ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เกิดใหม่มาเป็นสัตว์เทพอสูรจิ้งจอกเก้าหาง

    ลำดับตอนที่ #12 : หาประสบการณ์ใหม่(รีไรท์)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 3.3K
      269
      28 ส.ค. 64

              หอกที่หมุนเกลียวพุ่งทะลุใบหน้าพยัคฆ์ขาวในรูปแบบลมปราณอัดแน่น สายลมพัดร่างพยัคฆ์ขาวออกไปไกลหลิ่งเฟยทรุดลงไปนั่งที่พื้นหายใจหอบ ก่อนจะทำสมาธิรวบรวมลมปราณที่อยู่รอบตัวมาฟื้นฟูกำลัง

                   "ท่านเฟิงหู่ ยังมีชีวิตอยู่หรือไม่"

                   ไม่มีเสียงตอบโต้กลับมาใดๆ หากเป็นยามปกติคงจะมีสายฟ้าฟาดลงแล้วตามด้วยเสียงคำรามหลิ่งเฟยที่ฟื้นฟูกำลังได้มาบางส่วนรีบวิ่งไปหาสัตว์เทพอสูรพยัคฆ์ขาวถึงตนเองจะเป็นคนทำร้ายเฟิงหู่กับมือแต่ก็ไม่ได้ตั้งใจจะให้ตาย หากตายจริงมันต้องเป็นความรู้สึกที่หนักหน่วง และแย่เอามากๆ

                   "ท่านเฟิงหู่"

                   ร่างพยัคฆ์ขาวขนาดตัวเท่ากับเสื้อธรรมดาทั่วไปนอนแน่นิ่ง เมื่อเอามือไปอิงจมูกดูยังมีลมหายใจอยู่หลิ่งเฟยโล่งอกในทันทีที่เฟิงหู่ยังไม่ตาย ก่อนจะรีบทำการรักษาปฐมพยาบาลเบื้องต้นและแบกร่างเสือขาวกลับไปยังที่เรือนมายา

                   "ท่านหลิ่งเฟย ท่านเฟิงหู่!" ชุนที่ยืนรอสัตว์เทพอสูรทั้งสองกลับมาหลังจากที่ทั้งคู่ออกไปสู้ วิ่งเข้าไปสำรวจว่านายของตนบาดเจ็บตรงไหนรึไม่แต่ดูเหมือนว่าผู้ที่เจ็บหนักกว่าจะเป็นเฟิงหู่ในร่างเสือขาว

                   "เตรียมสมุนไพรฟื้นฟูเส้นลมปราณเร็วเข้า"

                   "ขอรับ"

                   มือวางร่างเสือขาวไว้บนที่นอนภายในห้องของเฟิงหู่ หลิ่งเฟยที่ตรวจร่างกายภายในของเฟิงหู่ระหว่างเดินทางกลับทำให้รับรู้ได้ว่าเส้นประสาทลมปราณเสียหายหนักที่สุดคงเป็นเพราะหอกลมปราณธาตุลมในตอนสุดท้ายที่เข้าไปทำลาย อวัยวะภายในถึงได้ฟื้นฟูช้าผิดปรกติกว่าที่ควรจะเป็น สิ่งที่ควรทำในตอนนี้คือเอากระดูกซี่โครงที่ทิ่มปอดอยู่ออกไป

                   ชุนเข้ามาพร้อมกับถ้วยยาสมุนไพรต่างๆ หลิ่งเฟยทำการผ่าตัดโดยไม่ใช้ยาชา ยาเพิ่มเลือด ยาฟื้นฟูเส้นประสาทถูกเอามาใช้อีกครั้งหลังจากคนใช้ครั้งล่าสุดคือถังอี๋ มือเข้าไปจับกระดูกสีขาวที่ชุ่มไปด้วยเลือดชุนที่คอยจับบาดแผลไว้ให้เบือนหน้าหนีออกไม่อาจทนมองอวัยวะภายในที่กำลังทำงานของมันได้ ความเป็นจริงแล้วต้องใช้เครื่องทางการแพทย์อย่างที่ถ่างแผลเพื่อให้สะดวกแก่การผ่าตัด

                   เอาเถอะขอไม่ตายก็พอ...

