งตาปีตาชาตินั้นมีภรรยาแค่คนเดียวเท่านั้นละ (แสนสวยด้วยล่ะ) แต่เป็นภรรยาที่ได้อยู่ด้วยกันแค่ 3 เดือนต่อ 1 ปีเท่านั้น (เป็น 1 ในตำนานที่ทำให้เกิด "ฤดูหนาว" อ่ะ!!...อยากรู้อ่ะดิ ^^ มา ๆๆๆ เขยิบเข้ามา เด๋วจะเล่าให้อ่าน)


my ❀ HADES ♥ PERSEPHONE ❀ : 

 ::: Dark Romance :::


"เทพีเพอร์เซโฟนี" ...ทรงเป็นเทพีแห่งความเจริญงอกงามของพืชพันธุ์ต่าง ๆ บนผืนโลก พระนางนั้นเป็นหลานสาวแท้ ๆ ของเทพฮาเดสผู้ครองใต้ผืนพิภพ เพราะพระองค์ทรงเป็น พระธิดาในเทพซีอุสกับเทพีดิมิเตอร์ โพสพเทพีแห่งกรีก    


ตามตำนานเล่าว่า เทพีเพอร์เซโฟนีถูกตาต้องใจเทพฮาเดสเป็นอันมาก (เพราะถูกศรของคิวปิดแสนซน ที่เจ๋อมาทำหน้าที่ตามคำบัญชาการของเจ้าแม่หื่นกามวีนัสเข้าให้) วันหนึ่งเทวีน้อยทรงออกมาเก็บดอกไม้ในทุ่ง Nysa เหมือนเช่นเคย เทพฮาดีสก็ทรงผ่านมาพบเข้าพอดี Persephone นั้นมีรูปโฉมงดงามมากและก็ต้องตาต้องใจ Hades ทันทีเมื่อแรกเห็น พระองค์จึงได้ทรงลักพาตัวไปยังอาณาจักรใต้พิภพขององศ์เองอย่างหน้าตาเฉย … ซะงั้น~


**(Ps....กรุณาอย่ามาว่าฮาดีสของติ่งน่ะฮ้า… เพราะบางตำราก็ว่ากันว่า จริง ๆ แล้ว เทพฮาเดสท่านก็ไม่ได้อยากฉุดใครไปไหนหรอก เพราะเดิมทีท้าวเธอก็ไม่เคยมีความรู้สึกรัก ๆ ใคร่ ๆ ด้วยซ้ำ จนเทวีอโพรไดร์นั่นแหละที่เห็นว่าเทพฮาดีสนี่กระไร ไยเย็นชาไม่สนโลก ไม่สนใจจะมีความรักกับใครมังหรอ? และนั่นมันทำให้เธอที่เป็นเทพีแห่งความรักรู้สึกเสียหน้า เลยให้คิวปิดยิงธนูแห่งความรักใส่ไป สรุป เทพฮาดีสทำไปก็เพราะพิษศร แต่อย่างไรย่อมนับว่าท้าวเธอดีที่สุดเมื่อเทียบกับพี่น้องคือโพเซดอนกับซุส คือ ไม่เจ้าชู้ ไม่หื่น ไม่ผิดลูก(?) ไม่พรากเมียใครเขาเป็นว่าเล่น ๆ น่ะ … ส่วนอีกตำราก็ว่า ท้าวเธอก็ไปสู่ขอกับซูสตามทำเนียมพิธีแล้วล่ะ แต่เทพซูสคาดการณ์ว่าเทพีดิมีเตอร์คงไม่ยอม เลยแอบสอนวิชาให้ฮาดีสไปดักฉุดเพอร์เซพโฟเน่เอาจะง่ายกว่า ฮาดีสเลย.... ว่าที่พ่อตาชี้ทางมางี้ พี่ชายพ่อตาเลยก็อะ! ฉุดก็ฉุด!!) 


ต่อเนอะ....(พายเรือออกนอกทางช้างเผือกประจำ ^^")

ฝ่ายเทพีดิมิเตอร์ทรงกลับมาไม่พบบุตรสาวสุดที่รัก ไปถามหากับใครก็ไม่มีผู้ใดรู้ใครเห็นเลยสักราย (ฮาดิสพาดำดินหนีเงียบเลยอ่ะ) นำความเศร้าโศกมาให้พระมารดาที่ทรงออกเที่ยวค้นหา จนมิได้ดูแลพืชพันธ์ อากาศก็ขุ่นมัวหม่นหมองจนทำให้เกิดเป็นฤดูหนาวขึ้น ผู้คนต่างก็ยิ่งเดือดร้อน เพราะเพาะปลูกอะไรไม่ได้เลย หิมะขาวโพลนเต็มไปหมด (รู้ยัง...ว่าฤดูหนาวเกิดขึ้นมาได้เพราะใคร... 1.ฮาดีส  2.เพอร์เซโฟเน ่ 3.ดีมีเตอร์ 4.คิวปิด 5.วีนัส 6.ถูกทุกข้อ ....ตอบ?)


