ตั้งค่าการอ่าน

ค่าเริ่มต้น

  • เลื่อนอัตโนมัติ
    เกิดใหม่มาเป็นสัตว์เทพอสูรจิ้งจอกเก้าหาง

    ลำดับตอนที่ #45 : เดิมพัน(รีไรท์)

    • เนื้อหาตอนนี้เปิดให้อ่าน
    • 879
      75
      8 มี.ค. 64

         บรรยากาศแถบชายแดนแคว้นหานเปลี่ยนไปจนจำภาพเดิมเมื่อครั้งตอนมาเจอกับเหม่ยเหมยแทบไม่ได้ ชาวบ้านต่างมีสีหน้าที่หวาดกลัวร่างกายซูบผอม ใบหน้าอิดโรยมีสัตว์อสูรนรกคอยเฝ้าทางเข้าหมู่บ้าน ตามพื้นก็มีคราบเลือด

         พอลองเอามือไปสัมผัสกับเขาอาคมก็ถูกดีดออกมาและมันยังส่งเสียงและแสงแจ้งเตือนให้พวกสัตว์อสูรที่เฝ้าอยู่เข้ามาดู หลิ่งเฟยหลบหนีออกมาซ่อนตัวในป่าคิดหาวิธีที่จะเข้าไปข้างใน

         หยางซือบอกว่ามีมนุษย์บางคนที่สามารถเข้าออกได้

         หลิ่งเฟยหลับตา หากลุ่มมนุษย์ที่อยู่บริเวณชายแดนที่มีลักษณะแปลกๆไม่นานก็เจอกลุ่มนักล่าสัตว์อสูรที่กำลังขนย้ายกรงจับสัตว์อสูรมุ่งหน้าไปยังแคว้นหานเพียงแค่พริบตาเดียว จากจุดหนึ่งไปยังอีกจุดหนึ่งหางสีขาวคว้าร่างนักล่าอสูรที่อยู่ท้ายขบวนก่อนจะบิดคอจนสิ้นชีพในครั้งเดียว

         รอยสัก?

         รอยสักโผล่ออกมาจากชายเสื้อด้านหลังหลิ่งเฟยถอดเสื้อนักล่าสัตว์อสูรออก เป็นรอยสักคล้ายยันต์อยู่กลางหลังเมื่อลองสังเกตนักล่าสัตว์อสูรคนอื่นบางคนก็มีรอยสักที่แขน บางคนก็มีที่คอ

         ในกรงก็มีสัตว์อสูรอยู่ข้างในซึ่งมันไม่ได้ถูกล่ามาเพื่อขายแต่เหมือนถูกล่ามาเพื่อโดนเชือดมากกว่า

         "เดียวนะ ข้าควรเข้าไปในชายแดนได้แล้วไม่ใช่หรือไง"คนนำขบวนนึกสงสัยเพราะเดินมานานแล้วแต่ก็ยังไม่ถึงชายแดนสักทีเมื่อเดินอยู่ที่เดิม นึกสงสัยได้ไม่ทันไรใบมีดจากลมอันคมกริบก็ตัดหัวทุกคนต่อหน้าต่อตา เลือดพุ่งกระฉูดออกมาจากลำคอเป็นน้ำพุ

         ข้าขอโทษนะ

         พัดเหล็กไหลตะบันศีรษะนักล่าสัตว์อสูรในช่วงวินาทีสุดท้ายตามองหลิ่งเฟยในรูปลักษณ์ครึ่งมนุษย์ครึ่งสัตว์เทพอสูร มือเอื้อมมืออกไปอย่างอดใจไม่ได้ที่อยากจะจับต้องสิ่งสวยงามก่อนตาย แม้ว่าจะไม่มีทางได้จับก็ตาม

         เมื่อจัดการกับนักล่าสัตว์อสูรเสร็จเรียบร้อยหลิ่งเฟยปล่อยสัตว์อสูรที่ถูกล่ามาให้เป็นอิสระ ก่อนจะตัดมือที่มีรอยสักห่อด้วยผ้ากับสมุนไพรกลบกลิ่นเลือด

         หลิ่งเฟยลองนึกใบหน้ารูปร่างของนักล่าสัตว์อสูรที่พึ่งฆ่าไป รูปร่างอันบอบบางกลายเป็นร่างกายที่ผ่านการทำงานมาอย่างหนักแต่ชุดเสื้อผ้ายังคงอยู่ในชุดเดิม

