คืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด
คุณแน่ใจว่าต้องการคืนค่าการตั้งค่าทั้งหมด ?
ลำดับตอนที่ #36 : ตัดสินใจเลือก(รีไรท์)
"ท่านไม่มีสนมเลยเหรอ"คำพูดอันน่าตกใจจากปากของคนที่มีตำแหน่งเป็นถึงฮ่องเต้ ในประวัติศาสตร์ที่หลิ่งเฟยรู้มาฮ่องเต้เกือบทุกคนจะมีพระสนมเป็นร้อยเป็นพัน ถึงแม้ว่าฮ่องเต้แห่งแคว้นโจวจะดูสติไม่ดีก็ตาม
"มี"
"...หรือว่าท่านจะมีปัญหาเรื่องการมีบุตร ข้าสามารถให้คำแนะนำได้นะ"
"ถ้าข้ามีบุตรตำแหน่งฮ่องเต้คงจะหลุดไปจากข้าและแคว้นโจวก็คงจะล่มสลายเพราะการแบ่งพรรคแบ่งพวกจากมือที่สาม"
เหมือนเป็นเรื่องที่ไม่สามารถเอ่ยออกมาได้ เพราะถ้าหากสามารถเอ่ยมันออกมาได้ก็คงพูดออกมานานแล้ว
"มือที่สามเป็นคนจากนอกแคว้นสินะ"
"ข้าจำเป็นต้องเอ่ยนามด้วยหรือ" เต้าหมิงซื่อมองไปยังข้างหน้า สายตาดูเลื่อนลอย
"ข้าไม่คิดว่าท่านจะคำนึงถึงเรื่องนี้ แสดงให้เห็นว่าท่านเองก็ลำบากพอสมควร"ใบหน้าที่แต่งมาดี ทำสายตาสงสารฮ่องเต้ที่ต้องแบกรับทุกอย่างตัวคนเดียว
"ข้าก็ไม่นึกเหมือนกันว่าจะมีวันที่ข้าได้เจอกับลูกของเหลียนฮวา"ฮ่องเต้เต้าหมิงซื่อ ยืนขึ้นเต็มตัวเดินเข้ามาหาหลิ่งเฟย
“ครบ 1 เค่อแล้ว ไปดูผลงานของคนที่เข้าประกวดเถอะ”
ไท่หลงที่เดินเข้ามาขัดจังหวะพอดีตามเฟิงหู่บิดตัวหาวอย่างเบื่อหน่าย เพราะสัตว์เทพอสูรอยู่กันเกือบครบและหลิ่งเฟยที่นึกได้ว่าในงานมีขุนนางมาจากแคว้นหานแม้ว่าจะมีคนอยู่ในงานมากมายแต่หากเกิดอะไรขึ้นมาก็ไม่ควรประมาท
"ข้าขอตัวเพคะ"หลิ่งเฟยกล่าวด้วยคำราชาศัพท์ ก่อนเดินไปรวมกลุ่มกับเหล่าสัตว์เทพอสูร
“หวังตงเฉิน”
ชื่อของใครบางคนที่หลิ่งเฟยไม่รู้จัก เพราะอยู่ห่างออกมาพอสมควรจนเห็นฮ่องเต้วิปลาสแค่ริมๆ ทำให้ไท่หลงกับเต่าดำไม่ได้ยินยกเว้นเฟิงหู่ที่ยังคงทำตัวปกติ
ผู้ทำพิธี คือหวังตงเฉิน
“มี่จางเจ้าเหม่ออันใดอยู่”
เต่าดำเอ่ยทักที่เห็นหลิ่งเฟยยืนนิ่ง
"ข้าแค่กำลังคาดหวังกับผลงานของผู้แข่งขันนะ"หลิ่งเฟยเดินนำไป เฟิงหู่มองฮ่องเต้แห่งแคว้นโจวที่ดูจะความลับอะไรบางอย่างเอาไว้
ภาพวาดเกือบทุกภาพเป็นภาพที่หลิ่งเฟยกำลังร่ายรำตอนขับร้องเพลงรวมกับเหล่าสัตว์เทพอสูร บางภาพก็วาดออกมาเป็นบุปผาที่อยู่ท่ามกลางเหล่าสัตว์เทพอสูร
"มีภาพไหนที่ถูกใจท่านบ้างไหมเจ้าคะ"