                   เมื่อขยับกระดูกออกไปกระดูกที่หักอยู่เร่งการฟื้นฟูประสานตัวกันเองรูรั่วที่ปอดก็ค่อยๆฟื้นฟู หลิ่งเฟยถ่ายโอนลมปราณช่วยด้วยอีกแรงนับเป็นครั้งแรกที่ต้องมารักษาสัตว์เทพอสูร เมื่อปิดปากแผลได้แล้วหลิ่งเฟยเน้นการรักษาไปที่ศีรษะเพราะเป็นจุดที่โดนเป็นจุดแรก

                    ร่างเสือขาวนอนหายใจอยู่บนเตียงอย่างสงบ ชุนที่คอยเช็ดตัวทำความสะอาดให้มองด้วยความกังวลไม่เคยเห็นผู้ที่แข็งแกร่งอย่างพยัคฆ์ขาวมานอนติดเตียงมาสามวันติดแบบนี้เลย

                   .

                   .

                   .

                   “ผ่านมาสามวันแล้วท่านเฟิงหู่ยังคงไม่ฟื้นเลยขอรับชุนพูดด้วยความรู้สึกไม่ดีที่สัตว์เทพอสูรมานอนนิ่งติดกันสามวันโดยที่ไม่ได้กินอะไรนอกจากยาสมุนไพรฟื้นฟูเมื่อวันก่อน

                    “....เจ้าไปทำอย่างอื่นก่อนเถอะ เดียวข้าเฝ้าไข้ท่านเฟิงหู่เอง

                    “ขอรับ

                    ชุนก้มหัวเดินออกไปจากห้อง หลิ่งเฟยนั่งข้างตัวเจ้าเสือขาวมือจับลูบหัวเหมือนกำลังลูบหัวเจ้าแมว สัมผัสได้การไหลเวียนของเลือดและลมปราณที่ดีขึ้นและขยับกล้ามเนื้อไม่สม่ำเสมอผิดปรกติของคนที่นอนหลับสนิท

                    “ไม่ยักรู้ว่าท่านจะแกล้งหลับเป็นด้วยท่านเฟิงหู่

                   เสือขาวลืมตามองคนนั่งเฝ้า ก่อนจะพยุงตัวขึ้นปากไอเอาเลือดเสียออกมากองใหญ่หลิ่งเฟยมองไม่คิดอะไรเพราะถือว่าเป็นเรื่องปกติที่ร่างกายจะขับของเสียออกมาร่างเสือขาวกลายเป็นร่างมนุษย์ตัวเปล่าเปลือย สิ่งนี้ต่างหากที่ไม่ได้คาดการณ์เอาไว้

                   "ข้านึกว่าท่านจะมีเสื้อผ้าสวมใส่ตั้งแต่แรกเสียอีก"แต่หากเพราะร่างที่เปลือยเปล่าของมนุษย์มามากแม้จะเป็นตอนที่ไม่มีชีวิต หลิ่งเฟยจึงยังสามารถสงบอาการพูดคุยตามปกติ

                   "มี แต่ข้าไม่ได้สร้างมันขึ้นมาต่างหาก"เสียงแหบดั่งคนเจ็บคอไม่ได้ดื่มน้ำมาหลิ่งเฟยรีบไปหาน้ำผึ้งมะนาวมาให้ดื่มแก้อาการเจ็บคอ หลังจากหามาให้ได้แล้วเฟิงหู่ได้สวมใส่เสื้อผ้าเป็นแบบที่ตนเองชอบใส่ แต่จากความจำของหลิ่งเฟยจำได้ว่าในเรือนนี้ไม่มีเสื้อผ้าแบบที่เฟิงหู่กำลังใส่อยู่