         หน้าตาเหมือนโจรใส่ชุดเหมือนคุณชายก็ออกจะตลกไปหน่อย

         หลิ่งเฟยหยิบชุดเสื้อผ้าจากศพมาใส่จะอำพรางศพด้วยการฝัง เมื่อมั่นใจแล้วว่าไม่พลาดอะไรไปจึงเดินเข้าไปในชายแดนสัตว์อสูรนรกมองมาเล็กน้อยก่อนปล่อยผ่านไปไม่มีการเข้ามาพิสูจน์กลิ่นหรือทำท่าสงสัยเลยสักนิด

         แอบกดดันอยู่เหมือนกันนะ ที่ต้องมาทำอะไรแบบนี้

         หลิ่งเฟยสร้างภาพลวงตาเป็นกลุ่มนักล่าที่กำลังขนสัตว์อสูรเข้ามา โชคดีที่มีสัตว์อสูรนรกไม่สงสัยที่หลิ่งเฟยในคราบนักล่ามารายงานว่าเอาของมาส่ง ซ้ำมันยังนำทางมาส่งตั้งแต่ชายแดนจนมาถึงวังหลวงเป็นอย่างดี

         "เอาของมาส่งเหรอ"คราวนี้เป็นอสุรกายกลิ่นอายความตายและกลิ่นไหม้ที่เป็นกลิ่นเฉพาะตัวของผู้มาจากนรกทำเอาหลิ่งเฟยอยากจะหันหน้าหนี แต่เพื่อไม่ให้ถูกสงสัยจึงตอบออกไปสั้นๆว่าใช่

         อสุรกายครึ่งบนเหมือนสตรีครึ่งล่างเป็นขากีบสองขาคล้ายแพะแต่มีขนเป็นหนามมีเขาบนหน้าผากตามีนัยน์ตาซ้อนกันสองชั้น ดูสวยในแบบของอสุรกาย

         "ตามมาสิครั้งนี้ข้างในจะวุ่นวายนิดหน่อย"

         กลุ่มนักล่าเดินตามหลังอสุรกาย วังหลวงที่ควรสงบเรียบร้อยตอนนี้แทบไม่มีมนุษย์อยู่ภายในวังหลวง นางกำนัลขันทีก้มหน้ามองพื้น พื้นเลอะไปด้วยร่องรอยการเดินเข้าออกจนมาถึงส่วนของวังหลังหลิ่งเฟยเคยมาที่นี่ครั้งหนึ่งจนมาถึงประตูลับที่ถูกซ่อนในตำหนักหลังหนึ่งในวังหลังซึ่งตอนนี้มันถูกเปิดเอาไว้อยู่ตลอดเวลา

         เมื่อมั่นใจแล้วว่าจะไม่มีใครสงสัยและตอนนี้ไม่มีใครอยู่แถวนี้หลิ่งเฟยสะกดให้อสุรกายที่นำทางมาหลับไป ก่อนจะซ่อนเอาไว้ให้พุ่มไม้สลายภพลวงตา กลับสู่ร่างเดิมแล้วใช้ลมปราณปกปิดตัวตนเอาไว้

         วังหลังมีแต่การทดลอง ต้องลองค้นในวังหลวงดูซินะ

         หลิ่งเฟยเดินกลับเข้าไปในเขตวังหลวงกระโดดขึ้นไปบนหลังคาไม่กล้าใช้ลมปราณในการตรวจหาเพราะกลัวพวกอสุรกายจะจับได้ แต่เมื่อได้ขึ้นมาข้างบนก็เห็นอะไรชัดขึ้นโดยเฉพาะมีตำหนักที่พวกสัตว์อสูรและอสุรกายไม่เข้าไปซึ่งมีอยู่สองตำหนัก

         หลิ่งเฟยเลือกตำหนักที่อยู่ใกล้ที่สุด กลิ่นเหม็นเถ้าถ่านอันรุนแรงส่งกลิ่นออกมาจากตำหนักหลังนี้อย่างชัดเจนและตำหนักหลังนี้เหมือนจะไม่มีใครอยู่ ซึ่งว่าเป็นโอกาสที่ดีเพราะประตูที่เชื่อมต่อไปยังนรกอาจจะเป็นตำหนักนี้

         ตำหนักที่มีทุกอย่างเพียบพร้อมยกเว้นคนรับใช้ทำให้รู้สึกเหมือนกำลังเดินอยู่ในบ้านฆาตกรที่ดูปกติจนกว่าจะเจอห้องหรือสถานที่อันน่าสยองขวัญ

         สัตว์เทพอสูรจิ้งจอกเก้าหางเดินสำรวจห้องจนไปถึงห้องที่มีกลิ่นที่แรงที่สุดหลิ่งเฟยที่นึกภาพว่าจะเป็นประตูมิติภายในห้องเปิดประตูทันที แต่กลับเป็นห้องนอนที่มีกล่องหกเหลี่ยมวางอยู่บนโต๊ะหัวมุม

