คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #22 : บทจะสู้ก็เกือบถึงตาย(รีไรท์)
หลังจากเดินทางจนมาถึงยังป่าแถบชายแดนระหว่างแคว้นหยางและแคว้นฉินไม่ถึงหนึ่งชั่วยาม
หลิ่งเฟยที่ไม่คิดว่าตัวเองเป็นเหมือนภาระสำหรับยูซานบอกให้ยูซานหยุดอยู่ตรงนี้เมื่อเห็นหมอกสีม่วงปกคลุมในป่าแต่ไม่ได้กินบริเวณกว้างนัก
“ท่านเห็นอะไรหรือขอรับ”
ยูซานที่ไม่เห็นอะไรนอกจากความมืดกับป่าเอ่ยถามหลิ่งเฟย
หลิ่งเฟยไม่ตอบเพราะกำลังสงสัยว่าบนโลกนี้มีหมอกสีม่วงด้วยหรือ
จะพูดว่ามันเป็นวิชาบางอย่างยังจะน่าเชื่อกว่าอีก
หมอกสีม่วงเริ่มเข้มขึ้นเรื่อยๆจนหลิ่งเฟยได้กลิ่นแสบจมูก
นึกได้ทันทีว่ามันคือพิษรีบให้ยูซานบินขึ้นให้สูงกว่านี้
ส่วนตนเองยังคงยืนกลางอากาศคอยสังเกตการณ์
ตามองเห็นการปะทะของสัตว์อสูรสองตน
แต่หากพอมองให้ชัดกว่านี้มันคือการต่อสู้ระหว่างสัตว์อสูรกับสัตว์เทพอสูรซึ่งอีกฝ่ายหนึ่งหลิ่งเฟยรู้จักเป็นอย่างดี
เฟิงหู่กับใครอีกคนก็ไม่รู้
สัตว์อสูรที่สู้อยู่กับเฟิงหู่เป็นแมงมุมขนาดตัวเท่ากับรถยนต์คันหนึ่ง
มันแยกเขี้ยวพ่นพิษ เฟิงหู่หลบได้ก่อนจะตวัดมือใส่
สัตว์อสูรแมงมุมกรีดร้องพ่นใยออกมาขวางทางเพื่อถ่วงเวลา
หลิ่งเฟยเปลี่ยนมาใช่ร่างกายเด็กอายุ 6
ขวบลงสู่พื้นล่างกางโล่ลมปราณครอบคลุมตัวเอง
ต้นไม้รอบตัวต่างตายหมดไม่ได้เหี่ยวเฉาตายแต่มันถูกหมอกสีม่วงนี้กัดกร่อนไม่เว้นกระทั้งพื้นดินที่แห้งแล้งจนแทบเป็นผุยผงเมื่อได้เหยียบพื้น
“เจ้ามันบ้าเฟิงหู่
ตอนนี้ข้าไม่มีแขนมาสู้แล้วนะ!!”