                   "ท่านเอาเสื้อมาจากที่ใดกัน"

                   "ก็เสกเอาไง ใช้หลักการเดียวกับวิชามายาของเจ้านั้นแหละ"

                   "แต่ว่ามันจับต้องได้ไม่ใช่หรือไงกัน"หลิ่งเฟยจับสัมผัสเสื้อของเฟิงหู่เพื่อพิสูจน์ว่ามันไม่ได้เป็นแค่ภาพลวงตา และผิวสัมผัสของเสื้อผ้ายังไม่เคยรู้สึกจากที่ไหนมาก่อนพอลองมานึกดูดีๆแล้วตอนที่ตนเองกลายร่างเป็นมนุษย์ครั้งแรกเสื้อผ้าของตนเองก็มีลักษณะเช่นนี้เหมือนกัน

                   จากภาพลวงตากลายเป็นของจริงงั้นเหรอ...

                   มันน่าสนใจมาก!!

                   "เฮ้ย เลิกสนใจเสื้อผ้าแล้วบอกข้ามาว่าเจ้าทำอะไรกับข้าหลิ่งเฟย"เฟิงหู่จับหูจิ้งจอกที่โผล่ออกมาอย่างหมั่นไส้ดูเหมือนว่าจิ้งจอกเก้าหางจะไม่ได้สนใจนอกจากเรื่องที่สร้างเสื้อผ้ามาปกปิดร่างกาย ความหงุดหงิดเพิ่มขึ้นในทันทีมือจับรวบหูจิ้งจอกสองข้างไว้แน่น

                   "โอ้ย...ข้าบอกแล้วข้าทำการสร้างหอกลมปราณและโจมตีใส่ท่านยังไงเล่า"

                   "หอกลมปราณ? เจ้าสร้างวัตถุสิ่งของขึ้นมาโดยไม่มีสื่อกลางอย่างนั้นเรอะ!"เฟิงหู่ออกแรงบีบอย่างลืมตัว 

                   "อย่ามาบีบหูข้านะ!!"

                   ผัวะ!

                   ชุนยกอาหารมากมายมาให้สองสัตว์เทพอสูรในห้องดูเหมือนสำหรับสัตว์เทพอสูรพยัคฆ์ขาวแล้วอาหารสำคัญกว่ายาฟื้นฟูร่างกายเสียอีก สองสัตว์เทพอสูรทานอาหารในห้องพยัคฆ์ขาวตักทุกอย่างเข้าปากอย่างหิวโหยต่างหลิ่งเฟยที่กินแบบปกติ

                   "ทำไมท่านต้องตกใจเรื่องที่ข้าใช้ลมปราณในการสร้างหอกด้วย" หลังจากที่ได้ฟาดฝ่ามือใส่หน้าพยัคฆ์ขาวเป็นครั้งแรก และเฟิงหู่ดูมีอาการที่ดีขึ้นมากหลิ่งเฟยถามเรื่องที่ตนเองยังไม่รู้และดูเหมือนว่าคนที่มีดีใช้แต่กำลังอย่างเฟิงหู่จะรู้มากกว่าที่คิดเอาไว้

                   เฟิงหู่ถือจานอาหารค้างไว้ที่ดูเหมือนว่าหลิ่งเฟยจะไม่รู้ทั่วไปอย่างเรื่องที่ไม่มีผู้ใดคิดจะใช้ลมปราณอย่างสิ้นเปลื้องด้วยการใช้ลมปราณมาสร้างให้มีรูปลักษณ์จับต้องได้โดยไร้สื่อกลางที่คอยช่วยควบคุมไม่ให้มีการสิ้นเปลื้องลมปราณ แหวนของไอ๋อั๋นก็ถือว่าเป็นสื่อกลางอย่างหนึ่ง

                   "งั้นเจ้าตอบคำถามของข้ามาก่อน เจ้าโง่มั้ย"