         หลิ่งเฟยรีบไปหยิบมันมาดูเพื่อความแน่ใจว่าว่ามันคือต้นตอของกลิ่นเถ้าถ่านหรือเปล่า ก่อนที่มือหนาจะคว้าเส้นผมหลิ่งเฟย แต่ด้วยสันชาตญาณหลิ่งเฟยหันหลังหลบอย่างรวดเร็วเป็นเซี่ยจื้อที่คิดจะจับตนเองจากด้านหลัง และพอเห็นรอยยิ้มของเซี่ยจื้อทำให้รู้ว่านี้คือกับดัก

         ตำหนักกลายเป็นเขตอาคมสำหรับกักขัง หลิ่งเฟยมองเซี่ยจื้อพยายามเข้าใกล้กล่องที่วางอยู่บนโต๊ะ แต่เซี่ยจื้อก็หยิบกล่องของจริงออกมาจากแขนเสื้อ

         "เป็นจิ้งจอกที่ช่างไร้เดียงสาจริงๆ"

         หลิ่งเฟยรีบวิ่งออกมาจากตำหนัก แต่ก็ถูกดีดกลับต่อให้มีแขนที่มีรอยสักสำหรับเข้าออกแคว้นก็กลายเป็นเศษเนื้อ

         "ข้าคิดว่าเจ้าจะพาสัตว์เทพอสูรตัวอื่นมาด้วย เพราะเจ้ายังคงเป็นสัตว์เทพอสูรที่อ่อนแอที่สุด"เซี่ยจื้อพูดดูแคลนหลิ่งเฟย ตาสีเงินจ้องเขม็งก่อนจะขำออกมาทีหนึ่ง

         "หึ ก็จริงอย่างที่เจ้าพูด"ท่าทางของหลิ่งเฟยเปลี่ยนไป เหมือนเป็นอีกคนหนึ่งนัยน์ตาสีเงินกลายเป็นนัยน์ตาสีเทา สายตาของนักล่าเป็นสิ่งแรกที่เซี่ยจื้อมองเห็นก่อนจะโดนหมัดพุ่งชกใส่หน้าเซี่ยจื้ออย่างรวดเร็วพร้อมกับสายฟ้า

         ร่างมนุษย์ของเซี่ยจื้อแหลกสลายเหลือเพียงแค่ขา แต่ก็ฟื้นฟูกลับมาเฟิงหู่ไม่ปล่อยให้เซี่ยจื้อฟื้นฟูร่างกาย รีบชกใส่ไม่ยั่งอสุรกายที่ติดตามเซี่ยจื้อมานาน รีบออกมาดูเหตุการณ์ว่าเกิดอะไรขึ้นแต่มีอสุรกายตัวหนึ่งเข้าไปปกป้องเซี่ยจื้อ โจมตีใส่เฟิงหู่ด้วยการพ่นพิษใส่หน้า

         อ้าก!!

         เฟิงหู่ใช้ร่างพยัคฆ์ขาวในทันที เขตอาคมที่ปรากฏขึ้นในตอนแรกได้แตกเป็นเสี่ยงๆ เซี่ยจื้อกลับมาใช้ร่างมังกรมีสามหัวเฟิงหู่ใช้อุ้งเท้าตวัดตบหัวขาดไปหัวหนึ่ง หัวที่เหลือพุ่งกัดเฟิงหู่หัวที่ขาดไปก็งอกออกมาอีกสองหัว อสุรกายมองร่างที่แท้จริงของเซี่ยจื้อกับความสามารถในการฟื้นตัวที่น่าตกใจแต่เป้าหมายของการมาที่นี่ไม่ใช่มาเพื่อต่อสู้กับเซี่ยจื้อ

         ฉึก

         หอกสีทองแทงเข้าเกล็ดมังกร ถึงจะรู้สึกเหมือนมดกัดแต่ก็เรียกความสนใจให้เซี่ยจื้อกลับไปมองว่านอกจากเฟิงหู่แล้วจะมีใครที่กล้ามาโจมตีโดยใช้อาวุธเศษเหล็กแบบนี้

         ไม่มีใครอยู่ด้านหลัง

         "ท่านเฟิงหู่เราต้องรีบออกไปจากที่นี่นะ"

         หลิ่งเฟยที่ปลอมตัวเป็นอสุรกายและแกล้งทำเป็นพ่นพิษใส่ในตอนแรก เตือนเฟิงหู่ว่านี้ไม่ใช่เวลามาต่อสู้ เซี่ยจื้อมองอสุรกายที่ติดตามตนเองมาตั้งแต่ก่อนเจอกับไป๋หู่ ด้วยความตกใจ

         ปลอมเป็นอสุรกาย? 