"ยังไม่มีเลย"เพราะเกือบทุกภาพที่มีความหมายเหมือนกันหมด บุปผาที่อยู่ท่ามกลางสัตว์เทพอสูรทำให้หลิ่งเฟยไม่สามารถเลือกได้ว่าภาพไหนดีที่สุด
"ท่านมี่จาง ขุนนางจากแคว้นหานต้องการจะพูดคุยกับท่าน"ชุนเข้ามาแจ้งข่าวด้วยสีหน้าที่หนักใจ เพราะยืนยันไปแล้วว่าหลิ่งเฟยคงจะไม่อยากสนทนาด้วย
สายตาขุนนางระดับสูงที่หลิ่งเฟยไม่รู้ว่าอยู่ในตำแหน่งใดกำลังจ้องมองมาที่ตนเอง สายตาที่ไม่ได้มองด้วยความเคารพนับถือหรือให้เกียรติแต่เป็นสายตาที่ทำตัวเหมือนสูงส่งกว่าและการที่ยังยืนมองอยู่ที่เดิมแปลว่าหลิ่งเฟยต้องเป็นฝ่ายเดินไปหาเอง
หากเป็นฝ่ายเดินไปหาก่อน พวกท่านไท่หลงก็จะเดินตามเราและจะทำให้คนในงานเห็นว่าเราเป็นฝ่ายเข้าทักทางแคว้นหานก่อน
"ข้าไม่อยากจะสนทนาด้วยเท่าไรนักหรอก" หลิ่งเฟยมองจิกไปยังขุนนางแคว้นหานอย่างไม่ปิดบังว่าไม่ต้องการจะคุยด้วย โดยที่ชุนไม่ต้องเป็นคนไปแจ้งข่าว
บางทีที่ให้ข้าเป็นฝ่ายไปหาก็อาจจะเป็นเพราะความคิดที่ถูกปลูกฝังในแคว้นหานในความไม่เท่าเทียมระหว่างบุรุษกับสตรี
“ท่านมี่จาง”
ใครอีกล่ะ
หลิ่งเฟยที่กำลังเพลิดเพลินกับงานศิลปะกลอกตาขึ้นบนก่อนหันไปเผชิญหน้ากับสตรีที่ข้างหลังตามมาด้วยบุรุษสองคน เมื่อคาดเดาจากลมปราณและอายุที่ปรากฏอยู่บนใบหน้า ทำใให้เดาได้ว่าเป็นแม่ที่กำลังพาลูกชายตนเองมาแนะนำตัว
“ข้าอู่ หลิวเทาฮูหยินเอกของจวนอู่ นี้บุตรชายทั้งสองของข้า”
ฮูหยินเอกแห่งตระกูลอู่ แนะนำบุตรชายพร้อมกับเล่าความสัมพันธ์ที่มีนางเกี่ยวข้องกับราชสำนักและสนิทสนมกับฮ่องเต้องค์ก่อน หลิ่งเฟยที่ยืนฟังลำดับญาติวงศ์ตระกูลได้แต่ยิ้ม เพราะความรู้สึกเหมือนตอนงานรวมญาติและต้องมานั่งจำว่าใครเป็นใครจึงไม่ได้รู้สึกหงุดหงิดอะไรมากนัก
เต่าดำที่ทนไม่ไหว เอาตัวมายืนบังการสนทนาฮูหยินที่พึ่งได้เผชิญหน้ากับสัตว์เทพอสูรเป็นครั้งแรกเมื่อจ้องมองเข้าไปในดวงตาสีดำพันก็เหมือนพลังถูกดูดกลืนเข้าไป
"ท่านแม่! "
บุตรชายทั้งสองประคองตัวเอาไว้ คนรอบตัวเริ่มมองหลิ่งเฟยที่ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นมองหน้าเต่าดำ
"ข้าไม่อยากฟังเจ้าพูดเรื่องไร้สาระ เจ้าควรสำเหนียกตัวเองเข้าไว้ว่าดีแค่ไหนที่ข้าไม่ฝังเจ้าลงไปในดิน"พูดจบเต่าดำเดินนำไปอีกทาง หลิ่งเฟยให้เชาเหมาดูแลฮูหยินจนกว่าจะดีขึ้นและรีบเดินตามเต่าดำให้ทัน