                   "อือ ข้าคิดว่าข้าโง่กว่าท่านในบางเรื่องนะ"หลิ่งเฟยตอบหน้าเฉย เฟิงหู่วางจานอาหารลงมองจ้องหน้าวิเคราะห์ว่ามีอะไรที่หลิ่งเฟยแตกต่างจากปกติ ไม่ใช่หน้าตาแต่เป็นนิสัยความคิดที่แปลกแตกแยกกว่าผู้อื่นแปลกผู้ใดที่เคยเจอมาทั้งชีวิต

                   "ฮึฮึ ฮ่าฮ่าฮ่าน่าสนใจ! น่าสนใจจริงๆทั้งที่เจ้าไม่ได้อยู่ในระดับเดียวกับข้า แต่เจ้ากลับชนะข้าได้หลิ่งเฟย!"

                   "ฮ่าฮ่า แล้วเมื่อไรท่านจะอธิบายเรื่องที่น่าตกใจให้ข้าฟังสักทีละท่านเฟิงหู่"

                   หลังจากที่ทั้งคู่หัวเราะด้วยกันจนพอใจแล้ว เฟิงหู่อธิบายสาเหตุที่ตนเองตกใจให้หลิ่งเฟยฟัง มันคือความรู้วิชา วรยุทธ์ที่ได้รู้มาจากสัตว์เทพอสูรมังกรฟ้าอีกทีทำให้หลิ่งเฟยพอคาดเดาออกว่าสัตว์เทพอสูรมังกรฟ้าเป็นมิตรกว่าพยัคฆ์ขาวอย่างแน่นอน

                   วิชาวรยุทธ์ทั้งหมดถูกตอบข้อสงสัยให้จนหมดสิ้นหลิ่งเฟยนั่งฟังอย่างตั้งใจ จานอาหารถูกเก็บไปหมดแล้วมีเพียงแค่ชากับสุราที่ตั้งวางอยู่บนโต๊ะเตี้ย

                   "ท่านดูสนิทกับท่านไท่หลงดีนะ"

                   "น่ารำคาญจะตายเอาแต่พูดถึงสิ่งที่ควรและไม่ควร การกระทำตัวอย่างเหมาะสม ถ้าไม่ติดว่าแคว้นมันมีสุราเลิศรสอยู่แล้วละก็ข้าก็ไม่ไปหามันหรอก"หลิ่งเฟยหัวเราะออกมาเมื่อเฟิงหู่ตอบกลับเช่นนี้มันก็ไม่แปลกเท่าไรเพราะเฟิงหู่เป็นคนที่เอาตัวเองเป็นใหญ่ไม่เชื่อฟังใครง่ายๆ หลิ่งเฟยถามเรื่องราวต่างๆอีกมากมายที่พยัคฆ์ขาวได้พบเจอมา รวมถึงได้รู้ด้วยว่าสัตว์เทพอสูรแต่ละตัวล้วนสนิทและรู้จักซึ่งกันและกันอยู่แล้วแต่เพียงแค่หยิ่งทะนงตัวเอง

                   สุราจากขวดน้ำเต้ารินให้จอกเฟิงหู่ดื่มมันเข้าไปก่อนจะวางลงสายตาของสัตว์ร้ายมองสัตว์เทพอสูรในตำนาน

                   "ข้าแพ้เจ้าครั้งนี้"

                   "ก็เป็นเช่นนั้น"

                   "วันใดที่เจ้าสามารถมาถึงระดับเหนือสวรรค์ราชันย์ได้ข้าจะกลับมาสู้กับเจ้าอีก และข้าไม่ตกหลุมพรางของเจ้าแล้วด้วย"

                   ในน้ำเสียงไม่มีความล้อเล่นอยู่เลย เวลานี้หลิ่งเฟยอยู่ในระดับราชันสวรรค์เป็นระดับที่สูงสุดของสัตว์อสูรธรรมดาทั่วไปแต่สัตว์เทพอสูรนั่นจะสามารถไปได้มากกว่านั้นอีกหนึ่งขั้นนั้นคือระดับเหนือสวรรค์ราชัน