         ไม่สิให้พยัคฆ์ขาวปลอมเป็นตนเองตั้งแต่เมื่อไรกัน ที่จริงพยัคฆ์ขาวมันควรจะอยู่ที่แคว้นหยางไม่ใช่หรือไง

         เฟิงหู่พ่นลมหายใจทีหนึ่งอย่างพอใจ แต่ของที่ต้องการก็ได้มาแล้วและการที่จะออกไปจากแคว้นหานก็มีแค่ตนเองที่ออกไปจากแคว้นหานได้โดยการใช้เหม่ยเหมยเป็นปลายทางของการอัญเชิญตนเองไปยังจุดที่เหม่ยเหมยอยู่

         รอบตัวเฟิงหู่มีแสงขึ้นมาจากฝ่าเท้า มันคือการอัญเชิญโดยคู่สัญญาเซี่ยจื้อไม่ยอมให้ทั้งคู่หนีพยายามถีบเฟิงหู่ให้ออกไปจากเขตอัญเชิญ หลิ่งเฟยเกาะเฟิงหู่แน่นก่อนยัดกล่องหกเหลี่ยมที่แอบขโมยมาตอนที่แกล้งทำเป็นปกป้องเซี่ยจื้อใส่ปากเฟิงหู่ สร้างพายุสองลูกต้านเซี่ยจื้อเอาไว้แต่ก็ไร้ผลเมื่อถูกเซี่ยจื้อใช้คลื่นเสียงเป่าพายุให้สลายออกไป

         "ท่านไปก่อนเลย"หลิ่งเฟยกระโดดออกจากตัวเฟิงหู่ หยิบดาบคาตานะที่ได้มาจากพ่อค้าต่างแดนฟันไปที่เซี่ยจื้อโดยเลี่ยงที่จะไม่ฟันหัว ไม่เช่นงั้นก็คงจะหัวงอกเพิ่มขึ้นมาทีละสองหัว

         ความคมของดาบที่เหมาะกับหลิ่งเฟยที่ไม่อยากออกแรงมาก แค่สร้างพายุสองลูกก็ยังหายใจหอบเล็กน้อยแต่ก็ไม่อาจพ้นไปจากสายตาของเซี่ยจื้อ 

         คมดาบจากระยะที่ดาบไม่ได้โดนตัวแต่เกล็ดมังกรที่ไม่อาจมีอาวุธใดแทงหรือฟันเข้าแต่กลับถูกหลิ่งเฟยฟันเข้าได้อย่างง่ายดายถึงสองครั้ง

         เฟิงหู่มองหลิ่งเฟยก่อนที่จะหายไปจากแคว้นหาน เซี่ยจื้อสะบัดเกล็ดใส่หลิ่งเฟยชุดเสื้อผ้าขาดวิ่นจากคมเกล็ดหลิ่งเฟยพุ่งเข้าไปเอาดาบแทงตาเซี่ยจื้อข้างหนึ่ง มังกรหลายหัวสบัดไปมาอย่างรุนแรง เท้ากระทืบจนสั่นสะเทือนไปทั่ว

         พอเอาดาบออกได้แล้วเซี่ยจื้อรีบมองหาตัวการซึ่งก็หายไปอีกแล้ว อสุรกายที่ถูกปลอมแปลงเมื่อมาถึงสถานที่ต่อสู้อดตัวสั่นไม่ได้เมื่อสายตาของเซี่ยจื้อที่เต็มไปด้วยความโทสะและสายตาของนายเหนือหัวนั้นก็กำลังจ้องมองมาที่ตนเองราวกับไปทำอะไรผิดมาโดยที่ตนเองไม่ได้เป็นคนทำ

         แฮ่ก แฮ่ก

         ความเหนื่อยล้าที่ไม่ได้รู้สึกมานานตั้งแต่ชาติก่อน หลิ่งเฟยที่ยังออกไปจากแคว้นหานไม่ได้นั่งพิงต้นไม้ในป่าใหญ่พยายามปกปิดตัวตนให้มากที่สุด

         ความต่างชั้นของอสุรกายที่แข็งแกร่งที่สุดมันเป็นแบบนี้งั้นเหรอ....