ช่างคำถามเลอะเทอะข้างบนนั้นเถอะ แล้วเรามาเม้าท์มาต่อกันดีฝ่า...ว่า

จนกระทั่งวันหนึ่งพระนางทรงเสด็จผ่านมาถามข่าวกับธารน้ำพุ น้ำพุซึ่งเคยไหลผ่านลำธารใต้ดินด้วยเช่นกัน จึงเคยเห็นเทวีน้อยมานั่งกันแสงเพราะทรงคิดถึงมารดาของนางนั่งเอง ภูติน้ำพุปากบอนเลยฟ้องเทวีไปตามนั้น เทวีได้ยินเช่นนั้นก็โกรธพี่ชายที่ใคร ๆ ต่างก็กลัวนักหนา เรื่องจึงร้อนถึงเทพซูส ซูสจึงต้องไปเจรจาขอลูกสาวคืนกับพี่ชาย ก็คงมีเกรงใจกันอยู่บ้างล่ะน่ะ แต่จะขัดเมียก็ไม่ได้อยู่ดี เลยต้องให้ลูกสาวเป็นฝ่ายตัดสินใจเองว่าจะกลับกับแม่หรือจะอยู่กะเทพฮาดีส ฮาดีสรู้แกวหรือลูกน้องแกล้งไก๋ก็ไม่รู้ เพราะคงทรงคิดว่าอย่างไรเสีย เทวีที่รักต้องเสด็จกับมารดาแน่นอน (มีหลายตำราว่าลูกน้องท้าวท่านนั่นแหละตัวดี หลอกให้เทพีน้อยเสวยเมล็ดทับทิม) และเนื่องจาก Admin เป็นแฟนคลับฮาดีส จึงแอบเข้าข้างเทพท่านลุงค่อนข้างมากถึงมากที่สุดว่า น่าจะเป็นพระนางคงต้องทรงมีใจให้เทพท่านลุงบ้างล่ะ เพราะเลือกกินไปตั้ง ...เอ่อมม.... สามเม็ด... {ถึงอย่างไรเทวีน้อยก็คงต้องคิดถึงมารดากับแสงแดด ดอกไม้ สายลมมากกว่า ^^" (แน่ะ! เข้าข้างท้าวท่านขั้นสุด!!) แต่จะไม่ให้เห็นหน้าเทพท่านลุงก็ไม่ได้ด้วย...เดี๋ยวแฟนคลับท้าวฮาดีสท่านจิโกรธ แล้วเด๋วพาลจะแบนพระนางออกสื่อ ขุดเจาะเคาะคุ้ยประจานลงผ่านโซเซียลแล้วจะพระนางหนาว} สรุปพระนางเลยต้องเสด็จกลับมาดูแลพระสวามีทุก 3 เดือนในหนึ่งปี และเพราะอย่างนี้เอง จึงทำให้โลกมนุษย์ของเรามีฤดูหนาว 3 เดือน เพราะพระนางต้องเสด็จกลับมาประทับร่วมกับเทพสวามีทุกปีเช่นนี้แล...^^


ใต้ความซึนเดเระของเทวี Persephone : 

ที่ถึงแม้เริ่มแรกเดิมที จะดูเหมือนว่าพระเทพีจะทรงมิชอบหน้าพระสวามีแต่อย่างไร แต่สุดท้ายคงเข้าตำราว่า.. รักนะแต่ไม่แสดงออก .. ถึงทำให้เทพท้าวฮาเดสสุดที่รักของติ่งไม่รู้ว่าพระเทพีก็ทรงรักในพระองค์อยู่บ้าง เพราะในตำนานเคยกล่าวว่าเทพ สามีฮาดีสเคยนอกพระทัยไปหลงรักนางไม้ตนหนึ่งเข้า พระนางก็เลยลงมือสังหารนางไม้นามว่า "มินธี" สิ้นคาที่ โดยมีเทพีดิมิเตอร์ผู้เป็นพระมารดาร่วมด้วยช่วยกัน นี่ก็แสดงได้ถึงความหึงหวงขั้นโหดที่พระเทพีมีให้เทพสามีนั่นแน่ ... (ส่วนครั้งที่สองนี้พระนางยังมิทันจับได้ เพราะกิ๊กท้าวเธอรีบป่วยตายหนีไปเสียก่อน) แหม่ะ!! พระองค์ทรงน่ารักขนาดนี้?? เพราะเคยนอกใจพระนางสุดที่รักแค่สองครั้งเองน่ะ .... น้อยจะตายไปนะ!! ถ้าเทียบกะเทพซุส