                   "จะสู้ตอนนี้เลยก็ได้นะ"หลิ่งเฟยพูดหน้าตาเฉย เฟิงหู่ที่ยังไม่หายดีฉีกยิ้ม

                   "งั้นรึ! เจ้าเองก็เป็นพวกกระหายเลือดเหมือนกับข้าสินะ"เฟิงหู่ลุกขึ้นยืนค้ำหัวหลิ่งเฟยในทันที หลิ่งเฟยกำมือยกขึ้นลงยิ้มอย่างมีเลศนัย

                   "มาเป่ายิงฉุบแข่งกัน"

                   ความตื่นเต้นเมื่อครู่หายไปหมดเมื่อได้ยินวิธีการสู้ที่แสนปัญญาอ่อนของหลิ่งเฟย

                   เสียงดนตรีจากพิณบรรเลงออกมาสร้างความเพลิดเพลินให้กับแขกในงานประมูลยาโอสถชั้นสูง โอสถที่หลิ่งเฟยอยากจะรู้ว่าราคาในตลาดของมันจะมีมูลค่าเท่าใดกับแต่เพียงแค่มีชื่อว่ามี่จาง ยาโอสถที่ยังไม่รู้ว่ามันมีดีมากแค่ไหนถูกประมูลออกไปอย่างบ้าคลั่งตอนนี้อยู่ในช่วงพักเบรกการประมูลหลิ่งเฟยในคราบเชียนมี่จางนั่งมองสตรีที่นั่งดีดพิณให้ความเพลิดเพลินแก่ผู้ที่มาร่วมงานประมูล

                   "หากนายท่านชอบใจสตรีผู้นั้นข้าน้อยจะพาตัวมาให้ทันที" เจ้าของหอที่รอรับใช้อยู่ข้างนอกม่านเส้นไหมแมลงสัตว์อสูรสังเกตถึงสายตาของท่านจอมยุทธ์หลิ่งเฟยที่จ้องมองไปยังสตรีกลางลานเวทีที่กำลังบรรเลงเพลง

                   "ไม่ต้องหรอก"หลิ่งเฟยพูดปฏิเสธเจ้าของหอประมูล ช่วงนี้เริ่มรู้สึกเบื่อเล็กน้อยเพราะสองฝาแฝดไม่ได้อยู่ที่เรือนมายาแถมยังไม่กลับมาอีกที่มีก็แค่จดหมายที่ส่งมาจากสัตว์อสูรบ่งบอกถึงเรื่องราวที่ได้ไปพบเจอมา ล่าสุดก็ได้ไปเข้ากองทัพแคว้นหยางโดยที่ไม่ได้ตั้งใจเพราะไปโชว์ฝีมือการประลองของทหารทำให้ถูกแม่ทัพใหญ่ทาบทามชวนเข้ากองทัพจนถอนตัวออกมาไม่ได้

                   นี้แหละประสบการณ์ใหม่ที่พวกเขาจะได้พบเจอ

                   ตอนนี้เราก็ต้องหาประสบการณ์ใหม่ๆทำด้วยเหมือนกันจะทำอะไรดีนะ...วาดรูปก็เป็นอยู่แล้ว แต่งกลอนหรือ...น่าเบื่อออกจะตายไปหรือว่าจะเล่นดนตรีเหมือนผู้หญิงคนนั้นดี

                   เสียงบรรเลงดนตรีจบลงต่อไปเป็นช่วงของการประมูลสินค้าระหว่างที่ผู้มั่งคั่งบอกราคาประมูลแข่งกัน บางคนก็สังเกตเห็นว่ามีคนผู้หนึ่งกำลังนั่งมองผ่านม่านเส้นไหม ที่ตรงนั้นถือเป็นห้องส่วนตัวประกอบกับที่ใบจดหมายเชิญมีหมายเหตุว่า มี่จางไม่ต้องการพบผู้ใดทั้งนั้น และของประมูลก็มีชื่อของเซียนมี่จางแสดงว่าผู้ที่อยู่หลังม่านนั้นต้องเป็นเซียนมี่จางอย่างแน่นอน