         บาดแผลตามตัวฟื้นฟูช้ากว่าปกติหนำซ้ำยังรู้สึกปวดที่ปากแผล หลิ่งเฟยหลับตาตั้งสมาธิให้ร่างกายฟื้นฟูให้ได้มากที่สุดโดยเฉพาะลมปราณที่พึ่งเคยรู้สึกว่าการที่ใช้ลมปราณจนหมดมันเป็นแบบนี้นี่เอง

         ฉึก

         "คราวนี้เป็นตัวจริงสินะ"

         ดาบคาตานะที่ใช้แทงตาเซี่ยจื้อในร่างมังกร กลับมาเสียบที่กลางอกแทงทะลุหัวใจพอดิบพอดี หลิ่งเฟยใช้มือจับคมดาบพยายามดึงดาบออก แต่เซี่ยจื้อดันมันกลับเข้าไปจนมิดด้ามอย่างไร้ความปรานี เสียงกรีดร้องดังออกมาจากปากหลิ่งเฟยเป็นครั้งแรก

         "เจ้าหลอกข้ามาตั้งแต่ตอนไหนกัน"เซี่ยจื้อยังไม่ฆ่าหลิ่งเฟยในตอนนี้เพราะอยากรู้ว่าตนเองโดนหลอกได้ยังไง การแฝงตัวปรสิตใส่ในตัวหยางซือก็ไม่น่าจะมีอะไรผิดพลาด หยางซือยังไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าการโจมตีของตนเองตอนที่เข้ามาในแคว้นหานมีการฝังปรสิตเข้าไปด้วย

         ในขณะที่เซี่ยจื้อพยายามเค้นคำตอบจากหลิ่งเฟยเพื่อคลายข้อสงสัย ผมสีเงิกปรกใบหน้าเห็นเพียงแค่ริมฝีปากที่แสยะยิ้ม

         "ก็ตั้งแต่ที่ข้าเห็นบาดแผล บวกกับความสามารถของท่านที่ข้ายังไม่รู้อีกมาก ข้าเลยคาดเดาไว้ก่อนว่าท่านน่าจะมีลูกเล่นบางอย่างที่ทำให้จงใจปล่อยหยางซือออกมา"หลิ่งเฟยปล่อยมือไม่ขัดขืน เซี่ยจื้อบิดควงดาบจิ้งจอกเก้าหางร้องออกมาอีกครั้งด้วยความเจ็บปวด ก่อนหายใจหอบมองเซี่ยจื้อด้วยสายตาที่เซี่ยจื้อไม่อาจรู้ได้ว่ามันเป็นสายตาที่กำลังคิดอะไรอยู่

         เยาะเย้ย? เจ็บใจ? 

         "ท่านกำลังลังเลอยู่สินะ"มือขาวซีดยื่นออกไปแตะใบหน้าเซี่ยจื้อ ปาดเลือดตัวเองที่กระเด็นใส่ออกด้วยความอ่อนโยน เซี่ยจื้อมองสัตว์เทพอสูรประหลาดที่ระดับลมปราณยังไม่ถึงขั้นเหนือราชันสวรรค์แต่ก็ยังเสี่ยงชีวิตมาเอากล่องมิติที่เอาไว้เชื่อมต่อกับนรก

         "ทำไมเจ้าถึงมาเอากล่องนั้นไป"หลิ่งเฟยไม่น่ารู้ด้วยซ้ำว่ากล่องใบนั้นมันสามารถทำอะไรบ้าง

         "ก็ท่านจิ้งจอกเก้าหางก่อนหน้านี้เป็นคนมอบให้ท่าน ข้าเองที่เป็นจิ้งจอกเก้าหางและได้รับพลังมาก็มีสิทธิที่จะเอาไปสิ"

         สายตาของเซี่ยจื้อเปลี่ยนไปในทันที เป็นสายตาที่คิดถึงคนหนึ่งอย่างลึกซึ้งจนหลิ่งเฟยอดไม่ได้ที่จะเอาสองมือไปกุมใบหน้าที่อ่อนโยนแบบนั้น ใบหน้าของผู้ชายคนหนึ่งที่มีหัวใจแม้ว่าจะเป็นอสุรกายก็ตาม

         "อย่า....ร้องไห้"

         คนที่สมควรจะได้เห็นน้ำตาของเซี่ยจื้อนั้นไม่ใช่ตนเอง แต่ควรเป็นอีกคนที่เซี่ยจื้อรัก อีกคนที่รู้อยู่แก่ใจว่าเซี่ยจื้อมีความรู้ยังไงกับทุกครั้งที่ได้ยินได้เห็นถึงตัวตนของจิ้งจอกเก้าหาง

         สองมือหล่นลงพื้น เสียงลมหายใจเงียบไปเซี่ยจื้อเอามือเกลี่ยผมดวงตาปิดสนิทความเงียบทำให้เซี่ยจื้อรีบดึงดาบออก ดึงร่างหลิ่งเฟยเข้ามากอด

         อสุรกายที่ตามเซี่ยจื้อมาไม่ทันได้ตกใจก็ถูกฟันจนหัวขาดก่อนตามด้วยลูกไฟสีดำเผาร่างให้มอดไหม้ 