(แต่มีอีกตำราเล่าไว้ว่า :

เรื่องฉุดหญิงต้องไปโทษวีนัสที่ดันอยากลองร่วมรักกับฮาเดส เลยใช้คิวปิดไปยิงศรใส่ศาสดาของติ่ง (ยัยวีนัสนี่ก็หื่นไม่เลือกเลเวลเลยนะ) แต่พลาด … เพราะคนที่ฮาเดสหันไปเห็นหลังโดนศรศักดิ์ปักเกินถอนเข้าไปนั้น (น่าจะกำลังมองหาว่าใครมันกล้าลองดีกะตรูฟร่ะ! น่ะละมั้ง!!) เพราะพอหันมา จ๊ะเอ๋!เจอเทพีน้อยนั่งร้อยมาลัยอยู่กลางทุ่งหญ้า ซึ่งเป็นลูกสาวของดีมิเตอร์ซะงั้น 


(Ps. ตำราเหล่านี้อ่านเอารสนะคะ อย่าอ่านเอาเรื่อง นิทานเทพกรีก-โรมันเรื่องเล่าก็เยอะ คนเล่าก็แยะ ปนกันไป ปั่นกันมา... ฉะนั้น....จงอ่านเอาสนุกกันดีกว่าเน๊อะ ^^)


แต่สรุปเข้าข้างเทพท่านลุงเช่นเคยค่ะว่า .. Hades นั้นรักเดียวใจเดียวต่อเทพีของท้าวท่านซึ่งก็คือ Persephone เท่านั้น )แม้การกระทำจะอุกอาจไปนิดและ Persephone ก็ไม่สู้จำยอมสักเท่าไหร่ก็ตาม) ด้วยเหตุนี้ในบางตำนาน Hades จึงถูกยึดเป็นเทพแห่งความซื่อตรงด้วยความที่รักเดียวใจเดียวเช่นนี้แล


และจริงที่ว่า Persephone นั้นมักใช้เวลาส่วนใหญ่อยู่กับเทพี Demeter ผู้เป็นมารดา แต่ทว่า ผู้คนส่วนใหญ่เลือกที่จะจดจำภาพของพระนางเมื่ออยู่เคียงคู่กับ Hades เสียมากกว่า ด้วยเหตุนี้พระนางจึงเป็นที่รู้จักกันดีในนาม “เทพีแห่งยมโลก” 


ฮาเดส Hades (หรือชาวโรมันเรียกว่า พลูโต Pluto)

แดนบาดาลหรือยมโลกและคนตายต่างก็อยู่ในความปกครองของเทพองค์นี้ทั้งหมด คำว่า "พลูโต" นี้มีความหมายว่าเทพแห่งทรัพย์ เพราะถือกันว่า นอกจากยมโลกแลัวท้าวเธอยังครองมวลธาตุล้ำค่าใต้พื้นพิภพอีกด้วย บางทีพระองค์จึงมีชื่อเรียกอีกขื่อว่า ดีส (Dis) แปลตรงตัวว่า ทรัพย์ (บางแห่งกล่าวว่า ฮาเดสครองยมโลกและคนตายเท่านั้น ส่วนเทพผู้ครองความตายนั้นมีอีกองค์หนึ่ง เรียกว่า ธานาทอส (Thanatos) ในภาษากรีก หรือ ออร์คัส (Orcus) ใน ภาษาลาตินเป็นคู่กันกับ ฮิปนอส (Hipnos) เทพประจำความหลับ


และแม้ว่าเทพฮาเดสอยู่ในเหล่าเทพแห่งเขาโอลิมปัสแต่ท้าวเธอก็ไม่ค่อยจะได้ออกจากยมโลกขึ้นไปยังเขาสวรรค์เท่าไหร่นัก และท้าวท่านเองก็ไม่ใช่แขกที่ใคร ๆ ยินดีต้อนรับ เพราะแม้แต่เทพเจ้าด้วยกันเองยังกลัว เนื่องจากท้าวเธอปราศจากความเวทนาสงสาร แต่กอปรด้วยความยุติธรรม ..อ่อ!.. เทพฮาดีสมีหมวกวิเศษใบหนึ่งที่สามารถทำให้ผู้สวมหายตัวได้ เรียกกันว่าหมวกแห่งความืด