เสียงแหลมตวาดใส่เฟิงหู่ในร่างมนุษย์
สัตว์อสูรแมงมุมเปลี่ยนมาใช้ร่างมนุษย์เพื่อการสื่อสาร แต่เหมือนว่าเฟิงหู่ไม่สนใจว่าอีกฝ่ายจะเป็นยังไงต้นไม้ที่ถูกใยสีขาวยึดเอาไว้ถูกเฟิงหู่ถอนมันออกทั้งรากก่อนขว้างใส่สตรี
เฉียดหัวหลิ่งเฟยในร่างเด็ก
“แต่เจ้าก็ยังเหลือแขนอยู่ข้างหนึ่งนี่นา ไม่สิเหลือขาตั้ง4ขา ใช้ร่างจริงซะก่อนที่ข้าจะขยี้หน้าของเจ้าอีกครั้ง”
ใยสีขาวถูกพ่นออกมาจากปากเฟิงหู่จงใจไม่หลบถูกยึดติดกับต้นไม้สตรีในชุดสีดำ
หน้าตาจัดได้ว่าสวยคม พยายามพยุงร่างกายหนีออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด
แต่นับว่าโชคร้ายของนางคืออีกฝ่ายเป็นสัตว์เทพอสูรพยัคฆ์ขาวเฟิงหู่ใช้ร่างสัตว์เทพอสูรคำรามใส่
เท้ากระทืบใส่นาง หลิ่งเฟยที่แอบมองมาได้สักพักพอรู้แล้วว่าสตรีที่กำลังแพ้คงเป็นนางพญาแมงมุมที่เฟิงหู่ที่เคยพูดถึงอยู่
นางพญาแมงมุมที่ไม่อาจสู้กับเฟิงหู่ได้พยายามรักษาชีวิตให้นานที่สุด
เมื่อกี้นางหลบการโจมตีของเฟิงหู่ได้ พยัคฆ์ขาวฉีกยิ้ม
แววตาเต็มไปด้วยความรื่นเริง ต่างจากนางพญาแมงมุมที่เต็มไปด้วยความตึงเครียด
นางพญาแมงมุมกลับมาใช้ร่างเดิม
แต่ด้วยขาที่นางเหลืออยู่เพียงแค่สี่ขาจากแปดขา
นางจึงทำได้แค่ฝังคมเขี้ยวใส่ขาเฟิงหู่ราวกับกิ่งไม้งัดท่อนซุง
เฟิงหู่ที่ไม่เป็นอะไรเลยสะบัดนางพญาแมงมุมก่อนกระโจกเข้าไปเหยียบซ้ำจนนางพญาแมงมุมส่งเสียงกรีดร้องด้วยความทรมาน
เจ้าเสือนั้นบ้าไปแล้วรึไง....
นี้เป็นครั้งแรกของหลิ่งเฟยที่ได้เห็นเฟิงหู่สู้นอกจากตนเอง
ไม่มีเค้าเฟิงหู่ในยามที่อยู่ในเรือนมายาหรือกับตนเองสิ่งที่เห็นมีแต่ความบ้าคลั่ง
กี๊ดดดดด!!!
เสียงกรีดร้องที่แสดงถึงความทรมานอย่างขีดสุดทำให้หลิ่งเฟยตัดสินใจไม่รอช้าที่จะเข้าไปหยุดเฟิงหู่ที่ตนเองไม่รู้จัก
“พอได้แล้วท่านเฟิงหู่”
ถึงเสียงจะเบาจนแทบไม่ได้ยิน
แต่เฟิงหู่จำเอกลักษณ์เฉพาะตัวของเจ้าของเสียงได้สิ่งที่แปลกประหลาดที่สุดเท่าที่เคยเจอมา
“นางแพ้แล้วนะเฟิงหู่”
หลิ่งเฟยพูดเสียงเรียบเมื่อเฟิงหู่ยังเหยียบร่างนางพญาแมงมุม
เฟิงหู่ยกเท้าออกกลับมาใช้ร่างมนุษย์
“เหตุใดเจ้าถึงทำหน้าเช่นนั้น”
เฟิงหู่พูดอย่างไม่ชอบใจในอดีตก็มีคนทำหน้าเช่นเดียวกับหลิ่งเฟย
เป็นใบหน้าที่ไม่ได้หวาดกลัวหรือเวทนา