         ในอดีตเมื่อครั้งยังมีสงครามระหว่างสัตว์เทพอสูรเซี่ยจื้อที่ได้ชนะหงส์แดงและในตอนนั้นก็กินหงส์แดงเข้าไปทำให้มีความสามารถบางอย่างของหงส์แดงติดตัวมาด้วย อย่างความสามารถในการดึงคนตายกลับมาจากโลกหลังความตาย

         ร่างกายตายไปแล้ว แต่วิญญาณยังไม่หายไปไหน

         เพราะยังมีเรื่องอยากถามมากมาย เซี่ยจื้อพยายามดึงหลิ่งเฟยกลับมาจากความตายด้วยพลังตนเองเหมือนที่เคยทำกับหยางซือตอนที่ไปบังเอิญไปเจอมาในนรก แต่เปลวเพลิงสีชาดลุกไหม้ปกคลุมหลิ่งเฟยไปทั้งตัวเซี่ยจื้อที่ถือว่าเป็นสิ่งไม่ดีสำหรับเพลิงวิญญาณของซุยฟ่งไม่อาจแตะต้องหลิ่งเฟยได้ พอจะใช้เพลิงของตนเองแทนที่เพลิงของซุยฟ่งก็ต้องชะงักเมื่อเห็นร่างโปร่งแสงร่างหนึ่งยืนอยู่ต่อหน้าตนเอง

         ไป๋หู่....

         .

         .

         .

         "เจ้าคิดว่าเจ้าจะตายได้อีกรอบหรือไง"น้ำเสียงหงุดหงิดของไป๋หู่ปลุกให้หลิ่งเฟยลืมตาตื่น ความรู้สึกเหมือนตอนที่เจอกับไป๋หู่ในครั้งแรกไม่มีผิด ต่างกันแค่คราวนี้ไป๋หู่มาให้รูปร่างของมนุษย์จึงทำให้เห็นสีหน้าของไป๋หู่ที่ไม่ชอบใจกับวิธีการของตนเองที่ต้องเสี่ยงชีวิตแบบนี้

         "ข้าแค่เดิมพันไปว่าความสัมพันธ์ระหว่างท่านกับเซี่ยจื้อ จะทำให้อะไรง่ายขึ้น"

         "สุดท้ายก็ถูกดาบแทงทะลุหัวใจจนตาย เจ้าต้องขอบคุณพรของหงส์แดงนะถึงทำให้วิญญาณกับร่างกายเจ้ายังเชื่อมต่อกันอยู่"

         ในระหว่างที่หลิ่งเฟยกำลังทำความเข้าใจในสิ่งที่ไป๋หู่พูด อดีตสัตว์เทพอสูรใช้ลมปราณจากร่างของหลิ่งเฟยสร้างพายุมาปกคลุมหลิ่งเฟยอีกทีหนึ่งป้องกันไม่ให้เซี่ยจื้อทำอะไรกับร่างกายของหลิ่งเฟย แม้ว่าสีหน้าของเซี่ยจื้อในตอนนี้จะดูน่าสมเพษมากแค่ไหนก็ตาม

         ถึงจะดูใจร้ายมากไป แต่นี่ไม่ใช่เวลาที่จะมารำลึกความหลัง

         "เจ้ามีสติปัญญาที่ดีแต่ก็ยังไม่สามารถสู้กับเซี่ยจื้อได้"

         "อย่างน้อย ข้าก็สามารถทำให้เซี่ยจื้อตกใจได้นะ"

         ไป๋หู่ไม่เถียง เพราะมันคือเรื่องจริงเซี่ยจื้อคงไม่คิดด้วยซ้ำว่าแท้จริงแล้วหลิ่งเฟยให้เฟิงหู่ซ่อนอยู่ในแหวนมิติก่อนจะให้ออกมาสับเปลี่ยนกับตนเองเมื่อมาถึงส่วนของวังหลัง เป็นครั้งแรกด้วยซ้ำที่เห็นเซี่ยจื้อแสดงสีหน้าอารมณ์ที่หลากหลายได้มากถึงขนาดนี้หากไม่ใช่เพราะว่าหลิ่งเฟย สติปัญญาถือได้ว่าทัดเทียมเท่ากับคู่สัญญาของตนเอง หากได้ถือครองพลังอำนาจที่แท้จริงของสัตว์เทพอสูรแล้วจะต้องเอาชนะมนต์ดำพวกนั้นได้แน่นอน

         "เอาเถอะ ข้าไม่อยากเสียเวลาไปมากกว่านี้ นั่งให้มันดีๆแล้วข้าจะสอนการใช้พลัง"