เอาล่ะ … ย้อนกลับมาที่ Admin เคยติดคำขยายความไว้ที่ว่า :

จ้าวนรกฮาเดสเป็นเทพที่ปกครองดินแดนยมโลกที่อยู่ใต้บาดาลและปกครองวิญญาณคนตาย แต่พระองค์ทรงมิใช่เทพแห่งความตาย เพราะท่านจ้าวนรกฮาดีสนั้นมีผู้ช่วยเป็นเทพชั้นรองที่เป็นพี่น้องฝาแฝด ซึ่งก็คือ  


ฮิปนอส (เทพแห่งการหลับ) กับ 

ธานาทอส (เทพแห่งความตาย)


และยังจะมีคณะผู้พิพากษาความดีและความชั่วของเหล่าวิญญาณคนตาย คือ สามเทพสุภา .. และทั้ง 3 องค์นั้นยังเป็นบุตรของมหาเทพซีอุสและเคยเป็นกษัตริย์ตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ สององค์แรกนั้นเป็นพี่น้องที่เกิดกับนางยูโรปา คือ ราดาแมนทีส กับ ไมนอส .. ส่วนอีกองค์เกิดกับอีคิดน่า ชื่อ ไออาคอส (*แต่ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าอีคิดน่าที่เป็นมารดาของไออาคอสจะเป็นคนเดียวกันกับ อีคิดน่า ที่เป็นภรรยาของไทฟ่อนหรือเปล่า เพราะอสูรกายทั้งสองมีลูกด้วยกันหลายตัว เช่น เซอร์เบอรัส สุนัขเฝ้าประตูนรก สฟิงซ์ , ไคเมร่า และไฮดรา)


ณ ดินแดนยมโลก : 

ภายในยมโลกนั้น ชาวกรีกในสมัยโบราณเชื่อว่าดวงวิญญาณของคนทุกคนเมื่อสิ้นชีวิตแล้วจะถูกพาไปรับคำพิพากษาของคณะเทพสภาในยมโลก ซึ่งอยู่ในชั้นบาดาลใต้พื้นพิภพ เป็นอาณาจักรอยู่ในความปกครองของเทพฮาดีส การพาดวงวิญญาณคนตายลงไปยังบาดาลเป็นหน้าที่ของ เฮอร์เมส เทพพนักงานสื่อสารของซูส ซึ่งตำแหน่งของยมโลกนี้ บ้างก็ว่าอยู่ใต้สถานที่เร้นลับของโลก บ้างก็ว่าทางลงอยู่ที่ขอบพิภพโดยข้ามมหาสมุทรไป


ส่วนกวีในขั้นหลัง ๆ จึงบอกว่าทางลงมีหลายทางนั้นเอง ซึ่งทางลงนั้นนำไปถึงแม่น้ำแห่ง ความวิปโยค ชื่อว่า แอกเครอน (Acheron) แม่น้ำนี้ไหลไปสู่แม่น้ำอีกสายหนึ่งเรียกว่า แม่น้ำแห่งความกำสรวลชื่อ โคไซทัส (Cocytus) ตรงที่แม่น้ำทั้งสองสายนี้บรรจบกัน มีคนแจวเรือจ้างแก่ ๆ คนหนึ่งชื่อว่า เครอน (Charon) คอยรับวิญญาณข้ามฟากไปสู่ยังประตูที่ขึ้นชื่อว่าแข็งแกร่งดังเหล็กเพชร ซึ่งเป็นทางเข้าตรุลึกลงไปเรียกว่า ทาร์ทารัส (Tartarus)


ส่วนเขตชั้นนอกที่ผ่านมาแล้วเรียกว่า เอรีบัส (Erebus) ซึ่งเครอนจะรับลงเรือแต่เฉพาะดวงวิญญาณที่มีเงินเบิกทางติดปากไปและได้ผ่านพิธีฝังเรียบร้อยแล้วเท่านั้น อันนี้เห็นว่าน่าจะเป็นเหตุผลของชาวกรีกสำหรับประเพณีเอาเงินใส่ปากคนตายฝัง ซึ่งทุกวันนี้ก็ยังทำตาม ๆ กันมาอยู่หลายชาติ 


Erebus- Greek myth: a primordial deity representing darkness. He was spawned from chaos and he fathered Nyx. He does not appear in many Greek legends.