แต่หากมันว่างเปล่าจนน่าหงุดหงิด
“ดูจากภายนอกเหมือนท่านจะยังสบายดีอยู่นะ”
หลิ่งเฟยเดินผ่านเฟิงหู่อย่างเมินเฉย
เข้าไปดูอาการนางพญาแมงมุมที่เรียกได้สภาพไม่เหลือชิ้นดีแต่ยังคงหายใจอยู่
เพราะหมอกพิษทำให้หลิ่งเฟยรู้สึกอึดอัดตัวอยู่ไม่น้อย
หลิ่งเฟยแผ่ลมปราณออกมาลบล้างหมอกพิษซึ่งเฟิงหู่มองการใช้ลมปราณอย่างสิ้นเปลื้องของหลิ่งเฟยด้วยความหมั่นไส้
“ยูซานลงมาได้แล้ว”
เฟิงหู่มองปีกสีดำเมื่อยูซานทะยานลงมาจากฟ้า
ยูซานที่รู้ตัวว่าถูกมองอยู่รีบทำความเคารพอีกฝ่าย
“....ลูกครึ่งหรอกหรือ”เฟิงหู่เหมือนพูดกับตนเองหลิ่งเฟยที่ทำการรักษาอยู่แอบแปลกใจเล็กน้อย
แต่สิ่งสำคัญตอนนี้คือการรักษานางพญาแมงมุม
“ทำไมเจ้าถึงไปรักษาศัตรูแทนที่จะมารักษาข้ากันหลิ่งเฟย”
หลิ่งเฟยกรอกตามองบน
เมื่อกี้ตอนที่เดินผ่านเฟิงหู่ก็แอบสังเกตอาการของเฟิงหู่อยู่เหมือนดูเหมือนพิษของนางพญาแมงมุมจะออกฤทธิได้ไม่มากเมื่ออีกฝ่ายคือเฟิงหู่
แต่อาการหนาวสั่นและอาการชาที่ขาตรงจุดที่โดนกัดคงก่อกวนใจเฟิงหู่ไม่น้อย
“ยืนรอไปสักพักมันไม่ตายหรอกท่านเฟิงหู่”
หลิ่งเฟยพยายามรักษานางพญาแมงมุมที่ตนเองไม่รู้ชื่อเท่าที่จะทำได้
ทั้งการรักษาบาดแผลภายในและบาดแผลภายนอกแต่ด้วยวิชาความรู้ที่มีทำได้แค่ช่วยยืดเวลาออกไปเท่านั้น
พา..ไป
เสียงที่แผ่วเบาฟังไม่ชัดหลิ่งเฟยพยายามฟังสิ่งที่นางพญาแมงมุมพยายามพูดอีกครั้ง
พาข้าไปที่พรรคหมื่นพิษ
นั้นคือสิ่งที่หลิ่งเฟยสามารถจับใจความได้
หากนั้นคือสิ่งที่จะทำให้นางพญาแมงมุมรอดหลิ่งเฟยก็จะไม่ลังเลที่จะทำ
“ข้าจะไล่พิษออกจากร่างกายให้
แต่ท่านต้องพายูซานกลับไปที่เรือนมายา”
“หลิ่งเฟยข้าไม่ได้อยู่ในเรือนมายา
ตอนนี้เจ้าไม่มีสิทธิมาสั่งข้า”
เฟิงหู่ที่จำข้อตกลงได้พูดด้วยความมั่นใจจนหลิ่งเฟยอยากจะเอาสุราที่เฟิงหู่ชอบหนักหนามาสาดใส่แผลสักสิบครั้ง
“งั้นก็เชิญยืนตายอยู่ตรงนี้ไปก็แล้วกันนะท่านเฟิงหู่
ยูซานเดียวข้าจะให้จดหมายแนะนำ”
“เออๆ
เดียวข้าพาไปก็ได้แค่นี้ก็พอแล้วใช่มั้ย”
เพราะไม่รู้วิธีรักษาและด้วยความที่ไม่รังเกียจยูซานอยู่แล้ว
ที่พูดไปเมื่อกี้ก็แค่หยอกเล่นหลิ่งเฟยมองด้วยความเอื้อมระอาสัตว์เทพอสูรที่ควรดูสูงส่งตอนนี้เหมือนเพื่อนที่คอยกวนประสาทอยู่ตลอด