หลังจากเหตุการณ์ที่ฮูหยินได้เผชิญหน้ากับเต่าดำโดยตรงและการกระทำที่ไม่มีคำตำหนิติเตียนมาจากไท่หลงหรือฮ่องเต้ทำให้แขกให้งานพูดกันไปทั่วอย่างรวดเร็วว่าหลิ่งเฟยเป็นมนุษย์ที่มากกว่าคนรู้จักหรือสหายของเฟิงหู่ หลิ่งเฟยกับเฟิงหู่ที่หูดีกว่าคนอื่นทำเป็นไม่ได้ยินแม้ว่าเรื่องที่ผู้คนพูดถึงเริ่มบิดเบือนไปจากความจริง
นางเป็นบุปผาของสัตว์เทพอสูรจริงๆ
หรือว่านางอาจจะเป็นมากกว่าสหาย
บางทีอาจมีลับในคมในกับท่านเต่าดำ
มนุษย์นี้ก็ช่างกล้าพูด ดีนะเป็นข้ากับท่านกุยถ้าเป็นท่านเฟิงหู่คงมีสายฟ้าฟาดลงมา
หลิ่งเฟยมองภาพวาดที่มีตนเองเป็นนางแบบกำลังนอนอยู่ในดงบุปผา ภาพดอกไม้มันเยอะเกินไปจนไม่อยากให้มีใครชนะเลิศหากไม่ได้มาเห็นว่ามีภาพหนึ่งที่ต่างไปจากภาพอื่นไม่ได้มีดอกไม้เต็มภาพเหมือนของคนอื่นเพียงแต่มันยังวาดไม่เสร็จ หลิ่งเฟยจึงคิดจะเดินไปดูที่สนามคัดบทกลอนก่อน
"ถ้าท่านหงส์แดงมารวมงานด้วยก็อยู่กันครบเลยเนอะ"ระหว่างที่กำลังเดินตรงไปยังสนามคัดบทกลอน เสียงถอนหายใจยืดยาวมาจากไท่หลงกับสีหน้าที่ดูเบื่อหน่ายอยู่แล้วยิ่งดูน่าเบื่อหน่ายเข้าไปอีก
“นี้ท่านหงส์แดงเป็นคนอย่างไงหรือ” หลายครั้งที่ได้ยินชื่อของหงส์แดงว่า'ซุยฟ่ง'แต่เพราะไม่เจอหน้าเลยยังคงไม่เรียกชื่อ
ไท่หลงกับเต่าดำมองหน้ากัน ก่อนที่ไท่หลงเป็นคนเอ่ย
“เป็นบุรุษที่ปรารถนาจะเป็นสตรี”
.....ท่านหงส์แดงเป็นบุรุษหรอกเหรอ
“บุรุษที่ปรารถนาจะเป็นสตรี? เช่นนั้นแล้วทำไมท่านถึงได้ดูหนักใจแบบนั้นล่ะ”
ไท่หลงดูไม่น่าจะเป็นพวกกดขี่ทางเพศหรือจะมาใส่ใจกับเพศที่สาม คำถามดูใสซื่อทำเอาเต่าดำส่งสายตามาให้ไท่หลงมาบอกความจริงไปเถอะ
"ซุยฟ่งเป็นประเภทที่นอกจากจะเอาแต่ใจแล้ว เป็นพวกไม่ยอมให้ใครดีไปกว่าตนเองเจอใครที่ดีกว่าก็มักจะจัดการตามอำเภอใจ ใช้อารมณ์เป็นที่ตั้งยิ่งกว่าเฟิงหู่"
มันยังมีคนที่เอาแต่ใจยิ่งกว่าท่านเฟิงหู่อีกเหรอ
"หากเป็นไปได้เจ้าก็อย่าไปพบเจอกับตาแก่นั้นเลย เชื่อข้าเถอะว่าทันทีที่เห็นเจ้าต้องสาดลูกไฟใส่แน่นอน"เต่าดำยืนยันอีกคนหนึ่ง หลิ่งเฟยที่เคยจินตนาการว่าสัตว์เทพอสูรหงส์เป็นสตรีที่งดงามและร้อนแรงดั่งเพลิงกลับเป็นเพศที่สามที่ดูจะนิสัยเสียที่สุดในบรรดาสัตว์เทพอสูร