ที่หน้าประตูทางเข้าตรุทาร์ทะรัส มีสุนัขเฝ้าตัวหนึ่งที่เราทั้งหลายน่าจะรู้จักกันแล้วที่เรียกว่า เซอร์บิรัส (Cerberus) มีหัวสามหัว มีหางเป็นหางมังกร มันจะยอมให้วิญญาณของคนทุกคนเข้าประตู แต่จะไม่ยอมให้กลับออกมาเป็นอันขาด เมื่อไปถึงประตูนี้ วิญญาณแต่ละดวงจะถูกพาไปรับคำพิพากษาของสามเทพสุภา คือ แรดาแมนธัส, ไมนอส และ ออร์คัส 


ราดาแมนทีส :

จะพิพากษาวิญญาณคนตายที่มาจากทางภาคตะวันออกของกรีซ


ไมนอส :

จะพิพากษาความดีและความชั่วเบื้องต้น ตอนที่มีชีวิตอยู่ไมนอสเป็นกษัตริย์ปกครองเกาะครีต ชื่อของไมนอสเป็นที่มาของอารยธรรมไมนวน และ เกี่ยวข้องกับตำนานมิโนทอร์ อมนุษย์ที่มีหัวเป็นวัว แต่มีตัวเป็นคน


ไออาคอส :

จะพิพากษาวิญญาณที่เป็นชาวกรีกและเฝ้าประตูนรก


วิญญาณที่ชั่วร้ายจะถูกพิพากษาให้ต้องทนทุกข์ทรมานอยู่ในตรุทาร์ทะรัสไปชั่วกัลป์ ส่วนวิญญาณที่ดีจะได้รับคำพิพากษาให้พาไปอยู่ยัง ทุ่งอีลิเซียน (Elysian) ซึ่งเป็นดินแดนหลังความตายที่มีแต่กลางวันและมีแต่ความสงบสุข หรือแดนสุขาวดีของชาวกรีก


นอกจากแม่น้ำแอกเครอนกับโคไซทัสที่เอ่ยถึง ยังมีแม่น้ำอื่นอีกสามสายคั่นบาดาลไว้ต่าง หากจากพิภพเบื้องบน สายหนึ่งมีชื่อว่า เฟลจีธอน (Phlegethon) เป็นแม่น้ำไฟสายที่สอง ชื่อ สติกส์ (Styx) เป็นแม่น้ำสาบานของเทพทั้งปวง สายที่สามชื่อ ลีธี (Lethe) แม่น้ำแห่งความลืม หรือแม่น้ำล้างความทรงจำ สำหรับให้ดวงวิญญาณในตรุทาร์ทะรัสดื่มเพื่อล้างความจำในชาติก่อนให้หมด 


เพิ่มเติม 1:- 

ตามตำนานว่าไว้ว่าแม่น้ำ Styx แห่งนี้มีสีดำสนิทและมีกลิ่นเน่าเหม็น วิธีเดียว ที่จะสามารถข้ามแม่น้ำแห่งนี้เพื่อไปยังอีกฝั่งหนึ่งหรือซึ่งก็คืออาณาจักรแห่งคนตายได้นั้นจำเป็นจะต้องพึ่งฝีพายของ Charon เท่านั้น ซึ่ง Charon จะเป็นผู้ทำหน้าที่พาผู้ตายข้ามฝั่งไปยังอาณาจักรแห่งคนตายโดยต้องการค่าตอบแทนก็คือ “เหรียญทองหนึ่งเหรียญ” และนี่เองก็คือตำนานอันเป็นที่มาของ “เงินปากผี” ของทางฝั่งยุโรปเขานั่นเอง


เพิ่มเติม 2 :-

1. แม่น้ำสติกซ์ (Styx) แปลว่าแม่น้ำแห่งความเกลียด

2. แม่น้ำลีธี หรือ เลเธ แปลว่าแม่น้ำแห่งความลืม เมื่อดวงวิญญาณคนตายได้ดิ่มน้ำแล้วจะ ลืมความหลังทั้งหมด

3. แม่น้ำ เฟลจีธอน หรือ เฟลเกทธอน แม่น้ำสายนี้เป็นแม่น้ำไฟ มีเปลวไฟลุกไหม้โชติช่วงอยู่บนผิวน้ำ และอยู่ล้อมรอบนรกขุมลึกสุด คือ ทาร์ทะรัส