เมื่อหลิ่งเฟยไล่พิษออกจากร่างกายจนหมดแล้วเฟิงหู่ก็คำรามเสียงดังในร่างมนุษย์ทีหนึ่งว่า
ข้าหายแล้ว ยูซานกับซงหูแทบแตกและไม่อยากไปกับท่านผู้นี้ด้วย
“ถึงจะไม่เข้าใจว่าเจ้าจะรักษามันไปทำไมก็เถอะ
รู้ไว้ด้วยซะว่านี้เป็นครั้งเดียวที่ข้าจะยอมทำตามคำขอของเจ้า”
รีบๆกรุณาไสหัวไปเถอะท่านเฟิงหู่
เส้นเลือดในสมองจะแตกอยู่แล้ว
หลิ่งเฟยตัดสินใจที่จะนำนางพญาแมงมุมเข้าไปในแหวนมิติและใช้ไฟสีฟ้าที่สามารถช่วยฟื้นฟูห่อหุ้มตัวเอาไว้อีกที
เพราะไม่เคยได้ยินชื่อพรรคหมื่นพิษและไม่รู้จักหลิ่งเฟยเลือกจะถามสัตว์อสูรในป่าจนได้ความว่าพรรคหมื่นพิษนั้นอยู่ในหุบเขาที่อยู่ในแคว้นโจวซึ่งอยู่ระหว่างแคว้นฉินกับแคว้นหยาง
ถึงจะไกลมากแต่นั้นก็ไม่ใช่ปัญหา
หลิ่งเฟยไม่รอช้าที่จะเดินทางไปยังที่นั้นเมื่อถึงป่าที่มีภูมิประเทศตรงตามที่รู้มาหลิ่งเฟยรีบเดินทางไปยังพรรคหมื่นพิษตามคำบอกเล่าของสัตว์อสูรที่อยู่แถบนั้น
ป้ายที่เขียนคำว่า
พรรคหมื่นพิษไว้อย่างยิ่งใหญ่ ประกอบกับยามที่เฝ้าหน้าประตูที่ดูน่ากลัวพร้อมจะฆ่าทุกคนที่เดินเข้าไปหลิ่งเฟยไม่อยากจะเสียเวลาให้ยามที่เฝ้าอยู่นั้นเข้าใจว่าตนเองเป็นศัตรูจึงใช้ร่างเด็กผู้หญิงและปล่อยนางพญาแมงมุมมาไว้ข้างนอกก่อน
“พี่ชายคะ”
ไม่ทันไรยามสองคนก็เล็งปลายหอกมาที่หลิ่งเฟย
หน้าตาเต็มไปด้วยความไม่ไว้ใจ หลิ่งเฟยทำเป็นหวาดกลัวจนยามเฝ้าหน้าประตูผ่อนแรงลง
“คือว่าข้าเจอนางพญาแมงมุมบาดเจ็บ
นางบอกให้ข้าพามาที่นี่”
คำๆนี้ไม่น่าใช่คำล้อเล่นถึงแม้ว่าเด็กน้อยที่อยู่ตรงหน้าพวกเขาจะดูแปลกๆแต่สัตว์อสูรที่อยู่แถบนี้ย่อมรู้ดีว่านางพญาแมงมุมไม่ใช่สิ่งที่จะเอามาพูดพล่อยๆ
หลิ่งเฟยวิ่งเข้าไปในป่าบอกให้รีบตามมายามคนหนึ่งอาสาที่จะไปเองจนได้เห็นร่างของนางพญาแมงมุมในร่างจริงที่ดูไม่ได้เลยแม้แต่น้อย
“ท่านมี่อิง!? “
นั้นเป็นครั้งแรกที่หลิ่งเฟยได้ยินชื่อของนางพญาแมงมุม ผู้คนมากมายรีบทำการเคลื่อนย้ายนางพญาแมงมุม
หลิ่งเฟยที่อยากรู้วิธีการรักษาก็ขอไปด้วยคน
ความวุ่นวายที่เกิดขึ้นตั้งแต่เคลื่อนย้ายนางพญาไปจนถึงหาห้องรับรองหลิ่งเฟยแม้ว่าหลิ่งเฟยต้องการที่จะอยู่ใกล้กับมี่อิงก็ตามแต่คำตอบที่ได้รับคือประมุขพรรคต้องการพบตัวเป็นการส่วนตัว
“พี่ชายเจ้าคะ