         อดีตสัตว์เทพอสูรเอ่ยปากว่าจะสอนการใช้พลัง หลิ่งเฟยรีบนั่งคุกเข่ายืดอกตั้งใจฟังด้วยความตื่นเต้นโดยไม่รู้สึกตัวเลยว่าไป๋หู่ได้ควบคุมร่างกายตัวเองสร้างพายุลูกใหญ่จนสามารถเห็นได้จากนอกแคว้นอย่างชัดเจนราวกับภัยพิบัติไม่ผิด

         "พลังของสัตว์เทพอสูรก็คือลมปราณอันมหาศาล จุดเด่นคือธาตุประจำตัวของสัตว์เทพอสูรซึ่งเจ้าก็คงสังเกตเห็นอยู่แล้ว"

         "ดิน น้ำ ลม ไฟ สายฟ้า สินะ"หลิ่งเฟยตอบไป๋หู่อย่างตั้งใจซึ่งเป็นคำตอบที่ถูกต้อง

         "ใช่ แต่ถ้ายึดตามหลักความเป็นจริงการควบคุมธาตุต่างๆมันก็ขึ้นอยู่กับความถนัด อย่างการสร้างภาพมายานะเจ้ารู้หรือเปล่าว่าข้าสามารถสร้างภาพมายาที่หงส์แดงไม่สามารถสร้างได้"

         จุดเด่นที่หลิ่งเฟยเคยคิดว่าซุยฟ่งอาจจะเหนือกว่าเพราะประสบการณ์มีมากกว่า ไหนจะพลังที่สามารถควบคุมจิตได้อีก

         "นั้นคือการทำให้ภาพมายากลายเป็นของจริง และของจริงกลายเป็นภาพมายา ทำให้อีกฝ่ายสับสนว่าอันไหนของจริงอันไหนของปลอม"

         "....ก็คือทำให้มีของจริงปะปนอยู่ในภาพลวงตาสินะ"

         เพราะภาพลวงตาไม่มีทางกลายเป็นของที่จับต้องได้ เนื่องจากมันเกิดจากการรับรู้ของสมองที่ผิดเพี้ยน ไป๋หู่ยิ้มให้กับความคิดที่ไม่ได้ผิดแต่มันก็ไม่สามารถใช้กับตนเองได้

         "ตอนนี้เจ้าเห็นอะไร"เฟิงหู่สร้างภาพลวงตาว่ามีดาบของหลิ่งเฟยที่ใช้แทงตาเซี่ยจื้อไปตอนแรกอยู่ในมือ ไป๋หู่ไม่มีแหวนมิติและที่นี่ก็คือดินแดนที่อยู่ระหว่างความเป็นความตาย 

         "ดาบคาตานะ"

         "หืม ดาบแบบนี้เรียกว่าคาตานะสินะ เอาไปสิ"หลิ่งเฟยรับมันมางงๆ คิดว่ามันคงจะหายไปในทันที แต่เมื่อได้ถือดาบคาตานะความรู้สึกสัมผัสที่จับต้องได้ ใช้ลมปราณมองรูปร่างที่แท้จริงก็ยังเป็นดาบอยู่ดี

         เพื่อยืนยันว่าเป็นดาบของจริง หลิ่งเฟยลองเอาดาบมาบาดนิ้วตัวเองดูถึงจะเป็นวิญญาณแต่ถ้ารู้สึกเจ็บก็แปลว่ามันคือของที่ทำให้รู้สึกเจ็บได้จริงๆ

         "ของจริง?"

         "ก็แค่ภาพลวงตา แต่ถ้าคนเห็นคิดว่ามันคือของจริงมันก็จะกลายเป็นของจริง"

         ความว่างเปล่ากลายเป็นป่าและมีร่างของตัวเองนอนพิงต้นไม้ เจ้าของร่างมองหันซ้ายหันขวามีพายุลูกหนึ่งกำลังเคลื่อนตัวไปยังวังหลวงซึ่งมันดูดทุกสิ่งอย่างเข้ามาข้างในและทำลายทุกอย่างที่ขวางหน้า หลิ่งเฟยยืนมองร่างตัวเองสลับกับไป๋หู่

         "นี้เป็นภาพลวงตาหรือของจริงละ"

         "ของจริง ถึงเจ้ากับข้าจะไม่สามารถสัมผัสอะไรได้ แต่ถ้าจะสร้างสิ่งที่เกิดจากลมปราณก็สามารถทำได้"

         พายุลูกใหญ่ขยายตัวใหญ่กว่าเดิม เจ้าของร่างรู้สึกได้ว่าลมปราณของตนเองกำลังถูกดูดออกไปไป๋หู่ยิ้มเจ้าเล่ห์ หลิ่งเฟยมองไปที่ร่างของตนเองและได้เห็นว่ามีควันสีฟ้าอ่อนกำลังออกจากทั้งร่างกายและวิญญาณ