                   หลิ่งเฟยมองดูผู้ที่ส่งเสียงบอกราคาราวกับเป็นละครเรื่องหนึ่งมันก็น่าตื่นเต้นอยู่ถ้าหากลองคิดตามดูว่าสินค้าตัวนั้นจะถูกประมูลอยู่ในราคาเท่าไร แต่มันก็คงยังน่าเบื่อเกินไปเจ้าของหอที่ไม่อยากมีเรื่องกับพวกที่มีอิทธิพลอย่างพวกขุนนางใหญ่ คุกเข่าอยู่หน้าม่านเส้นไหม 

                   "มีอะไรรึ" หลิ่งเฟยถามคนคุกเข่าพอจับสัมผัสได้ว่าไม่ไกลจากเจ้าของหอยังมีบุคคลอื่นสามสี่คนอยู่กดดันเจ้าของหอพวกเขามีระดับลมปราณจุติขึ้นไปยกเว้นคนที่อยู่หน้าสุด

                   พวกลูกคนรวยเอาแต่ใจอีกแล้วงั้นหรือ..

                   "ท่านไปเถอะ เดียวข้ารับมือกับพวกเขาเอง" เจ้าของหอก้มหัวก่อนจะเดินออกไปเป็นเช่นนี้ตลอดหากตนเองมาเข้าร่วมชมดูการประมูลด้วย คุณชายตระกูลขุนนางใหญ่แคว้นหยางเอื้อมมือจะเปิดม่านเส้นไหม ฉับพลันนั้นร่างกายถูกแรงลมปราณกดทับในทันทีให้ตนเองต้องคุกเข่าต่อหน้าไม่อาจเห็นใบหน้าที่อยู่หลังม่านได้ผู้ติดตามที่ยังมีลมปราณช่วยต้านทานจะเข้าไปลากนายของตนออกมาก็ถูกกดทับด้วยระดับที่เหนือขึ้นไปอีก

                   นี่หรือเซียนมี่จาง

                   "ที่หอประมูลแห่งนี้เขียนประกาศไว้อย่างชัดเจนว่า มี่จางไม่ต้องการพบผู้ใดทั้งนั้น ในใบคำเชิญก็น่าจะระบุเอาไว้ด้วยเช่นกันทำไมท่านถึงยังมาหาข้า ขัดอารมณ์สุทรีย์ของข้าด้วย"

                   "เพราะข้าอยากจะรู้นักว่าเซียนมี่จางที่ว่าเป็นคนยังไงไม่นึกว่าจะเป็นเซียนที่มีจิตใจแข็งกระด้างเช่นนี้"หลิ่งเฟยถอนหายใจอย่างเบื่อหน่ายคนที่แล้วๆมาก็พูดเช่นนี้เพราะว่าตนเองเป็นเซียน เลยคิดว่าจะมีจิตใจที่ดีตามไปด้วยซึ่งมันไม่เป็นความจริงตั้งแต่คำว่าเซียนมี่จางแล้ว

                   "ข้าจะพูดเหมือนที่ผ่านมา ข้าเป็นจอมยุทธ์ใช้นามว่ามี่จาง ทีนี้ก็กลับไปเถอะนะ"แรงกดดันหายไปคุณชายที่พอได้ฟื้นตัวพยายามเพ่งสายตาให้มองเห็นเงาคนหลังม่าน รูปร่างเห็นได้ไม่ชัดเจนแต่น้ำเสียงยืนยันได้เลยว่าเป็นสตรีด้วยความอยากรู้ใคร่อยากจะรู้จักมือปัดผู้ติดตามให้ออกห่างก่อนจะเอามือไปแหวกม่านไม่ฟังคำทัดท้านของผู้ติดตาม

                   "ข้าเตือนท่านแล้วนะ"

                   ตูม!