อนึ่ง นอกจากคณะเทพสุภาแห่งยมโลก ยังมีคณะเทวีทัณฑกรอีกคณะหนึ่งประจำอยู่ในยมโลกเช่นกัน เรียกว่า อิรินนีอิส (Erinyes) ทำหน้าที่ลงทัณฑ์แก่ดวงวิญญาณของผู้ประพฤติผิดทำนองคลองธรรมในมนุษย์โลก ในชั้นเดิมเทวีทัณฑกรคณะนี้มีหลายองค์ แต่ในที่สุดมีเหลือที่กล่าวนามเพียงสาม คือ ไทสิโฟนี (Tisiphone) มีกีรา (Megaera) และ อเล็กโต (Alecto) แต่ละองค์มีรูปลักษณะดุร้ายน่ากลัว มีงูพันเศียรยั้วเยี้ย ใคร ๆ ที่ทำบาปกรรมไว้ในโลกมนุษย์ จะหนีทัณฑกรรมที่เทวีทั้งสามพึงลงเอาไม่พ้นไปได้เลย คำในอังกฤษเรียกเทวีทั้งสามนี้โดยรวม ๆ กันไปว่า The Furies 


ดินแดนแห่งคนตาย :

อาณาจักรของ Hades นั้นจะถูกแบ่งหลัก ๆ ออกเป็น 3 ส่วนด้วยกัน 

โดย 3 ส่วนที่ว่านั้น ก็คือ...


1. Tartarus           

สถานที่แห่งนี้ก็คือบ้านของเหล่าคนตายผู้ที่ไม่มีความดีมากพอที่จะผ่านไปสู่ Elysion ผู้ที่อยู่ที่นี่จะต้องได้รับความทรมานแสนสาหัสไปตลอดกาล และที่สำคัญกว่านั้น ที่นี่ยังเป็นสถานที่คุมขังเหล่า Titan ในอดีตอีกด้วย


2. Elysian             

ที่นี่ก็คือดินแดนที่ผู้กระทำความดีจะได้มาอยู่หลังจากได้รับการพิพากษาแล้ว ว่ากันว่าที่นี่มีแสงสว่างตลอดกาล มีพืชพันธุ์อุดมสมบูรณ์ และสงบสุขไร้ซึ่งความขัดแย้งใด ๆ หรือถ้าว่ากันตรงๆ ที่นี่ก็คือ “สวรรค์” ในตำนานของชาวกรีกนั่นเอง


3. The Domain of Hades                 

ที่นี่ก็คือที่พำนักของ Hades และ Persephone เห็นได้ชัดว่า “ดินแดนแห่งคนตาย” ตามตำนานของชาวกรีกนั้น ไม่ใช่สถานที่อันเต็มไปด้วยความทรมานและน่ากลัวเพียงอย่างเดียวเท่านั้นเหมือนอย่างในตำนานของเชื้อชาติอื่น ๆ ด้วยเหตุนี้นักเทววิทยาจึกมักใช้คำเรียกสถานที่แห่งนี้ว่า “ดินแดนแห่งคนตาย” มากกว่า “นรกภูมิ” และ “ดินแดนแห่งคนตาย” นี้ยังช่วยให้เรามองเห็นถึงมุมมองเกี่ยวกับ “ความตาย” ของชาวกรีกอีกด้วย ซึ่งก็คงสามารถสรุปสั้น ๆ ได้ประมาณว่า “ความตายไม่ใช่จุดสิ้นสุด แต่เป็นเพียงการเริ่มต้นเท่านั้น”


เพิ่มเติมข้อมูลจากอีกหนึ่งตำรา : -

เนื่องด้วยอุปนิสัยของเทพฮาเดส จ้าวแดนบาดาลออกจะเย็นชา แข็งกร้าวปราศจากความเวทนาสงสารให้แก่ผู้ใด แต่เต็มไปด้วยความยุติธรรมทุกขณะ เช่นนี้ จึงเป็นเหตุให้ท้าวเธอยากจะหาสตรีมาเป็นชายาครองบัลลังก์ปรโลกคู่กันได้เลย ดังนั้น เมื่อท้าวเธอเสด็จขึ้นมาบนพื้นพิภพในวันหนึ่ง และประสบพบพานโฉมงามนาม เพอร์เซโฟนี (Persephone) ธิดาองค์เดียวของเจ้าแม่โพสพเทวีดีมีเตอร์เข้าให้ ฮาเดสจ้าวแห่งแดนบาดาลจึงไม่รอช้า ฉุดคร่าเอาตัวเพอร์เซโฟนีลงไปสู่ดินแดนใต้พิภพเพื่อครองคู่เป็นราชินีปรโลกด้วยความมิเต็มใจของนาง


แน่นอนว่าการกระทำของ Hades นั้นทำให้ทวยเทพแห่งเหล่าโอลิมปัสอึ้งทึ่งเสียวไปตาม ๆ กันและเดือดร้อนถึงราชาแห่งโอลิมปัสซึ่งก็คือ Zeus ต้องเหนื่อยมานั่งเจรจากับพี่ชายของตนเพื่อทวงลูกสาวคืน (แต่คนที่เหนื่อยกว่าน่าจะเป็น Hermes หรือผู้ส่งสารและเทพแห่งการสื่อสารและการเดินทางนะ เพราะ Hermes คือผู้ที่ต้องเทียวขึ้นเทียวลงคอยส่งสารให้กับเทพทั้งสอง) ซึ่ง Hades ก็ยอมรับคำขอร้องของ Zeus แต่โดยดีนะ … แต่ทว่า....