"ข้าจะพยายาม" พอได้รับรู้ว่าสัตว์เทพอสูรนิสัยเสียที่สุดในบรรดาเหล่าสัตว์เทพอสูร และจากคำบอกเล่าของสัตว์อสูรในป่า หลิ่งเฟยที่ไม่อยากเจอคนที่เป็นตัวปัญหายิ่งกว่าเฟิงหู่รับปากโดยไม่คาดหวังอะไรมาก
ถ้าคนจะเจอก็ต้องเจอนั่นแหละ
ยังไม่มีบทกลอนไหนมาแขวนเอาไว้ เห็นได้ชัดว่าผู้เข้าแข่งขันนั้นมีความตั้งใจที่สูงมาก หลิ่งเฟยที่เคยมีโอกาสได้เขียนบทกลอนในชาติก่อนยอมรับว่าเป็นเรื่องที่ปวดหัวไม่น้อย ไม่ว่าจะอ่านหรือคัดกลอน จึงพอเข้าใจอยู่ว่ามันยากแค่ไหน
“ปีที่แล้วพวกท่านตัดสินจากอะไรหรือ” หลิ่งเฟยกลับมานั่งที่ประจำถามไท่หลงกับเฟิงหู่ที่เป็นผู้ตัดสินเมื่อปีที่แล้วนางกำนัลยกของหวานและชามาให้
“ข้าเลือกเอามั่วๆ”
“ข้าตัดสินที่เนื้อว่ามีความจงรักภักดีต่อแคว้นมากแต่ไหน”
ข้าสงสารคนที่มีฝีมือแล้วต้องมาเจอผู้ตัดสินแบบนี้ซะจริง
“ท่านมี่จาง”
ท่านอ๋องเซี่ยหย่งเซิงทักทายเข้ามาทักทาย หลิ่งเฟยที่สังเกตเห็นเซี่ยหย่งเซิงตั้งแต่เข้างานมายิ้มรับคำทักทายที่ไม่เข้าไปหาเพราะไม่มีโอกาสที่จะทักหาแม้ว่าจะไม่มีความจำเป็น
"ท่านไท่หลง ท่านเฟิงหู่ ท่านสัตว์เทพอสูรเต่าดำ"เซี่ยหย่งเซิงคำนับสามสัตว์เทพอสูร ไท่หลงยิ้มทักทายผิดจากปกติที่จะทำหน้าเรียบเฉย
“ไม่นึกเลยว่าท่านจะมางานชมดอกไม้ด้วย”
ฮ่องเต้หมิงหาวที่กำลังเพลิดเพลินกับการสนทนากับแขกในงาน มองมาที่เซี่ยหย่งเซิงด้วยความสนใจที่เหมือนจะรู้จักกับเซียนมี่จาง
เซี่ยหย่งเซิงไม่ปิดบังสายตาของตัวเองที่สื่ออย่างชัดเจนว่าคิดถึงหลิ่งเฟยมากแค่ไหน
"ก็มาเปิดหูเปิดตานะ"
"ดูเหมือนว่าพวกเจ้าทั้งสองมีเรื่องที่อยากคุย เดียวพวกข้าจะรออยู่ที่นี่เอง"หลิ่งเฟยที่คิดว่าไท่หลงดูเอ็นดูเซี่ยหย่งเซิงมากเป็นพิเศษคิดไว้ไม่มีผิด แต่ไม่คิดว่าจะถึงขั้นเปิดทางให้ถึงขนาดนี้
สงสัยต้องให้เซี่ยหย่งเซิงเข้าใจสถานะภาพของตนเองสักหน่อย
"ข้าจะรีบกลับมา"
เมื่อได้มีโอกาสสนทนาสองต่อสอง เซี่ยหย่งเซิงไม่รอช้าพาหลิ่งเฟยไปยังสวนที่ถูกตกแต่งไว้อย่างดี
"ท่านดูจะสนิทกับท่านไท่หลงเป็นพิเศษ"
"ข้ามักจะขอให้ท่านไท่หลงช่วยฝึกลมปราณให้เมื่อตอนสมัยเป็นเด็ก"
"หืม"งั้นความสัมพันธ์ก็คงคล้ายๆ เรากับถังอี๋ไอ๋อั๋น
"ข้าดีใจมากนะที่ได้พบเจอกับท่านอีกครั้ง"