ข้าขอไปอยู่ข้างท่านนางพญาแมงมุมได้หรือไม่”
หลิ่งเฟยใช้รูปร่างหน้าตาที่เป็นเด็กไร้เดียงสาพูดแกมขอความเห็นใจ ยามเฝ้าหน้าห้องคนหนึ่งก็ดูเห็นใจหากไม่ถูกอีกคนหนึ่งขัดเสียก่อน
แต่หลิ่งเฟยก็ไม่ยอมแพ้
น้ำตาคลอเบ้า
ตัวสั่นให้ยามรู้ว่าเด็กน้อยคนนี้กำลังทุกข์ใจมากแค่ไหนที่ไม่ได้อยู่ข้างนางพญาแมงมุม
เมื่อได้เห็นเช่นนี้ยามทั้งสองต่างเห็นใจในทันทีแม้ว่านางจะเป็นสัตว์อสูรแต่ก็ยังเป็นเด็กเผลอๆกระบวนการความคิดคงไม่ซับซ้อนไปมากกว่ามนุษย์หรือก็คือนางคงโกหกไม่เป็น
“รอสักหน่อยนะ
เดียวข้าจะลองไปสอบถามท่านประมุขดู”
ยามที่ขัดในตอนแรกเดินออกไปในทันที
หลิ่งเฟยนึกขอบคุณที่ตนเองตัดสินใจมาอยู่ในร่างเด็กน้อยไม่เช่นนั้นคงไม่ได้รับความเห็นใจถึงขนาดนี้
หลิ่งเฟยออกมายืนข้างยามมองสิ่งรอบตัวด้วยความอยากรู้อยากเห็น
ทางเดินที่ดูเรียบง่ายไม่มีอะไรตกแต่งนอกจากภาพวาด
และผลงานแกะสลักกลิ่นของสมุนไพรลอยอยู่ในอากาศจางๆ
แม้กระทั้งหญิงรับใช้ที่เดินสวนทางไปมาก็ยังมีกลิ่นของสมุนไพรและกลิ่นของสัตว์อสูร
“แม่นางตัวน้อย”
ยามเฝ้าประตูคุกเข่าทำท่าเคารพในทันทีหลิ่งเฟยมองคนเรียกอย่างงุงงง
จำได้ว่านี้คือเด็กชายที่ที่ตนเองเคยเจอเมื่อตอนที่ตนเองออกมาเดินเล่นและช่วยเอาไว้จากความตาย
ผ่านไปสองปีคนเรามันจะโตได้ถึงขนาดนี้เลยเชียวหรือ...
หลิ่งเฟยเงยหน้ามองคนตัวสูงที่สูงขึ้นมาก
หยางซือยิ้มคล้ายอารมณ์ดีคนรับใช้ที่ตามหลังมาสองคนมองหน้ากันอย่างแปลกใจว่าประมุขพรรครู้จักสัตว์อสูรตนนี้ด้วยหรือ
แถมยังดูดีใจอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
“เข้าไปข้างในก่อนเถอะนะแม่นางตัวน้อย ข้าเอาขนมกับสุรามาด้วยนะ”
เจอหน้าก็เอาขนมมาล่อเลยหรือ
“ท่านมี่อิงได้รักการรักษาเรียบร้อยแล้วหรือ....เจ้าคะ”
หลิ่งเฟยพูดหางเสียงต่อท้ายเมื่อเห็นสายตาที่เป็นกังวลของคนรับใช้และยามเฝ้าประตู
นอกจากความกังวลแล้วยังมีความหวาดกลัวตัวของประมุขพรรคที่หลิ่งเฟยยังไม่รู้นาม
“ไม่ต้องพูดสุภาพกับข้าหรอกแม่นางตัวน้อย
เรื่องของมี่อิงค่อยคุยกับข้างในกัน”
ประมุขพรรคคุกเข่าในส่วนสูงใกล้เคียงกัน
ใบหน้าที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความงามจนสตรีที่ว่างามล่มเมืองคงอยากลาออกจากตำแหน่งกำลังส่งสายตาราวกับลูกหมา