                   เจ้าของหอที่รอให้ผู้ลองดีโดนไล่ออกมา สั่งให้เด็กรับใช้ไปรับตัวคุณชายมารักษาปฐมพยาบาลเดียวหอประมูลจะถูกกังขาเอาได้ว่าปล่อยให้แขกบาดเจ็บจนตายแรกๆก็หวาดหวั่นว่าจะเจอปัญหาหากท่านมี่จางไล่คุณชายคุณหนูออกไปด้วยการเป่าให้กระเด็นแต่กลับตรงกันข้าม แม้จะมีผู้ที่ไม่พอใจแต่หลังจากนั้นไม่นานเรื่องก็เงียบลงเพราะฝ่ายที่ถูกคือหอประมูลที่ได้ทำการแจ้งล่วงหน้าทุกครั้งเมื่อท่านมี่จางมาที่นี่ ว่าไม่ประสงค์จะพบเจอกับผู้ใด และฝ่ายที่ผิดคือผู้ที่ไม่ทำตามกฎ

                    เมื่องานประมูลจบลงมีผู้คนมากมายเข้ามาทักทายเจ้าของหอประมูลหวังใกล้ชิดผู้ที่มากความรู้อย่างท่านเซียนมี่จาง หลิ่งเฟยที่พอได้รับเงินถุงโตที่แบ่งกับหอประมูลเร่งเดินทางกลับไปที่เรือนมายาเพราะตอนนี้ในใจมีสิ่งที่อยากทำอยู่สิ่งหนึ่ง

                   "ข้าจะไปแคว้นหาน!"

                   "ขอรับ?" ชุนที่กำลังเอาของว่างมาให้นายของตนที่พึ่งกลับมารับคำอย่างไม่เข้าใจว่าทำไมต้องไปแคว้นหาน ปกติแล้วหลิ่งเฟยมักจะไปแคว้นฉินเก็บผลึกสัตว์อสูรมาเป็นวัตถุดิบ

                   "ข้าจริงจังมากนะ"

                   "...แล้วเหตุใดท่านหลิ่งเฟนถึงประสงค์จะไปแคว้นหานละขอรับ" ชุนถามตอบกลับเวลานี้นายของตนเหมือนเด็กที่กำลังเบื่อไม่มีผิด หากทำเป็นไม่สนใจเดียวนางก็น้อยใจทำแก้มป่อง

                   "ข้าอยากเล่นดนตรี จะไปหาอาจารย์ที่นั้นและอีกอย่างหนึ่งคือข้าไม่เคยไปแคว้นหานเลย"

                   "แคว้นหานก็เหมือนแคว้นหยางนั้นแหละขอรับ ค่อนข้างเรียบง่ายไม่มีอะไรโด่ดเด่น"ชุนกล่าวตามสิ่งที่รู้มาแคว้นหยิ่งรุ่งเรืองเพราะการปกครองที่ดีมีสัตว์เทพอสูรมังกรฟ้าคุ้มครอง แคว้นโจวก็โดดเด่นเพราะมีพื้นที่ติดกับมหาสมุทร แต่หากให้เลือกว่าจะอาศัยอยู่แคว้นใดตนเองขออาศัยอยู่แคว้นหยางจะดีซะกว่า เพราะนักล่าสัตว์อสูรไม่เยอะเท่ากับแคว้นหาน

                   "มันต้องมีอะไรที่เป็นเอกลักษณ์ของพวกเขาสิ ไปแล้วก็ต้องไปให้คุ้ม"หลิ่งเฟยทำแก้มป่องจริงจัง ชุนเริ่มเหงื่อตกเพราะนายของตนคงจะเอาจริงเรื่องที่จะเรียนดนตรีที่นั่นทำให้นึกถึงตอนที่หลิ่งเฟยมาขอลองทอผ้าแล้วตนเองไม่ให้ จนนางทำตัวงอแงเหมือนเด็กทั้งที่จะใช้อำนาจบังคับก็ย่อมได้เป็นความรู้สึกที่น่าคิดถึงเสียจริง

                    “แล้วท่านจะไปนานแค่ไหนหรือขอรับ?”