"ข้าเองก็ยินดี แต่ดูเหมือนว่าท่านจะคิดถึงข้าไม่น้อยตั้งแต่วันนั้น"
หลิ่งเฟยพูดออกไปตามตรงเซี่ยหย่งเซิงที่คิดจะไม่ปิดบังอยู่แล้วยิ้มรับความจริง หลิ่งเฟยที่พยายามจะไม่คิดมากพอได้เห็นสายตาที่ปรารถนาในตัวเองก็อดโทษหน้าตาตนเองไม่ได้ที่สวยเกินไป
ที่มาของงามล่มเมืองเป็นแบบนี้นี่เอง
"ข้ามีคนที่ข้ารักอยู่แล้ว"พอได้เข้าใจของคำว่างามล่มเมืองที่หลิ่งเฟยคิดว่ามันเกินจริงไปหน่อยรีบตัดไฟแต่ต้นลมทันที เซี่ยหย่งเซิงที่ได้รู้ทีหลังแทบไม่อยากเชื่อหู
ที่ข้าไม่ปิดบังกับท่านก็เพราะว่าข้าถือว่าท่านเป็นสหายคนหนึ่ง"
"ใคร"
"รู้จักไปก็เท่านั้น ไม่ได้เป็นคนมีชื่อเสียงสักเท่าไร"หลิ่งเฟยมองหน้าเซี่ยหย่งเซิงที่ตอนนี้เต็มไปด้วยความผิดหวัง
"แปลว่าข้าก็เป็นได้แค่เพื่อนกับท่านสินะ"
"แย่หน่อยนะ ที่ข้าไม่ได้เป็นพวกอ้อมค้อมหรือขี้เกรงใจ"ปัญหาที่เกิดจากการไม่เด็ดขาดในคำพูดหลิ่งเฟยเห็นมามาก จึงต้องกล่าวออกไปตรงๆ และหวังว่าท่านอ๋องเซี่ยหย่งเซิงจะไม่เป็นบ้าแบบฮ่องเต้เต้าหมิงซื่อ
"ไม่เลย อย่างน้อยข้าก็จะไม่ได้หวังมากไปและได้รู้เรื่องเกี่ยวกับเจ้าด้วย"
"เรื่องที่ข้ามีคนรักเนี้ยนะ ถ้าเป็นคนทั่วไปคงไม่อยากจะยอมรับมันเท่าไร"ถ้าไม่โกรธก็น่าจะมีอาการซึมเศร้าจนเดินออกไป แต่เซี่ยหย่งเซิงทำเพียงแค่เศร้าและกลับมาเป็นปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น
"ข้าผิดหวังมาเยอะจนชินชาแล้ว"
เซี่ยหย่งเซิงพูดเหมือนเป็นเรื่องปกติ แต่หลิ่งเฟยเข้าใจในคำพูดนั้นดีเป็นอย่างดีกับการไม่เคยสมหวังอะไรสักอย่างในชีวิต
"เดียวสักวันท่านก็จะมีเรื่องที่สมหวังแน่นอน"หลิ่งเฟยปลอบใจท่านอ๋องที่คิดในแง่บวก จนเบาใจขึ้นเยอะ
ไท่หลงที่นั่งชมบรรยากาศรอจนเห็นหลิ่งเฟยเดินกลับมาคนเดียว ก็ได้แต่หวังว่าหลิ่งเฟยจะตอบรับมิตรภาพกับเซี่ยหย่งเซิง
"ไม่นึกว่าท่านจะเล่นเป็นพ่อสื่อเป็นด้วย"
"เจ้าพูดถึงเรื่องอะไร"ไท่หลงที่ไม่เข้าใจในความหมาย และหลิ่งเฟยดูหงุดหงิดกว่าปกติถามออกไป
"ก็ท่านจงใจให้ข้าอยู่กับเซี่ยหย่งเซิงสองต่อสอง"