“ก็ได้”
โต๊ะที่ว่าตัวใหญ่แล้ว
ก็ยังคงใหญ่ไม่พอสำหรับหยางซือ หยางซือสั่งเปลี่ยนโต๊ะให้นำแจกันใส่ดอกไม้มาตั้งประดับห้อง
ขนมมากมายถูกเอามาจัดเรียงอย่างสวยงาม
หลิ่งเฟยยืนมองคนพูดสั่งจนคนรับใช้ต้องวิ่งวุ่นหาสิ่งที่เจ้านายต้องการมาให้
รวมไปถึงเสื้อผ้าชั้นดีกับของเล่นสำหรับเด็กผู้หญิงด้วย
หลิ่งเฟยนั่งกอดตุ๊กตาที่ถูกปักเย็บให้เหมือนประมุขพรรค
ในห้องมีเพียงแค่หลิ่งเฟยกับประมุขพรรค
หยางซือรินสุราให้พร้อมกับยื่นจานขนมมาวางไว้ตรงหน้า
“เจ้าจำข้าได้หรือไม่ แม่นางตัวน้อย”
ผ่านมาเกือบหนึ่งก้านธูปพึ่งมาถามว่าจำได้หรือเปล่า
อย่างนี้ก็ได้หรือคุณชายรูปงาม
“ต้องจำได้อยู่แล้วสิ
จะว่าไปเจ้าชื่ออะไรหรือ”
หลิ่งเฟยคิดว่าตนเองตาฝาดเพราะเมื่อกี้เหมือนเห็นหูกับหางสุนัขกำลังส่ายไปมา
“ข้าชื่อเยียน หยางซือแล้วเจ้าล่ะ”
“ข้าชื่อหลิ่งเฟย”
“หลิ่งเฟย
ข้าชอบชื่อนี้”
มีหลายสิ่งที่หลิ่งเฟยรู้สึกสงสัยท่าทีของคนรับใช้ที่ดูหวาดกลัว
การแสดงของหยางซือที่ดูแตกต่างจากครั้งแรกที่เจอกันและอาการของนางพญาแมงมุมในเวลานี้
“คือว่า
ข้าขอไปหาพญาแมงมุมได้หรือไม่ ตอนนี้ข้ารู้สึกเป็นห่วงนางไม่น้อยเลย”
สายตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความสุขเปลี่ยนไปเป็นความเกลียดชังรวมไปถึงความแค้นอย่างแรงกล้าเมื่อกล่าวถึงนางพญาแมงมุมโดยไม่เอ่ยนาม
หลิ่งเฟยเดาออกทันทีว่าเวลาปกติหยางซือไม่ได้เป็นอย่างที่อยู่ต่อหน้าตนเองแน่นอน
“หากเจ้ายืนยันเช่นนี้ข้าจะพาเจ้าไปเองหลิ่งเฟย”
หยางซือพาหลิ่งเฟยไปยังห้องหนึ่งที่ดูแตกต่างจากห้องอื่นและดูวุ่นวายจนหาคำอธิบายไม่ถูกตั้งแต่ควันที่ลอยคลุ่งไปทั่วห้องเพื่อกล่อมประสาทมี่อิง
คนรับใช้ที่วิ่งไปมาเพื่อคอยเปลี่ยนน้ำสะอาดอุปกรณ์การแพทย์ถูกโยนใส่ถาดสำหรับอุปกรณ์ใช้แล้วทุกวินาที
นี้คือการผ่าตัด
เป็นภาพที่หลิ่งเฟยไม่ได้เห็นมานาน
“ไม่มีการถ่ายเลือดหรือนางเสียเลือดไปมากเลยนะหยางซือ”
“อ่า
เรื่องนั้นเห็นว่าพวกเขาจะใช้เม็ดยาเพิ่มเลือด”
แต่แบบนั้นก็เป็นการสร้างภาระให้กับร่างกายไม่ใช่หรือไงกัน
ข้าถึงไม่ทำอะไรเกี่ยวกับเลือดมากนอกจากฟื้นฟูบาดแผลภายนอกแล้วไงพวกเขาถึงมาผ่าตัด
ควักนู่นนี่ออกให้เสียเลือดเพิ่มอีก..