ระหว่างที่พำนักอยู่ในอาณาจักรแห่งคนตาย Persephone ทรงเสวยเมล็ดทับทิมในสวนของ Hades ไปแล้ว (อาจจะเป็นความตั้งใจของ Hades หรือไม่นั้นตำนานไม่ได้กล่าวไว้) ด้วยเหตุนี้เอง Persephone จึงกลายเป็นส่วนหนึ่งของดินแดนแห่งคนตายไปแล้วตามกฎของยมโลก ผลที่ตามมาก็คือ Persephone จำเป็นต้องกลับลงสู่อาณาจักรของ Hades เป็นเวลาช่วงสั้น ๆ ในปีหนึ่ง ๆ แน่นอนว่าการที่ไม่มีบุตรีอยู่เคียงข้างทำให้เทพี Demeter นั้นโศกเศร้ามาก และเมื่อเทพีแห่งการเก็บเกี่ยวมัวแต่โศกเศร้าคร่ำครวญอยู่ พืชผลต่าง ๆ ก็ไม่สามารถที่จะเติบโตออกดอกออกผลได้ ผลลัพธ์ที่ตามมาก็คือหน้าแล้งนั่นเอง ซึ่งทุก ๆ ปีระหว่างที่ Persephone อยู่ในขุมนรก ช่วงเวลานี้ก็คือช่วงเวลาหน้าหนาวตามเวลาโลกเรานี่เอง


แต่ทั้งที่ต้องประทับอยู่อย่างเดียวดายนานถึงปึละ 9 เดือน เทพฮาเดสก็พิสูจน์องค์เองว่า เป็นสวามีที่ซื่อสัตย์พอสมควร ตลอดเรื่องราวประวัติของท้าวเธอ ปรากฏว่าฮาเดสมีเรื่องนอกใจชายาเพียง2 ครั้งเท่านั้นแหล่ะ ^^"


ครั้งหนึ่งได้แก่ทรงหลงเสน่ห์ความน่ารักของนางอัปสรนามว่า มินธี (Minthe) แต่ทว่า ความรักนี้มิยั่งยืน ด้วยเหตุที่พระแม่ยายดีมิเตอร์เทวีทรงร้ายเหลือ ทั้ง ๆ ที่ไม่ชอบหน้าฮาเดสเท่าใดนัก แต่เมื่อท้าวเธอทำท่าจะนอกใจธิดาของตนเข้าให้ เจ้าแม่ก็พิโรธโกรธเกรี้ยวจนกระทั่งไล่กระทืบมินธีนางอัปสรผู้น่าสงสารตายคาบาทของเจ้าแม่นั้นเอง จ้าวแดนบาดาลเวทนาสงสารนางอัปสรน้อยนั้น จึงเปลี่ยนร่างของนางให้กลายเป็นพืชชนิดหนึ่งซึ่งมีกลิ่นหอม และได้กลายเป็นพืชประจำพระองค์ตลอดมา


ส่วนการนอกใจครั้งที่สองนั้นได้แก่ ทรงรักชอบพอกับนาง เลอซี (Leuce) ธิดาของอุทกเทพ โอซียานุส แต่นางเลอซีมีบุญน้อย เพราะป่วยตายเสียก่อนที่จะตายด้วยมือของเจ้าแม่ดีมิเตอร์หรือเพอร์เซโฟนีเทวี หลังจากที่นางตายไปแล้วก็กลายร่างเป็นต้น พ็อปลาร์ สีขาว ซึ่งกลายเป็นไม้ศักดิ์สิทธิ์ในการทำพิธีการลึกลับ ณ เมืองอีเลอซีส แต่ไม้ใหญ่อันเป็นพฤกษชาติประจำองค์ของเทพฮาเดสนั้นกลับเป็นต้นสนเศร้า (Cypress) ส่วนดอกไม้ที่กำเนิดจากมินธีแล้ว ยังได้แก่ดอกขาวบริสุทธิ์ของนาร์ซิสซัส


ผู้คนในสมัยโบราณจะถวายสักการะแด่เทพฮาเดสด้วยแกะดำ ทำให้กลายเป็นพิธีกรรมที่เร้นลับสืบมา ที่จะบูชายัญแด่เทพแห่งมรณะหรือเทพแห่งความชั่วร้ายอื่น ๆ ด้วยแพะหรือแกะสีดำเช่นเดียวกัน 