"ข้าอยากให้เจ้าเป็นเพื่อนกับเซี่ยหย่งเซิงต่างหาก เซี่ยหย่งเซิงพูดถึงเจ้าบ่อยมากตั้งแต่กลับมาจากที่แคว้นหาน และพอข้าได้รู้ว่าเจ้าคือคนเดียวกับจอมยุทธ์มี่จางข้าก็สามารถไว้ใจที่จะให้เจ้าเป็นเพื่อนกับเซี่ยหย่งเซิงเหมือนที่เจ้าเป็นสหายกับเฟิงหู่ไง"ไท่หลงที่พอเข้าใจแล้วว่าหลิ่งเฟยหงุดหงิดเรื่องอะไรรีบอธิบายทันที เฟิงหู่ที่ถูกเข้าใจไปแล้วว่าเป็นสหายของหลิ่งเฟยอย่างเต็มตัวพยายามไม่รับรู้ ไม่ได้ยินอะไรให้เสียรสชาติสุรา
"ท่านก็มีคนที่อยากให้มีความสุขอยู่ด้วยหรือเนี้ย"หลิ่งเฟยเอามือเท้าโต๊ะมองไท่หลงที่ดูเป็นสัตว์เทพอสูรที่ทำตัวสูงส่งสมเป็นสัตว์เทพอสูรที่สุด แต่มีความรู้สึกเป็นห่วงมนุษย์เหมือนกับตนเอง
"ทำไม"
“พระสนมที่ให้กำเนิดเซี่ยหย่งเซิงเป็นเด็กสาวที่ข้าเลี้ยงมาตั้งแต่เด็กก่อนที่นางจะเข้ามาเป็นพระสนมกับคู่สัญญาข้า วันที่ให้กำเนิดเซี่ยหย่งเซิงพระสนมองค์นั้นได้ตกเลือดเสียชีวิตเต๋ยเฟยจึงขอรับเซี่ยหย่งเซิงมาดูแลและข้าเป็นผู้ที่ค่อยให้ความรู้กับเซี่ยหย่งเซิง”
ไท่หลงเล่าประวัติคร่าวๆ ของเซี่ยหย่งเซิงให้ฟัง หลิ่งเฟยพอเข้าใจความรู้สึกอยู่ไม่น้อยเซี่ยหย่งเซิงคงเป็นเหมือนหลานชายคนหนึ่งแต่อาจจะเป็นเพราะเป็นบุตรที่เกิดจากสนม ที่ไท่หลงเป็นผู้เลี้ยงดูมาตัวตนของเซี่ยหย่งเซิงคงไม่ต่างไม่จากตำสำรองในตำแหน่งองค์รัชทายาท
"สาเหตุที่เซี่ยหย่งเซิงไม่มีเพื่อนเลย ก็คงจะเป็นเพราะท่านด้วยใช่ไหม"เพราะไท่หลงบอกว่าต้องการให้ตนเองเป็นเพื่อนกับเซี่ยหย่งเซิง ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตามแต่ไท่หลงก็คงไม่อยากจะให้จิ้งจอกเก้าหางคู่กับคนที่เป็นเหมือนหลานชาย
"ก็ส่วนหนึ่ง แต่ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะเต๋อเฟยพยายามทำให้เซี่ยหย่งเซิงเป็นรัชทายาททำให้ชีวิตในวัยเด็กของเซี่ยหย่งเซิงค่อนข้างแย่"
ไท่หลงไม่ปฏิเสธ หลิ่งเฟยหยิบถ้วยชามาดื่มโชคดีที่ตนเองไม่ได้เกิดมามีส่วนเกี่ยวข้องกับราชวงศ์หรือตระกูลขุนนางทำให้ไม่ต้องเจอเรื่องที่น่าอึดอัดและปวดหัวแบบไท่หลง
"สิ่งที่ข้าพอจะทำได้คือการปกป้องเซี่ยหย่งเซิงไม่ให้เข้ามายุ่งเกี่ยวกับเกมการเมืองมากจนเกินไป"ไท่หลงที่ตัดสินใจว่าจะดูแลเซี่ยหย่งเซิงเท่าที่ทำได้ พูดความต้องการของตนเอง
"ข้าพอเข้าใจความรู้สึกท่านอยู่นะ"
เวลาผ่านไปจนครบหนึ่งชั่วยาม กระดาษคัดกลอนถูกแขวนขึ้นเรียงไปตามลำดับนับร้อยแผ่น หลิ่งเฟยเดินไล่อ่านไปทีละแผ่น สายตาของผู้เข้าแข่งขันกับผู้ชมลุ้นจนหลิ่งเฟยรู้สึกกดดัน