หลิ่งเฟยอยากจะเข้าไปหยุดทุกคนที่ดูจะสับสนเป็นอย่างมากว่าจะเริ่มจากอะไรดี
หยางซือมองภาพตรงหน้าด้วยความพอใจและยินดีเป็นอย่างมากหากว่ามี่อิงจะตายไป
แต่เมื่อเห็นสีหน้าของหลิ่งเฟยที่ดูเสียใจไม่น้อย ความคิดในใจก็เปลี่ยนไปในทันที
“เจ้าอยากให้มี่อิงรอดอย่างนั้นหรือหลิ่งเฟย”
“ใช่
เพราะว่าข้าคิดว่านางคงยังไม่อยากตาย”
ดวงตาสีเงินมีแววตาของความเสียดายบางสิ่งที่หยางซือไม่รู้ว่ามันคืออะไร
แต่ถ้าหากว่าหลิ่งเฟยต้องการแบบนั้นตนเองก็ยอมที่จะยื่อชีวิตของสัตว์อสูรชั้นเลวอย่างนางพญาแมงมุม
“ถอยออกไปให้
ไปเอาแมงมุมพันธุ์เดียวกับมี่อิงมา เตรียมน้ำเกลือ
สมุนไพรสมานบาดแผลชนิดอ่อนมาด้วย”
ไม่พูดเปล่าหยางซือผลักคนที่กำลังสั่งการออกไป ทุกคนทำตามคำสั่งทันทีต่างพากันออกไปจากห้องไม่แม้แต่จะสังเกตเห็นว่าหลิ่งเฟยได้เข้ามาห้องแล้ว
ควันสีเทาที่เกิดจากการเผาไหม้ถูกเป่าออกไปด้วยลมปราณของหยางซือ
หลิ่งฟยไม่สามารถระบุได้หยางซืออยู่ในขั้นไหนเพราะไม่เคยเจอใครที่สามารถควบคุมลมปราณได้ละเอียดอ่อนถึงขนาดนี้
“เจ้าออกไปรอข้างนอกก่อนเถอะ
มันไม่ใช่ภาพที่น่าดูเท่าไรนัก”
“ไม่
ข้าจะอยู่ช่วยเจ้าด้วย”
หลิ่งเฟยมัดแขนเสื้อที่ยาวรุ่มร่ามขึ้นไป
มือหยิบจับสมุนไพรลดไข้มาบดเอาผ้าสะอาดห่อเอาไว้และวางไว้บนศีรษะแมงมุม
หยางซือมองแปลกใจที่สัตว์อสูรจะรู้วิธีการรักษาแบบนี้ถึงจะเป็นขั้นพื้นฐานก็ตาม
“ถ้าเช่นนั้น
ข้าก็ขอรับไว้ด้วยความยินดี”
ทันทีที่สัตว์อสูรแมงมุมถูกนำเข้ามาประมาณสิบตัว หลิ่งเฟยแทบจะหัวใจวายเมื่อทันทีที่พวกมันเห็นว่านางพญาแมงมุมบาดเจ็บ
ต่างไปรวมตัวกันที่โต๊ะและหยางซือก็ได้ตัดหัวแรกออกเชื่อมสายถ่ายเลือดให้โดยตรง หยางซือบอกว่านี้เป็นวิธีที่จะทำให้การถ่ายเลือดเสียออกไปนั้นเร็วที่สุด
พอมาถึงตัวที่สองหลิ่งเฟยที่เอายาลบล้างพิษให้มันกินรีบเอาเข็มไปเจาะที่ตัวมันตรงๆไม่ตัดหัวเหมือนที่หยางซือทำ
“การถ่ายเลือดเสียออก
และนำเลือดเข้าไปใหม่จำเป็นต้องทำอย่างช้าๆไม่เช่นนั้นคนไข้อาจเกิดอาการช๊อกได้”
อีกครั้งที่หยางซือต้องแปลกใจสติปัญญาที่ชาญฉลาดเกินกว่าสัตว์อสูรและมนุษย์ที่เคยพบเจอทำให้หยางซืออดยิ้มออกมาไม่ได้
เพราะนั้นแปลว่าสิ่งที่ตนเองตั้งใจจะรักษามี่อิงและทรมานมี่อิงไปด้วยในตัวหลิ่งเฟยคงจะมองออกอยู่แล้ว