                    “คงจะครึ่งปีละมั้งแคว้นหานเองก็อยู่ไกลด้วยสิ แต่ว่าเจ้าก็ไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวนะชุน

                    “ขอรับ?”

                    “เพราะว่าเจ้ายังมีท่านเฟิงหู่อยู่ด้วยยังไงละ” 

                   "ท่านหลิ่งเฟย!" ชุนหน้าขึ้นสีทันทีเมื่อรู้ทันความคิดของหลิ่งเฟย นอกจากนางจะเป็นคนเอาแต่ใจแล้วนางยังมีนิสัยประหลาดชอบพวกต้วนซิ่วหรือเหตุการณ์ที่บุรุษอยู่ใกล้ชิดกัน ถึงจะรังเกียจแต่ก็รู้สึกเขินอายเมื่อถูกมองด้วยสายตาล้อเลียนทั้งที่ความจริงแล้วมันไม่ใช่เลย

                    "เอาเป็นว่าข้าจะพยายามกลับมาให้ไวที่สุดนะ"

                   "โปรดกลับมาให้ไวที่สุดเลยนะขอรับท่านหลิ่งเฟย.."

                   "เจ้าจะออกไปเที่ยวอีกแล้วรึ"บุคคลที่พึ่งพูดถึงไปเข้ามาในห้องไม่ทันให้ตั้งตัว ชุนสะดุ้งตัวเมื่อได้ยินเสียงของเฟิงหู่พอคิดตอนที่ตนเองอยู่กับเฟิงหู่ตามลำพังมันช่างน่าอึดอัดไม่น้อย

                   "อือ ข้าจะไปเที่ยวที่แคว้นหานแล้วก็จะไปหาอาจารย์สอนดนตรีที่นั่นไปในตัวด้วย"

                   "เจ้าจะเล่นดนตรี?"

                   "ใช่"

                   "เล่นอะไรรึ กลอง พิณ ขลุ่ย"เฟิงหู่พูดทายชื่อเครื่องดนตรีที่รู้

                   "ไม่รู้เหมือนกันยังไม่ได้คิดเอาไว้เลย" ทั้งคู่เงียบลงอย่างหมดคำพูด หลิ่งเฟยไม่สนการแสดงทางสีหน้าที่ว่างเปล่าก่อนจะไปเก็บเสื้อผ้าเตรียมเงินทองเพื่อเดินทางไปยังแคว้นหานในทันที ชุนทำหน้าเศร้าเมื่อหลิ่งเฟยจะไม่อยู่เป็นเวลานานและต้องมาอยู่กับสัตว์เทพอสูรพยัคฆ์ขาวที่เอาแต่ใจ ชอบข่มขู่ผู้ที่ด้อยกว่า

                   "ท่านเฟิงหู่อย่าแกล้งชุนซะละ"

                   "จะไปก็รีบไสหัวไปได้แล้ว รีบๆไปเพิ่มระดับลมปราณของเจ้าด้วย" ปากไล่แต่ก็ยังสั่งให้ไปฝึกฝนตนเพิ่มระดับลมปราณ หลิ่งเฟยเบะปากใส่ก่อนจะขี่กระบี่มุ่งหน้าไปยังแค้นหานโดยตรงเฟิงหู่เดินกลับเข้าไปที่เรือนมายาชุนมองภาพป่าที่สงบสุขปราศจากเสียงโหวกเหวกความวุ่นวายและหวังว่าป่าแห่งนี้จะสงบสุขเช่นนี้อยู่เสมอ

                    




    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×