Hades's sweet Family

มีบุตร 3 องค์แต่ไม่ชัดเจนเพราะพูดถึงน้อยมาก คือ : 

Macaria, Melinoe & Zagreus 


อาจยอมให้ที่ Melinoe เทพสาวที่ลำตัวครึ่งหนึ่งขาว ครึ่งหนึ่งดำ เธอรับหน้าที่ดูแลพวกภูติผีปีศาจ อารมณ์เธอค่อนข้างสุนทรีย์อยู่มาก เพราะบางทีเธอก็เที่ยวเกณฑ์ดวงวิญญาณทั้งหลายออกมาเดินเล่นรับลมชมจันทร์ในยามค่ำคืนอยู่บ้าง เลยทำให้เกิดปรากฎการณ์หมาเห่าหมาหอนตอนกลางคืนกันสนุก ปล่อยให้ชาวบ้านนอนขนลุกกันอยู่เกรียว ๆ เชียวแหร่ะ 


ส่วน Macaria นี่พูดถึงน้อยยิ่งกว่าและไม่แน่ชัด แต่ส่วนใหญ่ติ่งได้ให้เสียงไปในทางที่ว่าเธอก็คือหนึ่งในลูกสาวของฮาดีสกะเพอร์เซโฟเน่


Zagreus (เห็นแค่ชื่อ ยังไม่ได้ไปหาข้อมูลค่ะ เด๋ว update ให้ที่หลังนะคะ ...ถ้าไม่เจอเรื่อง Dark ๆ จนทำใจนำมาลงไม่ได้เสียก่อน)

 


เกล็ดเล็กเกล็ดน้อย : ว่าด้วย ดาวพลูโต ซึ่งอดีตเคยเป็นหนึ่งในนามดาวเคราะห์วงนอกของระบบสุริยะนั้น ก็ได้รับชื่อมาจากจ้าวแห่งดินแดนใต้ พิภพของเรานี่เอง ดาวดวงนี้จัดอยู่ในประเภท “ดาวเคราะห์แคระ” เพราะมีเส้นผ่านศูนย์กลางแค่เพียง 2,390 กิโลเมตรเท่านั้นเอง (เล็กกว่าดวงจันทร์ของโลกซะอีก) 


ทำไมถึงใช้คำว่า “อดีตหนึ่งในดาวเคราะห์วงนอกของระบบสุริยะ”?? 

สาเหตุนั้นก็เพราะในการประชุมของนักดาราศาสตร์ในปี 48 ได้ลงมติเสียงข้างมากให้กำหนดนิยามของดาวเคราะห์ขึ้นใหม่ ผลลัพธ์ที่ตามมาก็คือ Pluto ถูกจัดให้อยู่ในประเภท “ดาวเคราะห์แคระ” และเป็นผลให้ Pluto ต้องหลุดจากทำเนียบดาวเคราะห์ในระบบสุริยะไปโดยปริยาย แต่การถูกลดความสำคัญลงไปก็ไม่ได้หมายความว่าเราจะเลิกสนใจในดาวเคราะห์ดวงนี้หรอกนะ เพราะเหล่านักดาราศาสตร์ยังคงให้ความสนใจอยู่กับดาวดวงนี้เช่นเคย และเราคงจะรู้จักดาวเคราะห์แคระดวงนี้มากขึ้นอีกเยอะ เมื่อยาน New Horizon เดินทางไปถึงวงโคจรของดาวพลูโตในปี 2015 (คาดว่าจะเป็นวันที่ 14 กรกฎาคม)


ดาวพลูโต (อังกฤษ: Pluto; ดัชนีดาวเคราะห์น้อย: 134340 พลูโต) เป็นดาวเคราะห์แคระในแถบไคเปอร์ วงแหวนของวัตถุพ้นดาวเนปจูน โดยเป็นวัตถุแถบไคเปอร์ชิ้นแรกที่ถูกค้นพบ มันมีขนาดใหญ่ที่สุดและมีมวลมากที่สุดเป็นอันดับสองในบรรดาดาวเคราะห์แคระที่รู้จักในระบบสุริยะ และยังเป็นวัตถุที่มีขนาดใหญ่เป็นอันดับที่ 9 และมวลมากเป็นอันดับที่ 10 ในระบบสุริยะที่โคจรรอบดวงอาทิตย์ 


รวบรวม&เรียบเรียง : via google search ณ วันที่ 10/01/2015 edited : 23/07/2019

ความคิดเห็น

ยังไม่มีความคิดเห็น