“ข้าแค่อยากรักษามี่อิงให้เร็วที่สุดก็เท่านั้นเอง”
“ระยะเวลาก็เป็นสิ่งสำคัญนะหยางซือ”
“....ถูกของเจ้า
ถ้าเช่นนั้นก็ตามข้าให้ทันนะแม่นางตัวน้อย”
หยางซืออยากจะเห็นความสามารถของหลิ่งเฟยให้มากกว่านี้อีก
จึงทุ่มฝีมือเต็มที่กับการรักษามี่อิงเพราะเมื่อกี้หยางซือโยนหน้าที่การรักษาไปให้พวกที่เก่งแต่วางยาพิษ
พวกนั้นจึงได้แต่รักษาแบบเด็กที่ยังตักข้าวกินเองไม่เป็น
เส้นลมปราณสีเขียวอ่อนออกมาจากนิ้วชี้
หลิ่งเฟยที่ไม่เคยเห็นแต่ก็ไม่มีเวลามาถามว่าทำได้อย่างไรรีบหยิบคีมจับแผลเปิดบาดแผลให้มือของหยางซือเข้าไปเย็บอวัยวะภายในได้
ชาติก่อนตนเองเป็นหมอที่มีฝีมือมากมายไม่ว่าจะผ่าตัดหรือการวินิฉัย
แต่ตอนนี้หลิ่งเฟยคือคนที่มีแค่ความรู้และต้องเรียนรู้การรักษาเหมือนอย่างตอนนี้
เมื่อการเย็บส่วนปอดเสร็จแล้ว
ต่อไปก็กระเพาะหลิ่งเฟยเข้าในทันทีว่าทำไมเมื่อกี้ถึงมีโยนทิ้งอุปกรณ์ผ่าตัดเป็นว่าเล่น
เลือดของมี่อิงตอนนี้เมื่อสัมผัสกับอากาศนานๆจะจับตัวเป็นก้อนราวกับเนื้อเยื่อนอกจากต้องคอยเปิดแผลแล้วต้องตัดก้อนเลือดที่กำลังเสียออกอย่างรวดเร็วเพื่อป้องกันการติดเชื้อ
หยางซือเองก็ทำเช่นนั้นด้วยเหมือนกันเพียงแต่ใช้ลมปราณเลยไม่ต้องโยนมีดออกบ่อยๆ
จนหลิ่งเฟยตัดสินใจให้คนใช้ไปเอายาที่ฤทธิตรงข้ามกับกับพิษของมี่อิงเพื่อเอามาเคลื่อบอุปกรณ์
การผ่าตัดที่กินเวลาไปถึงสี่ชั่วยาม
ในที่สุดก็เสร็จเรียบร้อยสัตว์อสูรแมงมุมขึ้นไปนอนข้างมี่อิงเมื่อผู้นำของมันพ้นขีดอันตรายแล้ว
หลิ่งเฟยล้างมือมองหยางซือที่นั่งพิงพนังหายใจหอบเหมือนคนวิ่งรอบสวนร้อยรอบ
เหนื่อยขนาดนั้นแต่ตอนที่กำลังผ่าตัดยังรักษาระดับการหายใจได้
ถือว่าเป็นมืออาชีพที่แท้จริงเลยทีเดียว
“ล้างเลือดก่อนเถอะ
เลือดของนางพญาแมงมุมเป็นกรดไม่ใช่หรือ”
“รู้ถึงขนาดนี้ด้วยหรือหลิ่งเฟย
สงสัยข้าเผลอเสียมารยาทกับเจ้าไปซะแล้ว...สิ”
หยางซือซบไหล่หลิ่งเฟยที่ถือกาละมังล้างตัวมาให้
เพราะจำเป็นต้องล้างตัวหลิ่งเฟยจึงให้คนรับใช้จัดการต่อเองหมดทุกอย่างยกเว้นการเข้าไปยุ่งกับมี่อิงเพราะกลัวว่าจะมีคนมือบอนมารื้อแผลของนางหลังจากที่ตนเองกับหยางซืออุตส่าห์รักษาไปแล้ว
ความคิดเห็น