         พึ่งเคยเห็นลมปราณของตัวเองได้อย่างชัดเจนขนาดนี้เป็นครั้งแรก

         "อยู่ในสภาวะกึ่งเป็นกึ่งตาย วิญญาณเจ้าก็จะอ่อนไหวขึ้นนิดหน่อยทำให้เจ้าเห็นอะไรมากขึ้น"ไป๋หู่เดินมาจับไหล่ทั้งสองข้างหมุนตัวหลิ่งเฟยให้มองไปข้างหน้าอีกครั้ง คราวนี้มองเห็นทุกอย่าง ไม่ว่าจะวิญญาณ พลังชีวิต ลมปราณแม้กระทั่งการเคลื่อนไหวของทุกสิ่งอย่างในอากาศจนแทบแยกไม่ออกว่าไหนร่างจริง

         "นี้แหละคือความจริง กายหยาบเป็นเพียงแค่ภาชนะบรรจุ วิญญาณคือแหล่งรวบรวมทุกสิ่งอย่างไม่เพียงแค่สัตว์เทพอสูรที่จะก้าวข้ามไปยังระดับเหนือราชันสวรรค์ มนุษย์เองก็สามารถทำได้เพียงแต่กายหยาบของพวกเขานั่นมันเปรอะบางเกินไปเมื่อไปถึงจุดที่ดวงวิญญาณสร้างลมปราณออกมามากจนเกินไป ร่างกายของมนุษย์ก็จะแตกสลาย"

         คำใบ้จากผู้อาวุโสทำให้หลิ่งเฟยเริ่มปะติดปะต่อเป้าหมายของฝ่ายตรงข้าม

         "หวังตงเฉินต้องการจะมีพลังอำนาจที่เหนือกว่าสัตว์เทพอสูร?"

         "มันก็แค่การคาดเดา"

         "เพราะงั้นท่านถึงจงใจมอบกล่องที่เชื่อมต่อกับนรกให้เซี่ยจื้อเพื่อให้หวังตงเฉินไว้วางใจงั้นหรือ"

         "ข้าไม่ได้คิดไปไกลถึงขั้นนั้นหรอกนะ ตอนนั้นข้าไม่มีความปรารถนาที่อยากจะมีชีวิตทำให้ร่างกายข้าอ่อนแอลงเรื่อยๆข้าเลยเอากล่องให้เซี่ยจื้อเพราะอย่างน้อยก็ยังเป็นคนรู้จักไม่ใช่คนอื่นที่ไม่รู้ว่าจะเอากล่องไปทำอะไรบ้าง"

         ไป๋หู่พูดไปมองไปยังมังกรตัวใหญ่หลายหัวที่กำลังบินอยู่บนฟ้า หลิ่งเฟยเอามือกุมหน้าผากนึกสงสารเซี่ยจื้อที่มาชอบไป๋หู่

         "ลองสร้างพายุให้ใหญ่เท่ากับของข้าซิ"

         "ทำไมต้องทำด้วยละ"หลิ่งเฟยถามหน้าซื่อเพราะไม่เห็นความจำเป็นต้องทำ

         "ข้าอยากให้เจ้าไปถึงระดับเหนือราชันสวรรค์ให้เร็วที่สุด ซึ่งเท่าที่ข้ารู้ว่ามีอยู่สองทางข้ามขีดจำกัดของตนเอง หรือจะบรรลุอะไรบางอย่าง แต่ข้าคิดว่าเจ้าไม่น่าจะบรรลุอะไรได้สักอย่างหรอกนะ"

         ไป๋หู่พูดแทงใจดำหลิ่งเฟยอย่างแม่นยำ เพราะอย่าว่าแต่บรรลุเลยขนาดตอนตายยังเอาแต่นึกถึงนิยายวายที่เก็บไว้ในห้องทำงานแล้วกลัวว่าจะมีคนมาเห็น ไหนจะความรู้สึกในหลายอย่างที่ตัวเองไม่อยากสูญเสียมันไปในตอนนี้

         "แค่ข้ามขีดจำกัดไปก็พอแล้วใช่มั้ย"

         แววตาที่โลเล ดูเหมือนไม่คิดอะไรตอนนี้กำลังเยาะเย้ยตนเองว่าจะทำได้รึเปล่าไป๋หู่ยิ้มออกมาเล็กน้อยด้วยความรู้สึกเช่นเดียวกับหลิ่งเฟย

         เดิมพันด้วยทุกอย่างที่มี



    ติดตามเรื่องนี้
    เก็บเข้าคอลเล็กชัน

    นิยายที่ผู้อ่านนิยมอ่านต่อ ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    อีบุ๊ก ดูทั้งหมด

    loading
    กำลังโหลด...

    ความคิดเห็น

    ×