“เจ้าคือสายลม ข้าคือทราย
สายลมพัดผ่านทรายน้อยล่องลอย
สายลมโบกพริ้ว ทรายน้อยปลิวตาม
สายลมพัดผ่านเขาเทียนซาน ทรายน้อยขอตามข้ามขอบฟ้าไป”
ยามประสบพบยากจากแสนยาก
ลมโปรยโชยอ่อนบุปผาโรย
ตัวไหมสิ้นใจจึงสิ้นสุดสายใย
เปลวเทียนดับมอดน้ำตาจึงแห้งเหือด
โฉมนางงามระทมกาลแปรผัน
ครวญคร่ำยามดึกจันทร์ริบหรี่
จากนี้คิดไปไร้ซึ่งหนทาง
วอนวิหคส่งข่าวแทนข้าที
แต่เมื่อพอเห็นบทกลอนนี้หลิ่งเฟยหยุดอ่านบทกลอนที่เป็นเหมือนกำลังสื่อความคิดถึงถึงใครบางคนอีกรอบ บทกลอนนี้แตกต่างจากบทกลอนอื่นๆ ที่ต่างเอาใจตนเอง เช่นเปรียบเทียบว่างามเหมือนอย่างนั้นอย่างนี้ สูงส่งราวกับดวงจันทราแต่กลอนบทนี้กลับให้หลิ่งเฟยต้องมาหยุดอ่านอีกทีเพื่อความแน่ใจ
“แปลกดีนะที่ผู้คัดบทกลอนนี่ เหมือนจะรู้จักกับเจ้าเลย”
ไท่หลงที่เห็นหลิ่งเฟยจ้องมองนานผิดปกติ เข้ามาอ่านด้วยคนหลิ่งเฟยครุ่นคิดอยู่สักพักว่าควรตัดสินใจกลอนนี้ชนะไปเลยดีหรือไม่ เพราะไม่ว่าจะอ่านยังไงหากไม่ได้เป็นคนมักง่ายที่เขียนไปส่งๆ คนที่เขียนบทกลอนนี่ต้องการสื่อถึงใครบางคนอย่างแน่นอน
แน่นอนว่าไม่ใช่หยางซือ เพราะหลิ่งเฟยจำลายมือของหยางซือได้
เมื่อไล่อ่านจะหมด สร้างความโล่งใจให้กับผู้เข้าแข่งขันที่จอมยุทธ์มี่จางไม่ได้เลือกแบบส่งๆ เหมือนเฟิงหู่ หรือเดินอ่านแบบผ่านตาแบบไท่หลง
เมื่อมาถึงลานภาพวาดที่ถูกตั้งไว้พร้อม เฟิงหู่อ้าปากหาว ไท่หลงยังคงทำตัวสูงส่งจ้องมองภาพแต่ละภาพแบบผ่านตา แม้ว่าจะเป็นภาพวาดที่ถูกวาดอย่างสุดฝีมือก็ตาม
ทุกภาพล้วนสวยจนลายตา หลิ่งเฟยยืนจ้องภาพหนึ่งจนพอใจก็เดินไปยังภาพต่อไป จนมาสังเกตภาพหนึ่งที่เป็นภาพของสตรีไม่ได้มีใบหน้าเป็นตนเองเหมือนอย่างภาพอื่น ใส่ชุดสีแดงปล่อยเส้นผมยาวลงมา มือถือร่มสีแดง ยืนหันหลังให้เห็นเพียงแค่เสี้ยวหน้า เพราะการเก็บรายละเอียดเป็นอย่างดีกับองค์ประกอบภาพทำให้หลิ่งเฟยพอรู้สึกได้ว่ากำลังสื่อถึงการเฝ้ารอใครบางคน
ต้นไม้ที่ดูใหญ่สุดในภาพและอยู่ข้างหลังสตรีเหมือนกำลังแห้งตายเพราะมีใบไม้เกาะแค่ไม่กี่ใบ มีนกสีขาวยืนเกาะกิ่งไม้ แต่ทางข้างหน้าที่หญิงสาวในภาพจะต้องเดินไปเป็นป่าไม้ที่ดูอุดมสมบูรณ์
แม้ว่าทางข้างหน้าจะอุดมสมบูรณ์ แต่ก็เหมือนไม่อยากจะจากไปไหน
ความคิดเห็น